9 เคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

แชร์ให้เพื่อน

9 เคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

             เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองของมนุษย์อายุล่วงเลยผ่าน 50 ปี นับเป็นพัฒนาการด้านร่างกายของมนุษย์ ซึ่งในวัยทองนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ ซึ่งผู้เขียนได้เขียนในบทความก่อนหน้านี้ สามารถหาอ่านได้เพิ่มเติมที่ Healthybestcare.com ปัญหาด้านความจำ อาการหลงๆ ลืมๆ นั้นมักเกี่ยวข้องกับวัยสูงอายุด้วย จากปัญหาความเสื่อมของสองนี้ผู้เขียนได้พบเจอมาด้วยตนเอง จึงอยากจะขอแชร์ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเพื่อช่วยรื้อฟื้นและชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

              สำหรับเคล็ดลับทั้ง 9 เคล็ดลับช่วยการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองที่ผู้เขียนได้ทดลองใช้กับตนเองมาก่อนหน้านี้ครบกำหนด 90 วัน ช่วยให้ผู้เขียนสามารถใช้ชีวิตได้เกือบเท่าคนปกติ แม้ปัญหาด้านการเรียบเรียงของภาษาเขียนอาจยังไม่ได้มีความสละสลวยมากนัก แต่การสื่อสารด้วยการพูดคุยก็ดีขึ้นมากระดับหนึ่งเลยทีเดียว เรามาดูกันเลยคะว่ามีเคล็ดลับอะไรบ้างที่ผู้เขียนเลือกใช้

  1. เคล็ดลับการเลือกรับประทานอาหาร อาหารแต่ละชนิดที่เราเลือกรับประทานนั้นมีผลต่อการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองดังนั้นอาหารที่ควรเน้นรับประทานบ่อยๆคือโปรตีนจากเนื้อปลา เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีสารช่วยด้านความจำคือ OMEGA 3 เนื่องจากเมนูจากปลานั้นอาจคาวหากนำมาประกอบอาหารไม่ถูกวิธี ผู้เขียนเลือกกินเมี่ยงปลาเผาเนื่องจากมีน้ำจิ้มและผักใบเขียวเป็นเครื่องเคียงในการรับประทาน หรืออาจใช้วิธีการนึ่งใส่ผักให้สุกพร้อมกับเนื้อปลาก็ช่วยให้ย่อยง่ายเช่นกัน เมนูนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบการย่อยอาหารอีกด้วย
  2. เคล็ดลับการเลือกรับประทานวิตามินและอาหารเสริมบางชนิด สำหรับในเคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากการรับประทานอาหารปกติในแต่ละวันของคนวัยทองอาจได้รับสารอาหารไม่ครบถ้านเนื่องจากประเด็นความอยากอาหารลดลง มีโรคประจำตัวต้องจำกัดอาหาร เป็นต้น  สำหรับผู้เขียนเลือกรับประทาน Centrum Silver 50+ และ OMEGA 3 โดยรับประทานพร้อมอาหารวันละ 1 เม็ด หากใครที่เริ่มเข้าสู่วัยทองหรือมีปัญหาเรื่องอาการหลงๆ ลืมลองหามารับประทานดูกันนะคะ และเลือกแทะเม็ดทานตะวันเป็นขนมขบเขี้ยวช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย
  3. เคล็ดลับการกระตุ้นสมองและชะลอความเสื่อมของสมองด้วยภาษา เป็นเคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง สำหรับผู้เขียนนั้นพูดภาษาเขมรมาตั้งแต่เด็กและเป็นเด็กเซราะกราว หากใครสนใจอ่านเรื่องสั้นชีวิตของคนเซราะกราวสามารถติดตามอ่านได้ที่ Healthy bestcare.com ต่อมาผู้เขียนเริ่มเรียนหนังสือและพูดภาษาไทยในระดับประถมศึกษา เริ่มพูดภาษาลาว ภาษาอังกฤษและเขียนร่วมด้วย รวมๆ แล้วผู้เขียนสามารถสื่อสารได้ทั้งหมดคือ ภาษาเขมร(พูดอย่างเดียว) ภาษาลาว(พูดอย่างเดียว) ภาษาไทย(พูด อ่าน และเขียน) ภาษาอังกฤษ(พูด อ่าน และเขียน) และที่สำคัญอีกภาษาหนึ่งก็คือภาษากายที่มีในอิโมจิในการสื่อสารในโลกออนไลน์นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาแล้วทำให้ผู้เขียนมองเห็นภาพและสื่ออารมณ์มาจากรูปภาพนั่นเอง
  4. เคล็ดลับการเดินทางย้อนไปหาอดีต เป็นเคล็ดการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง โดยผู้เขียนเลือกเดินทางกลับไปอยู่ที่บ้านในต่างจังหวัดที่ผู้เขียนใช้ชีวิตมาตั้งแต่วัยเด็กเป็นระยะเวลา 1 ปีกว่า ช่วยให้ผู้เขียนได้เดินทางผ่านสถานที่และเห็นสภาพแวดล้อมเก่าๆ ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากแต่ก็ช่วยรื้อฟื้นความจำและช่วยกระตุ้นสมองได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เช่น การได้พบเจอกับคนในชุมชน เพื่อนๆ ในวัยเด็กสมัยเรียนประถมศึกษาที่ยังคงหลงเหลือและใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิด การเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ ที่เคยไปบ่อยๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่พัทยาเนื่องจากผู้เขียนมีพี่ชายอยู่แถวอำเภอบางละมุง และหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานได้เดินทางมาท่องเที่ยวบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน การเดินทางกลับมาพักอาศัยในกรุงเทพซึ่งผู้เขียนอาศัยอยู่มาเกือบ 30 ปี เป็นต้น
  5. เคล็ดลับการเดินทางไปสู่โลกใหม่แห่งอนาคต เป็นเคล็ดลับการกระตุ้นสมองเมื่อเข้าสู่วัยทอง โดยในครั้งนี้ผู้เขียนเลือกเดินทางมาใช้ชีวิตที่ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเวลา 30 วัน เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์นั้นประชาชนส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษ(ในกรุงมะนิลา)และหลานๆสื่อสารพูดคุยและเรียนภาษาอังกฤษสลับภาษาไทย  ผู้เขียนก็ช่วยสอนให้เด็กๆ หัดผู้ภาษาเขมรด้วยเช่นกัน การได้เดินทางมาเห็นสถานที่ใหม่ๆ และเส้นทางใหม่ๆ จะช่วยให้สมองมีการคิดประมวลภาพในการจดจำสถานที่ใหม่ๆ โดยในครั้งนี้ผู้เขียนใช้เทคนิคการถ่ายภาพลงเป็นสตอรี่ช่วยในการจำและย้อนรำลึกด้วยภาพผ่านเรื่องราวของชีวิต เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการต้องเผชิญกับอาหารการกิน ภูมิอากาศ สภาพสังคมอีกซีกโลกหนึ่งในอนาคต (คนเซราะกราว)
  6. เคล็ดลับการถ่ายภาพ และการบันทึกลงในสตอรี่ต่างๆในเฟสบุ๊ค เป็นเคล็ดลับการกระตุ้นสมองเมื่อเข้าสู่วัยทอง เพราะว่าการบันทึกเรื่องราวนั้นจะเป็นเรื่องราวที่มีความต่อเนื่อง สะดวก ง่ายในการรื้อฟื้น แค่เปิดโทรศัพท์มือถือย้อนดูสตอรี่เก่าๆ ก็ช่วยให้สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน ทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองในการคิดและแก้ปัญหาได้อีกด้วย
  7. เคล็ดลับการใช้ชีวิตแบบสังคมคนเมืองหลวง เนื่องจากผู้เขียนมีภาวะสมองเสื่อม หลงๆ ลืมๆ เป็นเด็กเซราะกราว การใช้ชีวิตแบบคนเมืองหลวงจึงมีประสบการณ์น้อย เช่น การใช้มือถือในการจองตั๋วเครื่องบิน(รวมถึงขั้นตอนและวิธีการเดินทางโดยเครื่องบิน) รถไฟ (การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถไฟ เป็นต้น) การดูแอฟพลิเคชั่นต่างๆ การสั่งอาหารผ่านแอฟพลิเคชั่น วิธีการสั่งซื้อของออนไลน์ การถอนเงินผ่านตู้โดยใช้แอฟ หรือไม่ใช้บัตรเอทีเอ็ม เป็นต้น
  8. เคล็ดลับการเป็นนักช่างสังเกตการณ์ และเฝ้ามองพฤติกรรมของมนุษย์ รวมถึงการใช้จิตวิทยา การช่างสังเกตการณ์จะช่วยให้สามารถจดจำคน สถานที่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมหรือมีอาการหลงๆ ลืม ร่วมกับการถ่ายภาพบันทึกในสตอรี่ในเหตุการณ์ที่อยากจดจำ เป็นต้น
  9. เคล็ดลับข้อสุดท้ายเป็นเคล็ดช่วยชะลอความเสื่อมและเป็นการกระตุ้นสมองช่วยในการจดจำคือการเขียนบทความ บันทึก ไดอารี่ ต่างๆ สำหรับผู้เขียนนั้นเลือกการเขียนบทความเพราะเป็นการเขียนเรื่องราวต่างๆ เพื่อต้องการสื่อให้กลุ่มผู้อ่านเข้าใจและเข้าถึงเนื้อหา รวมถึงการเขียนเรื่องสั้นซึ่งจะมีขึ้นในอนาคต เรื่อง “คนเซราะกราว” ใครสนใจชีวิตเรื่องราวคนเซราะกราวติดตามอ่านในเรื่องสั้นได้นะคะที่ Healthybestcare.com ว่าจะเด็ดแค่ใหน ตรงกับชีวิตของผู้อ่านบ้างหรือไม่

จากเคล็ดลับทั้ง 9 เคล็ดลับช่วยชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง เพื่อนๆ ท่านใดที่เริ่มเข้าสู่วัยทองแล้ว ลองนำเคล็ดต่างๆ ที่กล่าวมานี้ไปปรับใช้ในการใช้ชีวิตของตนเองดูกันนะคะ ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างไร?  สามารถแสดงความคิดเห็นผ่านเฟสบุคได้คะ 

แชร์ให้เพื่อน

9 พื้นที่ส่วนกลางของที่พักอาศัยในกรุงมะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

9 พื้นที่ส่วนกลางของที่พักอาศัยในกรุงมะนิลา

     สำหรับบทความนี้ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วเรื่องเก้าแนวทางการเลือกที่พักอาศัยกรณีเดินทางมาท่องเที่ยวหรือพักอาศัยในต่างประเทศ เนื่องจากพื้นที่สำหรับผู้เข้าพักอาศัยที่นี่มีสามตึกขนาดใหญ่ติดกัน และมีผู้คนเข้าพักอาศัยทั้งแบบประจำรายวัน รายเดือน รายปี อย่างเช่นที่พักที่ผู้เขียนอาศัยอยู่นั้นมีทั้งหมดสามตึกติดกัน และแต่ละตึกจะมีทางเข้า ออกของตนเอง มีพนักงานควรเปิดปิดประตูทางเข้าออก สำหรับพื้นที่ส่วนกลางนั้นทั้งสามตึกผู้ที่พักอาศัยจะใช้ร่วมกัน และสามารถเดินเชื่อมหากันได้ที่ชั้นหก เรามาดูกันเลยคะว่าสำหรับพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งสามตึกนั้นแบ่งเป็นพื้นที่ใช้ในส่วนของการออกกำลังกาย การพักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ส่วนของอาหารและเครื่องดื่มนั้นจะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง และตึกทั้งสามตึกอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และตลาดสด ทำให้ผู้ที่เข้าพักอาศัยได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น เรามาดูกันเลยคะว่าพื้นที่ทั้งหมดนี้มีอะไรบ้าง มีการบริหารจัดการอย่างไร?

1.มีพื้นที่ส่วนของการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรค ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ได้แก่ ห้องฟิตเนส เป็นพื้นที่ในร่ม มีลู่วิ่งออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่คนนิยมมากเพราะเครื่องเต็มตลอด ผู้ที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ขณะวิ่งออกกำลังกายสามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนของสระว่ายน้ำ ช่วยในการพักสายตาและผ่อนคลายได้อีกด้วย การทำความสะอาดทุกวันจันทร์


2.มีพื้นที่ใช้สำหรับการว่ายน้ำและอาบแดด มีพื้นที่ส่วนในร่มและเก้าอี้อาบแดด เนื่องจากแดดที่นี่ค่อนข้างแรงในช่วงเวลากลางวันแต่กลางคืนและรุ่งเช้าอากาศเย็นสบาย ลมพัดผ่าน หากแต่สระว่ายน้ำไม่มีคนดูแลความปลอดภัย ดังนั้นหากเด็กๆว่ายน้ำต้องมีผู้ปกครองอยู่ดูแลตลอดเวลา การดูแลทำความสะอาดสระว่ายน้ำจะทำทุกวันช่วงเช้าและปิดทำความสะอาดทั้งหมดในวันจันทร์ของสัปดาห์ จึงทำให้มองดูสะอาดตา น่ามาใช้บริการ


3.มีพื้นที่สนามเด็กเล่นและห้องเด็กเล่น พื้นที่ส่วนตรงนี้มักจะมีเด็กๆมาเล่นช่วงเย็นที่มีมากหน่อยเพราะหลังเลิกงานพ่อแม่และคนเลี้ยงเด็กจะพาเด็กๆมาเล่นเพื่อเจอะเจอกันช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กอีกด้วย และเสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีห้องและของเล่นเด็กที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการ​กล้ามเนื้อมัดเล็ก ปิดทำความสะอาดทุกวันจันทร์เช่นกัน


4.มีพื้นที่สำหรับการวิ่งออกกำลังกาย เป็นพื้นที่ด้านหลังของตึกที่สองเชื่อมระหว่างทั้งสามตึกเข้าด้วยกัน และพื้นที่สำหรับรถเข็นเด็กเพื่อพาเด็กเดินเล่น พื้นที่ส่วนของการเล่นโยคะ รำมวยจีนและนั่งปิกนิคเพื่อรับประทานอาหาร การดูแลรักษาความสะอาดทุกวันแต่จะทำความสะอาดใหญ่ในวันจันทร์ โดยการขัดล้าง ทำความสะอาด และรดน้ำต้นไม้และตัดแต่งต้นไม้ให้สวยงาม
5.มีพื้นที่สำหรับการนั่งทำงานหรือนั่งเล่นโทรศัพท์หรือเป็นจุดนัดพบของผู้พักอาศัยทั้งสามตึก ผู้ที่พักอาศัยมักจะมานั่งทำงาน เล่นโทรศัพท์แต่กฎระเบียบคือห้ามรับประทานในบริเวณนี้เด็ดขาด ขัดล้างทำความสะอาดพื้นที่ในวันจันทร์เช่นกัน
6.มีพื้นที่สำหรับการจัดการขยะมูลฝอย แต่ละชั้นจะมีห้องสำหรับนำขยะไปทิ้งเพื่อที่แม่บ้านจะได้นำไปทิ้งต่อไป
7.มีพื้นสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม จะอยู่ที่บริเวณส่วนของชั้นหนึ่งของตึก มีร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านอาหารไทย ฝรั่ง จีน  ญี่ปุ่น เกาหลี ครบวงจรเลยทีเดียว ผู้เขียนได้ไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้ประทับใจในรสชาติอะไรเพราะพื้นฐานจะชอบอาหารไทยอยู่แล้ว และเรามีแม่ครัวหัวป่า ประจำคือน้องสาวซึ่งผู้เขียนเดินทางมาครั้งนี้ก็หอบเครื่องปรุงและอาหารร่วมๆ 60 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าครัวไทยสู่ครัวฟิลิปปินส์​กันเลยทีเดียว การทำความสะอาดล้างในทุกวันจันทร์เช่นกัน
8.มีพื้นที่สำหรับจอดรถ จะอยู่บริเวณชั้นใต้ดินถึงชั้นห้า สำหรับส่วนตรงนี้ผู้เขียนไม่ได้เข้าไปใช้บริการเพราะไม่ได้เช่ารถขับเอง อาศัยการเดินเที่ยวละแวกใกล้ๆ และมีรถน้องสาวขับพาเที่ยวหากต้องไปไกลๆ
9.มีพื้นที่สำหรับการเก็บเอกสาร รับส่งเอกสารจะมีล็อคเก็บของที่ชั้นหนึ่ง สามารถเก็บของไว้ในล็อคได้

 
     เนื่องจากตึกทั้งสามตึกเป็นตึกขนาดใหญ่และมีความสูง46ชั้นมีผู้เข้าพักอาศัยจำนวนมากการบริหารจัดการและพื้นที่ใช้สอยร่วมกันจึงต้องมีกฎระเบียบต่างๆที่ต้องปฏิบัติตามแต่หากเด็กๆก็มักจะแหกกฏกันบ้างเช่นแอบนำขนมมากินที่สระว่ายน้ำ เป็นต้น

แชร์ให้เพื่อน

9 กิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะ

แชร์ให้เพื่อน

9 กิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะ

        กิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะนั้น  เป็นกิจกรรมที่สังคมคนเมืองหลวงเลือกที่จะทำเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด จากการดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่มีความกดดันในด้านการเดินทางไปทำงาน เศรษฐกิจ ซึ่งกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดที่คนเมืองหลวงนิยมทำในสวนสาธารณะนั้น มีกลุ่มคนที่หลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายภาษา ทุกเพศ ทุกวัย หลากหลายกลุ่มอายุ  มารวมกลุ่มกันโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือเพื่อการออกกำลังในสวนสาธารณะ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีอารมณ์ผ่อนคลายความเครียด และบางรายก็มานั่งทำงาน หรือจีบกันบ้างในสวนธารณะประปราย

       ผู้เขียนได้ออกเดินทางมาจากประเทศไทยดินแดนสยามเมืองยิ้มเพื่อมาท่องเที่ยว และเยี่ยมเยียนญาติที่มาพักอาศัยที่ประเทศฟิลิปปินส์  ณ.กรุงมะนิลา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ หลังจากผู้เขียนได้ผ่านมาเฝ้าสังเกตการณ์แล้วประมาณ 5 วัน ประมวลภาพได้ว่า คนที่มาทำกิจกรรมต่างๆ ในสวนสาธารณะทั้ง 2 แห่งนี้คือ Washington Sycip Park และ Legazpi Active Park นั้นเค้าทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง เรามาดูกันเลยคะ

  1. การออกกำลังกายเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรค กิจกรรมการออกกำลังกายในสวนสาธารณะนั้น มีมากมาย หลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติ เช่น การวิ่งเหยาะๆเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย การเดินเร็ว การรำมวยจีน การกระโดดเชือก การเต้นเพื่อการออกกำลัง โยคะ เป็นต้น
  2. การพาเด็กๆ หรือลูกๆมาเดินเล่นหรือมาเล่นที่สนามเด็กเล่นในสวนสุขภาพ จะช่วยให้เด็กมีเพื่อนเล่น ได้ออกกำลังกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้พัฒนาทักษะด้านภาษาและด้านสังคม เช่น ชื่อต้นไม้ ดอกไม้ ชนิดของสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
  3. การพาสัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่น ออกกำลังกายในสวนสาธารณะ เช่น การจูงสุนัขเดินเล่นออกกำลังกาย ซึ่งสุนัขที่นี่ มีมากมายหลากหลายสายพันธุ์นิสัยไม่ดุร้าย การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงช่วยให้ผู้เลี้ยงมีเพื่อนเล่น และมีจิตใจที่อ่อนโยน ได้รับความรักและมอบความรักระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแบบไม่มีเงื่อนไขใดใด แต่หากการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีนิสัยดุร้าย ก็มักจะได้เห็นในข่าวอยู่บ่อยๆ ว่าสุนัขทำร้ายเจ้าของถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เป็นต้น
  4. การถ่ายภาพเพื่อรีวิวสถานที่ต่างๆ นอกจากจะเป็นงานอดิเรกแล้วยังก่อให้เกิดรายได้อีกด้วย หรือการถ่ายภาพเพื่อเก็บบันทึกไว้ในความทรงจำว่าเคยมาท่องเที่ยวหรือพักอาศัย ณ สถานที่แห่งนี้ เก็บภาพไว้เพื่อรำลึกเพื่อระยะเวลาผ่านไปให้ลูกหลานได้เห็น
  5. การมานั่งปิกนิกเพื่อรับประทานอาหารในวันพักผ่อนหย่อนใจ ที่ว่างเว้นจากการทำงาน ร่วมกันระหว่างคนภายในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง นั่งพูดคุยเพื่อผ่อนคลายความเครียด
  6. การมานั่งรับอากาศบริสุทธิ์ที่สวนสาธารณะ สำหรับคนในสังคมเมืองหลวงนั้นอาศัยอยู่ท่ามกลางตึกสูงใหญ่ ตระหง่านระฟ้า ห้องพักขนาดเล็ก การได้ออกมาเดิน นั่งเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะจะช่วยให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนพร้อมจะเดินทางต่อไปในอนาคต
  7. การนัดเพื่อนมาคุยกันเรื่องธุรกิจค้าขายออนไลน์ มักจะพบว่ามีกลุ่มคนวัยเริ่มต้นทำงานมานั่งรวมกลุ่มเพื่อนำเสนอธุรกิจออนไลน์ นำเสนอสินค้าชนิดต่างๆ เป็นต้น
  8. การนัดเพื่อนๆ ของเด็กนักเรียนรุ่นเดียวกัน เพื่อติวเนื้อหาวิชาเรียน นั่งกินอาหารร่วมกัน เดินเล่น ถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ สำหรับโลกออนไลน์
  9. การนั่งจีบกันของคนวัยหนุ่มสาวในพื้นที่สวนสาธารณะ สำหรับในพื้นที่สวนสาธารณะที่นี่นอกจากจะใช้เพื่อการออกกำลังกายหรือกิจกรรมอื่นๆแล้ว ยังเป็นพื้นที่เหมาะสำหรับคนวัยหนุ่มสาวมานั่งพูดคุย จีบกันเพื่อช่วยให้กระชับความสัมพันธ์ปรับตัวเข้าหากันได้ก่อนที่จะตกลงปลงใจแต่งงาน

      จะเห็นได้ว่าพื้นที่ในสวนสาธารณะนั้นมักจะแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนสำหรับการวิ่งออกกำลังกาย การกระโดดเชือก พื้นที่พาสัตว์เลี้ยง พื้นที่สนามเด็กเล่น หากสนใจบทความแนวสุขภาพสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่

healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

7 วิธีการสร้างมิตรภาพของเด็กวัยเรียนประถมศึกษา

แชร์ให้เพื่อน

7 วิธีการสร้างมิตรภาพของเด็กวัยเรียนประถมศึกษา

            เด็กวัยเรียนประถมศึกษานั้น มีช่วงอายุประมาณ 6-12 ปี  มีพัฒนาการด้านการเจริญเจริญเติบโตด้านร่างกาย กล้ามเนื้อมัดใหญ่มีการพัฒนาได้เกือบเท่าผู้ใหญ่ และพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กมีพัฒนาการได้เช่นกัน เด็กๆ ในวัยเรียนประถมศึกษานี้มักจะมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นวัยเดียวกัน ชอบเล่นกันเป็นกลุ่มวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่นเด็กผู้หญิงจะจับกลุ่มเล่นกับเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชายจะจับกลุ่มเล่นกับเด็กผู้ชาย เด็กๆส่วนใหญ่แล้วมักต้องการมีเพื่อนเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ได้แยกกลุ่มหรือเลือกกลุ่มโดยฐานะทางเศรษฐกิจ แค่อยู่ในโรงเรียนหรือมีกิจกรรมร่วมกัน เด็กก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว อย่างวันนี้ผู้เขียนพาลูกน้องสาววัยเรียนประถมศึกษาไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในเมืองมะนิลา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่ามีเด็กๆเล่นน้ำกันเยอะแยะ ผู้เขียนพยายามชักจูงให้เค้ามาว่ายน้ำ เพื่อจะสอนให้ว่ายท่ากบ แต่เค้าก็ไม่ยอมมาเล่นกับผู้เขียนเพราะวัตถุประสงค์ในการมาว่ายน้ำไม่ใช่หัดว่ายน้ำท่านั้น ท่านี้ แต่ต้องการออกมาหาเพื่อนเล่นที่สระว่ายน้ำก็แค่นั้นเอง  เด็กสองคนนั่งมองเด็กฟิลิปปินส์กลุ่มหนึ่งเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ผู้เขียนจึงลองสังเกตพฤติกรรมต่อไปเรื่อยๆ ว่าเค้าจะมีวิธีหาเพื่อนเล่นได้อย่างไร ในกิจกรรมที่สระว่ายน้ำวันนี้  สักพักเค้าเริ่มคุยกันและทักทายกัน ผู้เขียนจึงเข้าร่วมบทสนทนาด้วยสอบถามมาจากใหน แนะนำตัวเป็นอะไรกับเด็กสองคนที่พาไปว่ายน้ำ หลังจากนั้นเค้าก็เล่นน้ำด้วยกัน

        สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยเรียนประถมศึกษาเรามาลองสังเกตลูกเราว่าเค้าเป็นเด็กแบบใหน หากพฤติกรรมของเด็กแล้ว มักจะต้องการเพื่อนเล่น ถ้าหากลูกเราเล่นคนเดียว ไม่ทักทายเพื่อนฝูงวัยเดียวัน อาจต้องช่วยให้ลูกมีเพื่อนเล่นเพื่อผ่อนคลายความเครียด เรามาดูกันเลยคะว่าเด็กวัยเรียนประถมศึกษาเค้าจะมีวิธีการสร้างสัมพันธภาพกันอย่างไรบ้าง? เพื่อที่จะช่วยให้ลูกมีการปรับตัวตามวัยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

  1. เด็กวัยเรียนประถมศึกษาเค้าจะเริ่มสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มเพื่อนก่อนว่า เด็กคนใหนที่เค้าสามารถไปร่วมเล่น หรือทำกิจกรรมด้วยกันได้ เช่น วันนี้ผู้เขียนพาหลานสองคนไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง จริงๆแล้วที่พักก็มีสระว่ายน้ำในตึกแต่เค้าอยากมาว่ายน้ำที่นี่เพราะต้องการว่ายน้ำ เล่นน้ำกับเพื่อนวัยเดียวกัน หลังสังเกตได้ว่าเด็กคนใหนมีท่าทางเป็นมิตร อยากเล่นด้วย เค้าจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง
  2. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เค้าจะเริ่มเข้าไปคุยและทักทายสบายดีไหม อายุเท่าไหร่ มาจากประเทศอะไร เรียนที่ไหน ชั้นอะไร แนะนำตัวเอง เป็นต้น
  3. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เมื่อเลือกกลุ่มเล่นได้แล้ว เค้าจะเลือกกิจกรรมในการเล่น เช่น ในกลุ่มมี 4 คน เค้าจะเล่นให้เด็กตัวเล็กกว่าขี่คอ และว่ายน้ำแข่งกัน โดยมีการกำหนดกติกาต่างๆ ในการเล่น เท่าที่สังเกตได้ คือ เค้าจะกำหนดวิธีการเล่นใครชนะต้องทำอะไรต่อไป เช่น นับเลขหนึ่งถึงสิบ โดยให้ผู้แพ้ต้องลงไปแช่น้ำที่เย็น เป็นต้น
  4. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา จะเริ่มมาเล่าให้ผู้ปกครองทราบว่าตัวเองมีเพื่อนใหม่ ก็คือเพื่อนที่เพิ่งเจอกันนั่นแหละ  และเล่นน้ำด้วยกัน เค้าก็จะบอกว่าคนในคือเพื่อนที่เป็น Best Friend ของเค้า และให้ผู้ปกครองถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพไว้ดูหลังจากต้องจากกัน เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกตอนใหนนั่นเอง
  5. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา จะจับคู่เล่นเพราะต้องการคนที่เป็นคู่หูในการเล่นของแต่ละกิจกรรมนั่นเอง
  6. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เมื่อเล่นน้ำที่มีน้ำเย็นจัด เค้าจะชวนกันวิ่งไปยืนอาบแดดให้ตัวแห้ง และเล่นกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันเช่น เล่นซ่อนแอบ วิ่งไล่จับ เป็นต้น
  7. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เมื่อต้องจากลากันจากเพื่อนๆที่เพิ่งรู้จักกัน มักจะมีของเล็กๆน้อยๆมอบให้แก่กันเช่น สติกเกอร์ ลูกอม หรือ ของเล่นเล็กๆน้อย  ติดไม้ติดมือเมื่อต้องเดินจากลากันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ช่วยในการจดจำ เป็นต้น

      หากพ่อแม่ท่านใหนที่สังเกตว่าลูกๆ วัยเรียนประถมศึกษาแยกตัว ชอบอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อน  ชอบเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา ลองหาเวลาพาลูกวัยเรียนประถมศึกษาใปเล่นที่สนามเด็กเล่น หรือเล่นตามสวนสาธารณะ เพื่อที่จะได้ช่วยให้ลูกๆวัยเรียนประถมศึกษา รู้จักการเล่นเป็นกลุ่ม พัฒนาด้านภาษา และช่วยผ่อนคลายความเครียดและลดการเล่นโทรศัพท์ได้ด้วย

หากสนใจบทความการดูแลและการเลี้ยงลูกวัยเรียนประถมศึกษา สามารถหาอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

ตอน 4.   9 แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในต่างประเทศ (รีวิวสถานที่พัก)

แชร์ให้เพื่อน

ตอน 4.   9 แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในต่างประเทศ (รีวิวสถานที่พัก)

Episodes 4 การเดินทางท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตในต่างแดนของผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

             การเดินทางไปต่างประเทศแยกออกตามวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปในประเทศนั้นๆ เช่น การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ การเดินทางเพื่อเยี่ยมญาติ (นี่คือวัตถุประสงค์ของผู้เขียน) การเดินทางเพื่อพักอาศัยในต่างประเทศกรณีติดตามสามีหรือภรรยา (การย้ายบ้าน) การเดินทางเพื่อไปเรียนหนังสือ การเดินทางเพื่อไปทำงานต่างประเทศ การเดินทางเพื่อการติดต่อการค้าทางธุรกิจ เป็นต้น สำหรับผู้เขียนนั้นมีวัตถุประสงค์ของการเดินทางคือ การมาเยี่ยมญาติและการท่องเที่ยว การเลือกที่พักอาศัยจึงเลือกใกล้กับที่พักอาศัยของญาติ ให้สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้สะดวก เนื่องจากเส้นทางเดินรถเป็นทางเดียวเป็นส่วนใหญ่ การขับรถใช้เลนขวา มีการจราจรคับคั่ง รถติดมากมาย บีบแตรกันจ้าละหวั่น ดีหน่อยตรงที่การข้ามถนนนั้นมีสัญญาณไฟคล้ายเมืองพัทยาที่ผู้เขียนได้ทดลองไปอยู่มาก่อนช่วงก่อนเดินทางมาเที่ยวที่นี่

            การเลือกที่พักอาศัยนั้นญาติเป็นผู้จัดหาให้ โดยห้องมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีแอร์ ทีวี ไวไฟล์ ตู้เย็น ไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องครัว (แต่ก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรมาก แค่อุ่นอาหาร ชงกาแฟ) เรามาดูกันเลยคะว่าที่พักในการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง?

  1. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ชื่อว่า Walter Mart ซึ่งมีสินค้ามากมายหลากหลายให้เลือกซื้อทั้งของกิน ของใช้ ภัทรตาคาร ร้านอาหารหลากหลายชาติ ราคาสินค้าก็มีราคาแพงบ้าง ถูกบ้าง สามารถเดินเข้ามาจับจ่ายใช้สอยแบบครบจบ ในขั้นตอนเดียว แค่เดินข้ามสี่แยกก็ถึงแล้ว สามารถมองเห็นได้จากที่พักได้อย่างง่ายดาย และอยู่ใกล้กับ 711 แค่เดินทางไปหนึ่งนาทีก็ถึงแล้ว
  2. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้อยู่ใกล้กับตลาดสด ซึ่งสามารถเดินไปได้ ผ่านสองสี่แยกสัญญาณไฟจราจรก็ถึงแล้ว สินค้ามีอาหารสด อาหารแห้ง ผักผลไม้ และ กล้วยหอมนี่เห็นมีขายได้เกือบทุกจุด รสชาติดี มะพร้าวก็เยอะราคาไม่แพงมาก พอๆกับเมืองไทย เนื่องจากตลาดสดริมถนน จึงไม่สกปรกเท่าไหร่ กุ้ง หอย ปูปลาราคาไม่แพงมาก
  3. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้อยู่ใกล้สวนสาธารณะ สามารถเดินทางจากที่พักไปบ้านญาติก็ผ่านสวนสาธารณะถึงสองสวนเลยทีเดียว สำหรับสวนสาธารณะนั้นใช้สำหรับการวิ่งออกกำลังกาย พาสัตว์เลี้ยงเดินเล่น มีสนามเด็กเล่น และมีที่นั่งเขียนหนังสือหรืออ่านหนังสือ เขียนบทความได้
  4. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้อยู่ใกล้กับสถานทูตของประเทศไทยซึ่งเดินจากที่พักประมาณห้านาทีก็ถึงแล้ว
  5. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับว่ายน้ำ ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ความลึกไม่ลึกมากนัก เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้เขียนได้ไปทดลองว่ายมาแล้ว
  6. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้มีพื้นที่สำหรับวิ่งออกกำลังกาย เดินออกกำลังกายค่อนข้างใหญ่ เดินหรือวิ่งเหงื่อออกได้เหมือนกัน เช้าๆ มีคนวิ่งออกกำลังกายประปราย
  7. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้มีพื้นที่การเล่นฟิตเนส เครื่องออกกำลังกายเป็นลู่วิ่งอย่างเดียวเท่าที่เห็น
  8. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้มีห้องสำหรับเด็กๆ เล่นของเล่น และมีสนามเด็เล่นซึ่งไม่ใหญ่มากช่วงเย็นจะมีเด็กๆ วิ่งเล่นกันประปราย
  9. แนวทางการเลือกที่พักอาศัยในการเดินทางท่องเที่ยวและเยี่ยมญาติในครั้งนี้มีห้องนั่งเล่นเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ เป็นบรรยากาศแบบเปิด อากาศถ่ายเท ลมโกรกพัดผ่าน แต่ฝุ่นละอองเยอะ เจ็บคอ และคันตากันเลยทีเดียว

    สำหรับการเลือกที่พักอาศัยซึ่งอยู่ไกล้กับสถานที่ต่างๆ ช่วยให้เราประหยัดค่าเดินทางในการออกไปจับจ่ายซื้ออาหารการกิน แต่ค่าที่พักอาจแพงขึ้นมาพอสมควร แต่ก็ช่วยให้ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายและสะดวกสบายมากขั้น

หากสนใจบทความแนวท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม หลงๆ ลืมๆ สามารถติดตามอ่านได้เพิ่มเติมที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า  ไกด์แนะนำเส้นทางเดินกลับบ้านของสองเจนเนอเรชั่น(Gen baby boomer Gen Z)​

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า  ไกด์แนะนำเส้นทางเดินกลับบ้านของสองเจนเนอเรชั่น(Gen baby boomer Gen Z)​

       หลังจากผู้เขียนซึ่งอยู่ในเจนเนอเรชั่น X ที่มีอาการหลงๆลืมๆ สมองเริ่มเสื่อม เข้าสู่วัยทอง จดจำเส้นทางเดินทางระหว่างที่พักไปบ้านหลานๆ ไม่ได้ และจำที่พักของตนเองไม่ได้ เกิดอาการหลงทางหาที่พักไม่พบซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางพลบค่ำทั้งที่เดินทางไปกลับสองครั้ง วันรุ่งขึ้นเวลาเช้าเป็นหน้าที่ของไกด์ Gen baby boomer มารับตัวจากที่พักตอนเช้า เพื่อแนะนำเส้นทางเดินกลับไปที่พักหลานๆ
ณ. เวลาแปดโมงเช้า ที่หน้าตึกที่พักของผู้เขียน
(ไกด์ baby boomer) : ยื่นปากกาพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นที่พับครึ่งมาให้ พร้อมกับพูดว่า”เขียนลงไป เลี้ยวซ้าย”
(ผู้เขียน)​: งงพักหนึ่ง พร้อมคลี่กระดาษเปิดดู จะให้เขียนทำไม พร้อมเดินตามไกด์รุ่น baby boomer แต่ไม่ยอมเขียนอะไร เพราะยังไม่เข้าใจ นึกในใจทำไมต้องทำตามคำสั่งด้วยละ งงอยู่ไม่รู้เหตุผลทำไมต้องเขียน
(ไกด์รุ่นbaby boomer)​: หันมาพูดอีกครั้ง ทำหน้าขึงขัง เขียนลงไป เลี้ยวซ้าย และเดินตรงไป
(ผู้เขียน)​:ถึงบางอ้อ จะให้วาดแผนที่เดินทางก็ไม่บอกกันตรงๆ ทำเรางงอยู่ตั้งนาน พร้อมลงมือวาดตึกที่เริ่มต้นเดินทาง ทำลูกศรชี้ออกจากตึกเพื่อเลี้ยวซ้าย แต่ยังไม่ยอมเขียนว่า เลี้ยวซ้าย เดินตรงไป เพราะเราเข้าใจของเราแล้ว
(ไกด์ baby boomer) : เขียนลงไปว่า เลี้ยวซ้าย พูดบังคับให้เขียนให้ได้ เลี้ยวขวา เดินตรงไป
(ผู้เขียน)​: เดินตามแบบเงียบๆ พร้อมวาดลายแทงทางเดินของตนเองอีกครั้งด้วยลูกศรชี้ไปมา เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินตรงไป พร้อมกับเขียนยิกๆ เหมือนทำตามคำสั่ง เพราะหากไม่ทำตามคำสั่งเดี่ยว Gen baby boomer อารมณ์​เสียใส่
(ไกด์ baby boomer) :พาเดินตามถนนใหญ่ พร้อมแนะนำชื่อตึกที่สำคัญ ชื่อถนน สี่แยกต่างๆ ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที ถึงที่พักเด็กๆสองคน อย่างปลอดภัย แต่ตลอดการเดินทางเพื่อแนะนำเส้นทางกลับรู้สึกกังวล เคร่งเครียดกันเลยทีเดียว

ณ.เวลาพลบค่ำ เดินเส้นทางเดิมพร้อมเด็กๆ สองคน
(ไกด์ Gen Z)​: เดินออกจากตึก วิ่งเล่นหยอกล้อกันสนุกสนาน เมื่อถึงเซเว่นก็วิ่งเข้าไปเลือกซื้อน้ำหวาน ขนม เพราะเหนื่อยจากการว่ายน้ำมาร่วมสองชั่วโมง
หลังได้ขนมกับน้ำ ก็ยื่นสัมภาระกระเป๋าชุดว่ายน้ำมาให้เราหิ้ว ตัวเองเดินกินขนมตัวปลิว เมื่อถึงทางข้ามถนนก็ไปกดสัญญาณให้รถจอดเพื่อรอจะข้ามถนน แต่ก็กดหลายครั้ง ผู้เขียน นึกในใจ ความวัวยังไม่หาย ความควายจะเข้ามาอีกไหม (ประเด็นกดสัญญาณ​เตือนไฟไหม้ในตึก)​
(ผู้เขียน)​: ทำไมพามาทางนี้ละ งงกับเส้นทางนิดหนึ่งเพราะเหมือนยังไม่เคยเดินผ่านมาก่อน ไม่เห็นสิ่งแวดล้อมแบบนี้มาก่อน พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เมื่อเช้าไม่ใช่เดินทางนี้นะ”
(ไกด์ Gen Z)​: อย่าเชื่อลุง ชอบมั่วตลอด แต่ไม่ได้แนะนำชื่อสถานที่ เดินไปเล่นไป คุยกันไปเรื่อยเปื่อยสองคน เราก็เดินตามไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข สังเกตเส้นทางไป เมื่อถึงสวนสาธารณะ​นางพาเดินลัดเข้าสวนเฉยเลย พร้อมชวนนั่งเล่น ถ่ายวีดีโอแนะนำสถานที่ กินขนมต่อทั้งที่เวลาพลบค่ำมากแล้ว
(ผู้เขียน)​:เดินออกจากสวนสาธารณะเหลือบตามองไป พร้อมกับอุทานเบาๆ อ้าวนั่นตึกที่พักนี่ ทำไมถึงเร็วจังแป๊ปเดีียวเอง แต่จริงๆ แล้วมัวแต่นั่งเล่น ถ่ายวีดีโอในสวนสาธารณะ​ จนแม่โทรตาม เนื่องจากนานผิดสังเกต หลังจากเดินข้ามถนนทางม้าลาย
(ไกด์ Gen Z)​ : แม่ไปถ่ายรูปตรงนั้นได้นะ ผู้เขียนเหลือบตามองดู มันเป็นซอกต้นไม้ เหมือนจะมีงูแอบอยู่ พร้อมพูดว่า ไม่กล้าไปถ่ายหรอกกลัวงูกัด นางตอบถ่ายรูปได้ เดินต่อไปซักพัก ก็ถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่ใช้เวลานานเกือบชั่วโมงเพราะมัวแต่แวะข้างทาง ซื้อขนมกิน แวะถ่ายวีดีโอ มีความสุขกันไป เหมือนเวลาผ่านไปแค่ห้านาที

จากการพาเดินตามเส้นทางกลับบ้าน ตามแนวคิดของสองเจน​เนอ​เรชั่น​นั้น จะเห็นได้ว่า Gen baby boomer จะใช้วิธีการบอกเส้นทางแบบบังคับให้เขียนโน่น นี่ นั่น เคร่งเครียด ตลอดเส้นทางเดิน เกิด รู้สึกไม่ผ่อนคลาย กังวลกับเส้นทางเดิน ขณะที่ไกด์ Gen Z นั้นพาแวะซื้อขนม เดินเล่นหยอกล้อ ลัดเส้นทาง แวะเข้าถ่ายวีดีโอ นั่งเล่นในสวนสาธารณะ​ กลับรู้สึกมีความสุข สนุกสนาน เพราะว่าเด็กนั้นจะไม่มีเรื่องให้ต้องคิดหรือมีความวิตกกังวลใดๆ ขณะที่การใช้ชีวิตของผู้ใหญ่ เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ผู้เขียนจึงได้แนวคิดจากการใช้ชีวิตแบบเด็กๆ มาว่า บางครั้งเราไม่ต้องเดินตามเส้นทางตรง หยุดพักบ้าง กินขนมบ้าง หยอกล้อกันบ้าง จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมาตั้งแยอะ อย่าเคร่งเครียดมากนักเพราะชีวิตคนเราอยู่บนโลกไม่น่าเกินร้อยปีหรอก หากสนใจบทความดีดีสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ตอน.  3 ความแตกต่างของเจนเนอเรชั่น (Gen. Baby Boomer Gen. X Gen. Z)

แชร์ให้เพื่อน

ตอน.  3 ความแตกต่างของเจนเนอเรชั่น (Gen. Baby Boomer Gen. X Gen. Z)

Episodes 4 การเดินทางท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตในต่างแดนของผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

มนุษย์มี 4 เจนเนอเรชั่นในโลกนี้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่  มีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งกลุ่มที่อาศัยอยู่ในแถบเดียวกันมักจะมีความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว คนมีการเดินทางทางอากาศใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงจากแถบโลกหนึ่ง ไปสู่อีกแถบโลกหนึ่ง และการติดต่อสื่อสารมีความรวดเร็วขึ้นโดยใช้แอฟพลิเคชั่นต่างๆ ภาษาที่มีความแตกต่างก็พัฒนาแอฟพลิเคชั่นแปลภาษาช่วยให้การสื่อสารเข้าใจกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น คนมีการย้ายถิ่นฐานเข้าพักอาศัยรวมกัน ที่มีความหลากหลาย แตกต่างด้านภาษา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น การแต่งงานกับต่างชาติ ต่างภาษา การย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ในอีกขนบธรรมเนียมประเพณีหนึ่ง ดังนั้นมนุษย์จึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีหนึ่งเข้ากับสำนวนไทยที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม”

          การปรับตัวเป็นเรื่องของชีววิทยาที่สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกๆด้าน หากมนุษย์ไม่ปรับตัวแล้ว อาจต้องพบจุดจบดั่งเช่นชีวิตของสัตว์บางชนิดที่ต้องสูญพันธุ์จากโลกใบนี้ไป หากใครที่ใช้ชีวิตโดยไม่ปรับตัวมักจะได้รับฉายาว่า “ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” ผู้เขียนเองนั้นมีช่วงอายุอยู่ใน Gen X เป็นช่วงชีวิตที่พบเจอคอมพิวเตอร์เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว ขณะที่ Gen. Baby Boomer นั้นเกิดในช่วงที่ผ่านพ้นระยะสงครามโลกครั้งที่สอง และเจนเนอเรชั่น Z เกิดมาพร้อมกับความเจริญเติบโตด้านเทคโนโลยี่ สำหรับเด็กในเจนเนอเรชั่น Z นี้จะมีความคิด การใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเจนเนอเรชั่นอื่นๆ อย่างชัดเจน เนื่องจากผู้เขียนได้สัมผัสการใช้ชีวิตสำหรับทั้งสามเจนเนอเรชั่นเท่ากับผู้เขียนอยู่ในเจนเนอเรชั่นกลางเทียบเท่ากับลูกคนกลางที่จะต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับทั้งสองเจนเนอเรชั่นเพื่อให้การอยู่ร่วมกันเกิดปัญหาน้อยที่สุด เรามาดูกันเลยว่ามีประเด็นใหนกันบ้าง?

  1. ประเด็นด้านการเงิน ในการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ จะเห็นได้ว่า Gen. Baby Boomer นั้นจะใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง มีความประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ฟุ่มเฟือย รู้จักคุณค่าของเงิน เปรียบเทียบราคาก่อนการจับจ่ายใช้สอย อาหารที่ซื้อมาแล้วต้องกินให้หมด ไม่ค่อยได้สนใจคุณค่าหรือคุณประโยชน์ของอาหาร มีผลสุขภาพอย่างไร? ไม่ได้สนใจมากนัก ทำให้ Gen. Baby Boomer นั้นจะอ้วนลงพุง มีโรคประจำตัวมากมาย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินทั้งสิ้น ในขณะที่ Gen. Z นั้นเกิดมาพร้อมความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี่ ใช้จ่ายเงินโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ค่อยกินอาหาร หรือกินอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารน้อยชอบเล่นโทรศัพท์จนไม่ได้กินข้าวกินปลารูปร่างจึงผอมบาง ร่างน้อยเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ Gen X นั้นมีพ่อแม่อยู่ใน Gen. Baby Boomer จึงมีความเข้าใจเรื่องการใช้จ่ายเงิน เน้นความคุ้มค่าของสินค้า ไม่ได้มองแค่ว่าสินค้าราคาถูกเพียงอย่างเดียว แต่จะมองประเด็นของคุณภาพของสินค้าด้วย ฉะนั้น Gen X จะมีสโลแกนการใช้ชีวิตที่ว่าของดี (ฟรี) มักราคาไม่ถูกมาก หรือที่เรียกว่าของฟรีไม่มีในโลกนั่นเอง ในขณะที่ Gen Z นั้นจะเป็นลูกของ Gen X หรือ Gen Y หากว่าพ่อแม่ไม่อบรมเรื่องเกี่ยวกับเงินทองกับลูกในแล้วเด็กใน Gen Z จะใช้จ่ายเงินโดยไม่ได้มองถึงประโยชน์หรือคุณค่าของอาหารหรือสิ่งของ เรามักจะเห็นว่าเด็กใน Gen Z มีเสื้อผ้ามากมาย รองเท้าหลากหลาย เลือกอาหารการกินแบบอาหารจานด่วน มีของเล่นเยอะแยะมากมายเช่นกัน ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ อยู่ในโลกสังคมโซออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ หากแต่อนาคตข้างหน้าเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจะเป็นอย่างไร? แต่เราจะสามารถมองจากประสบการณ์ของประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้ามาก่อนเพื่อเป็นตัวอย่างในการอบรมลูกๆ ที่อยู่ใน Gen Z ให้สามารถปรับตัวด้านการใช้ชีวิตที่ไม่สุดโต่งจนเกินไปนั่นเอง
  2. ประเด็นด้านความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี สำหรับ Gen Baby Boomer มักจะใช้ชีวิตภายใต้ความเชื่อ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี และจะบังคับให้ Gen X ยึดถือในความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ตามแบบที่ตนเองปฏิบัติมา หากแต่สำหรับ Gen X ที่มีความคิดด้านวิทยาศาสตร์มักจะมีความคิดของตนเอง อาจจะยอมรับปฏิบัติหรือยอมตามในขนบธรรมเนียม ความเชื่อ ประเพณี บางอย่างเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ หรือที่เรียกว่า การปรับตัวนั่นเอง ทั้งยังต้องสอนเด็ก Gen Z ให้มีความเชื่อ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ต่างๆ ขณะที่เด็กก็ไม่ได้ยอมรับและปฏิบัติตามแต่อย่างใด
  3. ประเด็นด้านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สำหรับ Gen Baby Boomer ส่วนใหญ่มักจะยึดติดการใช้ชีวิตภายใต้ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี เปลี่ยนแปลงได้ยากลำบาก หากชาวพุทธแล้วจะมีความเชื่อเรื่องการขึ้นสวรรค์ ตกนรก และไม่ค่อยปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน ขณะที่ Gen X ส่วนใหญ่จะสามารถปรับตัวได้เก่ง ใช้ชีวิตได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี่ มีความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ไม่ได้งมงาย ใช้ชีวิตอยู่ตามหลักของธรรมชาติและจิตวิทยา ขณะที่ Gen Z ส่วนใหญ่การใช้ชีวิตตามความเจริญของเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง หากไม่มีเทคโนโลยี่แล้วเด็ก Gen Z จะใช้ชีวิตอยู่แบบยากลำบาก

     ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างสามเจนเนอเรชั่นคือ Gen Baby Boomer Gen X Y และ Gen Z แล้วทุกฝ่ายต้องปรับตัวเข้าหากันและต้องใส่ใจสั่งสอนเด็ก Gen Z ที่เติบโตมาพร้อมๆ กับความเจริญด้านเทคโนโลยี่

     สำหรับบทความต่อไปจะเป็นเรื่องเล่าระหว่าง Gen Baby Boomer Gen X และ Gen Z  ว่าจะมีความอลเวงกันขนาดใหนติดตามกันได้ในเรื่องเล่าตอนต่อไปคะ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน
แชร์ให้เพื่อน

6 วิธีคลายเครียดด้วยดอกไม้ ใบหญ้า (ธรรมชาติบำบัด)

การใช้ชีวิตในปัจจุบันมีการแข่งขันการสูงขึ้น เริ่มตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กๆ เช่นการแข่งขันสอบวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ แข่งขันตอบคำถามในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันสุนทรภู่ วันวิทยาศาสตร์ วันลอยกระทง วันวิสาขบูชา อาสาฬบูชา สารพัดการแข่งขัน รวมถึงการสอบแข่งขันระหว่างโรงเรียนระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และสอบเข้าเรียนในสถานศึกษาต่างๆ อีกมากมาย สำหรับเด็กๆ แล้วการเรียนหนังสือนั้นเป็นความรับผิดชอบหลักทำให้เกิดความเครียดในชีวิตประจำวัน ในขณะที่พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ก็มีความเครียดด้านการทำงาน การหาเงิน รายได้ มาจุนเจือครอบครัว แข่งขันในด้านการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน เป็นต้น
ดังนั้นการมองหาแหล่งธรรมชาติ หรือพื้นที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อช่วยคลายเครียดก็เป็นอีกทางออกหนึ่งสำหรับการใช้ชีวิตในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง เรามาดูกันเลยว่า ดอกไม้ ใบหญ้าช่วยผ่อนคลายความเครียดได้อย่างไร?

