คุณเข้าข่ายโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive compulsive disorder) หรือไม่?

แชร์ให้เพื่อน

คุณเข้าข่ายโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive compulsive disorder) หรือไม่?

เคยเป็นไหมเมื่อก้าวออกจากบ้านไปได้ซักพักแล้วมีความวิตกกังวลว่าลืมปิดน้ำ  ลืมปิดไฟ ลืมปิดประตูบ้าน ลืมปิดพัดลม ลืมปิดแอร์ เป็นต้น ต้องย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้ต้องเสียเวลาแถมเกิดความคิดวนเวียนไปมากังวลสารพัด​ แต่อาการของผู้ที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นจะมีประมาณใหนเรามาดูกันเลยค่ะ

อาการย้ำคิดมักเกิดขึ้นกับความปลอดภัยในชีวิตประจำวันและทรัพย์สินตลอดเวลาเช่น กลัวติดเชื้อโรคจนไม่กล้าออกจากบ้านไปเจอผู้คน ไม่กล้าสัมผัสสิ่งของหรือตัวบุคคล​อื่น ส่วนอาการย้ำทำนั้นมักเป็นการกระทำที่ทำซ้ำๆเพื่อกำจัดความกลัวหรือความวิตกกังวล เช่นการล้างมือบ่อยเกินความจำเป็น การใช้แอลกอฮอล์​ล้างมือฉีดทำความสะอาดมือหรืออาบน้ำบ่อยเกินไปเนื่องจากกลัวการติดเชื้อโรค หรือการเช็ดทำความสะอาดสิ่งของต่างๆบ่อยจนเกินไป เป็นต้น ที่พบเห็นได้บ่อยๆเช่นการตรวจสอบเตาแก๊ส​ ประตูหน้าต่าง อาการดึงผม สะสมขยะไว้ในบ้าน ซึ่งเป็นของที่ผู้อื่นทิ้งแล้ว ต้องคอยนับของ หรือจัดเรียงสิ่งของให้เป็นหมวดหมู่ ให้หันไปในทิศทางเดียวกัน

ผู้ที่มีอาการย้ำคิดย้ำทำนั้นมักมีความวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ จินตนาการไปเองโดยไม่มีเหตุผล​ ทำให้เสียเวลาในแต่ละวันโดยเปล่าประโยชน์ ส่งผลให้เกิดความทุกข์  มีปัญหา​ด้านการทำงาน การเรียน การเข้าสังคมหรือปฎิสัมพันธ์​กับบุคคลอื่น ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ บางรายอาจมีภาวะเครียด ซึมเศร้า​ สิ้นหวัง หรือเลิกสนใจทำในสิ่งที่ชอบหรือเคยทำ ถึงขั้นฆ่าตัวตายได้

โรคย้ำคิดย้ำทำพบได้ตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นไป ส่วนใหญ่มักมีอาการก่อนอายุ25ปี อายุเฉลี่ยที่พบช่วง 20-22 ปี สาเหตุอาจเกิดจากการทำงานของสมองและระบบ​ประสาทส่วนกลางบกพร่อง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสารสื่อประสาทที่เรียกว่า​ Serotonin บางครั้งเป็นจากพันธุกรรมแต่พบไม่บ่อยนัก
ตลอดจนสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตในวัยเด็กที่เลวร้าย

หากพบว่าเริ่มมีอาการเข้าข่ายย้ำคิดย้ำทำควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรค​และรักษาตามอาการและความรุนแรงของโรค สำหรับการรักษาจะเน้นการใช้ยาร่วมกับการบำบัดด้านความคิดและพฤติกรรม​ ที่เรียกว่า cognitive behavior therapy โดยใช้การปรับความคิดและพฤติกรรม​ทีละน้อย เน้นการเบี่ยงเบน​ให้สนใจในกิจกรรม​อื่นๆ ที่มีความผ่อนคลายความเครียดตามความสนใจของแต่ละคนเช่น การดูทีวี ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เล่นเกม ควรหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ก่อให้เกิดความกลัว แม้โรคย้ำคิดย้ำทำไม่สามารถรักษาหายขาดได้ แต่การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและการบำบัดด้วยพฤติกรรมจะช่วยให้สามารถใช้ชีวิตตามปกติสุขได้เช่นกัน

แชร์ให้เพื่อน

6 ประเด็น​ความเครียดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

แชร์ให้เพื่อน

6 ประเด็น​ความเครียดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

การลงทุน​ในสถานการณ์​ปัจจุบันของนักลงทุนรายย่อยในประเทศ​ไทยนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากประเด็นความร้อนแรงการเก็บภาษีการขายหุ้นไทยหลังมีข่าวกระทรวง​การคลังเสนอ ครม. จัดเก็บภาษีการขายหุ้น หรือ Financial Translation Tax นั่นเองซึ่งภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้น​มาตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน​ โดยเป็นภาษีธุรกิจ​เฉพาะ(Specific Business Tax) เป็นภาษีจากธุรกรรม​การขายหุ้น​(Transaction Tax) ในตลาดหลักทรัพย์​แห่งประเทศไ​ทยซึ่งคำนวนจากรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆทั้งสิ้นโดยจะต้องเสียภาษี​ในอัตรา 0.10%แม้ว่านักลงทุนจะทำรายการขายที่กำไรหรือขาดทุน​ก็ต้องเสียภาษี​ทั้งสิ้นถึงแม้จะยังไม่ได้ประกาศ​ออกมาอย่างแน่ชัดก็ตาม

ความเครียด(Stress)​หมายถึงสภาวะของอารมณ์​ความรู้สึก​ที่ถูกบีบคั้น​หรือกดดันซึ่งแต่ละคนจะปรับตัวให้ผ่านพ้นไปได้ ขณะที่ความเครียดที่จัดการไม่ได้จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเปลี่ยนเป็นภาวะซึมเศร้า​(Depressive disorder) หรือโรควิตกกังวล​(Anxiety) ตามมาได้

ในการลงทุนซื้อขายหุ้นนั้นเทรดเดอร์​จะต้องติดตามราคาหุ้น คิดและตัดสินใจ​ในแต่ละครั้งเพื่อทำรายการซื้อขายแต่เมื่อมีประเด็นการต้องเสียภาษี​ในการขายหุ้นเข้ามาทำให้นักลงทุนมีความเครียดเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีความผันผวน​สูง พฤติกรรม​ราคาไม่มีความแน่นอน โมเดลการเทรดที่เคยใช้อาจไม่ได้ผล มีความผิดพลาดได้ง่าย เกิดการขาดทุนร่วมด้วย ทำให้ตัดสินใจขายหุ้นออกมาทั้งที่ขาดทุนแถมยังต้องมีภาระทางภาษีเพิ่มเข้ามาอีกด้วย

นักลงทุนสามารถสังเกต​ตนเองว่าเกิดความเครียดได้อย่างไร?

  1. นอนไม่หลับ เมื่อเกิดความเครียด​ขึ้นจะส่งผลต่อคุณภาพ​การนอนหลับ​พัผ่อนหากนอนไม่หลับเป็นระยะ​เวลานานจะส่งผลต่อสุขภาพตามมาเกิดภาวะซึมเศร้า​หรือมีความเครียดรุนแรงตามมาได้
  2. มีอารมณ์​ฉุนเฉียว​ โกรธ หงุดหงิด สับสน มีโทสะ ไม่พอใจ ต้องการแก้เกมเพื่อให้ชนะตลาดถ้ามีอาการแบบนี้ให้หยุดเทรดเพื่อตั้งสติแล้วหันมาพิจารณา​ตนเองก่อน
  3. มีความวิตกกังวล​หรือเศร้าหมอง ทำให้นักลงทุนไม่มีความสุข เศร้าหรือวิตกกังวลกับเรื่องการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
  4. พฤติกรรม​เปลี่ยนไป จากการรวมตัวของรายย่อยในพันทิป​ไม่ซื้อขายหุ้นในวันที่8ธันวาคม2565ที่ผ่านมาเพื่อประท้วงหลักการเก็บภาษีขายหุ้นส่งผลให้การซื้อขายในวันนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรม​การเบื่อยหน่ายและปิดกั้นตนเอง ไม่ร่าเริง ไม่พูดหรือนิ่งเงียบ
  5. ความเครียดดังกล่าวอาจแสดงออกทางกายโดยการหายใจถี่ขึ้น​หรือการกลั้นหายใจ​โดยไม่รู้ตัว​ปวดท้อง อาเจียน หรือปวดศีรษะ​ได้
  6. หากเป็นความเครียดที่รุนแรงทำให้เกิดการฆ่าตัวตายตามมาได้

 

การดูแลตนเองและการจัดการกับความเครียดของนักลงทุน​มีดังนี้

  • วิเคราะห์​หาสาเหตุ​ของความเครียดหากเกิดจากประเด็นการเสียภาษี​จากการขายหุ้นนักลงทุนแก้ปัญหาได้โดยลดการขายหุ้นลงหรือลงทุนทุนให้ยาวนานขึ้นโดยกำหนดว่าจะขายหุ้นออกมาเมื่อมีผลกำไรเท่านั้น
  • วางแผนล่วงหน้า​แบบหลักการเบื้องต้น​คือการสร้างระบบเทรดของตนเอง(Trading System) มีการบริหาร​ความเสี่ยง และกำหนดจุดเข้าซื้อหรือการขายทำกำไรหรือจุดขาดทุนที่ชัดเจน​
  • การทบทวน​สิ่งที่เกิดขึ้นโดยนักลงทุนใช้ทักษะการรับมือในสถานการณ์​ที่คับขันหรือเผชิญ​ในตลาดผันผวน​สูง โดยการจดบันทึก​สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งช่วงที่ทำกำไรได้และการขาดทุนเพื่อนำมาพัฒนาระบบการเทรดและวางแผนการลงทุนในอนาคต
  • ออกกำลังกายครั้งละ30นาทีหลังการเทรดในแต่ละวันหรือหากิจกรรม​อื่นแทนเพื่อเป็นการระบายความเครียดเช่นการทำกิจกรรม​สันทนาการ​ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยวเป็นต้น
  • นอนหลับพักผ่อน​ให้เพียงพอในแต่ละวัน นักลงทุนบางคนลงทุนในต่างประเทศด้วยซึ่งทำให้มีเวลานอนหลับพักผ่อน​ไม่เพียงอาจส่งผลต่อสุขภาพ​ได้
  • พบปะ​กับเพื่อนฝูงเพื่อเป็นการระบายปัญหาต่างๆ(หากเพื่อนรับฟังปัญหาเราได้)​
  • หากพบว่าไม่สามารถจัดการกับความเครียด​ได้ด้วยตนเองควรปรึกษาจิตแพทย์​อาจจำเป็นต้องรับยามารับประทาน​เพื่อบรรเทา​อาการเครียด​หรือวิตกกังวล

แม้ว่าปัญหา​ทางการเงินจะเป็นปัญหาโลกแตกที่แก้ไขยากแต่การจัดการทางการเงินโดย การหาเงิน การเก็บเงิน และการใช้จ่ายเงินเพื่อให้เกิดความสมดุล​ทางการเงินก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันแต่เหนือสิ่งอื่นใดมนุษย์​เราไม่สามารถ​ที่จะทำงานหาเงินตลอดได้ทั้งชีวิตดังนั้นการเลือกวิธีการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยมีไว้ใช้จ่ายในยามแก่ชราก็จำเป็นเช่นกัน

แชร์ให้เพื่อน

3 ประเภทของอาหารช่วยปรับสมดุลของร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

3 ประเภทของอาหารช่วยปรับสมดุลของร่างกาย

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการดำรง​ชีวิตของมนุษย​์ ดังนั้นการเลือกรับประทาน​อาหารให้เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะโรคต่างๆตามมาเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง  โรคเบาหวาน โรคไตวาย ดังคำกล่าวที่ว่า  **You are what you eat**
จะเห็นได้ว่าชนิดของอาหารที่เลือกรับประทานในแต่ละภูมิภาค​ในโลกนั้นมีความแตกต่าง​กันตามสิ่งแวดล้อมเช่น การอยู่อาศัยในภูมิอากาศ​หนาวเหมาะสำหรับการเลือกรับประทาน​อาหาร​ที่มีไขมันสะสมในร่างกายเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น แต่ไม่เหมาะที่จะเลือกรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งจะเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในภูมิภาค​เขตร้อนมากกว่า
การเลือกรับประทานอาหารคลีน อาหารมังสวิรัติ​และอาหารเจช่วยปรับสมดุลของร่างกายได้อย่างไรบ้างมาอ่านกันเลย

● อาหาร​คลีน ​(Clean food)​

คืออาหารที่ผ่านการปรุงแต่งหรือแปรรูปน้อยที่สุด อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารสด​สะอาดผ่านการปรุงแต่งน้อยหรือ​ไม่ผ่านการปรุงแต่งเลย เน้นรสชาติ​ที่เป็นธรรมชาติ​ของอาหารเป็นหลักไม่ผ่านกระบวนการ​หมักดองหรือปรุงรสใดๆมากจน​เกินไป​เช่น รสเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด มันจัด เป็นต้น ดังนั้นการรับประทานอาหารตามปกติและถูกต้องตามหลักโภชนาการ​ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงปราศจาก​โรคภัยไข้เจ็บได้ หัวใจสำคัญในการเลือกรับประทานอาหาร​คลีน​นั้นคือการรับประทานอาหารให้ครบหลักห้าหมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการสารอาหารของร่างกายในแต่ละวัน ไม่ใช่เน้นการรับประทานผักเยอะๆเพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่าอาหารคลีนนั้นเหมาะสำหรับคนที่อ้วนเนื่องจากไม่ผ่านการปรุงแต่งเติมไขมัน ความหวาน ความเค็ม เพราะอาหารคลีนมีส่วนประกอบ​ที่เป็นธรรม​ชาติ​มากที่สุด หากผ่านการปรุง​แต่งก็จะน้อยมากจึงเหมาะสำหรับ​ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมัน และคนที่สนใจและใส่ใจในการดูแลสุขภาพเป็นหลัก
หัวใจสำคัญสำหรับคนที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​การรับประทานอาหารปกติมาเป็นการรับประทานอาหารคลีนมีดังนี้คือ
1.เลือกดื่มน้ำสะอาด​แทนการดื่มเครื่องดื่มชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม และน้ำหวานประเภทต่างๆ
2.ควรค่อยๆลดอาหารประเภท​หมักดอง อาหารกึ่งสำเร็จรูป​และเน้นรับประทาน​อาหารที่สดและใหม่แทน
3.ควรค่อยๆปรับเปลี่ยนรสชาติของอาหารเช่นผู้ที่รับประทาน​อาหารรสจัด​ให้พยายามลดเครื่องปรุงลงจนไม่ปรุงเลยหรือปรุงให้น้อยที่สุด
4.ควรเลือกรับประทานอาหารกลุ่มผัก และผลไม้สดให้มากขึ้นเนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งรสชาติ​ของอาหาร
5.ก่อนการรับประทานอาหารสำเร็จรูป​ต้องอ่านฉลากทุกครั้งเพื่อเลือกส่วนผสมให้น้อยที่สุดและผ่านกรรมวิธี​น้อยที่สุด
6.ควรหลีกเลี่ยงกลิ่น สี รส ปรุงแต่ง หรือกลุ่มที่มีโซเดียมในปริมาณ​มากเกินไป
ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนมารับประทานอาหารคลีนต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป​ไม่ควรหักดิบเพราะการลดอาหารปกติอย่างเฉียบพลัน​อาจมีผลเสียมากกว่าผลดีเช่น ทำให้ไม่มีแรง เกิดอาการหิวบ่อย มีอารมณ์​หงุดหงิด​ คุณภาพ​ชีวิตแย่ลง นอกจากการรับประทานอาหาร​คลีนช่วยปรับสมดุลของร่างกายแล้วอย่างลืมออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและฝึกสมาธิช่วยให้สุขภาพ​จิตดีขึ้นด้วย


● อาหาร​มังสวิรัติ​

คืออาหารจำพวกผักและผลไม้และไม่มีเนื้อสัตว์​เลย อาหารกลุ่มมังสวิรัติ​เลือกรับประทาน​ส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยข้าวและผลิตภัณฑ์​จากข้าวหรือจากถั่วเช่นเต้าหู้หรือเมล็ดฟักทอง​หรือทานตะวัน​เป็นต้น
อาหาร​มังสวิรัติ​แบ่งออกเป็น3ประเภท​หลักๆคือ
1.มังสวิรัติ​ประเภท​เคร่งครัด​เป็นกลุ่มที่รับประทานอาหาร​จำพวกพืชผัก และผลไม้เพียงอย่างเดียว ไม่มีอาหารจำพวก​เนื้อสัตว์ ​ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์​จากไข่หรือนมเป็นส่วนประกอบเลย
2.มังสวิรัติ​ประเภท​ที่มีการดื่มนม เป็นกลุ่มที่รับประทานนมและผลิตภัณฑ์​จากนมเพิ่มเติมเข้ามาแต่ไม่มีเนื้อสัตว์หรือไข่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
3.มังสวิรัติ​ประเภท​ดื่มนมและกินไข่ อาหารมังสวิรัต​กลุ่มนี้มีไข่ นมและมีผลิตภัณฑ์​จากนมหรือไข่นอกเหนือจากผักหรือผลไม้เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์​เลยเช่นกัน

โดยกลุ่มที่รับประทาน​มังสวิรัติ​จะได้โปรตีนจากพืชตระกูล​ถั่วเมล็ดแห้งเช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ​ถั่วลิสง เป็นต้น
ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มผู้รับประทานอาหาร​มังสวิรัติจะ​ช่วยลด​ความเสี่ยง​การเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง​ โรคเบาหวาน โรคอ้วน ผลการวิจัยในกลุ่มที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ​ประเภทเคร่งครัด​มีภาวะพร่องวิตามินบี12และแร่ธาตุ​เหล็กฉะนั้นจึงควรเพิ่มแร่ธาตุ​และวิตามินที่เป็นเม็ดทดแทนได้


● อาหารเจ

หรือที่เรียกว่ากินเจ เป็นการไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เน้นอาหารที่ปรุงมาจากพืชผัก​ธรรมชาติ​ล้วนๆไม่มีเนื้อสัตว์เลย รวมถึงงดการปรุงด้วยผักฉุน 5 อย่างได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยช่าย ใบยาสูบ ซึ่งผักทั้ง5อย่างนี้มีพิษทำลายพลังธาตุ​ทั้ง5ในร่างกาย​ทำให้อวัยวะภายในร่างกาย​ทั้ง5ทำงานผิดปกติ​
ประโยชน์​ของการกินเจนั้นมีมากมายดังต่อไปนี้คือ
1.ให้พลังเย็นในร่างกาย​ซึ่งเป็นน้ำตาลฟรุกโตสที่มีมากในผักและผลไม้
2.ช่วยในการระบายและขับของเสีย ลดสารพิษตกค้างในร่างกายเนื่องจากพืชและผัก ผลไม้มีกากใยสูงช่วยลดการเกิดโรคริดสีดวง​ทวารหนัก​ได้
3.ผู้ที่กินเจร่างกายสามารถต้านทานพิษต่างๆได้สูงกว่าคนปกติทั่วไปซึ่งได้แก่ ยาฆ่าแมลง​  ยากำจัดศัตรูพืช​ เป็นต้น
4.ช่วยให้มีสติมั่นคง มีสมาธิ ไม่ประมาทเลินเล่อ​ช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ​ต่างๆ

จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น​ในมุมมองของผู้เขียนนั้นมีความเห็นว่าการเลือกรับประทานแบบสายกลางนั้นน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารเพื่อช่วยปรับ​สมดุล​ของร่างกาย คือการกำหนดวันในหนึ่งสัปดาห์​ซึ่งมีเจ็ดวันสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลเช่นเลือกกินคลีนในวันที่ใช้พลังงานน้อยๆเช่นวันหยุดสุดสัปดาห์​ต่างๆ เลือกกินเจและกินมังสวิรัติ​สองวันในหนึ่งสัปดาห์​และกินอาหารปกติธรรมดา​สามวันในหนึ่งสัปดาห์​เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและปรับสมดุล​ของร่างกายทั้งนี้ยังช่วยให้มีสุขภาพ​ร่างกายแข็งแรงและลดภาวะการเจ็บ​ป่วย​จากโรคภัยไข้เจ็บ​ต่างๆได้อีกด้วย

 

แชร์ให้เพื่อน

รู้ก่อนเลือกซื้อผัก ผลไม้สดมารับประทานให้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงหรือสารตกค้าง

แชร์ให้เพื่อน

รู้ก่อนเลือกซื้อผัก ผลไม้สดมารับประทานให้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงหรือสารตกค้าง

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาวของประเทศไทย พืชผักเพาะปลูกได้ง่าย โตไว น่ารับประทาน เมื่อไปซื้อผักสดที่ตลาดมาปรุงอาหารมีหลากหลายให้เลือกซื้อจึงขอเตือนให้ระมัดระวังการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ในผักและผลไม้สดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเนื่องจากเกษตรกร​หรือผู้ผลิตบางรายใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดศัตรูพืช​และมีการเก็บเกี่ยวผลผลิต​โดยไม่เว้นระยะก่อนการเก็บเกี่ยวตามเวลาที่กำหนดส่งผลให้มียาฆ่าแมลง​ตกค้าง​ในพืขผัก ผลไม้ที่เกินค่ามาตรฐาน​ที่กำหนดและอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้

ยาฆ่าแมลง​ที่นิยมใช้ในทางการเกษตร​มีด้วยกัน 4 กลุ่มคือ

  • กลุ่มออร์กาโนคลอรีน​
  • กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต​
  • กลุ่มคาร์บาเมต
  • กลุ่มไพรีทรอยด์

พิษที่เกิดขึ้นต่อร่างกายเมื่อเกิดการสะสมของยาฆ่าแมลงในร่างกายของผู้บริโภค​เป็นระยะเวลา​นานคือ

  • ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บระคายคอ
  • อ่อนเพลีย เมื่อยล้าตามร่างกาย ปวดกระดูก
  • ปวดหัว มึนงง เวียนหัว หน้ามืด ตาลาย
  • พิษ​ต่อระบบประสาททำให้เดินเซเสียความรู้สึก กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย หายใจลำบากแน่นหน้าอก

การเลือกซื้อผัก ผลไม้สดมารับประทานเพื่อให้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง​และวิธีการล้างทำความสะอาดก่อนนำมาบริโภค​มีดังต่อไปนี้คือ

  • เลือกซื้อ​สินค้า​ผัก ผลไม้สดจากร้านค้าที่ได้มาตรฐาน​เพาะปลูกแบบอินทรีย์​ มีตราเครื่องหมายปลอดสารพิษ
  • หรือเพาะปลูกไว้รับประทานเองในครัวเรือน
  • การเลือกซื้อผัก ผลไม้สดที่สะอาด ใหม่​ไม่มีกลิ่นฉุนแสบจมูก​ไม่มีสีผิดไปจากธรรมชาติ​ของผักหรือผลไม้ชนิดนั้นๆ
  • ผัก ผลไม้สดไม่มีคราบสีขาวที่อาจเป็นคราบของยาฆ่าแมลง​ตกค้าง
  • เมื่อซื้อมาจากตลาดก่อนนำมาบริโภค​ควรล้างทำความสะอาด​ด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านและถูเบาๆหรือใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน น้ำส้มสายชู​1ช้อนโต๊ะ​ต่อน้ำสะอาด4ลิตรแช่ผักผลไม้ทิ้งไว้10นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดสะเด็ดให้แห้ง
  • ใช้เกลือแกง1ช้อนโต๊ะ​ผสมน้ำสะอาด4ลิตรแช่ผักผลไม้ทิ้งไว้10นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดสะเด็ด​ให้แห้ง
  • ลดสารพิษตกค้าง​ด้วยด่างทับทิมประมา​ณ25เกล็ดผสมน้ำสะอาด​4ลิตรแช่ผักหรือผลไม้ทิ้งไว้10นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดสะสะเด็ดน้ำให้แห้งก่อนนำมารับประทาน​
  • กรณีผักที่ห่อเช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ควรเด็ดออกล้างน้ำสะอาดเป็นใบๆเพื่อล้างยาฆ่า​แมลงตกค้างหรือสารพิษ​ที่ปนเปื้อน
  • กรณีผลไม้เป็นลูกๆควรเปิดน้ำสะอาดให้ไหลผ่านโดยใส่ตะกร้าขณะเดียวกันใช้มือถูล้างเบาๆสะเด็ด​น้ำให้แห้งก่อนนำมารับประทาน​

7 กลุ่มผัก ผลไม้ที่มียาฆ่าแมลงตกค้างสูงสุดที่ผู้บริโภค​ควรใช้ความระมัดระวัง​ในการเลือกซื้อมาบริโภค​ได้แก่
1.พริกสดชนิดต่างๆ
2.ถั่วฟักยาว
3.คะน้า
4.มะเขือยาว
5.มะเขือเทศ
6.ส้ม
7.มะเขือเปราะ

จะเห็นได้ว่าผักสดที่พบยาฆ่าแมลง​ปนเปื้อนมากที่สุดใน7กลุ่มแรกนั้นผู้บริโภค​สามารถหลีกเลี่ยง​ได้โดยหันการเพาะปลูก​เพื่อรับประทานเองในครัวเรือนและประหยัดค่าใช้จ่าย​ได้ด้วยผักบางชนิดปลูกครั้งเดียวสามารถ​เก็บกินได้หลายปีเช่นมะเขือชนิดต่างๆเป็นต้น ทั้งยังปลอดจากสารพิษตกค้าง​อีกด้วย

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

สารฟอร์มาลิน(Formalin)​ กับอาหารสด มากเกินไปเสี่ยงสารก่อมะเร็งในร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

สารฟอร์มาลิน(Formalin)​ กับอาหารสด มากเกินไปเสี่ยงสารก่อมะเร็งในร่างกาย

จากข้อมูลข่าวสารการบุกจับพ่อค้าหัวใสใช้สารฟอร์มาลินแช่เครื่องในสัตว์ที่ใช้ในธุรกิจ​การขายอาหารประเภทปิ้งย่างรายใหญ่แห่งหนึ่งในเขตอำเภอของภาคตะวันออกของประเทศไทยนั้น
เรามาดูว่าสารฟอร์มาลินนั้นเป็นอย่างไรมีผลต่อสุขภาพอย่างไรเมื่อปนเปื้อนมากับอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน

สารฟอร์มาลินจัดเป็นสารเคมีที่มีพิษต่อร่างกายประกอบด้วยก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ เมทิลแอลกอฮอล์​ มีลักษณะ​ใส กลิ่นฉุน แสบจมูกและตา ถ้าได้รับในปริมาณเข้มข้นสูงมีฤทธิ์ทำลายเซลล์​ต่างๆของร่างกายทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด  และการได้รับสารฟอร์มาลินสะสมในร่างกายในระยะเวลานานก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

สารฟอร์มาลินใช้สำหรับการฆ่าเชื้อโรค ดองซากสัตว์ให้เน่าเปื่อยช้าลง เรามาดูกันว่าสารฟอร์มาลินใช้ในกลุ่มใหนบ้าง?

  • ใช้ในทางวงการแพทย์​ การใช้สารฟอร์มาลินในวงการแพทย์นั้นใช้การดองชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ หรือดองซากศพช่วยให้เน่าเปื่อยช้าลง และใช้ในการอบทำความความสะอาดห้องต่างๆเพื่อฆ่าเชื้อโรค
  • ใช้ในทางวงการ​อุตสาหกรรม​สิ่งทอ การใช้สารฟอร์มาลินเป็นน้ำยาอาบผ้าช่วยไม่ให้เนื้อผ้ายับย่น
  • ใช้ในทางวงการทางการเกษตร การ​ใช้สารฟอร์มาลินช่วยรักษาเมล็ดพันธุ์​พืชจากโรคและเชื้อรา แมลง หลังการเก็บเกี่ยวโดยเน้นการรักษาเมล็ดพันธุ์​พืชเพื่อในการเพาะปลูก

จะเห็นได้ว่าสารฟอร์มาลินนั้นไม่ได้นำมาใช้ในการถนอมรักษาอาหารให้มีความสด ไม่เน่าเปื่อยแต่มีคนบางกลุ่มนำมาใช้เพื่อลดต้นทุนเนื่องจากมีราคาถูกและเก็บสินค้าไว้ขายได้นานโดยนำมาใช้กับอาหารจำพวกต่างๆดังต่อไปนี้คือ

  • ผักสด ผลไม้สด เช่น แตงกวา ผักกาดขาว กะหล่ำปลี คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ต้นหอม ผักชี เป็นต้น
  • อาหารทะเล ปลา เช่น ปลาหมึก กุ้ง ปลาทู เป็นต้น
  • เนื้อสัตว์ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และ เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
    เวลาซื้ออาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้สด อาหารทะเลที่ไม่ได้แช่เย็นแต่มีความสดได้อย่างอมตะ​นิรันดร์การนั้นแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติอาจเจอสารฟอร์มาลินปนเปื้อนได้

ข้อแนะนำในการเลือกซื้ออาหารสดมารับประทานเพื่อให้ปลอดภัยจากสารฟอร์มาลินมีดังต่อไปนี้

  • กลุ่มเนื้อสัตว์ที่วางขายเมื่อถูกแดด หรือลมแต่ยังคงสดอยู่ไม่ควรเลือกซื้อมาประกอบอาหาร หากเป็นอาหารทะเลมีบางส่วนยังแข็งอยู่และบางส่วนเปื่อยยุ่ยไม่ควรเลือกซื้อมาประกอบอาหารเช่นกัน
  • อาหารประเภทผัก  ผลไม้สด ที่มองดูเขียวสด กรอบผิดปกติแนะนำให้ดมดู ถ้ามีกลิ่นแสบจมูกไม่แนะนำให้ซื้อมาประกอบอาหารเพื่อรับประทาน
  • เมื่อซื้ออาหารสดประเภท ผัก ผลไม้มาจากตลาดควรแช่ ล้างทำความสะอาดด้วยสารละลายด่างทับทิมแบบเจือจาง(หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป)​แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาประกอบอาหาร
  • อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ปลา อาหารทะเล ล้างทำความสะอาดโดยใช้น้ำที่ล้างเพื่อตรวจสอบสารฟอร์มาลินปนเปื้อนโดยใช้ชุดตรวจสอบสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป

จะเห็นได้ว่าการซื้ออาหารสดมาประกอบอาหารในปัจจุบันนี้ไม่ปลอดภัย จึงแนะนำควรเพาะปลูกเองเพื่อรับประทานในครัวเรือน เช่นกลุ่มผักสดชนิดต่างๆ ซึ่งปลูกง่ายช่วงฤดูหนาวโดยการปลูกใส่กระถางหรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จำเป็นต้องซื้อมารับประทานควรล้างทำความสะอาดด้วยสารละลายด่างทับทิมหรือใช้ชุดตรวจสอบสารฟอร์มาลินที่ปนเปื้อนมากับอาหารสดโดยหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไปเพื่อให้ปลอดภัยจากสารฟอร์มาลินสะสมในร่างกายและห่างไกลจากโรคมะเร็งได้อีกด้วย

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

โรคมะเร็ง​ปอด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูง

แชร์ให้เพื่อน

โรคมะเร็ง​ปอด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูง

มะเร็งปอดเป็นปัญหา​สำคัญทางระบบสาธารณสุข​ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเป็นสาเหตุ​การตายจากโรคมะเร็ง​ในอันดับต้นๆของโลกมีแนวโน้ม​เกิดอุบัติการณ์​สูงขึ้นเรื่อยๆในทุกปีและพบบ่อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิง​
ความหมายของโรคมะเร็งปอด เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ของร่างกายโดยเฉพาะที่ปอดมีความผิดปกติ หรือสาร​พันธุกรรม​ส่งผลให้เซลล์​ที่ปอดมีการแบ่งตัว เพิ่มจำนวน​เซลล์​อย่างรวดเร็วและมากกว่าปกติ ทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติและเกิดการตายของเซลล์​ในก้อนเนื้อนั้น เซลล์​มะเร็งมีการเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงโดยไม่​สามารถ​ควบคุม​ได้และสามารถที่จะแพร่กระจายไปสู่อวัยวะ​อื่นๆที่อยู่ใกลออกไปแสดงอาการออกมาให้เห็นได้

สาเหตุ​ของโรคมะเร็งมีอะไรบ้าง?
การตรวจพบมะเร็ง​ปอดส่วนใหญ่พบในระยะที่แพร่กระจาย​แล้วซึ่งมีโอกาสน้อยที่จะรักษาให้หายขาดได้ เกิดความสูญเสีย​ทรัพยากร​และงบประมาณ​ที่ใช้ในการรักษาสูงมาก

  • ควันบุหรี่ จากการสูบบุหรี่​หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อม​ที่มีควันบุหรี่​
  • โรคประจำตัวอื่นๆเช่นถุงลมโป่งพอง มะเร็งชนิดอื่นๆ เป็นปัจจัย​เสี่ยงทำให้เกิดมะเร็งปอดมากขึ้น
  • การได้รับมลภาวะทางอากาศ​ในสิ่งแวดล้อม​หรือสารพิษ​เช่น ควันบุหรี่​ ฝุ่นละอองและไอระเหยจากสารเคมีที่เป็นโลหะหนักนิกเกิล โครเมี่ยม​ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์​ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม​ 
  • อายุ
  • พันธุกรรม​ ประวัติบุคคล​ในครอบครัวผู้ที่พ่อแม่หรือพี่น้องป่วยด้วยโรค​มะเร็ง​ปอดมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดแม้ไม่มีประวัติการสูบบุหรี่มาก่อน อาจมีความสัมพันธ์​ด้านสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยหรือพันธุกรรม​อันเป็นต้นเหตุ​ของการเกิดมะเร็งได้
    อาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ที่พบได้บ่อยและเฝ้าระวังมีอะไรบ้าง?
  • มีอาการไอ เหนื่อย อ่อนเพลีย​  น้ำหนัก​ลด
  • มีอาการไอเป็นเลือด ภาวะซีด
  • ตรวจพบก้อนในปอดหรือมีน้ำในปอดร่วมด้วย
  • อาจตรวจพบมะเร็ง​ที่ตำแหน่วอื่นๆ ของร่างกาย​ร่วมด้วย

การรักษาโรคมะเร็ง​ปอด
เนื่องจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดส่วนใหญ่ที่มารับการตรวจครั้งแรกมักพบระยะการแพร่กระจายแล้วดังนั้นการรักษา​จึงเน้นการประคับประคองด้านร่างกายและจิตใจ​(Palliative care)เพื่อมุ่งหวัง​ให้ผู้ป่วยมีอาการและ มีคุณภาพชีวิต​ที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่มระยะเวลาการมีชีวิต​ให้ยาวนาน​ขึ้น

  • การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
  • การรักษาด้วยการฉายรังสี (Radiotherapy)​
  • การรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด​( Chemotherapy) พบว่าได้ประโยชน์​อย่างมีนัย​สำคัญ​ทางสถิติ
  • การรักษา​แบบเฉพาะเจาะจง​
  • การรักษาด้วยการให้ยาภูมิ​คุ้มกัน​บำบัด

การรักษาแบบประคับประคอง​(Palliative care) มีแนวทางอย่างใรบ้าง?

  • เน้นการดูแลแบบองค์รวม ทั้งร่างกาย อารมณ์​ สังคม และจิตวิญญาณ​
  • เน้นการดูแลทั้งครอบครัว​เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังและร้ายแรง
  • เคารพ​สิทธิ​ผู้ป่วยและคนในครอบครัว​รับทราบผู้มูลการเจ็บป่วย
  • ให้การดูแลแบบสหวิชาชีพ ประสานงาน​ระหว่างบุคลากร​สาธารณสุข​หลายสาขา
  • ดูแลต่อเนื่องในระยะแรกของโรคจนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต
แชร์ให้เพื่อน

5 ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม​ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

แชร์ให้เพื่อน

5 ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม​ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมีความเกี่ยวข้องกับ5 พฤติกรรม​ที่อาจปรับเปลี่ยนได้
ปัจจัย​เสี่ยง คือต้นเหตุ​หรือสาเหตุ​ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
พฤติกรรม​(Behavior) หมายถึง การกระทำที่บุคคลแสดงออกเพื่อตอบสนองสิ่งกระตุ้นซึ่งการกระทำนั้นอาจมีทั้งที่พึงประสงค์​และไม่พึงประสงค์ การแสดงออกนั้นสามารถสังเกตเห็น​และวัดผลได้

1.ความอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินนิสัยหรือพฤติกรรม​ที่ทำให้อ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองลองปรับเปลี่ยนดูนะคะ

  • ให้รางวัลกับชีวิตด้วยการกินอาหาร เช่นเมื่อทำอะไรสำเร็จหรือได้โบนัส​เลือกไปกินเลี้ยงอาหารามร้านชาบู​ หมูกะทะ โดยกินทั้งทีต้องคุ้มค่าภายในเวลาที่จำกัดจึงต้องกินเร็ว เสียดายของ เมื่อกินของคาวแล้วตามด้วยขนมหวาน หรือไอศกรีม​ทำให้ได้จำนวนแคลอรี่​ต่อวันมากเกินไปจึงเกินการสะสมในรูปของไขมันทำให้อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
  • ประเภทของอาหารชอบกินอาหารมัน ทอด ขบเคี้ยวที่นั่งกินเล่นขณะดูทีวีหรือเล่นอินเทอร์เน็ต​ อ่านหนังสือทำให้มีความเช่นกินป๊อบคอร์น​1 ถังใหญ่กับโค๊กหรือมันฝรั่งทอดมีความสุขและเพลิดเพลิน​ในการกินทำให้อ้วนหรือน้ำหนักเกินได้
  • เครียดแล้วกินอาหาร หลังออกกำลังกายแล้วกินอาหารตามใจโดยไม่ได้ควบคุมหรือจำกัดอาหารที่ทำให้อ้วนง่าย

2.ภาวะเครียด​ เมื่อเกิดความเครียดทำให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง​หรือหลายส่วนของร่างกายทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมอง

  • หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น หายใจเร็วและแรงขึ้นแต่หายใจตื้นๆ
  • มีการขับฮอร์โมน​และอะดรีนาลีน​เข้าสู่กระแสเลือด
    การลดความเครียดโดยการฝึกบริหารการหายใจสูดหายใจเข้าช้าๆและยาวๆและเป่าลมออกทางปาก หรือฝึกสวดมนต์​นั่งสมาธิ เดินจงกรม ลดอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำให้เครียด ฝึกเป็นคนมองโลกในแง่ดี​เปลี่ยนแปลง​นิสัยให้มีความยืดหยุ่น​มากขึ้น

3.ขาดการออกกำลังกาย การไม่ออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงาน หรือลดกระตุ้นการทำงานของหัวใจ เกิดปัจจัย​เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองดังนี้คือ

  • หลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะลดไขมัน LDL cholesterol ซึ่งไปจับที่ผนังหลอดเลือด​ ลดหลอดเลือด​แข็งตัวและตีบแคบนำไปสู่​โรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองได้
  • ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ มีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้อ้วน เพิ่มการสะสมของไขมันเหลวในร่างกาย​สูงขึ้น
  • ทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ลดการหลั่งสารความสุขเช่นเอนโดรฟิน​ หรือซีโรโทนินในสมองที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
  • ทำให้ร่างกาย​มีความดันเลือดสูงขึ้น

4.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์​ การดื่ม​แอลกอฮอล์​ที่มากเกินไปเกิดปัจจัย​เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองดังนี้

  • ทำให้หัวใจเต้นและบีบตัวไม่ปกติ เต้นเร็วเกินไป​และทำให้ขาดวิตามินบีหนึ่งส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  • ทำให้หลอดเลือดขยายตัว​ ไขมันในหลอดเลือดแข็งตัว​ได้ง่าย​ขึ้น​เกิดเส้นเลือดตีบหรือแตกง่ายเกิดอัมพฤกษ์​อัมพาต​

5.พฤติกรรม​การสูบบุหรี่​ การสูบบุหรี่ทำให้มีปัจจัย​เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองดังนี้คือ

  • สารนิโคติน​ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติและมีความดันเลือดสูง​ขึ้นส่งผลให้เกิดหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบ ขาดเลือดไปเลี้ยง ในระยะยาว
  • มีสารนิโคติน​ในควันบุหรี่​ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง​ของหลอดเลือด​ทั่วร่างกาย​โดยค่อยๆตีบและเกิดการหนาตัวของผนังหลอดเลือด จนเกิดการตีบตันของเส้นเลือดทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆร่างกาย​ได้น้อยลงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบตามมาได้
    ทำไมคนถึงเลือกสูบบุหรี่? เนื่องจากไม่ตระหนักถึง​ผลร้ายที่อาจเกิดขึ้น คิดว่าตนเองแข็งแรงและเป็นค่านิยม ความเชื่อว่าการ​สูบบุหรี่​ช่วยลดอารมณ์เครียด ช่วย​ผ่อนคลาย​ความเครียด​ เป็นนิสัยความเคยชินหลังอาหารต้องสูบบุหรี่​

เรารู้แล้วว่าพฤติกรรม​ทั้งห้าเป็นต้นเหตุ​ที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ​และหลอดเลือด​สมองฉะนั้นเราควรปรับเปลี่ยน​พฤติกรรม​ดังกล่าวเพื่อช่วยให้ร่างกาย​แข็งแรงและมีชีวิต​ที่ยืนยาว​ขึ้น

แชร์ให้เพื่อน

ประโยชน์ของกะหล่ำปลี​ (cabbage)​ ผักพื้นบ้านของไทย

แชร์ให้เพื่อน

ประโยชน์ของกะหล่ำปลี​ (cabbage)​ ผักพื้นบ้านของไทย

กะหล่ำปลี​เป็นผักพื้นบ้านของไทยสามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล​ มีชนิดสีเขียวและสีม่วง อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเค วิตามินบี6 โฟเลต แมงกานีส​
ไม่แนะนำให้รับประทานดิบเพราะมีสารพิษ​ที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goitrogen)​ที่ขีดขวางการดูดซึมไอโอดีน อาจทำให้เกิดโรคคอพอกได้ ถ้ารับประทานบ่อยและมีปริมาณมากเกินไป การรับประทานสุกโดยการนึ่งจะช่วยให้สารพิษ(Goitrogen)​ถูกทำลายลงได้และช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารได้ดีกว่าวิธีการต้มสุก

