เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตยายสาย (เจ้าของฉายา “ปอบสาย”)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตยายสาย (เจ้าของฉายา “ปอบสาย”)

        ผีปอบเป็นผีตามความเชื่อของคนภาคอีสานของประเทศไทยตามแถบชนบท โดยอาหารของผีปอบนั้นมักเป็นของดิบๆ สดๆ และมักจะกินอาหารในปริมาณมากๆและกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม (คนที่กินอาหารคราวละมากๆและกินมูมมามมักได้ฉายาว่า “ปอบ”) ผู้ที่จะกลายเป็นปอบมักเป็นผู้ที่เล่นคาถา อาคม หรือเล่นคุณไสย พอไม่ปฏิบัติตามหรือกระทำผิดข้อห้ามที่เรียกว่า “คะลำ” หรือบางครั้งมักจะเป็นในผู้ที่มีทายาทที่เล่นคุณไสยมาก่อนและมีการคายน้ำลายใส่ปากให้ทายาท

         สำหรับยายสายนั้นเป็นหญิงชรา มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับยายระย้า สมัยสาวๆนั้น เป็นคนที่มีฐิติสูง ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร สามีของยายสายเป็นคนเจ้าชู้มาก และชอบพอกับผู้หญิงหลายคน ยายสายต้องการดึงสามีไว้กับตัวเอง ยายสายจึงไปหาหมอเสน่ห์ที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง หมอเสน่ห์แนะนำให้ปฏิบัติตัวหลายข้อ แต่แล้วยายสายก็ทำไม่ได้ ต่อมาสามีตายจากด้วยโรคชราเพราะยายสายมีสามีที่แก่กว่าตั้งหลายปี คนเกือบทั้งหมู่บ้านจึงตั้งฉายายายสายว่า “ผีปอบยายสาย” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

        เสียงของหมาตาแก้วมีชื่อว่าไอ้ดำ เห่าดังไปทั่วบริเวณบ้าน “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” แสดงให้เห็นว่ามีคนแปลกหน้า หรือศัตรูก้าวก่ายเข้ามาในบริเวณบ้าน ยายสายตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน “ตาแก้ว ยายระย้า” ตาแก้วเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับส่งเสียงเป็นภาษาเขมร “โช๊ปๆ อา คเมา” แปลว่า ให้หมาหยุดเห่าได้แล้ว หลังจากนั้นใอ้ดำก็กระดิกหางไปมา เดินวนรอบๆ ตาแก้ว แสดงว่าผู้ที่มาเยือนบ้านไม่ใช่ศัตรูหากแต่ว่าเป็นมิตรกับเจ้านายของมันนั่นเอง

       “ยายระย้า เอาปลาร้ามาให้ยายสายด้วย” ตาแก้วส่งเสียงเรียกภรรยา  ด้วยน้ำเสียงที่ดังเพราะเริ่มหูตึงกันทั้งคู่แล้วนั่นเอง ยายระย้าหิ้วปี๊บปลาร้าลงมาจากบ้าน พร้อมทักทายยายสาย และนั่งคุยกันสักพักยายสายจึงขอตัวกลับบ้านพร้อมปลาร้าหนึ่งปี๊บขนาดกลางราคาหนึ่งบาท  ยายสายเดินลัดเลาะตามทางเดินเล็กๆ เพื่อลัดกลับบ้าน ผ่านบ้านนั้น บ้านนี้ บ้านโน้น แต่ก็ไม่มีใครกล่าวทักทายยายสายสักคน แถมยังเรียกลูกเล็กเด็กแดงเข้าบ้านเพราะกลัวยายสาย และบอกกับลูกว่าไม่ให้อยู่ใกล้ หรือพูดคุยกับยายสาย เดี่ยวยายสายจะกินตับไตไส้พุงนั่นเอง นี่คือที่มาของยายสายอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร

      ยายสายเดินทางกลับบ้านแบบเงียบๆ หากแต่ในจิตใจของยายสายนั้นมีความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าระคนกัน มีเพียงครอบครัวของตาแก้วและยายระย้าเท่านั้นที่ยังคบหาและไปมาหาสู่กับยายสาย

     ครอบครัวที่กลัวยายสายในเวลานี้ ก็คงหนีไม่พ้นครอบครัวของทิดชมและนังพราวซึ่งกำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นเอง ยายสายทราบดีว่าจะต้องทำอย่างไร ยายสายจะเลือกเดินทางลัดเลาะเพื่อไม่ต้องการพบเจอกับนังพราวหรือหญิงท้องแก่ทั้งหลายเพราะถ้าหากว่า หญิงท้องแก่ หญิงหลังคลอดลูก แล้วแม่หรือลูกเกิดเสียชีวิตขึ้นมา  คนที่จะกลายเป็นจำเลยของสังคมก็คือผีปอบนั่นเอง เพราะว่าคนในสมัยนั้นใช้ชีวิตตามหลักของความเชื่อ เรื่องผีสาง นางไม้ ไม่ต้องถามหรอกว่าหลักวิทยาศาสตร์คืออะไร ประเด็นเรื่องของการพิสูจน์ว่าผีปอบมีอยู่จริงหรือไม่ เคยมีเรื่องเล่าอยู่ว่า

      คืนหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง เป็นช่วงฤดูฝนคนส่วนใหญ่มักออกไปไต้กบ อึ่ง เขียดหรือหาปลาหลังฝนหยุดตกใหม่ๆ  หากทิดจ้อยเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ชาญชัยไม่มีความเชื่อเรื่องผีปอบ มีคนในหมู่บ้านพูดท้าทายพนันกับทิดจ้อยว่า ถ้าไม่เชื่อว่าผีปอบมีอยู่จริง ให้เดินทางไปที่พื้นที่แห่งหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนมืด ณ เวลาค่ำคืนนั้นทิดจ้อยจึงเดินทางออกจากหมู่บ้านไปทางตอนทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เพื่อไปพิสูจน์ว่าผีปอบนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับคำท้าและพนันกันมาแล้ว ที่ตรงนั้นเป็นจอมปลวกขนาดใหญ่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นบนจอมปลวก ทั้งต้นเถาวัลย์ ปกคลุมยุ่งเหยิงเต็มไปหมด แม้เดินผ่านช่วงเวลากลางวันก็ยังดูน่ากลัวว่าจะมีสัตว์ร้าย งูพิษอาศัยอยู่ ในค่ำคืนนั้นทิศจ้อยเดินทางไปคนเดียวไม่มีพยานรู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ณ สถานที่จอมปลูกแห่งนั้น แต่เท่าที่ทราบคือว่า ในวันรุ่งขึ้นมีอาการ จับไข้ หนาวสั่น และกลายเป็นเหมือนคนที่เป็นโรคประสาทเหมือนได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้าย ณ จอมปลวกอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวแห่งนั้น

        ต่อมาอีกไม่กี่เดือนทิดจ้อยเสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคนในหมู่บ้านเกิดความกลัวจอมปลอกที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุม ร่วมกับต้นเถาวัลย์ที่ระเกะระกะและกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อๆ กันมา

       ในเวลาพลบค่ำ นังพราวรีบเก็บผ้าถุงหรือผ้าขาวม้าที่ตากไว้เข้าบ้าน เพราะคนแก่เล่าสืบทอดกันมาว่า หากบ้านใหนมีหญิงท้องแก่หรือหญิงคลอดบุตรใหม่ๆ ห้ามตากผ้าทิ้งไว้ในช่วงเวลากลางคืนเพราะหากผีปอบเดินทางผ่านมาหลังกินอาหารเสร็จ ผีปอบจะใช้ผ้าเช็ดปากที่ตากอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นลางร้ายต่อหญิงท้องแก่และหญิงแม่ลูกอ่อนให้นมบุตร

         “นังพราวรีบเข้าบ้านเถอะ มืดค่ำแล้ว” เสียงพ่อของนังพราวร้องบอกลูกสาว เนื่องจากคนในชนบทและหมูบ้านที่ห่างไกลจากความเจริญไม่มีทีวี อินเตอร์เน็ต เมื่อแสงอาทิตย์ตกดินก็มักจะรีบเข้านอนแล้ว “ทิดชมพรุ่งนี้ไปรับยายระย้ามาที่บ้านด้วยละ” ทิดชมรับปากพ่อตาและรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ  ค่ำคืนนั้นฝนตกหนักและลมแรงเนื่องจากเป็นช่วงฝนตกหลงฤดูกาล และเป็นฝนตกในครั้งแรกของปี หลังฝนหยุดแล้วเป็นเวลาเที่ยงคืนเสียงกบ เขียด และอึ่งอ่างร้องระงมไปทั่วบริเวณ ทิดชมจึงออกไปไต้อึ่ง กบ เขียด ในเวลาค่ำคืนนั้นคนเดียว ท่ามกลางความเป็นห่วงและกังวลของนังพราวที่ทิดชมออกจากบ้านไปหากบ หาเขียด หาอึ่งในเวลากลางค่ำ กลางคืน ติดตามตอนต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในค่ำคืนที่ออกไปหากบ หาเขียด และหาอึ่ง

หากชื่นชอบบทความแนว ชีวิตคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ เพื่อให้เพื่อนได้อ่านกันคะ

แชร์ให้เพื่อน