เจาะลึก 5 โรคที่ควรกิน”กระเจี๊ยบเขียว”

แชร์ให้เพื่อน

เจาะลึก 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียว” 

กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อเรียกมากมายตามท้องถิ่นนั้น เช่น okra หรือ แถบอังกฤษเรียกว่า lady’s finger กระเจี๊ยบเขียวคาดว่ามีต้นกำเนิดจากประเทศเอธิโอเบีย ทวีปแอฟริกา ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเขตร้อน บางพื้นที่ในประเทศเอธิโอเปีย นิยมให้หญิงตั้งครรภ์รับประทานกระเจี๊ยบเขียว เพื่อบำรุงครรภ์และลดอาการอ่อนเพลีย ซึ่งผู้หญิงหลายคนก็บอกว่าได้ผลดี วันนี้เราจะชวนคุณผู้อ่านมาดู เจาะลึก 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวโดยเนื้อหาในบทความส่วนใหญ่ ผู้เขียนอ้างอิงจากงานวิจัยของต่างประเทศ เรามาดูกันค่ะว่าโรคอะไรที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวบ้าง ?

5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียว” 

1.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคเบาหวาน

ในกระเจี๊ยบเขียวมีโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccaride) และเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าเส้นกระแสเลือดได้ดี โดยจากการวิจัยกับสัตว์ทดลองที่ประเทศจีน พบว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยลดทั้งน้ำตาลในเลือด และยังช่วยให้ภาวะแทรกซ้อนที่ไตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคกระเพาะอาหาร

เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียว เวลาต้มจะทำให้มีเมือกออกมามาก ซึ่งในเมือกของกระเจี๊ยบเขียวมีฤทธิ์ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ดี จากงานวิจัยพบว่าสารที่อยู่ในเมือกของกระเจี๊ยบเขียวออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยา Omeprazole ที่เป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหารนั่นเองค่ะ

3.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคไขมันในเลือดสูง

เนื่องจากในกระเจี๊ยบเขียวมีปริมาณของเส้นใยอาหารจำนวนมาก โดยในกระเจี๊ยบเขียว 100 กรัม มีเส้นใยอาหารมากถึง 3,2 กรัม หรือประมาณ 13% ทำให้กระเจี๊ยบเขียวช่วยลดไขมันในเลือดได้อย่างดี ประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขมันในเลือดสูงของกระเจี๊ยบเขียวถึงขนาดที่เว็บไซด์มหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกแนะนำให้คนที่มีไขมันในเลือดสูงรับประทานกระเจี๊ยบเขียวเพิ่มขึ้นเลยนะคะ

4.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคอ่อนเพลีย (Fatique)

จากข้อมูลงานวิจัยพบว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย (Fatique) ได้ โดยจากการให้สัตว์ทดลองรับประทานน้ำกระเจี๊ยบเขียวต่อเนื่องพบว่า สัตว์ทดลองมีแรงในการทำกิจกรรมมากขึ้น ลดอาการอ่อนเพลีย และจากการศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ที่ประเทศเอธิโอเปียหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานกระเจี๊ยบเขียวอย่างต่อเนื่องมีอาการอ่อนเพลียน้อยลง สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จึงช่วยลดอาการอ่อนเพลียก็เป็นได้ แต่จากรายงานการทดลอง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสารตัวใดในกระเจี๊ยบเขียวที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย

5.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคท้องผูก

โรคท้องผูกถือเป็นหนึ่งในปัญหาของหลายๆคนในกระเจี๊ยบเขียวมีเมือกและเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงทำให้กระเจี๊ยบเขียวสามารถช่วยรักษาโรคท้องผูกได้ดีทีเดียวค่ะ

และทั้งหมดนี้คือ 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวอย่างที่เรากล่าวตั้งแต่ต้นว่ากระเจี๊ยบเขียวถูกนำไปใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งนอกจากประโยชน์ในการรักษา 5 โรคดังกล่าวแล้ว กระเจี๊ยบเขียวยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูกและจากงานวิจัยยังพบว่าการรับประทานกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยในการควบคุมและลดน้ำหนักได้อย่างดีอีกด้วยใครที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวก็อย่าลืมจัดกระเจี๊ยบเขียวจิ้มน้ำพริกสักเดือนดูนะคะวันนี้ขอลาไปก่อนแล้วพบกันฉบับหน้าค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก

Okra ameliorates hyperglycaemia in pre-diabetic and type 2 diabetic patients: A systematic review and meta-analysis of the clinical evidence – PMC (nih.gov)

Antioxidant and Anti-Fatigue Constituents of Okra – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน