แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว

ตอน ทางสามแพร่ง

        “ทางสามแพร่ง” เป็นความเชื่อของคนเซราะกราวที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยของที่พักอาศัย จัดเป็นสิ่งที่อัปมงคลและ เป็นที่ชุมนุมของดวงวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือสัมภเวสีต่างๆ ที่ให้โทษแก่คนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากคนซราะกราวนั้นเมื่อมีคนตายในหมู่บ้านเกิดขึ้น ณ วันที่แบกหามศพไปเผาที่วัด เมื่อผ่านทางสามแพร่งคนที่ทำพิธีเผาศพประกอบด้วยหมอผีและบริวารของหมอผีทั้งสี่จะเอาหม้อดินใส่ข้าวสารอาหารแห้งพริกเกลือให้เต็มหม้อและตีให้แตกเพื่อให้ผู้ตายเดินทางมาถึงทางสามแพร่งแล้วต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินทางไปทางซ้ายหรือขวาหากว่าผีตนใดไม่เลือกทางเดินก็จะไม่ได้ไปผุดไปเกิดกลายเป็นดวงวิญญาณ ภูตผีปีศาจหรือสัมภเวสีที่อยู่ตรงทางสามแพร่งนั่นเอง ส่วนตามหลักฮวงจุ้ยนั้นทางสามแพร่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่ดี ผู้คนที่อยู่ในบ้านบริเวณทางสามแพร่งจะไม่มีความสงบสุข แต่หลักฮวงจุ้ยสามารถช่วยบรรเทาเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีได้โดยการติดตั้งกระจก การปลูกต้นไม้ใหญ่ การสร้างรั้วให้สูงขึ้น เป็นต้น

     ตามหลักวิทยาศาสตร์ ทิศทางลมและฝนจะพัดมายังบ้านที่อยู่ในทางสามแพร่งโดยตรง หรือถ้ารถขับผ่านจะมีแสงไฟจากรถสะท้อนเข้าบ้านตลอดเวลา เนื่องจากอยู่ตรงตำแหน่งจุดตัดหรือทางแยก และอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนเข้ามาในบ้านด้วย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการพักผ่อนเพราะจะทำให้กระวนกระวายใจทั้งตื่นและหลับ  แต่อย่างไรก็ตาม บ้านตรงทางสามแพร่งจะเหมาะเป็นที่ตั้งของธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ซึ่งทำให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นชัด เป็นต้น

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากทิดชมเดินทางกลับบ้านจากการแก้โดนของและสะเดาะเคราะห์ เมื่อผ่านสวนหม่อนได้ยินเสียงกระพรวนดังและเมื่อเปิดประตูบ้านถึงกับตกใจเหตุการณ์ที่เห็น

