Episodes 1 (กักตัวในวัด เวลากลางคืน ที่เงียบสงบและวังเวง)

แชร์ให้เพื่อน

Episodes 1 (กักตัวในวัด เวลากลางคืน ที่เงียบสงบและวังเวง)

ประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย (ติดเชื้อโควิด 19)

หลังจากผ่านการเดินทางจากกรุงเทพกลับต่างจังหวัดเพื่อการกักตัวและรักษาความเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโรคโควิด 19  โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง โดยไม่ได้หยุดพักช่วงตลอดการเดินทางแม้แต่เข้าแวะพักเข้าห้องน้ำใดใด  เรามองบรรยากาศข้างทางแบบหดหู่และเศร้าสร้อย ทั้งที่เรากำลังจะได้เดินทางกลับบ้าน แต่สุดท้ายปลายทางนั้นกลับเป็นวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ใกล้เมรุเผาศพตรงข้ามกัน เมื่อรถฉุกเฉินไปถึงที่กักตัว เราสังเกตเห็น ข้าวของที่น้องสาวได้จัดเตรียมไว้ให้เพื่อกักตัวที่กุฏิวัด ซึ่งเป็นเพียงการกักตัวชั่วคราวก่อนส่งตัวไปรักษาต่อที่ศูนย์กักตัวประจำจังหวัด น้องสาวจัดเตรียม อาหารการกินที่เราเคยชอบได้แก่ น้ำพริกปลาทู ผักต้มหลากหลายอย่าง ขนมเทียนไส้มะพร้าว แต่เรากลับไม่ได้แตะต้องอาหารเหล่านั้นเลยแม้ผ่านมาทั้งวันโดยไม่ได้กินอาหาร  มีแค่น้ำดื่มเพื่อประทังความหิวกระหายตลอดการเดินทางที่เหนื่อยเพลียและอ่อนล้า   การเดินทางมาถึงที่พักเป็นเวลา พลบค่ำ บรรยากาศโพล้เพล้ ผีออกมาตากผ้าอ้อม (คิดเองเพราะอยู่ใกล้เมรุเผาศพอาจมีผีเป็นจำนวนมาก  ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบเจอซักครั้งเดียว พบเจอแค่ศพคนตายเท่านั้น) รีบกางมุ้งเตรียมที่นอนให้เรียบร้อย พร้อมอาบน้ำ ชำระร่างกาย ภายในห้องน้ำมีสายยางขนาดเล็กๆ เมื่อเปิดน้ำไหลออกมาน้อยมาก เราจินตนาการว่าน้ำที่ออกจากท่อน้ำนั้น เป็นน้ำยาฟอร์มาลินเพื่อมาล้างทำลายเชื้อโควิด เรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆหลังอาบในห้องน้ำ จึงรับวิ่งออกจากห้องน้ำเพื่อไปล้างตัวข้างนอก เพราะคิดว่าเป็นน้ำยาฟอร์มาลิน (เกิดจากอาการหลอนนั่นเอง) หลังจากนั้นต้องแอดไลน์เพื่อเข้าระบบการรายงานตัวเข้ากลุ่มการกักตัวและรายงานผลการวัดอุณหภูมิของร่างกาย และการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด

ณ.เวลาค่ำคืนนั้นอันเงียบสงบและวังเวง  ท่ามกลางเสียงนกร้อง แมลง จิ้งหรีด กบร้อง ระงมไปทั่วบริเวณเนื่องจากเป็นหน้าฝนและคืนฝนตกพรำๆ เรานอนหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความวิตกกังวล ทั้งที่เพื่อนที่นอนร่วมกุฏิเดียวกันหลับไหลในเวลากลางคืนอันเงียบสงบในเวลาดึกสงัด  แต่เรานอนลืมตาโพรงพร้อมได้เย็นเสียงเพื่อนร่วมกุฏินอนกรนเป็นระยะๆ  หากสำหรับเราแล้ว คืนนั้นเวลาแค่ 12 ชั่วโมงแต่เหมือนเวลา 12 ปีเลยทีเดียว หูแว่วได้ยินเสียงลมตีหน้าต่าง จินตนาการเป็นผีหรือคนมาเคาะหน้าต่างยิ่งกลัวและหวาดระแวงไปใหญ่ จินตนาการยาวถึงการทำลายล้างคนติดเชื้อโรคโควิด 19 โดยการนำคนติดเชื้อไปเผาทั้งเป็นเพื่อเป็นการจัดการทำลายเชื้อให้หมดไปจากโลกนี้(อาการหลอนและจินตนาการ) มีอาการปวดร้อนตามกล้ามเนื้อขาและเป็นตะคริวเป็นระยะ น่าจะเกิดจากร่างกายขาดแคลเซียมหรือแร่ธาตุอื่นๆ ทำให้เกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกายนั่นเอง

ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าสร้อยและวังเวง จนถึงเวลาเช้าตรู่พร้อมกับเสียงพระสวดมนต์ยามเช้า ระฆังดังก้องกังวานเข้ามาในหู ได้เวลาต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของและเสื้อผ้าเพื่อเดินทางเข้าศูนย์กักตัวในตัวจังหวัดต่อไป  การเดินทางมีคนไปด้วยกันประมาน  10 ชีวิต นั่งแบบติดกันและแออัด อาจเป็นจากการใส่หน้ากากอนามัยทำให้เราหายใจได้ไม่สะดวกนั่นเอง การเดินทางเข้าตัวจังหวัดใช้เวลาประมาณ 30 นาทีท่ามกลางบรรยากาศฝนตกพรำๆอีกครั้ง ขณะที่เราไม่สามารถจดจำเส้นทางได้เลย ทั้งที่เส้นทางนี้เราเคยเดินทางมาตลอด

ณ.สถานที่กักตัวประจำจังหวัด

ผู้คนมากมายเดินเข้าสถานกักตัวแบบเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมายนัก  พูดคุยกันสนุกสนานเหมือนการไปพักผ่อนหรือการพักแรมนั่นเองเล่นมือถือ หัวเราะสนุกสนาน  ขณะที่เรานั้นกินอาหารไม่ได้ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับมีอาการหวาดระแวง หลังจากไม่ได้หลับพักผ่อนมาเป็นเวลาหลายคืนแล้ว (น้องสาวบอกไม่หลับไม่นอนเดินทั้งคืน)

ขั้นตอนแรกในการเข้ากักตัว

ทุกคนต้องแอดเพื่อเข้าสู่ระบบการเข้ากลุ่ม  เพื่อการสื่อสารข้อมูลต่างๆ เช่น การส่งข้อมูลการวัดไข้ การวัดระดับออกซิเจนในเลือด หลังจากนั้นทุกคนเข้าวัดความดัน ตรวจเชคเอ็กซเรย์ปอด รอแพทย์โทรมาสอบถามอาการทางโทรศัพท์ โดยการซักประวัติ และการตรวจพบเชื้อ รวมถึงการได้รับการรักษาอะไรมาบ้าง (เราในฐานะอดีตทำงานพยาบาลมาก่อนเราเล่าประวัติการเจ็บป่วยที่มี เช่น วัณโรคปอด ก้อนเนื้อในมดลูก การได้รับภาวะแทรกซ้อนจากยาวัณโรค และการรับยา Klacid ก่อนการรักษาโควิด 19 ในครั้งนี้) หลังจากนั้นเป็นการแยกเข้ารักษาตัวตามโซนต่างๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นแบ่งตามอาการหนักเบานั่นเองเพราะเรากับน้องสาวได้อยู่ห่างกันออกไป

หากสนใจบทความนี้โปรดติดตามบรรยากาศการกักตัวต่อไปได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน