เรื่องสั้นเรื่อง  คนเซราะกราว ตอน ชีวิตของอีพราวผู้น่าสงสาร

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้นเรื่อง  คนเซราะกราว

ตอน ชีวิตของอีพราวผู้น่าสงสาร

         นังพราวเป็นหญิงสาวสวยผู้น่าสงสารประจำหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง มีอายุราว 20 ปี เป็นเด็กสาวผู้ซึ่งกำพร้าแม่มาตั้งแต่แรกเกิดและอาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่แม่ของนังพราวเสียชีวิตลงตอนนังพราวลืมตาดูโลกเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา  นังพราวไม่มีโอกาสเห็นหน้าแม่เลยแม้แต่รูปภาพที่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูป หรือมือถือเพื่อถ่ายรูปบันทึกไว้เหมือนในสมัยปัจจุบัน มีเพียงแค่ภาพวาดใบหน้ารูปไข่ของแม่ ที่เป็นผู้หญิงสาวชาวต่างชาติ บนในลานที่พ่อวาดไว้ให้ดูต่างหน้าเมื่อสมัยที่พ่อแม่ยังคบกันใหม่ๆ พ่อนังพราวเป็นศิลปินชอบวาดรูปบนใบไม้ ใบลานและโขดหิน แม่ของนังพราวเป็นทหารหญิงชาวอเมริกัน มาพบรักกันกับพ่อของนังพราวในพื้นที่ชนบทแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเขตความเจริญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

       นังพราวนั้นเป็นหญิงสาวสวยประจำหมู่บ้าน สูงราว 165 เซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่งได้รูป ปากเล็กเป็นกระจับ หุ่นดี มีทรวดทรงองค์เอว ผมมีสีน้ำตาล ยาวสลวยหยักโศกถึงกลางหลัง ตากลมโต ขนตางอนยาว นัยน์ตาสีฟ้า ผิวสีน้ำผึ้ง เนียนสวย ไร้ร่องรอยปานแดงหรือปานดำ

“นังพราว ข้ากลับมาแล้ว” เสียงร้องเรียกชื่อของเมียอันเป็นสุดที่รักดั่งดวงใจ ของทิดชมดังก้องกังวาลท่ามกลางเวลากลางคืนเดือนมืดมิดที่เงียบสงบ วังเวง ลมพัดหวิวๆ ใบจากปลิวไหวมองดูคล้ายเงาของสัตว์ร้ายข้างผนังบ้าน กระทบแสงไฟตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะเก่าๆกลางบ้าน และเป็นวันราหูอมจันทร์ ทิดชมกวาดสายตามองหาร่างของเมียสาววัยแรกรุ่นท้องแก่ใกล้คลอด แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเมียรัก “นังพราวเมียรักของข้า เองอยู่ที่ไหนกัน” ทิดชมรีบก้าวลงจากบ้านพร้อมถือตะเกียงเป็นไฟส่องทางตามหาเมียรักรอบๆ บ้าน ท่ามกลางความมืดมิดของคืนเดือนมืด “ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที” เสียงร้องเรียกเบาๆ ไร้เรี่ยวแรง ดังมาตามสายลม ท่ามกลางความมืดในเวลาเที่ยงคืนอันดึกสงัด “เองลงมาทำอะไรที่นี่” ทิดชมร้องถามเมียสาวท้องแก่ ที่เดินเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างยากลำบาก พร้อมในมือถือตะเกียง คล้ายตะเกียงของอาลาดินก็ไม่ปาน เพราะเป็นมรดกของแม่ที่เก็บไว้ให้ดูต่างหน้าไร้ซึ่งแสงไฟส่องแสงสว่าง เนื่องจากลมพัดดับเมื่อไม่นานมานี้ “ข้าปวดท้อง เลยลงมาขี้ ” นังพราวตอบกลับด้วยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นหากปวดขี้ต้องเข้าป่า ใช้เสียมขุดดิน เมื่อทำธุระเสร็จใช้ดินกลบให้เป็นปุ๋ยกับพืชต่อไป ทิดชมรีบเข้าไปประคองเมียรักพร้อมลูกน้อยในครรภ์ด้วยความถนุถนอมพร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน “เดินช้าๆนะ ระวังเวลาข้ามขึ้นขั้นบันได” เนื่องจากในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า ห้ามหญิงท้องแก่นั่งราวบันไดบ้าน เพราะอาจเป็นลม เป็นแล้ง หรือตกบันไดทำให้ได้รับอันตรายทั้งแม่และลูกได้

“เองนั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะจุดไฟต้มน้ำร้อน” ทิดชมเดินเข้าไปในครัวเล็กๆใช้เศษยาง และฟืน จุดไฟในเตาที่ทำขึ้นแบบง่ายๆ มีก้อนหินสามก้อนวางไว้เป็นสามเหลี่ยม พร้อมหยิบกระบวยตักน้ำออกมาจากโอ่งใบเล็กใส่ลงในหม้อดิน ลักษณะคล้ายหม้อใส่อัฐกระดูกของแม่นาคพระโขนง หรือหม้อต้มจิ้มจุ่มในปัจจุบัน

