เรื่องสั้น หลานสาวจอมซ่าส์ กะป้าขี้วีน
ตอน บทนำ
เรื่องสั้น”หลานสาวจอมซ่าส์กับป้าขี้วีน” เป็นเรื่องราวระหว่างหลานสาวสองคนวัยเรียนหนังสือชั้นประถมศึกษาที่เริ่มมีอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น(หนูอยากเป็นสาวแล้ว) หากแต่ว่าฟันน้ำนมยังหักไม่หมดและฟันแท้ด้านหน้าก็ยังขึ้นไม่ครบจึงมีฟันหน้าค่อนข้างใหญ่เกเรซ้าย เกเรขวาจนได้รับฉายาจากรุ่นพี่ที่โรงเรียนว่า บันนี่เกิร์ล หรือ” เด็กหญิงฟันกระต่าย” นั่นเอง แต่เมื่อมองกลับไปที่รุ่นพี่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ก็ฟันกระต่ายทั้งคู่นั่นแหละ บันนี่เกิร์ลจะมีความแสบเฉพาะตัว คบเพื่อนรุ่นพี่เนื่องจากชอบทำตัวเป็นสาวก่อนวัย บันนี่และพี่สาวเรียนหนังสือโรงเรียนสตรีล้วนแต่ก็ไม่วายพูดถึงแฟนเก่าวัยอนุบาลอยู่เรื่อยๆ ชอบออดอ้อนเอาใจเก่งเมื่อต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยยกแม่น้ำทั้งห้าจนทำให้ป้าขี้วีนถึงกับใจอ่อนทุกครั้งไป บันนี่มีพี่สาวอายุห่างกันปีครึ่งแต่บันนี่ตัวเล็กกว่าพี่สาวมากจึงโดนพี่สาวแกล้งอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง อย่าว่าแต่พี่สาวแกล้งเลย บันนี่เองนี่ก็ไม่เบาถึงตัวเล็กแต่ก็เล็กพริกขี้หนูนั่นแหละ ส่วนป้าขี้วีนนี่ก็เป็นฉายาป้าที่มีอายุอานามเข้าสู่วัยทองโดยสมบูรณ์แบบ โสดตลอดกาล ไม่เคยมีครอบครัวหรือมีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กมาก่อนแต่ป้าขี้วีนก็พอมีความรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กอยู่บ้างแหละ แต่การใช้ความรู้กับการเลี้ยงดูในชีวิตจริงก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เรื่องราวและเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรเมื่อหลานสาวจอมซ่าส์กับป้าขี้วีนต้องมาเจอกัน และใช้ชีวิตร่วมกัน มีทั้งเรื่องราวที่ตลกขบขัน บางครั้งก็มีดราม่า เสียน้ำตากันบ้าง ป้าขี้วีนมักจะพาเด็กๆไปรับส่งที่โรงเรียน พาไปเดินเล่น พาไปออกกำลังกาย ว่ายน้ำ สอนหนังสือ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ อีก มากมาย รบกวนติดตามชมในตอนต่อๆไปได้เลยนะคะ
ตอน. เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณวันจากลา
เอ้กอีเอ้ก เอ้ก!!เอ้กอีเอ้ก เอ้ก!! เสียงไก่ขันดังขึ้นตอนเวลาเช้าตรู่ของวันสุดท้ายในกรุงมะนิลาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ เข้ามาในโสตประสาทของห้วงเวลาแห่งการหลับลึก คล้ายกับกำลังฝันว่านอนอยู่ที่บ้านในชนบทแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลแหล่งความเจริญ มักจะมีเสียงไก่ตัวผู้ขันรับกันเป็นระยะเพื่อเป็นสัญญานแจ้งเตือนเรื่องเวลา เริ่มตั้งแต่ประมาณเที่ยงคืนเศษ ป้าขี้วีนลืมตาขึ้นมาพร้อมกับเอามือขยี้ตาเบาๆ มองภายในห้องที่มีแสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเล็กๆอยู่ปลายเตียงนอนที่หลานสาวจอมซ่าส์เปิดทิ้งไว้ทุกคืนเพราะกลัวความมืด “อ้าวเราไม่ได้นอนอยู่ที่บ้านนี่นา แล้วเสียงไก่ขันที่ไหนกัน” ป้าขี้วีนคิดในใจ หลานสาวจอมแสบเอื้อมมือไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่วางไว้ข้างเตียงนอน แล้วพูดเสียงเบาๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ “อ๋อ เรานอนอยู่ที่กรุงมะนิลานี่เอง” ป้าขี้วีนเดินทางมาเยี่ยมหลานสาวเป็นเวลาหนึ่งเดือนเศษ แต่เนื่องจากหลานๆ ยังไม่อยากให้กลับเลยขยายวีซ่าเพื่ออยู่ต่ออีกหนึ่งเดือนนั่นเอง สรุปแล้วรวมๆก็ได้อยู่อาศัยที่กรุงมะนิลาร่วมสองเดือนเศษ
ป้าขี้วีนรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน พร้อมกับหยิบผ้าแพรห่มให้หลานสาวจอมซ่าส์ที่นอนขวางเตียงอยู่ “ถึงกำหนดต้องเดินทางกลับบ้านแล้วหรือนี่ ทำไมเร็วจังนะ” ป้าขี้วีนรำพึงรำพันเบาๆ เดินไปมองที่หน้าต่างกระจกเห็นตึกสูงสองสามตึกเรียงรายมีแสงไฟสว่างไสว ที่สวนสาธารณะมีพ่อค้า แม่ค้ากำลังเตรียมของเพื่อขายในวันรุ่งขึ้นเนื่องจากเป็นตลาดนัดขายอาหารสด อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป รวมถึงของใช้จิปาถะ มีทุกๆวันอาทิตย์ เสียงรถยนต์ดังสลับกับเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ วันนี้เราต้องไปร่ำลาสวนสาธารณะซักหน่อยนะ พร้อมกับรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมใส่ชุดออกกำลังกาย ล้างหน้า แปรงฟัน ใส่รองเท้าผ้าใบที่ชื่นชอบ เปิดประตูเดินออกจากห้องนอนผ่านห้องครัวเห็นน้องสาวแม่ของหลานสาวจอมซ่าส์กำลังสาละวนกับการตีแป้งทำขนมปังเพื่อเป็นของฝากกลับเมืองไทยนั่นเอง “จะเอาอะไรไหม เดี่ยวเราจะไปเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะประมาณครึ่งชั่วโมง” ป้าขี้วีนเอ่ยถาม “งั้นฝากซื้อนมจืดในร้านจีนหรือที่เซเว่นอีเลฟเว่นมาหนึ่งกล่องนะจะมาทำขนมปังเป็นของฝาก รีบไปแล้วรีบกลับนะเพราะต้องออกจากบ้าน 11.00 น.เพื่อไปสนามบิน เครื่องบินออก 12.55 น.” ป้าขี้วีนลงจากห้องเดินผ่านพนักงานยิ้มกล่าวทักทายตามมารยาทเป็นภาษาอังกฤษ มุ่งหน้าไปที่สวนสาธารณะซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันกับไปซื้อนมกล่องนั่นเอง
วันนี้บรรยากาศที่สวนสาธารณะมีคนออกมาวิ่ง เดิน เล่นโยคะ เต้นแอโรบิก ออกกำลังกายกันหนาตากว่าวันธรรมดาเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และมีตลาดขายอาหารวันอาทิตย์ด้วย อากาศสดชื่นหลังฝนตกเมื่อคืนนี้ช่วยชะล้างฝุ่นละอองออกไป ต้นไม้ดูเขียวขจีทั่วบริเวณสวนสาธารณะแห่งนี้ป้าขี้วีนรีบเดินไปที่น้ำพุภายในสวนสาธารณะที่มีปลาหลากหลายสีแหวกว่ายน้ำเล่นอยู่ ป้าขี้วีนหยิบเหรียญหนึ่งเปโซออกมาจากกระเป๋าจำนวนสองเหรียญพร้อมกับอธิฐานขอพรขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีความสุข เดินทางกลับบ้านปลอดภัย มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต นี่ขนาดป้าไม่ค่อยเป็นคนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เท่าไหร่นัก แต่เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ คิดเข้าข้างตัวเอง พร้อมกับโยนเหรียญที่หนึ่งไปตรงตำแหน่งของน้ำพุพอดี และอีกเหรียญหนึ่งโยนไปที่น้ำตกที่มีเต่าหินยักษ์ตัวใหญ่ตั้งอยู่ เป็นอันว่าจบพิธีการมาขอพรแบบง่ายๆสไตล์ของป้าขี้วีน
“สวัสดีคะ พามิคกี้มาเดินเล่นแต่เช้าเลยนะคะ” กล่าวทักทายเพื่อนคนฟิลิปปินส์ลูกครึ่งไทย ที่อาศัยอยู่ที่นี่นานแล้ว โดยรู้จักกันผ่านหลานสาวจอมซ่าส์นั่นเอง คนที่ฟิลิปปินส์นิยมจูงสัตว์เลี้ยงคือสุนัขออกมาเดินเล่นในสวนสาธารณะ บางคนก็จูงสองสามตัวเดินตามหมาและหมาเดินตามมองดูแล้วก็มีความสุขอีกแบบตามสไตล์ของป้าจอมวีนแต่ถ้าให้เลี้ยงคงไม่ไหวเพราะเป็นโรคภูมิแพ้กำเริบบ่อยๆ ช่วงเย็นๆหลังเลิกงานจะมีกลุ่มคนเลี้ยงสุนัขพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ตอนแรกคิดว่าเข็นรถเข็นพาลูกออกมาเดินเล่น ที่ใหนได้ เข็นลูกสุนัขทั้งนั้นเลยที่เข็นลูกจริงมีน้อยมาก ส่วนแมวเหมียวนั้นที่นี่เป็นแมวจรจัดที่อาศัยอยู่ในสวนสาธารณะและมีตามถนนหนทางบ้างประปรายใกล้ร้านขายอาหาร ประมาณว่าแมวเป็นสัตว์อนุรักษ์งั้นแหละ มีการสกรีนรูปแมวไว้ที่ผนังห้องน้ำของสวนสาธารณะเลยทีเดียว รีบวิ่งออกกำลังกายได้หนึ่งรอบและเดินรอบสวนอีกหนึ่งรอบพร้อมกับเก็บภาพเพื่อเป็นความทรงจำเก็บไว้ แวะซื้อนมจืดหนึ่งกล่อง เดินเข้าตลาดขายอาหารวันอาทิตย์ซื้อปานีปูรีเป็นอาหารสตรีทฟู้ดสุดฮิตของสัญชาติอินเดียประกอบด้วยแป้งทอดกลมพองมี 8 ชิ้นกร๊อบกรอบขนาดพอดีคำไส้ทำจากมันฝรั่ง หัวหอมใหญ่ ถัวลูกไก่ ราดด้วยน้ำชัทนีย์รสชาติเปรี้ยวจากน้ำมะขาม เผ็ดจากเครื่องเทศกินแล้วรสชาติขึ้นจมูกดีแท้ จามแล้วจามอีก “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ้ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลายสายคือหลานสาวจอมซ่าส์นั่นเอง “หนูขอไอศรีม รสมะนิลาอย่างเดียวนะคะ ขอย้ำ รสมะนิลาอย่างเดียวคะ” ที่กินไอศกรีมเพราะเมื่อวานเพิ่งถอนฟันออกเพิ่มอีกสองซี่รวมๆแล้วก็สี่ซี่แล้วฟันเคี้ยวไม่ค่อยมีสงสารนาง เรื่องไอศกรีมมีตำนานเพราะว่านางสั่งรสมะนิลาอย่างเดียวแต่พ่อค้าอาจไม่ได้ยินหรืออะไรไม่ทราบตักผสมหลายรสให้นางแต่นางไม่ยอมกินเด็ดขาด ถึงกับยื่นคำขาดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวหนูจ่ายเอง แต่พอพ่อค้ายื่นไอศกรีมให้หันมาบอกป้าว่าจ่ายให้หนูด้วยน้า สงสัยลืมตอนโกรธกลัวต้องกินไอศกรีมรวมมิตร ป้าขี้วีนเลยต้องกินเอง เพราะพ่อค้าก็ไม่รู้จะขายให้ใครอีก
หลังจากซื้อของในตลาดเสร็จแวะไปซื้อขนมปังร้านปันมะนิลา เลือกขนมปังชีสกรอบๆหน่อย(Cheesestick Pesto whole) มา 2 แพ็คกินกับกาแฟ โอวัลติน เป็นมื้อเช้าอร่อยดี
กลับมาถึงบ้านเห็นเด็กๆนั่งดูทีวีเรื่องทรามวัยกับไอ้ด่าง รับไอศรีมนั่งกินอย่างมีความสุข ป้ารีบเข้าครัวไปช่วยทำขนมปังและทำกับข้าว เดินออกมาอีกทีเพื่อมากินปานีปูรี แป้งกลมพองหายไปไหน ทำไมเหลือแต่ไส้กับน้ำชัทนีย์ละ ที่ไหนได้แป้งกลมพองไปอยู่ในมือหลานจอมซ่าส์นั่งเคี้ยวตุ้ยๆ ดูทีวีเพลินเลย เหลืออยู่ 3 ชิ้นรีบนำมาตักไส้ใส่เต็มและตักน้ำชัทนีย์ราด กินทั้งลูกพอคำ ทันใดนั้นกลิ่นเครื่องเทศขึ้นจมูกจามไม่หยุด คล้ายกับสำลักน้ำชัทนีย์ คิดในใจสงสัยเราแย่งเด็กมากินหรือเปล่า แต่เด็กจะกินแต่แป้งกรอบเล่นไม่ได้นะ
วันนี้เมนูผัดกระเพราะไก่ใส่ถั่วฝักยาว ไข่ดาว ฝีมือป้าแต่คนปรุงเครื่องคือน้องสาวอีกตามเคย ใบกระะเพราะนี่ก็ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อนที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยเด็ดเอาแต่ใบล้างให้สะอาดลวกพอสลบน็อคน้ำเย็นปั้นเป็นก้อนๆแช่ช่องแข็งไว้กินได้เกือบหกเดือนเพราะหิ้วสัมภาระมาเยอะโดยเฉพาะใบกระเพราและใบโหระพานั่นเอง
ขนมปังไส้สลัดทูน่าผักรวม รสชาติอร่อยกลมกล่อมเสียอย่างเดียวไหม้นิดหน่อยเพราะมัวแต่เถียงกันกับหลานสาวจอมซ่าส์ให้ไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกมาส่งป้าขี้วีนขึ้นเครื่องกลับเมืองไทย เช็คอินผ่านออนไลน์เรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้รีบมากเพราะสนามบินนินิอยอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
หลังจากอาบน้ำเสร็จหลานสาวจอมซ่าส์นางเลือกชุดเซ็กซี่เสื้อแขนกุด เอวลอยโชว์สะดือ กระโปรงสั้นสีเบท เข้าชุดกับรองเท้าสีชมพูที่เป็นของขวัญจากป้าที่ทำงานในกรุงเทพซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดตอนกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยตอนคริสต์มาสและปีใหม่ที่ผ่านมานั่นเอง ขณะที่ป้ากำลังสาละวนกับการแต่่งตัวเพื่อเดินทางอยู่นั้น เสียงแหลมปรี๊ดของหลานสาวจอมซ่าส์ดังขึ้นแสบหู ขี้หูเต้นกระเด็นกระดอน “ป้าจะใส่ชุดนี้ไม่ได้นะคะ มันไม่แมตช์ชิ่งคะ” พร้อมกับนั่งลงเลือกเสื้อผ้าดึงออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ที่ม้วนพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย “อ้าวเสื้อผ้าป้าเละเทะหมดแล้ว เก็บเข้าที่เดี๋ยวนี้” ป้าขี้วีน เอ็ดเสียงดัง”หนูขอโทษ” พร้อมกับหันมาชำเลืองมองตาละห้อย แสดงถึงการยอมรับผิด และพูด
ขึ้นว่า “เค้าผิดไปแล้ว แต่หนูอยากให้ป้าแต่งตัวสวย เพราะชุดนั้นมันไม่เหมาะกับป้า” ป้าเลยให้อภัยเพราะว่าวันนั้นได้แต่งตัวสวยตามใจหลานสาวจอมซ่าส์แล้วรู้สึกว่าตัวเองสวยเป็นพิเศษและมั่นใจขึ้น
หลานสาวทั้งสองช่วยกันหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระที่มีทั้งหมด 5 ใบคือกระเป๋าใบใหญ่หนึ่งใบใส่เสื้อผ้าและมีกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยอยู่ในนั้นอีกสามใบ เป้ใส่ร้องเท้าและเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักและอุปกรณ์อาบน้ำแต่งตัวทั้งหมด กระเป๋าลากใบเล็กใส่เสื้อผ้าหนึ่งชุดพร้อมที่จะหิ้วขึ้นบนเครื่องเผื่อว่าเครื่องบินเกิดเหตุการณ์ไม่สามารถลงจอดได้ต้องแวะไปลงจอดที่อื่นทำให้ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลย เพราะเมื่อน้องสาวเดินทางมาเยี่ยมคราวก่อนเจอพายุทำให้เครื่องบินไม่สามารถลงจอดได้ ต้องไปจอดที่สนามบินตอนใต้ของฟิลิปปินส์รวมแล้วใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว
กระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์พร้อมแบตเตอรี่สำรอง และเป้สะปายข้างหน้าอีกหนึ่งใบ
ระหว่างเดินทางไปส่งที่สนามบินหลานสาวทั้งสองดูมีความสุข ส่งสัยจะเบื่อป้าขี้วีนเต็มทนละ ร้องเพลงสนุกสนาน ไม่ร้องให้ตามเหมือนตอนน้องสาวมาเยี่ยมแล้ว เมื่อไปถึงสนามบินนินอยรีบไปจอดรถพร้อมกับหิ้วกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปที่ผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ อากาศวันนี้ก็ไม่เต็มใจเลยร้อนอบอ้าวมากเหงื่อแตกน่าดู หลานสาวเข้าไปส่งถึงบริเวณเช็คอิน ป้ายื่นพาสปอร์ตพร้อมกับยื่นหลักฐานการเช็คอินออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจสอบ เจ้าหน้าที่เรียกพาสปอร์ตของเด็กทั้งสองแต่เราก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับสำเนียงอังกฤษแบบตากาล็อกก็ทำหน้าเลอะลัก หรือบางทีนางก็พูดภาษาตากาล็อกใส่เราด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง หลานสาวจอมซ่าส์รีบเดินมาคุยกับเจ้าหน้าที่สนามบินเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงนางได้ดีเลยแหละ เจ้าหน้าทีถึงบางอ้อว่าหลานสองคนไม่ได้เดินทางด้วยแค่เข้ามาส่งป้านั่นเอง
เจ้าหน้าที่เห็นเรามีกระเป๋าใบเล็กใบน้อยหอบพะรุงพะรังเลยอนุญาตให้เอาขึ้นบนเครื่องแค่2ใบคือกระเป๋าคอมพิวเตอร์และกระเป๋าใบเล็กอีกหนึ่งใบ เนื่องจากป้ามีกระเป๋าเล็กใส่ในกระเป๋าใหญ่พอเจ้าหน้าที่ให้เอากระเป๋าใส่รวมกันโหลดใต้เครื่อง ป้าเลยดึงกระเป๋าที่มีทรัพย์สินมีค่าออกมาสะพาย เจ้าหน้าหันมายิ้มและพูดขึ้นว่า”อ๋อ มีใบเล็กในใบใหญ่อีกนะ” เรานี่ถึงกับเขินเลย จริงๆแล้วกระเป๋าใบนี้น้องสาวให้มา เพราะหลานจอมซ่าส์เค้าเห็นกระเป๋าสตางค์หลุยส์จากสีลมราคาห้าร้อยบาทเลยเอาไปให้แม่ นางไม่รู้หรอกว่าเป็นยังงัย แต่ว่าลายสวยนางเลยอยากได้ ถ้าเราเอากลับมาไม่แน่อาจโดนเรื่องแบรนด์ก๊อปปี้ก็เป็นได้ หลังจากเช็คอินเรียบร้อยก็ถึงเวลากล่าวอำลาที่ใหนได้หลานสาวทั้งสองเค้าไม่ร้องให้เลย สีหน้าเศร้าเล็กน้อย แต่ป้านี่น้ำตาไหลเลย หลังจากอำลากัเรียบร้อยเข้าตรวจสอบวีซ่าเนื่องจากเราขยายวีซ่าอยู่ต่อเป็นสองเดือน แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีวันนั้นเครื่องบินของการบินไทยก็ล่าช้าไปเกือบชั่วโมงครึ่งกว่าจะได้ออกจากสนามบินนินอย
บนเครื่องบินเราได้ที่นั่งแถวริมหน้าต่างนั่งกลางขวามือเป็นคนออสเตรเลียฝั่งซ้ายมือเป็นคนเอเชียเหมือนคนไทยแหละแต่สุดท้ายก็พูดภาษาอังกฤษเรานั่งอยู่ท่ามกลางต่างชาติต่างภาษาเลยเลือกที่จะนั่งแบบเงียบๆ ดูหนังจบไปสองเรื่องแต่คนข้างๆก็มาแอบดูหนังของเราเพราะหนังเราสนุกกว่า แนวตลกๆ นั่นเอง ถึงเวลาบริกรมาเสิร์ฟอาหารบนเครื่องนางกล่าวทักทายฝรั่งเป็นภาษาอังกฤษและกล่าวทักทายเราเป็นภาษาไทยและอีกคนนางกล่าวทักทายเป็นภาษาไทยแต่นางพูดภาษาอังกฤษเฉยเลย เรานึกในใจอยู่ในมะนิลาคนพูดตากาล็อกใส่ตลอดพอขึ้นเครื่องบินของไทยแค่นั้นแหละพูดไทยใส่ฉันตลอดการเดินทางเลยทีเดียว สุดท้ายเดินทางกลับเมืองไทยโดยสวัสดิภาพพร้อมกับกระเป๋าขาหักไปหนึ่งใบจึงรื้อของออกและใส่รวมกัน ทิ้งกระเป๋าพังไว้ที่สนามบิน อาจเป็นลางไม่ดีเลยก็ว่าได้
เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาแต่เช้าไอมีเลือดออกเป็นฝอยๆ ตรงกับวันแรงงานแห่งชาติ รถโล่งมากจึงรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลแถวอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิตรวจโควิดไม่เจอเชื้อ เอ็กซปอดพบปอดติดเชื้อได้ยาฆ่าเชื้อมากินสิบวันพร้อมส่งเสมหะตรวจอีกสามวัน เราก็หวังว่าโรคเก่าไม่กำเริบอีกนะ เหตุการณ์ย้อนไปที่ฟิลิปปินส์กับการท่องเที่ยวเยี่ยมเยียนหลานสาวจอมซ่าส์เป็นเวลาสองเดือนจะเป็นอย่างไรต่อไปโปรดติดตาม เรื่องขำๆ ตลกๆ จอมซ่าส์ของเด็ก และป้าจอมวีนขี้บ่น ในตอนต่อไปคะ ภายใต้นามปากกาของ Rommyrom.