เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน ไถงส่องฟ้า ณ.กรุงมะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน ไถงส่องฟ้า ณ.กรุงมะนิลา

         (ไถงเป็นคำภาษาเขมรแปลว่าดวงอาทิตย์) กรุงมะนิลาเป็นเมืองหลวง ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ใน มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยหมู่เกาะมากมาย 7,000 กว่าเกาะ และเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์มีชื่อว่า “กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนแห่งไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น และมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากเตรียมข้าวของเพื่อเดินเข้าสู่กรุงมะนิลา ทั้งสามคนแม่ลูกมาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย

        เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กๆ นอนตื่นสายมากกว่าปกติเนื่องจากเหนื่อยจากการเดินทางและวันเวลาของกรุงมะนิลานั้นเร็วกว่าเมืองไทยหนึ่งชั่วโมง  “พี่ๆตื่นได้แล้ว มาดูบรรยากาศหลังห้องกัน” เด็กหญิงวัยเรียนประถมผู้ที่เป็นน้องวิ่งมายืนที่ระเบียงหลังห้อง มองออกไปนอกระเบียงบ้านพัก เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะมองดูร่มรื่นสบายตา มีผู้คนวิ่งออกกำลังกาย พร้อมกับถามขึ้นว่า “ตอนนี้เราอยู่ที่ใหนกันคะแม่” แม่ได้ยินดังนั้น จึงรีบให้ข้อมูลทันที “ตอนนี้เราอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นประเทศหมู่เกาะ มีเมืองหลวงชื่อว่า “กรุงมะนิลา” ที่เราพักอาศัยอยู่ในขณะนี้ เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วัฒนธรรม การศึกษา และการท่องเที่ยวของประเทศ ถือเป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญที่สุดของฟิลิปปินส์ มีประชากรมากกว่า 13 ล้านคน รวมกันอยู่หลากหลายเชื้อชาติ และด้วยความที่ฟิลิปปินส์เคยถูกปกครองโดยสเปนและสหรัฐอเมริกายาวนานกว่า 400 ปี ทำให้สถาปัตยกรรม อาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ยังคงมีกลิ่นอายของColonialอันเก่าแก่ราวกับอยู่ในยุโรป แต่ก็เต็มไปด้วยความทันสมัยของตึกสูงระฟ้าและความมีชีวิตชีวาของผู้คน ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับเมืองมะนิลาได้อย่างดี และยังเป็นสวรรค์ของคนที่รักการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีร้านอาหารหลากหลายชาติ และมีความบันเทิงมากมาย มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า และมีของที่ระลึกมากมาย” และยังมีอาหารและขนมรสชาติแปลกๆอีกด้วย” แม่เล่ายาวเหยียด พร้อมกับยืนมองถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ และจอดอยู่เรียงรายริมถนนที่ติดอยู่กับสวนสาธารณะเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีตลาดขายอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปมากมายให้เลือกซื้อ