“ทิดชม ข้ามาถึงแล้ว” เสียงร้องเรียกเจ้าของบ้าน ดังก้องกังวาน พร้อมเสียงไอ้ด่าง เห่าโฮ่งๆ เป็นสัญญาณเตือนแจ้งให้เจ้าของบ้านรู้ว่ามีศัตรูเข้ามาบุกรุกในเขตพื้อนที่รโหฐาน (Private) “ ขึ้นมาข้างบนบ้านเลยตาแก้ว” เสียงเรียกของทิดชมตะโกนดังมาจากหลังบ้านที่เป็นครัวเล็กๆ พร้อมเสียงปรามไอ้ด่างให้หยุดเห่าแขกวัยชราผู้มาเยือนในเวลากลางคืนอันดึกสงัดของวันราหูอมจันทร์ “ตาแก้วสวัสดีคะ” เสียงของนังพราวกล่าวทักทายแขกผู้มาเยือนด้วยใบหน้าเป็นมิตร พร้อมกับจับโต๊ะไม้ที่วางตะเกียงเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน ตาแก้วทำหน้าเลอะลัก พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาถามว่า “เองปวดท้องจะคลอดไอ้ตัวเล็กในครรภ์ ไม่ใช่หรือ” นังพราวยิ้มมุมปากให้ชายชราอย่างเอียงอาย พร้อมกับเอ่ยวาจาว่า “ข้าดีขึ้นแล้ว ไม่ได้ปวดมาก ปวดเป็นพักๆ แล้วก็หายไป” ด้วยความที่นังพราวเป็นหญิงสาวกำพร้าแม่ มาตั้งแต่แรกเกิด จึงไม่มีใครสอนหรือเล่าประสบการณ์เรื่องอาการเจ็บท้องเตือน และเจ็บท้องใกล้คลอด การเจ็บครรภ์เตือนนั้นเกิดจากมดลูกขยายตัวเต็มที่และเคลื่อนตัวลงต่ำ จึงทำให้มีความรู้สึกว่ามดลูกแข็งตัวบ่อยครั้งขึ้น จนสามารถคลำและรู้สึกถึงอาการท้องแข็งบริเวณหน้าท้อง รวมทั้งมดลูกจะเริ่มบีบตัวทำให้ท้องแข็งเกร็ง แต่ยังไม่เป็นจังหวะที่แน่นอน การเจ็บท้องเตือนเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ได้ 8 เดือนเพื่อเตรียมให้ปากมดลูกบางลงพร้อมที่จะเปิดออกให้ลูกน้อยลืมตาดูโลกนั่นเอง แท้จริงแล้วนังพราวแค่มีอาการปวดท้องเตือนก่อนคลอด ยังไม่มีน้ำเดินหรือถุงน้ำคร่ำแตก ซึ่งลักษณะของน้ำคร่ำนั้นใส คล้ายน้ำปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีมูกเลือดออกจากช่องคลอดแต่อย่างใด แสดงว่าอาการของนังพราวนั้นแค่เจ็บครรภ์เตือน ไม่ได้จะคลอดภายใน 12 ชั่วโมงอย่างแน่นอน ตาแก้วหันไปสบตาและยิ้มกับทิดชมแสดงสีหน้าหมดความวิตกกังวลเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็ไม่ปาน พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจากับผู้ชายวัยหนุ่มที่จะกลายเป็นพ่อคนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  “พวกเองกลับไปนอนพักกันต่อได้แล้ว ข้าจะรีบกลับบ้านไปนอนพักเอาแรงเช่นกัน เพราะพรุ่งนี้ตอนสายๆข้าจะต้องรีบขับเกวียนออกไปรับยายระย้าที่สถานีรถไฟแต่เช้า” ทิดชมและนังพราวกล่าวขอบคุณตาแก้วในความมีน้ำใจช่วยเหลือของคนในชนบทอันห่างไกลจากความเจริญ ทิดชมและนังพราวนอนหลับสนิททั้งคืนด้วยความอ่อนเพลียกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา สร้างความอลเวงแก่หมอยารักษาโรค ด้วยยาสมุนไพรพื้นบ้านและทำนายทายทักดวงชะตาตามหลักโหราศาสตร์อย่างตาแก้วผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วมอายุล่วงเลย 70 กว่าฤดูกาล ติดตามตอนต่อไปว่ายายระย้า จะกลับมาบ้านทันช่วยทำคลอดนังพราวหรือไม่ นังพราวและทิดชมจะได้ลูกชายหัวปีตามที่คาดหวังไว้หรือไม่

 

หากชื่นชอบเรื่องสั้นของ คนเซราะกราว และบทความที่มีทั้งเนื้อหาและสาระสร้างความบันเทิง สามารถติดตามอ่านได้ที่ Healthybestcare.com จากนามปากกาของ Rommyrom เจอกันตอนต่อไปคะ ขอให้ทุกคนโชคดีในวันหวยออกกันนะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน