เรื่องสั้น หลานสาวจอมซ่าส์​ กะป้าขี้วีน

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น หลานสาวจอมซ่าส์​ กะป้าขี้วีน
ตอน บทนำ

      เรื่องสั้น”หลานสาวจอมซ่าส์​กับป้าขี้วีน” เป็นเรื่องราวระหว่างหลานสาวสองคนวัยเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่เริ่มมีอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น(หนูอยากเป็นสาวแล้ว)​ หากแต่ว่าฟันน้ำนมยังหักไม่หมดและฟันแท้ด้านหน้าก็ยังขึ้นไม่ครบจึงมีฟันหน้าค่อนข้างใหญ่เกเรซ้าย เกเรขวาจนได้รับฉายาจากรุ่นพี่ที่โรงเรียนว่า บันนี่เกิร์ล หรือ” เด็กหญิงฟันกระต่าย” นั่นเอง แต่เมื่อมองกลับไปที่รุ่นพี่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ก็ฟันกระต่ายทั้งคู่นั่นแหละ บันนี่เกิร์ลจะมีความแสบเฉพาะตัว คบเพื่อนรุ่นพี่เนื่องจากชอบทำตัวเป็นสาวก่อนวัย บันนี่และพี่สาวเรียนหนังสือโรงเรียนสตรีล้วนแต่ก็ไม่วายพูดถึงแฟนเก่าวัยอนุบาลอยู่เรื่อยๆ ชอบออดอ้อนเอาใจเก่งเมื่อต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยยกแม่น้ำทั้งห้าจนทำให้ป้าขี้วีนถึงกับใจอ่อนทุกครั้งไป บันนี่มีพี่สาวอายุห่างกันปีครึ่งแต่บันนี่ตัวเล็กกว่าพี่สาวมากจึงโดนพี่สาวแกล้งอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง อย่าว่าแต่พี่สาวแกล้งเลย บันนี่เองนี่ก็ไม่เบาถึงตัวเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนั่นแหละ  ส่วนป้าขี้วีนนี่ก็เป็นฉายาป้าที่มีอายุอานามเข้าสู่วัยทองโดยสมบูรณ์แบบ​ โสดตลอดกาล ไม่เคยมีครอบครัวหรือมีประสบการณ์​ในการเลี้ยงเด็กมาก่อนแต่ป้าขี้วีนก็พอมีความรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กอยู่บ้างแหละ แต่การใช้ความรู้กับการเลี้ยงดูในชีวิตจริงก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์​ เรื่องราวและเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเมื่อหลานสาวจอมซ่าส์​กับป้าขี้วีนต้องมาเจอกัน และใช้ชีวิตร่วมกัน มีทั้งเรื่องราวที่ตลกขบขัน บางครั้งก็มีดราม่า เสียน้ำตากันบ้าง ป้าขี้วีนมักจะพาเด็กๆไปรับส่งที่โรงเรียน พาไปเดินเล่น พาไปออกกำลังกาย  ว่ายน้ำ  สอนหนังสือ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อีก มากมาย รบกวนติดตามชมในตอนต่อๆไปได้เลยนะคะ

ตอน. เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณ​วันจากลา

     เอ้กอีเอ้ก เอ้ก!!เอ้กอีเอ้ก เอ้ก!! เสียงไก่ขันดังขึ้นตอนเวลาเช้าตรู่ของวันสุดท้ายในกรุงมะนิลาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ เข้ามาในโสตประสาท​ของห้วงเวลาแห่งการหลับลึก คล้ายกับกำลังฝันว่านอนอยู่ที่บ้านในชนบทแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลแหล่งความเจริญ มักจะมีเสียงไก่ตัวผู้ขันรับกันเป็นระยะ​เพื่อเป็นสัญญานแจ้งเตือนเรื่องเวลา เริ่มตั้งแต่ประมาณเที่ยงคืนเศษ ป้าขี้วีนลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเอามือขยี้ตาเบาๆ มองภายในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเล็กๆอยู่ปลายเตียงนอนที่หลานสาวจอมซ่าส์​เปิดทิ้งไว้ทุกคืนเพราะกลัวความมืด “อ้าวเราไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านนี่นา แล้วเสียงไก่ขันที่ไหนกัน” ป้าขี้วีนคิดในใจ หลานสาวจอมแสบเอื้อมมือไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก​ที่วางไว้ข้างเตียงนอน แล้วพูดเสียงเบาๆ ฟังไม่ได้ศัพท์​ “อ๋อ เรานอนอยู่ที่กรุงมะนิลานี่เอง” ป้าขี้วีนเดินทางมาเยี่ยมหลานสาวเป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษ แต่เนื่องจากหลานๆ ยังไม่อยากให้กลับเลยขยายวีซ่า​เพื่ออยู่ต่ออีกหนึ่งเดือนนั่นเอง สรุปแล้วรวมๆก็ได้อยู่อาศัยที่กรุงมะนิลาร่วมสองเดือนเศษ
ป้าขี้วีนรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน พร้อมกับหยิบผ้าแพรห่มให้หลานสาว​จอมซ่าส์​ที่นอนขวางเตียงอยู่ “ถึงกำหนดต้องเดินทางกลับบ้านแล้วหรือนี่ ทำไมเร็วจังนะ” ป้าขี้วีนรำพึงรำพัน​เบาๆ เดินไปมองที่หน้าต่างกระจกเห็นตึกสูงสองสามตึกเรียงรายมีแสงไฟสว่างไสว ที่สวนสาธารณะ​มีพ่อค้า แม่ค้ากำลังเตรียมของเพื่อขายในวันรุ่งขึ้นเนื่องจากเป็นตลาดนัดขายอาหารสด อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป รวมถึงของใช้จิปาถะ มีทุกๆวันอาทิตย์ เสียงรถยนต์​ดังสลับกับเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ วันนี้เราต้องไปร่ำลาสวนสาธารณะ​ซักหน่อยนะ พร้อมกับรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมใส่ชุดออกกำลังกาย ล้างหน้า แปรงฟัน ใส่รองเท้าผ้าใบที่ชื่นชอบ เปิดประตู​เดินออกจากห้องนอนผ่านห้องครัวเห็นน้องสาวแม่ของหลานสาวจอมซ่าส์​กำลังสาละวน​กับการตีแป้งทำขนมปังเพื่อเป็นของฝากกลับเมืองไทยนั่นเอง “จะเอาอะไรไหม เดี่ยวเราจะไปเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะประมาณ​ครึ่งชั่วโมง” ป้าขี้วีนเอ่ยถาม “งั้นฝากซื้อนมจืดในร้านจีนหรือที่เซเว่นอีเลฟเว่นมาหนึ่งกล่องนะจะมาทำขนมปังเป็นของฝาก รีบไปแล้วรีบกลับนะเพราะต้องออกจากบ้าน 11.00 น.เพื่อไปสนามบิน เครื่องบิน​ออก 12.55 น.” ป้าขี้วีนลงจากห้องเดินผ่านพนักงานยิ้มกล่าวทักทายตามมารยาท​เป็นภาษาอังกฤษ​ มุ่งหน้าไปที่สวนสาธารณะ​ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันกับไปซื้อนมกล่องนั่นเอง
     วันนี้บรรยากาศ​ที่สวนสาธารณะ​มีคนออกมาวิ่ง เดิน เล่นโยคะ เต้นแอโรบิก ออกกำลังกายกันหนาตากว่าวันธรรมดา​เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์​ และมีตลาดขายอาหารวันอาทิตย์​ด้วย อากาศ​สดชื่นหลังฝนตกเมื่อคืนนี้ช่วยชะล้างฝุ่นละอองออกไป ต้นไม้ดูเขียวขจีทั่วบริเวณ​สวนสาธารณะ​แห่งนี้ป้าขี้วีนรีบเดินไปที่น้ำพุภายในสวนสาธารณะ​ที่มีปลาหลากหลายสีแหวกว่ายน้ำเล่นอยู่ ป้าขี้วีนหยิบเหรียญ​หนึ่งเปโซ​ออกมาจากกระเป๋าจำนวนสองเหรียญ​พร้อมกับอธิฐานขอพรขอให้มีสุขภาพ​ร่างกายแข็งแรง มีความสุข เดินทางกลับบ้าน​ปลอดภัย มีความเจริญรุ่งเรือง​ในชีวิต นี่ขนาดป้าไม่ค่อยเป็นคนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์​เท่าไหร่นัก แต่เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ คิดเข้าข้างตัวเอง พร้อมกับโยนเหรียญ​ที่หนึ่งไปตรงตำแหน่งของน้ำพุพอดี และอีกเหรียญ​หนึ่งโยนไปที่น้ำตกที่มีเต่าหินยักษ์​ตัวใหญ่ตั้งอยู่ เป็นอันว่าจบพิธีการมาขอพรแบบง่ายๆ​สไตล์ของป้าขี้วีน
    “สวัสดีคะ พามิคกี้มาเดินเล่นแต่เช้าเลยนะคะ” กล่าวทักทาย​เพื่อนคนฟิลิปปินส์​ลูกครึ่งไทย ที่อาศัยอยู่ที่นี่นานแล้ว โดยรู้จักกันผ่านหลานสาวจอมซ่าส์​นั่นเอง คนที่ฟิลิปปินส์​นิยมจูงสัตว์เลี้ยงคือสุนัข​ออกมาเดินเล่น​ในสวนสาธารณะ​ บางคนก็จูงสองสามตัวเดินตามหมาและหมาเดินตามมองดูแล้วก็มีความสุขอีกแบบตามสไตล์ของป้าจอมวีนแต่ถ้าให้เลี้ยงคงไม่ไหวเพราะเป็นโรคภูมิแพ้​กำเริบ​บ่อยๆ  ช่วงเย็นๆหลังเลิกงานจะมีกลุ่มคนเลี้ยงสุนัขพาสัตว์เลี้ยง​มาเดินเล่นเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ตอนแรกคิดว่าเข็นรถเข็น​พาลูกออกมาเดินเล่น ที่ใหนได้ เข็นลูกสุนัขทั้งนั้นเลยที่เข็นลูกจริงมีน้อยมาก ส่วนแมวเหมียวนั้นที่นี่เป็นแมวจรจัดที่อาศัยอยู่ในสวนสาธารณะ​และมีตามถนนหนทางบ้างประปราย​ใกล้ร้านขายอาหาร ประมาณ​ว่าแมวเป็นสัตว์อนุรักษ์​งั้นแหละ มีการสกรีน​รูปแมวไว้ที่ผนังห้องน้ำของสวนสาธารณะ​เลยทีเดียว รีบวิ่งออกกำลังกายได้หนึ่งรอบและเดินรอบสวนอีกหนึ่งรอบพร้อมกับเก็บภาพเพื่อเป็นความทรงจำเก็บไว้ แวะซื้อนมจืดหนึ่งกล่อง เดินเข้าตลาดขายอาหารวันอาทิตย์​ซื้อปานีปูรีเป็นอาหารสตรีทฟู้ด​สุดฮิตของสัญชาติ​อินเดียประกอบด้วยแป้งทอดกลมพองมี 8 ชิ้นกร๊อบกรอบขนาดพอดีคำไส้ทำจากมันฝรั่ง หัวหอมใหญ่ ถัวลูกไก่ ราดด้วยน้ำชัทนีย์​รสชาติเปรี้ยวจากน้ำมะขาม เผ็ดจากเครื่องเทศ​กินแล้วรสชาติขึ้นจมูกดีแท้ จามแล้วจามอีก “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ้ง” เสียงโทรศัพท์​ดังขึ้น ปลายสายคือหลานสาวจอมซ่าส์​นั่นเอง “หนูขอไอศรีม รสมะนิลาอย่างเดียวนะคะ ขอย้ำ รสมะนิลาอย่างเดียวคะ” ที่กินไอศกรีม​เพราะเมื่อวานเพิ่งถอนฟันออกเพิ่มอีกสองซี่รวมๆแล้วก็สี่ซี่แล้วฟันเคี้ยวไม่ค่อยมีสงสารนาง เรื่องไอศกรีม​มีตำนานเพราะว่านางสั่งรสมะนิลาอย่างเดียวแต่พ่อค้าอาจไม่ได้ยินหรืออะไรไม่ทราบตักผสมหลายรสให้นางแต่นางไม่ยอมกินเด็ดขาด ถึงกับยื่นคำขาดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวหนูจ่ายเอง แต่พอพ่อค้ายื่นไอศกรีม​ให้หันมาบอกป้าว่าจ่ายให้หนูด้วยน้า สงสัยลืมตอนโกรธกลัวต้องกินไอศกรีม​รวมมิตร ป้าขี้วีนเลยต้องกินเอง เพราะพ่อค้าก็ไม่รู้จะขายให้ใครอีก
หลังจากซื้อของในตลาดเสร็จแวะไปซื้อขนมปังร้านปันมะนิลา  เลือกขนมปังชีสกรอบๆหน่อย(Cheesestick Pesto whole) มา 2 แพ็คกินกับกาแฟ โอวัลติน​ เป็นมื้อเช้าอร่อยดี
    กลับมาถึงบ้านเห็นเด็กๆนั่งดูทีวีเรื่องทรามวัยกับไอ้ด่าง รับไอศรีมนั่งกินอย่างมีความสุข ป้ารีบเข้าครัวไปช่วยทำขนมปังและทำกับข้าว เดินออกมาอีกทีเพื่อมากินปานีปูรี แป้งกลมพองหายไปไหน ทำไมเหลือแต่ไส้กับน้ำชัทนีย์​ละ ที่ไหนได้แป้งกลมพองไปอยู่ในมือหลานจอมซ่าส์​นั่งเคี้ยวตุ้ย​ๆ ดูทีวีเพลินเลย เหลืออยู่ 3 ชิ้นรีบนำมาตักไส้ใส่เต็มและตักน้ำชัทนีย์​ราด กินทั้งลูกพอคำ ทันใดนั้นกลิ่นเครื่องเทศขึ้นจมูกจามไม่หยุด คล้ายกับสำลักน้ำชัทนีย์​ คิดในใจสงสัยเราแย่งเด็กมากินหรือเปล่า แต่เด็กจะกินแต่แป้งกรอบเล่นไม่ได้นะ
     วันนี้เมนูผัดกระเพราะไก่ใส่ถั่วฝักยาว ไข่ดาว ฝีมือป้าแต่คนปรุงเครื่องคือน้องสาวอีกตามเคย ใบกระะเพราะนี่ก็ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยเด็ดเอาแต่ใบล้างให้สะอาดลวกพอสลบน็อคน้ำเย็นปั้นเป็นก้อนๆแช่ช่องแข็งไว้กินได้เกือบหกเดือนเพราะหิ้วสัมภาระ​มาเยอะโดยเฉพาะใบกระเพราและใบโหระพานั่นเอง
    ขนมปังไส้สลัดทูน่าผักรวม รสชาติอร่อยกลมกล่อมเสียอย่างเดียวไหม้นิดหน่อยเพราะมัวแต่เถียงกันกับหลานสาวจอมซ่าส์​ให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกมาส่งป้าขี้วีนขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย เช็คอินผ่านออนไลน์​เรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้รีบมากเพราะสนามบินนินิอยอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
     หลังจากอาบน้ำเสร็จหลานสาวจอมซ่าส์​นางเลือกชุดเซ็กซี่​เสื้อแขนกุด เอวลอยโชว์สะดือ กระโปรงสั้นสีเบท เข้าชุดกับรองเท้าสีชมพูที่เป็นของขวัญจากป้าที่ทำงานในกรุงเทพซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดตอนกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยตอนคริสต์มาส​และปีใหม่ที่ผ่านมานั่นเอง ขณะที่ป้ากำลังสาละวนกับการแต่่งตัวเพื่อเดินทางอยู่นั้น เสียงแหลมปรี๊ด​ของหลานสาวจอมซ่าส์​ดังขึ้นแสบหู ขี้หูเต้นกระเด็นกระดอน “ป้าจะใส่ชุดนี้ไม่ได้นะคะ มันไม่แมตช์​ชิ่งคะ” พร้อมกับนั่งลงเลือกเสื้อผ้าดึงออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ที่ม้วนพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย “อ้าวเสื้อผ้าป้าเละเทะ​หมดแล้ว เก็บเข้าที่เดี๋ยวนี้” ป้าขี้วีน เอ็ดเสียงดัง”หนูขอโทษ” พร้อมกับหันมาชำเลืองมองตาละห้อย แสดงถึงการยอมรับผิด และพูด

ขึ้นว่า “เค้าผิดไปแล้ว แต่หนูอยากให้ป้าแต่งตัวสวย เพราะชุดนั้นมันไม่เหมาะกับป้า” ป้าเลยให้อภัยเพราะว่าวันนั้นได้แต่งตัวสวยตามใจหลานสาวจอมซ่าส์​แล้วรู้สึกว่าตัวเองสวยเป็นพิเศษ​และมั่นใจขึ้น
   หลานสาวทั้งสองช่วยกันหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระ​ที่มีทั้งหมด 5 ใบคือกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบใส่เสื้อผ้าและมีกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยอยู่ในนั้นอีกสามใบ เป้ใส่ร้องเท้าและเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักและอุปกรณ์​อาบน้ำแต่งตัวทั้งหมด กระเป๋าลากใบเล็กใส่เสื้อผ้าหนึ่งชุดพร้อมที่จะหิ้วขึ้นบนเครื่องเผื่อว่าเครื่องบินเกิดเหตุ​การณ์​ไม่สามารถลงจอดได้ต้องแวะไปลงจอดที่อื่นทำให้ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลย เพราะเมื่อน้องสาวเดินทางมาเยี่ยมคราวก่อนเจอพายุทำให้เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้  ต้องไปจอดที่สนามบินตอนใต้ของฟิลิปปินส์​รวมแล้วใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว
กระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์​พร้อมแบตเตอรี่​สำรอง และเป้สะปายข้างหน้าอีกหนึ่งใบ
    ระหว่างเดินทางไปส่งที่สนามบินหลานสาวทั้งสองดูมีความสุข ส่งสัยจะเบื่อป้าขี้วีนเต็มทนละ ร้องเพลงสนุกสนาน ไม่ร้องให้ตามเหมือนตอนน้องสาวมาเยี่ยมแล้ว เมื่อไปถึงสนามบินนินอยรีบไปจอดรถพร้อมกับหิ้วกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปที่ผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ​ อากาศ​วันนี้ก็ไม่เต็มใจเลยร้อนอบอ้าวมากเหงื่อแตกน่าดู หลานสาวเข้าไปส่งถึงบริเวณเช็คอิน​ ป้ายื่นพาสปอร์ต​พร้อมกับยื่นหลักฐานการเช็คอิน​ออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบ เจ้าหน้าที่เรียกพาสปอร์ต​ของเด็กทั้งสองแต่เราก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสำเนียงอังกฤษ​แบบตากาล็อก​ก็ทำหน้าเลอะลัก หรือบางทีนางก็พูดภาษาตากาล็อก​ใส่เราด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หลานสาวจอมซ่าส์​รีบเดินมาคุยกับเจ้าหน้าที่​สนามบินเป็นภาษาอังกฤษ​สำเนียงนางได้ดีเลยแหละ เจ้าหน้าทีถึงบางอ้อว่าหลานสองคนไม่ได้เดินทางด้วยแค่เข้ามาส่งป้านั่นเอง