ดอกไม้ ใบหญ้า ตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ

ซึ่งเราสามารถพบได้อยู่ทั่วไป เช่น ดอกไม้ ใบหญ้าข้างทาง ริมถนน ขณะขับขี่รถ เมื่อเราสังเกตเห็นดอกไม้ ใบหญ้าข้างทางหลากหลายสี จะช่วยให้เรารู้ผ่อนคลายความเครียด ความเร็วในการขับรถจะลดลงเพราะเราได้มองบรรยากาศของดอกไม้ ใบหญ้าข้างทางที่มีความหลากหลายสี ทั้งนี้ สีของดอกไม้ และใบหญ้าแต่ละชนิดจะส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกที่มีความแตกต่างกันออกไป เช่น เมื่อเราเห็นดอกกุหลาบสีแดงสด เรามักจินตนาการถึงเรื่องของความรัก ดอกบัวเราจินตนาการถึงความสงบสุข ดอกไม้สีขาวแสดงถึงความรักอันสดใสและบริสุทธิ์ ดอกไม้ ใบหญ้าตามแหล่งธรรมชาติเช่น ทุ่งดอกบัวตอง ทุ่งดอกทานตะวัน ทุ่งดอกกระเจียว ทุ่งดอกกระดาษ ทุ่งดอกทิวลิป เป็นต้น เพื่อการผ่อนคลายความเครียด มนุษย์จึงสรรหาออกไปท่องเที่ยวเพื่อชมดอกไม้ ใบหญ้าตามฤดูกาลที่เบ่งบาน สีเขียว สีเหลือง สีแดงก็ช่วยให้เกิด ความสุข ผ่อนคลายความเครียด พร้อมที่จะทำงานต่อไป

ดอกไม้ ใบหญ้าตามสวนสาธารณะต่างๆ

การออกกำลังกายตามสวนสาธารณะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายและแรงแล้ว ยังช่วยผ่อนคลายความเครียดในการชมดอกไม้ ใบหญ้า ซึ่งในเมืองหลวงนั้นมีสวนสาธารณะมากมาย เช่น สวนหลวงร.9 สวนลุมพินี สวนเบญจสิริ สวนรถไฟ เป็นต้น
ดอกไม้ ใบหญ้า จากการจัดงานต่างๆ เป็นประจำของทุกปีเพื่อให้ประชาชนได้ออกไปเดินชมดอกไม้ ใบหญ้าและจับจ่ายใช้สอย ซื้อหามาปลูก เพื่อประดับประดาบ้านช่อง ที่อยู่อาศัย ให้เกิดมงคลต่อการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ จากกรณีเรื่องของต้นไม้ด่าง เช่น กล้วยด่างมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และอีกต่อมาไม่นานขณะที่ประชาชนโดยทั่วไปหลงใหลในต้นไม้ด่าง ราคากลับลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นกัน

ดอกไม้ ใบหญ้า

จากการวางขายริมข้างถนนหนทาง ซึ่งมีหลากหลายชนิดให้จับจ่ายซื้อขายเพื่อนำมาปลูกประดับบ้าน ตราบใดที่คนยังคงมีความเชื่อเรื่องไม้มงคลต่างๆ ธุรกิจด้านดอกไม้ ใบหญ้าก็เติบโตได้ต่อเนื่อง การปลูกดอกไม้ใบหญ้านอกจากจะเป็นงานอดิเรก ความเชื่อแล้ว ยังช่วยให้เกิดอารมณ์ผ่อนคลายได้อีกด้วย
ดอกไม้ ใบหญ้า ที่นำมาปลูกเพื่อ ประดับบ้านช่องต่างๆ เช่น การปลูกต้นมะขามจะทำให้คนอื่นรู้สึกเกรงขาม การปลูกต้นมะยม ทำให้คนเกิดความนิยมชมชอบ การปลูกต้นมะละกอเป็นสิ่งไม่ดีเพราะทำให้ลูกหลานแยกบ้านเรือนออกจากบ้านเดิม การปลูกต้นพลับพลึงไม่นิยมปลูกในบ้านแต่นิยมปลูกตามวัด โรงเรียน เป็นต้น

ดอกไม้ ใบหญ้าปลอม

สามารถหาดูได้ตามสวนจตุจักรซึ่งมีมากมาย หลากหลากชนิด สามารถหาซื้อนำมาจัดบ้าน สถานที่ต่างๆ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่เหมือนดอกไม้จริงเป็นอย่างมาก ช่วยให้ลูกค้าที่มาใช้บริการผ่อนคลายความเครียดไปในตัว

ดอกไม้ ใบหญ้า นอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว ยังช่วยเพิ่มออกซิเจนในอากาศ ลดภาวะโลกร้อน ช่วยให้การใช้ชีวิตมีความสุขมายิ่งขึ้น มีอายุยืนยาวขึ้น หากชอบบทความด้านสุขภาพสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

Episodes 4 การเดินทางท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตในต่างแดนของผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

แชร์ให้เพื่อน

Episodes 4 การเดินทางท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตในต่างแดนของผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ตอน. การเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ (ภารกิจของ Rommy and Jack)

       การเดินทางท่องเที่ยว เยี่ยมญาติต่างประเทศนั้นจะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมมีการวางแผนชีวิต เกี่ยวกับด้านต่างๆ เช่น การจัดเตรียมกระเป๋าเดินทาง (สัมภาระโหลดใต้เครื่องบิน สัมภาระบนเครื่องบิน) การวางแผนกิจวัตรประจำวัน การจดจำสถานที่ต่างๆ ที่เคยไปมาแล้วหรือเป็นสถานที่ใหม่ๆ โดยการเริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนเรื่องของการจองตั๋วเครื่องบิน (สำหรับผู้เขียนนั้นยังไม่เคยเดินทางบ่อย การจองตั๋วเครื่องบินจึงต้องพึ่งพาผู้ที่มีประสบการณ์ที่เดินทางบ่อยๆ ช่วยจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พักตามโรงแรมต่าง การเช็คอินในระบบออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น

      สำหรับในบทความนี้จะกล่าวถึงเรื่องราวของ Rommy ให้ทราบพอสังเขป Rommy นั้นเป็นฉายาของผู้เขียนเกิดและเติบโตในภาคอีสานตอนล่าง ตอนเด็กๆ มักจะชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์เป็นชีวิตจิตใจในวัยประถมศึกษา และได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนในการสอบแข่งขัน ตอบปัญหาต่างๆ ซึ่งมีแพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่เราก็ยอมรับในเรื่องของกฎกติกาของการแข่งขัน จนกระทั่งเรียนจบมัธยมปลาย จึงหันเหอาชีพด้านการพยาบาล จบมาด้วยเกรดที่ไม่สู้ดีนัก ทำงานมาได้ระยะหนึ่งจึงหันเหเปลี่ยนสายงานอาชีพมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็มาจบลงด้วยการเป็นนักเขียนแบบจำเป็นนั่นเอง

       การใช้ชีวิตและการทำงานของ Rommy อาจไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่เราชื่นชอบ พร้อมๆกับการเกิดปัญหาด้านสุขภาพทำให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตโดยเริ่มต้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองแล้วนั่นเอง มีอาการหลงๆ ลืมๆ จดจำสถานที่ต่างไม่ได้ และหลงทางบ่อยๆ จำชื่อคนไม่ค่อยได้

       เรามาดูกันเลยคะว่าหาก Rommy ต้องเดินทางไปเยี่ยมญาติซึ่งต้องขึ้นเครื่องบินจะต้องเตรียมตัวและจัดการแก้ไขปัญหาอย่างไร ภายใต้ภาวะสมองที่หลงๆ ลืมๆ