       “นางพราว เมียรักของข้า” ทิดชมร้องตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน เมื่อเห็นนางพราว นอนสลบไสลอยู่กลางบ้าน พร้อมเขย่าตัวเบาๆ “นางพราวเองเป็นอะไรไป” ทิดชมร้องเรียก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากภรรยาสาวท้องแก่แต่อย่างใด นางพราวหายใจสม่ำเสมอ แต่กลับเรียกไม่รู้สึกตัว เนื้อตัวร้อนจี๋  ทิดชมรีบก้าวลงบันไดบ้านพร้อมตะโกนร้องเรียกพ่อตาเสียงดังลั่น ท่ามกลางเวลากลางคืนซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง “พ่อคล้าย นางพราวเป็นอะไรไม่รู้” ตาคล้ายเป็นหม้ายตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตอยู่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวประมาณ 3 ปี ต่อมาได้พบรักใหม่กับยายจีนมีลูกด้วยกันสามคน แต่ละคนแยกไปมีครอบครัวหมดแล้ว ยายจีนสมัยเป็นสาวหน้าตาสะสวย แต่ยายจีนนั้นเป็นหญิงที่มีความอิจฉาริษยา ตอนนางพราวยังเป็นเด็กยายจีนจิกหัวใช้นางพราวทุกรูปแบบ ลูกทั้งสามของยายจีนอยู่สุขสบาย ยายจีนเกิดในครอบครั้วคนเลี้ยงช้างมาก่อนมีฐานะร่ำรวยในหมู่บ้านเซราะกราว “ตาคล้ายเปิดประตูบ้านดังเอียด พร้อมกับก้าวลงบันไดบ้านโดยมียายจีนเดินตามมาติดๆ แสดงสีหน้าเป็นห่วงนางพราวจากใจจริง “นางพราวเองอย่าเป็นอะไรไปนะ” ยายจีนเอ่ยขึ้นเบาๆ” รู้สึกสงสารนางพราวและหลานในท้องขึ้นมาจับใจ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตาเบาๆโดยหวังว่านางพราวจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นผล “ทิดชมรีบไปตามตาแก้วมาเร็ว” ตาคล้ายบอกลูกเขยวัยหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตำหนิที่ปล่อยให้นางพราวอยู่บ้านคนเดียวในเวลากลางคืนของวันพระจันทร์เต็มดวง ทิดชมมีสีหน้ารู้สึกผิด รีบก้าวเดินตามหลังเจ้าด่างมุ่งหน้าไปบ้านตาแก้วด้วยสีหน้าเศร้าหมองระคนกัน พร้อมกับรำพึงรำพันเบาๆ “นางพราว เองและลูกในท้องต้องปลอดภัย ข้าจะไม่ยอมให้เองเป็นอะไรไปเด็ดขาด” ระหว่างทางเดินไปบ้านตาแก้วได้ยินเสียงหมาเห่าและหอนเป็นระยะ และเสียงไก่ขันดังเป็นช่วงๆ รับกันอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเวลาไกล้รุ่งเช้าเข้ามาทุกขณะ “ตาแก้ว ยายระย้าย” ทิดชมตะโดนเรียกตาแก้วแข่งกับเสียงไอ้ดำที่เห่าไม่หยุดเช่นกัน ตาแก้วเปิดประตูบ้านพร้อมตะโกนปรามหมาให้หยุดเห่า”ช๊บ ช๊บ อา คเมา” ไอ้ดำเงียบเสียงลงทันที เหมือนเสียงตาแก้วนั้นมีพลังสงบความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบตัว “มีอะไรรึทิดชม” ตาแก้วร้องถามจากหน้าประตูบ้านโดยมียายระย้าเดินมายืนข้างๆแบบงัวเงีย “นางพราวเป็นอะไรไม่รู้ตาแก้ว ตอนนี้นอนสลบอยู่ เรียกยังงัยก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา ตัวร้อนจี๋เลย” ตาแก้วรีบคว้าผ้าขาวสีหม่นที่แสดงถึงเวลาการใช้งานผ่านมาหลายปีแล้ว เดินตามทิดชมและไอ้ด่างมุ่งหน้าไปบ้านทิดชมทันที  ตาคล้าย ยายจีนนั่งบีบนวดนางพราวเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง “นางพราวเดินทางไปไหนบ้างไหมเมื่อวานนี้”ตาแก้วเอ่ยถาม พร้อมกับแกะห่อผ้ายาสมุนไพรออก หยิบเศษไม้ออกมาสามชิ้นฝนเข้ากับก้อนหินเบาๆประมาณ 9 ครั้งพร้อมสวดคาถาในลำคอเบาๆฟังไม่ได้ศัพท์ “นางพราวเดินไปเก็บยอดขี้เหล็กมาแกงเมื่อเย็นวานนี้กับข้า” ยายจีนเอ่ยขึ้น “เดินผ่านเส้นทางสามแพร่งใช่ไหม” ตาแก้วเอ่ยถามขึ้น “ใช่ ใช่” ยายจีนตอบพร้อมกับแสดงสีหน้าสำนึกผิด “งั้นเอาน้ำมนต์นี่เช็ดตัวให้นางพราวไปก่อน” ตามแก้วเอ่ยบอกยายจีนพร้อมกับหันหน้าไปสั่งทิดชม “เองเอาม้าแคระของข้าไปรับตัวยายจันทร์มาที่บ้าน” ยายจันทร์เป็นน้องสาวแท้ๆของยายจีนเป็นร่างทรง หากใครเจ็บไข้ ได้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุมักจะเข้าทรงเพื่อต้องการทราบว่าการเจ็บป่วยครั้งนี้เกิดจากอะไรโดยใช้ร่างทรงเป็นสื่อกลางระหว่างดวงวิญญาณต่างๆ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหมือนหนึ่งวันสำหรับการเฝ้ารอร่างทรง ทิดชมเดินทางมาพร้อมยายจันทร์ผู้ที่เป็นร่างทรงพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ในการเข้าทรง ก่อน
การเริ่มพิธีกรรมนั้นร่างทรงคือยายจันทร์ และทิดชมจะเป็นผู้ที่จะเข้าร่วมประกอบพิธีการเข้าทรง โดยจะมีการสวดมนต์ นมัสการพระรัตนตรัย บทชุมนุมเทวดา บทเจริญคุณ พระคาถายอดพระกัณไตรปิฎก พระคาถาชินบัญชร
พาหุงมหากาล มงคลจักรวาล เป็นต้น ซึ่งบทสวดเหล่านี้บรรดาร่างทรงที่มีการประกอบพิธีกรรมได้
นำมาประยุกต์ใช้ในการประกอบพิธีรองลงมาคือ ทำบุญให้ทานตามโอกาสต่าง ๆร่างทรงที่มีความเชื่อ
ด้านอื่น ๆ คือ พิธีกรรมไหว้ครูประจาปี รองลงมาคือ การรักษาโรค การถอนคุณไสย การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ การต่อดวงชะตา เหตุผลในการเข้าทรงต้องการกำลังใจอีกทางหนึ่งหรืออาจจะมีความเชื่อในพิธีกรรมการเข้าทรงเป็นต้น

       เสียงเพลงบรรเลงดังขึ้นประกอบด้วยเสียงกลอง เสียงซอ ยายจันทร์เป็นร่างทรงร่วมกับทิดชมเป็นผู้เข้าร่วมประกอบร่างทรงในการทำพิธีครั้งนี้  ยายจันทร์ส่งเสียงดังขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นอย่างดัง “นางพราวมันเดินเหยียบลูกหลานและบริวารของข้า มันต้องรับผิดชอบในการกระทำครั้งนี้” เสียงยายจีนเอ่ยขึ้น “ลูกหลานข้าทำผิดไปแล้ว แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเพื่อเป็นการไถ่โทษในครั้งนี้” ยายจีนพูดขึ้นด้วยเสียงที่รู้สึกผิด “ลูกหลานของข้าอยากกินน้ำแดงและไก่ต้ม ปลาย่าง กบย่างพร้อมขนมวง ขนมรา และเหล้าขาวหนึ่งจอก” ยายจันทร์เอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นชี้ไปที่ทางสามแพร่ง “มันลบหลู่ข้าและบริวารของข้า” ทิดชมร้องไห้ขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับลุกขึ้นยืนขึ้นและล้มลงหมดสติไป ตาแก้วช่วยบีบนวดทิดชมให้ฟื้นขึ้นมา หลังจากรู้สึกตัวทิดชมแสดงสีหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตน

     ยายระย้ารีบบอกให้แม่ครัวช่วยเตรียมอาหารที่จะต้องประกอบพิธีกรรมในการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณในครั้งนี้ที่ทางสามแพร่ง หลังจากเตรียมของเรียบร้อยแล้ว ทุกคนไปรวมตัวกันที่ทางสามแพร่ง “เอาอาหารทั้งหลาย ขนมหวานวางไว้ตรงนี้ วางหมากพลู” เสียงยายจันทร์พูดขึ้น หลังจากนั้นจะมีหมอผีเรียกดวงวิญญาณให้มากินอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้โดยเรียกมาสามครั้ง “โมเวย ตาแยย โมประสา มลู ศลา ศรา บาย แดล โกน เจา ยัว โม ทวาย” หมายความว่าให้ผีปู่ย่า ตายายมากินอาหารที่ลูกหลานได้นำมาเซ่นไหว้ในครั้งนี้ หลังจบพิธีกรรมแล้วถือว่าเสร็จสิ้นการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของคนเซราะกราวที่ทางสามแพร่งนั่นเอง “นังพราวเองเป็นยังงัยบ้าง”ยายระย้าเขย่าตัวนางระย้าอีกครั้งเพื่อปลุกให้ตื่น นางพราวค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าเป็นอะไรไปยายระย้า ทำไมที่บ้านข้ามีคนเยอะแยะไปหมด” นางพราวถามขึ้น ยายระย้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นางพราวฟังทั้งหมด ทันใดนั้นเอง นางพราวรู้สึกปวดท้องแข็งขึ้นเป็นระยะ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป หากท่านชอบเรื่องสั้นแนวคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์และกดซับสไคร้เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนมือใหม่นามปากกา Rommyrom ขอบคุณคะ

แชร์ให้เพื่อน