การจัดกิจกรรมดูแลพื้นฐานสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม(Dementia) ตอนที่ 2.
จากบทความก่อนหน้านี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มตระหนักและย้อนกลับมาดูตัวเองพบว่าเริ่มมีบางข้อที่ตนเองเริ่มเข้าสู่ปัญหาสมองเสื่อมทั้งที่อายุก็ยังอยู่ที่ 50 ปีต้นๆ พอได้เขียนและอ่านบทความนี้แล้วยังสามารถนำมาใช้ในการดูแลตัวเองและนำเนื้อหาไปปรับใช้ในการดูแลผู้ป่วยอื่นๆที่มีภาวะสมองเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย เช่น นำไปปรับใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในบ้านหรือญาติพี่น้องตามความเหมาะสมกับปัญหาแต่ละข้อที่พบเจอได้
3. กิจกรรมการดูแลด้านการรักษาความสะอาดของช่องปาก และฟันปลอม
เนื่องจากผู้ป่วยสมองเสื่อมโดยส่วนใหญ่อาจต้องใส่ฟันปลอมจากการร่วงของฟันตามวัยฉะนั้นการดูแลช่องปากและฟันปลอมช่วยลดปัญหาการติดเชื้อทางเดินอาหารและช่วยกระตุ้นการอยากและเจริญอาหารได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย
ประเด็นปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไขมีดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยไม่แปรงฟัน ลืมวิธีแปรงฟัน แนวทางแก้ไข แนะนำให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ น้ำยาบ้วนปากทุกครั้งหลังอาหาร หรือแนะนำวิธีการแปรงฟัน เตรียมยาสีฟัน หรือแปรงฟันไปพร้อมๆกัน
- กลืนยาสีฟัน แนวทางแก้ไข ใช้ยาสีฟันเด็กที่ไม่เป็นอันตราย ใช้ยาสีฟันในปริมาณที่เหมาะสม
- ลืมถอดฟันปลอม ล้างฟันปลอม แนวทางแก้ไขกระตุ้นให้ผู้ป่วยถอดล้างฟันปลอม แนะนำการตรวจสุขภาพของช่องปากและฟันทุก 6 เดือนเป็นต้น
4. กิจกรรมด้านการแต่งกาย
ขั้นตอนการแต่งกายสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมนั้นต้องวางแผนให้เหมาะสมตามกาลเทศะหรือการแต่งกายอยู่บ้าน การติดกระดุม การรูดซิป เป็นต้น
ประเด็นปัญหาที่พบบ่อยและแนวทางแก้ไขมีดังต่อไปนี้คือ
- หลงลืมการจัดเก็บเสื้อผ้า แยกเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นออกจากเสื้อผ้าที่ใช้ประจำเช่น ผ้าพันคอ เครื่องประดับ ต่างๆเป็นต้น
- เลือกเสื้อผ้าในการสวมใส่ไม่เหมาะสมตามสภาพอากาศเช่นใส่เสื้อแขนสั้นหน้าหนาว ให้เวลาในการแต่งตัว ช่วยเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายเหมาะสมกับสภาพอากาศ เช่น เสื้อผ้าที่เอวเป็นยางยืด
- จำไม่ได้ว่าต้องใส่อะไรก่อนหรือหลัง เช่นใส่เสื้อผ้าซ้อนกัน ลืมใส่กางเกงในหรือใส่กางเกงในใว้ด้านนอกเป็นซูเปอร์แมน ใส่เสื้อผ้าเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยน แนวทางแก้ไข จัดเสื้อผ้าเป็นชุดๆ และมีหลายๆ ตัวสีเดียวกันตามที่ผู้ป่วยชอบสวมใส่ ลดจำนวนเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าให้น้อยลงเพื่อลดความสับสนและใช้เวลานานในการเลือกเสื้อผ้าเป็นต้น
- ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าจากอากาศร้อน ถอดเสื้อผ้าในที่สาธารณะโดยไม่รู้มารยาททางสังคม พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล หลีกเลี่ยงการโต้แย้งให้คำแนะนำเรื่องมารยาททางสังคมโดยไม่ตำหนิผู้ป่วยเป็นต้น
5. กิจกรรมการดูแลในด้านระบบการขับถ่าย
ผู้ป่วยสมองเสื่อมในระยะแรกอาจต้องให้คำแนะนำเตือนให้เข้าห้องน้ำในเรื่องการขับถ่าย ในระยะต่อมาอาจต้องช่วยถอดเสื้อผ้า บอกห้องน้ำอยู่ใหน เมื่อถึงระยะที่มีปัญหาการขับถ่ายอาจต้องประเมินสภาพร่างกายหาสาเหตุของปัญหาด้านการขับถ่ายว่าเกิดจากสาเหตุอื่นๆเช่น ระบบการขับถ่ายของผู้ป่วยเอง ประเภทของอาหารที่รับประทานโดยรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย การดื่มน้ำน้อย หากมีปัญหารุนแรงอาจต้องพิจารณาให้ยาระบายร่วมด้วยเป็นต้น ปัญหาที่พบบ่อยคือ
- ขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระโดยไม่เลือกสถานที่ สันสนหาห้องน้ำไม่เจอ แนวทางแก้ไข คอยเตือนให้เข้าห้องน้ำ มีป้ายห้องน้ำที่ชัดเจน ใส่เสื้อผ้าที่ถอดง่าย พาเข้าห้องน้ำก่อนนอน เปิดไฟดวงเล็กๆไว้หรือเปิดไฟในห้องน้ำทิ้งไว้ในเวลากลางคืน หากควบคุมไม่ได้อาจต้องพิจารณาใส่ผ้าอ้อมสำเร็จในเวลานอนหรือออกนอกบ้าน หากไม่มีห้องน้ำในตัวอาจต้องพิจารณาจัดเก้าอี้สำหรับการขับถ่าย(Bedside commodes) ไว้ข้างเตียงเพื่อลดปัญหาลงได้ จัดอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อช่วยระบบการขับถ่าย กระตุ้นให้ดื่มน้ำตอนกลางวัน จำกัดน้ำเวลาเย็นเพื่อไม่ให้ตื่นมาเข้าห้องน้ำบ่อย หากมีความสับสนมากอาจต้องจัดเตรียมสถานที่ให้เหมาะสมมากขึ้น
6. กิจกรรมลดปัญหาด้านการสื่อสาร การตอบสนองช้า เข้าใจยาก
ให้เวลาในการสื่อสาร นึกคำศัพท์ไม่ออก เป็นต้น แนวทางในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมคือ ขณะสื่อสารกับผู้ป่วยให้ขจัดสิ่งรบกวน เช่นทีวี วิทยุ ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลไม่ดังเกินไป พูดคุยด้วยประโยคที่สั้น กระชับ เข้าใจได้ง่าย หากไม่เข้าใจต้องเรียบเรียงประโยคไหม่ อาจต้องใช้มือหรือท่าทางประกอบมากขึ้นและใจเย็น คอยให้กำลังใจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยเป็นต้น
7. กิจกรรมด้านการนอนหลับพักผ่อน
ผู้ป่วยมักตื่นบ่อยในเวลากลางคืนมาทำกิจกรรมสร้างความลำบากแก่ผู้ดูแล ไม่ได้พักผ่อนต่อเนื่อง แนวทางแก้ปัญหา โดยให้ผู้ป่วยได้รับแดดช่วงเช้า ช่วยให้นอนหลับในเวลากลางคืนได้ง่ายขึ้น จัดเวลาเข้านอนเร็วขึ้นเพื่อจะได้ตื่นเช้ามากขึ้น จัดห้องนอนที่มีแสงสว่างที่เหมาะสม อุณหภูมิไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป หากิจกรรมที่ผู้ป่วยชอบในเวลากลางวันไม่เบื่อเพื่อช่วยลดเวลาการนอนกลางวันลงได้ งดการบริโภคสารคาเฟอีนซึ่งทำให้นอนหลับยาก เพิ่มอาหารมื้อเย็นเช่น นมร้อน อาหารที่ย่อยง่าย ช่วยลดการตื่นมารับประทานกลางดึก เข้าห้องน้ำก่อนนอน หากไม่ยอมนอนหลับสร้างความวุ่นวายต้องแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาปรับยานอนหลับได้ตามความเหมาะสม
8. กิจกรรมการดูแลด้านอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมีผลกระทบต่อผู้ดูแล ดังนั้นผู้ดูแลต้องใช้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ ความรัก ร่วมกับเทคนิคความยืดหยุ่น ปรับไปตามสถานการณ์แต่ละวัน สำหรับประเด็นปัญหาที่พบบ่อยเช่น
- การรับรู้ที่ผิดไปจากความจริง กลัวคนมาขโมยของ ระแวงเรื่องการปิดประตู คิดว่าคู่ครองไม่ซื่อสัตย์หลงผิดเกิดความก้าวร้าวตามมา แก้ปัญหาโดยหาสาเหตุของปัญหาที่กระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวและขจัดปัญหานั้น โดยอธิบายความจริงกับผู้ป่วยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเป็นต้น
- หงุดหงิดง่าย เห็นภาพหลอน ขาดการยับยั้งชั่งใจ มีพฤติกรรมที่น่าละอายในที่สาธารณะพูดคำหยาบ เดินออกจากบ้านทำให้หลงทางหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ การทำพฤติกรรมซ้ำๆเช่น หุงข้าว ค้นหาข้าวของ เปิดปิดตู้เสื้อผ้า รื้อค้นกระเป๋าหรือลิ้นชัก มีอารมณ์ซึมเศร้า ขาดความกระตือรือร้น ไม่แสดงออกทางอารมณ์แยกตัว ไม่สนใจในการปฎิบัติกิจวัตรประจำวัน ขาดการริเริ่มการทำสิ่งใหม่ๆ วิตกกังวลกลัวลูกหลานทอดทิ้ง หรือเรียกหาบ่อยๆ พูดไปขำไป พูดเกินจริงเป็นต้น แนวทางการแก้ไข โดยการเบี่ยงเบนความสนใจ ทำกิจกรรมที่ชอบ ฟังเพลงหรือดนตรี ออกกำลังกาย เล่นเกมง่ายๆ ทำสวน รดน้ำต้นไม้ วาดรูป ดูอัลบั้มรูปเก่าๆ เขียนบันทึกหรือวาดรูปเป็นต้น ห้ามเถียงเพื่อเอาชนะให้คล้อยตามไปก่อนเน้นเบี่ยงเบนความสนใจเป็นหลัก ดูแลจัดเก็บสิ่งของอันตรายให้ห่างมือ อาจต้องเขียนเบอร์โทร ชื่อสกุลติดกระเป๋าเสื้อไว้เป็นต้น
จากประเด็นปัญหาในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมอาจมีความแตกต่างกันไป ผู้ดูแลควรต้องใช้ความรู้และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สื่อสารให้สั้น กระชับเข้าใจง่าย เน้นการทำกิจกรรมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ กระตุ้นการฟื้นฟูความจำโดยพาไปในที่ๆเคยไปมาก่อนเป็นต้น
การดูแลผู้ป่วย สมองเสื่อม (ตอนที่ 1)
สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com