     เจ้าหน้าที่เห็นเรามีกระเป๋าใบเล็กใบน้อยหอบพะรุงพะรัง​เลยอนุญาต​ให้เอาขึ้นบนเครื่องแค่2ใบคือกระเป๋าคอมพิวเตอร์​และกระเป๋าใบเล็กอีกหนึ่งใบ เนื่องจากป้ามีกระเป๋าเล็กใส่ในกระเป๋าใหญ่พอเจ้าหน้าที่ให้เอากระเป๋าใส่รวมกันโหลดใต้เครื่อง ป้าเลยดึงกระเป๋าที่มีทรัพย์สิน​มีค่าออกมาสะพาย เจ้าหน้าหันมายิ้มและพูดขึ้นว่า”อ๋อ มีใบเล็กในใบใหญ่อีกนะ” เรานี่ถึงกับเขินเลย จริงๆแล้วกระเป๋าใบนี้น้องสาวให้มา เพราะหลานจอมซ่าส์​เค้าเห็นกระเป๋าสตางค์​หลุยส์​จากสีลมราคาห้าร้อยบาทเลยเอาไปให้แม่ นางไม่รู้หรอกว่าเป็นยังงัย แต่ว่าลายสวยนางเลยอยากได้ ถ้าเราเอากลับมาไม่แน่อาจโดนเรื่องแบรนด์​ก๊อปปี้​ก็เป็นได้  หลังจากเช็คอิน​เรียบร้อยก็ถึงเวลากล่าวอำลาที่ใหนได้หลานสาวทั้งสองเค้าไม่ร้องให้เลย สีหน้าเศร้าเล็กน้อย แต่ป้านี่น้ำตาไหลเลย หลังจากอำลากัเรียบร้อยเข้าตรวจสอบวีซ่าเนื่องจากเราขยายวีซ่าอยู่ต่อเป็นสองเดือน แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีวันนั้นเครื่องบินของการบินไทยก็ล่าช้าไปเกือบชั่วโมงครึ่งกว่าจะได้ออกจากสนามบินนินอย
   บนเครื่องบินเราได้ที่นั่งแถวริมหน้าต่างนั่งกลางขวามือเป็นคนออสเตรเลีย​ฝั่งซ้ายมือ​เป็นคนเอเชียเหมือน​คนไทยแหละแต่สุดท้ายก็พูดภาษาอังกฤษ​เรานั่งอยู่ท่ามกลางต่างชาติต่างภาษา​เลยเลือกที่จะนั่งแบบเงียบๆ ดูหนังจบไปสองเรื่องแต่คนข้างๆก็มาแอบดูหนังของเราเพราะหนังเราสนุกกว่า แนวตลกๆ นั่นเอง ถึงเวลาบริกรมาเสิร์ฟ​อาหารบนเครื่องนางกล่าวทักทายฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษ​และกล่าวทักทายเราเป็นภาษาไทยและอีกคนนางกล่าวทักทายเป็นภาษา​ไทยแต่นางพูดภาษาอังกฤษ​เฉยเลย  เรานึกในใจอยู่ในมะนิลาคนพูดตากาล็อก​ใส่ตลอดพอขึ้นเครื่องบินของไทยแค่นั้นแหละพูดไทยใส่ฉันตลอดการเดินทางเลยทีเดียว  สุดท้ายเดินทางกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ​พร้อมกับกระเป๋า​ขาหักไปหนึ่งใบจึงรื้อของออกและใส่รวมกัน ทิ้งกระเป๋าพังไว้ที่สนามบิน อาจเป็นลางไม่ดีเลยก็ว่าได้
     เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาแต่เช้าไอมีเลือดออกเป็นฝอยๆ ตรงกับวันแรงงานแห่งชาติ​ รถโล่งมากจึงรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวอนุเสาวรีย์ชัย​สมรภูมิ​ตรวจโควิดไม่เจอเชื้อ เอ็กซ​ปอดพบปอดติดเชื้อได้ยาฆ่าเชื้อ​มากินสิบวันพร้อมส่งเสมหะตรวจอีกสามวัน เราก็หวังว่าโรคเก่าไม่กำเริบอีกนะ เหตุการณ์​ย้อนไปที่ฟิลิปปินส์​กับการท่องเที่ยวเยี่ยมเยียน​หลานสาวจอมซ่าส์​เป็นเวลาสองเดือนจะเป็นอย่างไรต่อไปโปรดติดตาม เรื่องขำๆ ตลกๆ จอมซ่าส์​ของเด็ก และป้าจอมวีนขี้บ่น ในตอนต่อไปคะ ภายใต้นามปากกา​ของ Rommyrom.

แชร์ให้เพื่อน