มันม่วง (Purple sweet potato) ประโยชน์มากล้น จนต้องอยากกินทุกวัน
”มัน” เป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน มันมีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะมันขาว มันเหลือง มันม่วง การกินมันนอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายโดยเฉพาะสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่สูงมาก ซึ่งจากงานวิจัยของต่างประเทศพบว่า มันม่วงมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงกว่า มันขาว มันเหลือง โดยมันม่วงมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงที่สุด และมันขาวมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ต่ำที่สุด อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะเริ่มงงว่าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์คืออะไร ?
สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ (Anti-oxidation) คืออะไร ทำหน้าที่อะไร ?
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่า สารแอนตี้ออกซิแดนซ์คืออะไร เราขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้ค่ะ เมื่อร่างกายของคนเราเจอความเครียด ไม่ว่าจะจากความเครียดด้านจิตใจ ความเครียดจากการเจ็บป่วย ความเครียดจากการได้รับรังสีต่าง ๆ เช่น รังสีจากดวงอาทิตย์ รังสีจากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ตาม ร่างกายของคนเราจะทำปฏิกิริยากับสิ่งเหล่านั้น เรียกว่าเกิดการออกซิเดชัน (Oxidation) ใครคิดไม่ออกก็คิดถึงเหล็กที่อยู่บนรถยนต์ที่อาจจะถูกเฉี่ยวชนมีรอยถลอก เมื่อโดนน้ำ โดนแดด เกิดการออกซิเดชัน เป็นสนิมไปเรื่อย ๆ จนเหล็กเกิดการผุพังหากเราไม่มีการเคลือบ หรือซ่อมแซมบำรุง ร่างกายของคนเราก็เช่นกัน เมื่อเซลล์ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีอะไรมาปกป้อง ร่างกาย และอวัยวะต่าง ๆ ก็เสื่อมโทรม อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้น้อยลง ผิวก็แลดูแก่ เหี่ยวย่น ถึงตอนนั้นโรคต่าง ๆ ก็ตามมาเช่นกัน
สำหรับสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ก็ทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้เซลล์ในร่างกายถูกทำลาย ซึ่งเจ้าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวนี้ที่ว่า พบมากใน ”มันม่วง หรือ Purple sweet potato” นี่แหละค่ะ
6 ประโยชน์เน้น ๆ ของมันม่วง หรือ Purple sweet potato
ประโยชน์ต่าง ๆ ของมันม่วง มีรายงานวิจัยของต่างประเทศรองรับจำนวนมาก ซึ่งจากการทดลองต่าง ๆ พบว่าการกินมันม่วง มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง หลัก ๆ มีดังนี้ค่ะ
1.อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร
ในมันม่วง 100 กรัม ให้พลังงานทั้งหมด 87 กิโลแคลอรี่ นอกจากนั้นในมันม่วงยังมีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินเอที่มากถึง 183% ของปริมาณที่ควรได้รับได้ต่อวัน วิตามินซีประมาณ 38% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน และมีวิตามินบี 6 ประมาณ 29% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันนอกจากนั้นในมันม่วงยังมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายเช่นโพแทสเซียมสังกะสีแมกนีเซียมธาตุเหล็ก
2.มีสารแสนแอนตี้ออกซิแดนซ์สูง
สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในมันม่วง ที่พบมาก เช่น ฟีโนลิกแอซิด (Phenolic acid), แอนโทไซยานีน (Anthocyanins) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene)
สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่พบในมันม่วงช่วยปกป้องร่างกายจากโรคต่างๆเหล่านี้
- โรคมะเร็ง
- โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ ที่เราเขียนแบบนี้ เพราะโรคความจำเสื่อมมีหลายสาเหตุ อัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในโรคความจำเสื่อมที่คาดว่าเซลล์ในสมองถูกทำลาย
- โรคพาร์คินสัน
- โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
3.สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในมันม่วง พบว่า ช่วยยับยั้งก้อน หรือมะเร็ง
ข้อมูลนี้เป็นยังเป็นงานวิจัยที่ยังอยู่ในช่วงของการทดลองในห้องแลป ซึ่งรอการทดลองอื่น ๆ ต่อไป
4.ช่วยรักษาสุขภาพของตับ
จากการเก็บข้อมูลในงานวิจัย พบว่ามันม่วง ช่วยลดไขมันเกาะตับ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน สำหรับโรคไขมันเกาะตับเกิดได้ทั้งในคนที่มีไขมันในเลือดสูง คนอ้วน หากไขมันไปเกาะตับมาก ๆ ก็ทำให้ตับเกิดการอักเสบ เกิดตับแข็ง ตับวายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจากงานวิจัยระบุว่ามันม่วงไปช่วยลดไขมันเกาะตับในกลุ่มคนโรคอ้วน นอกจากนั้นยังไปช่วยลดไขมันชนิดเลว LDL อีกด้วย
5.ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
จากรายงานการวิจัยพบว่า มันม่วง ช่วยลด และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนที่เป็นเบาหวานได้ดีขึ้น
6.มันม่วงช่วยปรับปรุงความสมดุลในลำไส้
สำหรับมันม่วงมีเส้นใยอาหารประมาณ 20% ของเส้นใยอาหารที่ควรได้รับต่อวัน โดยในมันม่วง 100 กรัม มีเส้นใยประมาณ 3,5 กรัมซึ่งเส้นใยอาหารในมันม่วงสูงเกือบพอๆกับกะหล่ำดาวซึ่งเป็นผักที่มีเส้นใยสูงและมีงานวิจัยสนับสนุนว่ากะหล่ำดาวช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ซึ่งเราเคยเขียนไปแล้วในบทความเกี่ยวกับกะหล่ำดาว
สำหรับมันม่วงถือเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีมีราคาถูกหาซื้อได้ง่ายสำหรับผู้เขียนที่ชอบกินมันต้มมันเผามาตั้งแต่เด็กครอบครัวของผู้เขียนมักจะปลูกมันไว้กินเองพอถึงช่วงหน้าหนาวก็ขุดเอามาเผากินเราก็ได้กินมันและได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์มาตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าของดีก็มีอยู่ใกล้ตัวแล้ววันหลังจะนำของดีมีประโยชน์ที่อยู่ใกล้ตัวมาเล่าให้ฟังใหม่วันนี้ขอลาไปก่อนนะคะ