ทักษะการจัดการความเครียดด้วยตนเอง
ชีวิตของมนุษย์เรานั้นต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆในชีวิตจากเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมต่างๆเช่นการตกงาน ภาวะสงคราม การเมือง สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ การหย่าร้าง และความเจ็บป่วยเป็นต้น ซึ่งความเครียดเหล่านี้ส่งผลต่อภาวะด้านสุขภาพ ดังนั้นความสามารถในการจัดการกับความเครียดของคนแต่ละคนได้ไม่เท่ากัน บางคนปรับตัวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เลวร้ายได้ดีโดยไม่เกิดผลกระทบสุขภาพ ขณะที่บางคนอาจไม่สามารถปรับตัวได้ เกิดความเจ็บป่วยและสูญเสียการทำหน้าที่ของตนเอง
มนุษย์เราเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้นจะตอบสนองต่อภาวะเครียดตามระยะต่างๆได้แก่
1.ระยะช๊อค ทำให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หายใจเร็ว มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ม่านตาขยาย เหงื่อออกมากผิดปกติการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น
2.ระยะหมดกำลัง เมื่อเกิดความเครียดรุนแรงและไม่สามารถขจัดปัญหาออกไปได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือประคับประคองที่เหมาะสม กลไกการปรับตัวจะล้มเหลว ทำให้เกิดโรค เจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ในที่สุด หากความเครียดยังคงมีต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลทำให้ปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหารตามมาได้
การจัดการกับความเครียดในแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและภายนอกเช่น อายุ เพศ กรรมพันธุ์ ยาและอาหารเป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตคือความสามารถในการปรับตัวหรือพลังงานในการปรับตัว ซึ่งพลังงานดังกล่าวมีมากในวัยหนุ่มสาวแต่จะต่ำในเด็กและผู้สูงอายุ เมื่อเกิดความอ่อนล้าจากภาวะเครียดอย่างมาก การนอนหลับพักผ่อนจะทำให้มีแรงสู้ แต่ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่างไม่ได้ จึงเกิดการสึกหรอและมีอาการของความชราเกิดขึ้น ฉะนั้นมนุษย์เราควรรู้จักดึงเอาพลังงานการปรับตัวมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การเผชิญกับความเครียดมี 2 ลักษณะคือ
1.การมุ่งประเด็นเพื่อแก้ปัญหา โดยจัดการกับแหล่งความเครียดหรือจัดการกับตนเองโดยพยายามมุ่งแก้ปัญหาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้น
2.การจัดการกับอารมณ์เป็นการปรับอารมณ์ความรู้สึกเพื่อไม่ให้เสียขวัญหรือกำลังใจ เพื่อสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นการปฏิเสธโรคร้ายแรงเพื่อไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์จนไม่สามารถทำอะไรได้
วิธีการเผชิญกับความเครียดมี 5 วิธีคือ
1.การเริ่มต้นแสวงหาข้อมูลโดยการเรียนรู้และเข้าใจปัญหาเพื่อหาทางแก้ไข
2.การกระทำโดยตรงเพื่อจัดการกับเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด
3.การหยุดยั้งการกระทำ หยุดทำในกิจกรรมที่คิดว่าเป็นอันตรายหรือกระตุ้นให้เกิดความเครียดรุนแรงขึ้น
4.การแสวงหาความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอก หรือคนรอบข้างเป็นต้น
5.การใช้กลไกทางจิตเช่น เบี่ยงเบนความสนใจ แสวงหาความพอใจจากสิ่งอื่น รวมถึงการปฏิเสธหรือเก็บกด เป็นต้น
ที่พบได้บ่อยเช่น การปฏิเสธเมื่อเจ็บป่วยร้ายแรงเพื่อขอเวลาตั้งตัวจึงถือว่าเป็นการจัดการความเครียดได้เหมาะสม เพราะผู้ป่วยสับสนและอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้ในทันทีทันใด การปฏิเสธทำให้มีความหวังเพื่อตระหนักถึงความจริงที่เกิดขึ้น
แหล่งประโยชน์ในการเผชิญกับความเครียด ได้แก่
1.คนที่มีสุขภาพดี แข็งแรง มีพละกำลัง จะช่วยให้เผชิญความเครียดได้ดี
2.ความเชื่อว่าตนสามารถควบคุมผลที่ตามมาและมีความหวังที่จะจัดการความเครียดด้วยตนเองได้
3.บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลแสวงหาข้อมูลความรู้เพื่อเผชิญกับความเครียด
4.มีทักษะในการขอความช่วยเหลือทางสังคม
5.แหล่งประโยชน์ทางด้านวัตถุ การมีเงินทองที่เอื้ออำนวยในการเผชิญกับความเครียด
การดูแลตนเองเพื่อขจัดความเครียด แบ่งออกเป็น
1.การรู้จักบริหารเวลา รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกาย หาทางออกเพื่อเผชิญปัญหา งดสูบบุหรี่ดื่มสุรา รู้จักสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นเพื่อจะได้พึ่งพาซึ่งกันและกัน
2.รู้จักมองและประเมินสถานการณ์ตามที่เป็นจริง โดยไม่ทำให้เหตุการณ์ปกติทำให้เกิดความเครียด เช่นบุคลิกที่จริงจังเกินไป เรียนรู้ข้อจำกัดของตัวเองโดยการแสดงความเห็นและความรู้สึกที่ถูกต้อง
3.เรียนรู้ทักษะการผ่อนคลาย ทำสมาธิ การฝึกหายใจ การฝึกจิต เป็นต้น
ประเด็นหลักๆในการจัดการกับความเครียดที่ดีคือต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี สามารถหาแหล่งภายนอกเพื่อช่วยเหลือ ควบคุมอารมณ์และสถานการณ์ รวมถึงการฝึกจิตให้ผ่อนคลายเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกายและจิตใจตามมา
ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com