          “วันนี้เราจะไปเดิน Sunday Market กันนะคะ” แม่พูดขึ้นพร้อมกับบอกเด็กๆให้ไปอาบน้ำแต่งตัว พร้อมทั้งแนะนำการเปิดปิดไฟและอุปกรณ์ของใช้ในห้องนอนและในบ้านเช่น การเปิดปิดทีวี การเปิดปิดแอร์ การกดลิฟท์ขึ้นลง การเปิดประตูทางออกนอกตึก “Good morning” เสียงยามรักษาความปลอดภัยของตึกกล่าวทักทาย แต่เด็กวัยประถมสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรแค่หันมามองหน้าแม่แล้วยิ้มให้(เนื่องจากยังพูดภาษอังกฤษไม่ได้นั่นเอง) เมื่อเดินออกไปที่ถนนใหญ่ทางแยกหรือทางข้ามถนนจะมีทางม้าลายและมีปุ่มกด รอสัญญาณให้ข้ามถนนก่อนแล้วค่อยข้ามโดยสัญญาณรูปมือสีแดงคือห้ามเดินข้ามหากเป็นรูปคนเดินสีขาวและสีเขียวสามารถเดินข้ามถนนได้ เดินต่อมาซักพักถึงสวนสาธารณะที่หนึ่ง พี่สาวถามแม่ขึ้น “แม่คะนี่คือสวนอะไรคะ” แม่รีบอธิบาย “นี่คือ Washington Sycip Park และนั่นคือ Legaspi Park” พร้อมกับชี้ไปที่สวนสาธารณะ “แล้วสวนสาธารณะ เค้ามาทำอะไรกันบ้างคะแม่” น้องสาวเอ่ยถามบ้าง ด้วยความอยากรู้ “งั้นเราเข้าไปดูกันคะว่าเค้ามาทำอะไรกันบ้าง” สามคนแม่ลูกพากันเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ มีคนมาออกกำลังกาย บางคนก็เดิน บางคนก็วิ่ง บางคนก็เต้นแอโรบิค บางคนก็เล่นโยคะ บางคนก็พาสุนัขมาเดินเล่น บางคนก็มานั่งคุยกัน บางกลุ่มก็มานั่งเป็นกลุ่มนั่งกินอาหารร่วมกัน บางคนก็เข็นลูกหลานมาเดินเล่นเพื่อออกกำลังกาย “แม่คะเราไปตรงโน้นดีกว่าคะ” น้องสาวเหลือบตามองเห็นสนามเด็กเล่นแต่ไกล พร้อมกับรีบวิ่งจะข้ามถนนไปอีกสวนสาธารณะอีกที่หนึ่ง เสียงรถยนต์เบรกดัง เอี๊ยด พร้อมกับแม่รีบตะโกนบอกอย่าเพิ่งข้ามถนน รอสัญญาณไฟก่อน ดีที่สัญญาณไฟข้ามถนนปรากฏขึ้นเป็นรูปคนเดินสีขาวแสดงว่าข้ามถนนได้พอดี แม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกในใจได้เวลาต้องสอนการใช้ชีวิตในเมืองอย่างจริงจังเสียที

      ณ สนามเด็กเล่นจะมีเด็กๆออกมาเล่นปีนป่าย วิ่งเล่น มีสไลเดอร์เล่นอย่างสนุกสนาน ขณะที่สองพี่น้องยังสื่อสารกับคนอื่นยังไม่รู้เรื่องเพราะพูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้ ขณะที่น้องสาวก็พยายามใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารนั่นเองเพราะตามพัฒนาการของเด็กแล้วการเล่นด้วยกันแม้ว่าจะใช้ภาษาพูดยังไม่ได้แต่เด็กจะมีทักษะในการสังเกตุและเข้าใจภาษากายโดยใช้สัญชาตญาณในวัยเด็กนั่นเอง “แม่คะ หนูอยากเล่นสไลเดอร์ตรงนั้น” น้องสาวพูดเสร็จพร้อมกับรีบวิ่งไปเล่นโดยไม่รอคำตอบว่าแม่อนุญาตหรือไม่ ในสวนสาธารณะจะมีเจ้าของจูงสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเย็น การเลี้ยงสัตว์และเจ้าของพาสัตว์ไปเดินเล่นทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง “ทรามวัยกับไอ้ด่าง (One Hundred and One Dalmatians)” เริ่มเรื่องโดยเจ้าของพาสุนัขไปเดินเล่นและสุนัขมีความชอบพอกันต่อมาเจ้าของสุนัขได้มาใช้ชีวิตด้วยกัน แต่เนื้อเรื่องของหนังเน้นที่สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวและลูกๆทั้งสิบห้าตัวที่โดนเศรษฐินีใจโหดลักพาต้วลูกหมาไปขังไว้ หลังจากนั้นเป็นการทำภารกิจระทึกใจของสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆในการช่วยชีวิตลูกสุนัขผู้กล้าหาญให้รอดพ้นจากนางมารร้ายใจโหดนั่นเอง นับเป็นหนังที่น้องสาวชื่นชอบเป็นพิเศษโดยดูเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

      หลังจากเล่นที่สนามเด็กเล่นได้พักใหญ่ๆ “เด็กๆ เราไปเดินซื้ออาหารกินที่ Sunday Market คะ” เสียงแม่เรียกเด็กวัยประถมทั้งสองคนเพื่อไปหาซื้ออาหารการกิน ที่ตลาด Sunday Market ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั่นเอง ในตลาด Suday Market นั้นมีอาหารขายหลากหลายชนิด ทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ เสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ อาหารสำเร็จรูปมีทั้งอาหารไทย (ผัดไทยกุ้งเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ ราคาก็ค่อนข้างแพงเหมือนกัน) อาหารอินเดีย (ปานีปุรีเป็นของว่างทานเล่นจากอินเดีย ซึ่งชื่อ ” Pani Puri ” จะเป็นชื่อเรียกของทางใต้ของอินเดีย แต่ถ้าทางเหนือจะเรียกว่า “Golgappe” และความหมายของชื่อจะแยกออกเป็น 2 อย่างคือ ปูรี หมายถึง แป้งสาลีทอดกรอบ ที่เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งมีลักษณะกลมพองและข้างในกลวง มักทานคู่กับเครื่องเคียงคือ มันฝรั่งต้ม หัวหอม ถั่วลูกไก่ และ ปานี หมายถึง น้ำ ที่นำไว้ตักใส่ในตัวแป้งทอดกรอบที่พองกลวง ซึ่งจะมีรสเปรี้ยว เผ็ดนิดหน่อย เค็ม และมัน ในตอนท้ายจะมีกลิ่นหอมใบยี่หร่า รับรองว่าอร่อยถูกใจแน่นอน ) อาหารตุรกี (เมนูแป้งห่อเนื้อสัตว์ต่างๆ มีให้เลือกทั้ง ไก่  แกะ หรือเนื้อวัว พร้อมผักสลัด จะทานกับมันบด เฟรนช์ฟรายส์ หรือทานเดี่ยวๆ ก็ได้ค่ะ เป็นอาหารที่อร่อยได้ง่ายๆ ออกแนวเป็นฟาสฟู้ดของเค้าเลย)  อาหารมื้อเช้าของชาวฟิลิปปินส์(อาหารเช้าแบบพื้นเมืองในฟิลิปปินส์ได้แก่ ปันเดซิล (ขนมปังม้วนขนาดเล็ก) เกซอง ปูตี (ชีสขาว) ชัมโปราโด (โจ๊กข้าว) ซีนางัก (ข้าวผัดกระเทียม) และเนื้อสัตว์ ปลา และไข่เค็ม กาแฟ เป็นที่นิยมดื่มเช่นกัน รูปแบบการกินอาหารเป็นสำรับทำให้กลายเป็นชื่อเรียกอาหารเช้าในฟิลิปปินส์นั่นเอง) หลังจากเลือกซื้ออาหารและน้ำได้เรียบร้อยแล้ว “แม่คะเราไปนั่งกินอาหารในสวนสาธารณะกันคะ” น้องสาวเอ่ยขึ้น เนื่องจากสังเกตเห็นคนอื่นๆ นั่งกินอาหารในสวนสาธารณะกัน วันนั้นกินอาหารต่างชาติด้วยความผะอืดผอมสุดขีด สุดท้ายพี่สาวรีบเอ่ยขึ้น “แม่คะหนูว่าเรากลับบ้านไปตำส้มตำกินกันดีกว่า กินอาหารนี่แล้วมันเวียนหัว” ในวันนั้นจบลงด้วยส้มตำรสจัดจ้านกินกับเส้นขนมจีนนั่นเอง เรารอติดตามกันตอนต่อไปว่า อาการเวียนหัวนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากอาหารการกินหรือเป็นจากสาเหตุอื่นหรือไม่เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์นั้นมีแผ่นดินไหวอยู่บ่อยๆ นั่นเอง

แชร์ให้เพื่อน