  1. การจัดการเรื่องการจองตั๋วเครื่องบิน เป็นหน้าที่ของญาติในการช่วยดำเนินการให้ รวมถึงการลงทะเบียนต่างๆ ในระบบออนไลน์ ตั๋วเครื่องบินเป็นของการบินไทย มีการซื้อเพื่อขนสัมภาระเพิ่ม 30 กิโลกรัม เพื่อนำไปประกอบอาหารที่ต่างประเทศนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถเรียนรู้วิธีการประกอบอาหาร และได้รับประทานอาหารที่ถูกปากอีกด้วย (การจองตั๋วแบบฉุกเฉินและเร่งรับ 2 วันก่อนการเดินทางจึงต้องซื้อตั๋วในราคาค่อนข้างแพง)
  2. การซื้ออาหารแห้งและอาหารสด ก็มีผู้ที่มีประสบการณ์ในการเดินทางต่างประเทศช่วยเลือกซื้อและแพคใส่กระเป๋าตามคำสั่งซื้อของเด็กๆสองคน ได้มาแบบเต็มกระเป๋าถูกอก ถูกใจเด็กไทยในต่างแดนเลยก็ว่าได้
  3. การจองรถแทกซี่เพื่อเดินทางไปสนามบิน เป็นการจองแบบโทรเข้าไปจองกับนครชัยแอร์แต่สุดท้ายก็พลาดโอกาศเสียเวลาเกือบสามสิบนาที เกือบเช็คอินไม่ทัน ต้องเดินทางแบบเร่งรีบ
  4. การเช็คอิน เนื่องจากไม่สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ จึงเช็คอินผ่านเจ้าหน้าที่พร้อมโหลดกระเป๋าสัมภาระ และผ่านขั้นตอนการตรวจสัมภาระ การตรวจพาสปอร์ต จนขึ้นเครื่องบินแต่ก็มีความสับสนเรื่องการหาที่นั่ง เนื่องจากไม่ได้เดินทางต่างประเทศเป็นเวลาหลายปีมาก จึงต้องขอความช่วยเหลือจากผู้โดยสารท่านอื่นและลูกเรือ
  5. การใช้อุปกรณ์บนเครื่องบิน  เพื่อดูหนังฟังเพลง โดยการสังเกตจากผู้โดยสารท่านอื่นว่าใช้อย่างไรบ้าง ทดลองกดไปเรื่อย สุดท้ายก็จบลงด้วยการดูหนังฝรั่งจบไปหนึ่งเรื่องแบบงงๆ เอ๋อๆ และหยิบงานขึ้นมาเขียนบทเครื่องบินได้สองบทความนั่นเอง
  6. การสั่งอาหารบนเครื่องบิน หลังจากบริกรสาว สอบถามเมนูอาหาร จบลงด้วยข้าวผัดกุ้งแม้จะมีคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากไม่มีเมนูอื่นอีกแล้วที่ตรงกับโรค
  7. การเข้าห้องน้ำ เนื่องจากกินน้ำน้อยและการเดินทางเพียงแค่ 3 ชั่วโมงกว่านิดหน่อยจึงไม่ปวด แต่ก็เดินไปสำรวจดูสัญลักษณ์ สีแดงคือมีคนใช้อยู่ สีเขียวคือว่าง สามารถเข้าใช้งานได้
  8. การเดินทางเข้าเมืองของประเทศฟิลิปปินส์ มีการลงทะเบียนออนไลน์ที่ต้องลงเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด 19 (ผู้เขียนก็มีน้องสาวช่วยลงทะเบียนให้และแสกนคิวอาร์โคดผ่านขั้นตอนมาได้ด้วยดี หลังจากนั้นผ่านตม.ขอวีซ่าสำหรับผู้เขียนเดินทางครั้งนี้พักอาศัยในเมืองมะนิลาเขตมาคาตินั่นเองเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม
  9. การรับกระเป๋าเดินทางที่โหลดสัมภาระ เนื่องจากสนามบินนินอยนั้นเล็กมากจึงเดินทางหาที่รับประเป๋าเดินทางได้ไม่ยากมากนัก
  10. การประสานงานกับญาติที่เดินทางมารอรับ เนื่องจากผู้เขียนขอเปิดโรมมิ่งของทรูมาด้วยแพคเกต 999 บาทต่อเดือนความเร็ว 10 กิ๊กกะไบท์เมื่อหมดแล้วความเร็วจะลดลง จึงไม่ได้มีปัญหาทำให้เจอญาติได้อย่างรวดเร็ว
  11. การเดินทางเข้าที่พัก โดยมีน้องสาวรอรับและขับรถเข้าไปส่งที่พักได้อย่างปลอดภัย
  12. การสำรวจสถานที่ในเมืองมาคาติ มีเด็กอายุ 8 ปี และ 9 ปีเป็นคนแนะนำสถานที่พาข้ามถนน เดินทางไปกลับระหว่างบ้านพักของเค้าและที่พักของผู้เขียนซึ่งอยู่ไม่ได้ไกลกันมากนัก พร้อมแนะนำเรื่องร้านอาหารที่พวกนางเข้าซื้อกินบ่อยเช่นกัน
  13. เรื่องของเวลานั้นประเทศฟิลิปปินส์เร็วกว่าไทยประมาณ 1 ชั่วโมง
  14. สุดท้ายจบลงด้วยหลงทางอีกครั้งเนื่องจากน้องสาวพามาส่งที่พัก แต่ไม่สามารถส่งถึงที่ได้เนื่องจากทางเดินรถทางเดิน ปล่อยให้ลงเดินเข้ามาเนื่องจากที่พักมี 3 ตึกและชื่อคล้ายกันหาตึกไม่เจอ การแก้ไขโดยเปิดการใช้โรมมิ่งโทรหาญาติส่งให้ดูข้างทางเพื่อบอกเส้นทางเข้าตึกได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง

                 

สำหรับเรื่องที่พักอาศัย จะเขียนในบทความต่อไป หากสนใจบทความเกี่ยวการใช้ชีวิตหรือการเดินทางสำหรับผู้ที่มีอาการสมองเสื่อม หลงลืมบ่อยสามารถอ่านได้เพิ่มเติมที่ healthybestcare.com

      

แชร์ให้เพื่อน

9 ยารักษาโรคและอุปกรณ์สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ

แชร์ให้เพื่อน

9 ยารักษาโรคและอุปกรณ์สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ

Episodes 3 การใช้ชีวิตในเมืองหลวงหลังป่วยโควิด 19 (ปี 2566)

      การวางแผนเรื่องยารักษาโรคสำหรับการเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ คลายเครียดในต่างประเทศนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพราะหากเราเกิดเจ็บป่วยได้ป่วยแบบธรรมดา ไม่ไม่ได้มีอาการรุนแรงหรือหนักมาก เราสามารถใช้ยารักษาโรคพื้นฐานหรือที่เรียกว่ายาสามัญประจำบ้านเพื่อใช้รักษาอาการเบื้องต้น เพื่อให้การเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ คลายเครียดของเราไม่สะดุด ต้องหาซื้อยารักษาโรคที่ต่างประเทศ หรืออาจทำให้มีอาการรุนแรงต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่ต่างประเทศ เนื่องจากหากไม่ได้รับการรักษาดูแลตนเองเบื้องต้น ทั้งในกรณีของผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ 

       แม้สำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็ง ไม่เคยมีโรคประจำตัวเรื้อรัง การเดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ที่มีความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและภูมิอากาศก็ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ ดังนั้นการดูแลรักษาตนเองและใช้ยารักษาเบื้องต้นนั้นประกอบด้วยยาอะไรบ้าง เรามาดูกันได้เลยคะ

  1. ยาสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว กรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวและจำเป็นต้องกินยาหลายชนิดแนะนำให้พบแพทย์เพื่อรับใบสรุปการใช้ยาในการเดินทางไปต่างประเทศด้วยและควรเตรียมยารักษาสำหรับโรคเรื้อรังสำรองเผื่อไว้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังวีซ่าหมดอายุ จะได้ป้องกันการหาซื้อยาที่ต่างประเทศเพราะยาบางตัวจำเป็นต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ก่อนถึงจะซื้อตามร้านขายยาได้ โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
  2. ยาแก้ปวด ลดไข้ ทั่วไป อาการปวดหัว ตัวร้อน บางครั้งการกินยาสามัญประจำบ้านเบื้องต้นก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง หากอาการไม่ได้รุนแรง ยาที่แนะนำคือ ยาพาราเซตามอล ไทลินอล 
  3. ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ การเดินทางไปต่างประเทศนั้นเชื้อโรคประจำถิ่นอาจมีความแตกต่างตามสภาพอากาศเช่น เขตร้อน เขตหนาว การเจริญเติบโตของเชื้อโรคจะต่างกันไป ด้งนั้นการเตรียมพร้อมยาแก้ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ท้องอืด จะช่วยเราได้ ยากลุ่มนี้ได้แก่  Ultracarbon ช่วยในการดูดซับสารพิษในทางเดินอาหาร ลดอาการท้องผูก อึดอัด  ผงเกลือแร่ ช่วยทดแทนการสูญเสียเกลือเกลือในกรณีที่มีการถ่ายเหลวเป็นน้ำ เพราะป้องการเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกายได้
  4. ยาลดกรดในกระเพาะอาหารหรือยารักษากรดไหลย้อน เนื่องจากการเดินทางจะมีความแตกต่างของเวลาที่ร่างกายต้องปรับเปลี่ยนเวลาในการรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา และเกิดความเครียดขึ้นในระหว่างการเดินทาง อาจจำเป็นต้องใช้ยารักษาเบื้องต้นเช่น ยากาวิสคอน การเกิดอาการจุกใต้ลิ้นปี่นั้นทำให้เกิดอาการทรมานเป็นอย่างมากหากเราได้กินยากาวิสคอนจะช่วยรักษาอาการเบื้องต้นได้
  5. ยาระบายต่างๆ เนื่องจากการเดินทางอาจทำให้เกิดความเครียด การขับถ่ายไม่เป็นเวลา อาหารที่แตกต่างจากอาหารที่เคยกิน อาจทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เบื้องต้นเราสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดอาการท้องผูกสามารถหาอ่านได้เพิ่มเติมที่ healthybestcare.com สำหรับยารักษาอาการท้องผูกเช่น Senokot
  6. ยาแก้เมารถ เมาเรือ หรือเมาเครื่องบิน เพราะการเดินทางท่องเที่ยว อาจทำให้เรามีอาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบินได้ เราสามารถหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป
  7. ยากลุ่มวิตามินชนิดต่างๆ เพราะการรับประทานอาหารอาจไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน การเลือกรับประทานวิตามินก็ช่วยให้ลดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าได้ เช่นโอเมก้า 3  Cemtrum สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี วิตามินบีรวม
  8. เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรค เช่น เครื่องวัดความดัน เครื่องตรวจน้ำตาลปลายนิ้วเป็นต้น เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้หากมีอาการฉุกเฉินเช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เราสามารถให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหวาน หรือรับประทานลูกอม เพื่อแก้ปัญหาอาการฉุกเฉินนั้นได้
  9. เครื่องวัดไข้ วัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด หลังจากปัญหาการเจ็บป่วยโรคโควิด 19 ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า การใช้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถใช้ได้อย่างแพร่หลายและสามารถส่งผลเพื่อปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทางออนไลน์ได้ พลาสเตอร์ปิดแผล เป็นต้น

เพื่อให้การท่องเที่ยว พักผ่อน หย่อนใจ เกิดความสนุกสนาน และมีความสุข การเตรียมพร้อมเรื่องยารักษาโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากชอบบทความด้านสุขภาพ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com                   

 

 

แชร์ให้เพื่อน