ประโยชน์ของกะหล่ำปลี​ผักพื้นบ้านของไทย

  • ผักกะหล่ำปลีช่วยลดน้ำหนักและลดระดับคอเลสเตอรอล​ในเลือดได้
  • ผักกะหล่ำปลี​ช่วยล้างสารพิษ​ในร่างกาย
  • ผักะหล่ำปลี​ปลีช่วยลดความดันโลหิตและช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียน​เลือดภายในร่างกาย
  • กะหล่ำปลี​อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ​ต่างๆช่วย​สร้าง​ภูมิคุ้มกัน​โรค ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • กะหล่ำปลี​อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูล​อิสระ​ช่วยยับยั้งเซลล์​มะเร็ง​ของระบบทางเดินอาหาร ทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่ายได้ดีอีกด้วยใครที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยลองรับประทานดูคะ
  • ช่วยลดปัญหา​ผมหงอกก่อนวัยเพราะกะหล่ำปลี​มีเคอราตินช่วยบำรุงรากเส้นผมและเล็บ
  • กะหล่ำปลีมีสาร Sulforaphane ปริมาณ​มากที่มีฤทธิ์​กระตุ้นการสร้าง​เอนไซม์​ที่ใช้ในการกำจัดเซลล์​มะเร็งที่เกิดจากสารพิษตกค้าง​
  • กะหล่ำปลี​มีวิตามินซีสูงช่วยบำรุงผิวพรรณ​และลดปัญหา​เลือดออกตามไรฟัน การปรุงอาหารควรใช้วิธี **น้ำน้อย ไฟแรง ปิดฝา เวลาสั้น**
  • จะช่วยลดการสูญเสีย​คุณค่าของสารอาหาร
  • เมนูอาหารที่มีส่วนผสมของกะหล่ำปลี​เช่น สลัดกะหล่ำปลี​ โคสลอร์ เหมาะกับการรับประทานคู่กับของทอดๆ เพราะมีรสชาติ​เปรี้ยวอมหวานของสลัดช่วยแก้เลี่ยนได้ดี และอีกเมนูหนึ่งคือกะหล่ำปลี​ทอดน้ำปลา มีรสชาติ​อร่อย ทำรับประทานเองได้ง่าย ไม่ต้องสิ้นเปลือง เมนูนึ่งปลานิลใส่ผักกะหล่ำให้ประโยชน์​ทั้งโปรตีนจากเนื้อปลาและผักนึ่งอีกด้วย
  • ใบของกะหล่ำปลีช่วยลดอาการปวดคัดตึงเต้านมของหญิงหลังคลอด  หญิงหลังคลอดท้องแรกส่วนใหญ่​มักมีอาการคัดตึงเต้านมพบได้สูงถึงร้อยละ 40 ใน 72 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยจะปวดมากขึ้นเรื่อยหากไม่ได้รับการแก้ไข โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติ​ดังนี้คือ
    1.นำกะหล่ำปลีตัดขั่วออกก่อน ล้างทำความสะอาด เลือกใบที่มีขนาดพอดีกับเต้านม
    2.นำใบกะหล่ำปลี​มาประคบที่เต้านม​ข้างละใบแล้วใช้ผ้าพันไว้ประมาณ 20 นาที อาการคัดตึงเต้านมหายไปเนื่องจากะหล่ำปลี​เป็นพืชสมุนไพรชนิดเย็น ดูดซับความร้อนได้ดี ช่วยลดการคั่งของสารน้ำในเนื้อเยื่อ​เต้านม​ 
    3.ใบกะหล่ำปลี​รองรับและโอบรอบเต้านมขณะประคบได้พอดี จึงช่วยลดอาการปวด และคัดตึงลงได้
    4.นอกจากนี้ใบกะหล่ำยังช่วยประคบเพื่อลดอาการปวดบริเวณอื่นๆได้ด้วยเช่น ที่ศีรษะ​ หัวเข่า
    แม้ว่าผักกะหล่ำปลีจะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ​และเส้นใยอาหารมากมาย การรับประทานดิบควรล้างทำความสะอาดเพราะอาจมีการปนเปื้อนได้ควรแกะล้างทำความสะอาดทีละใบ และไม่ควรรับประทานดิบในปริมาณ​มากและบ่อยเกินไปเพราะมีสารพิษ​ที่ลดการดูดซึมสารไอโอดีน​อาจทำให้เกิดโรคคอพอกได้

แชร์ให้เพื่อน

3 เหตุผลการมีสุขภาพดีกับสมาร์ท​วอทช์​ในยุค 4.0

แชร์ให้เพื่อน

3 เหตุผลการมีสุขภาพดีกับสมาร์ท​วอทช์​ในยุค 4.0

ในยุคสมัย​ของเทคโนโลยีเราจะเห็นว่าอุปกรณ์​เครื่องมือสื่อสาร​มีความเจริญ​ก้าวหน้าอย่างอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะวงการแพทย์​ สำหรับนาฬิกาข้อมือ​ในอดีตมีไว้เพื่อดูวันเวลาและเข็มทิศแต่ในยุคปัจจุบัน​นี้มีการพัฒนา​ให้นาฬิกาข้อมือ​อย่างสมาร์ท​วอทช์​มีประโยชน์​ในด้านวงการแพทย์​โดยใช้นาฬิกาข้อมือ​สมาร์ท​วอทช์​มาช่วยในด้านสุขภาพ​ต่างๆมากมายเช่น

Continue reading

แชร์ให้เพื่อน

5 อาหาร ช่วยสร้างความสมดุลให้สมองช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์​

แชร์ให้เพื่อน

5 อาหาร ช่วยสร้างความสมดุลให้สมองช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์​

จากคำกล่าวที่ว่า ไม่มีสมอง”  มักเป็นคำกล่าวกระแนะกระแหน​คนที่มีสมองแต่ใช้ศักยภาพ​ของสมองไม่เต็มที่​ในทุกๆด้านหรืออาจมีโรคทางสมองเช่น อัลไซเมอร์​ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ​ชีวิต ส่วนหนึ่งมาจากสมองไม่ได้รับการฝึกฝน​และดูแลอย่างต่อเนื่อง
สมองเป็นอวัยวะ​ที่สำคัญทั้งในคนและสัตว์เพราะว่าสมองทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการ​ของระบบประสาท​และทำหน้าที่​ควบคุมและสั่งการ
การเคลื่อนไหว​ พฤติกรรม​ รวมถึงการรักษา​ความสมดุล​ของร่างกายที่เรียกว่า Homeostasis”  เช่น การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และอุณหภูมิ​ของร่างกาย ทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้​(Cognition) เช่น อารมณ์​  ความจำ การเรียนรู้​  การเคลื่อนไหว​ รวมถึงการควบคุมที่เหนืออำนาจจิตใจเช่น ไอ จาม หิว   สมองมีการทำงาน​ที่ซับซ้อน​และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย  สมองของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์​สมองมากกว่า 1 แสนล้านเซลล์​ จึงมีศักย​ภาพที่พัฒนา​ได้ไม่มีที่สิ้นสุด

โดยพื้นฐานแล้วสมองของคนเรานั้นมีความต้องการ​4 อย่างคือ ออกซิเจน​  อาหารที่มีสารอาหารที่สมดุล ข้อมูลความรู้ใหม่ๆ การฝึกคิดอย่างสร้างสรรค์​
การสร้างจินตนาการ​และกระบวนการ​เรียนรู้​อย่างต่อเนื่อง​ ภาวะความเสื่อม​ถอยของสมองเกิดได้กับทุกช่วงวัยและมีปัจจัย​เสี่ยงเช่น  การสูบ​บุหรี่​การดื่มแอลกอฮอล์​
อาหารที่มีสารอาหารที่สมดุล เป็นหนึ่งในความต้องการพื้นฐาน​ของสมอง จากข้อมูลการวิจัยของมหาวิทยาลั​ยคิง คอลเลจ ลอนดอนระบุว่ามีเพียงผัก ผลไม้ 5 ชนิดที่ทำหน้าที่คล้ายยาช่วยรักษาอัลไซเมอร์​ คือ

1.บร็อคโคลี่  เป็นผักที่มีรสหวานกรอบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่างเช่น การต้ม ผัดหรือลวกกินกับน้ำพริก  สเต็ก​  ผัดกุ้งบล็อคโคลี่ ทั้งยังมีประโยน์ช่วยรักษาอัลไซเมอร์​นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน เบต้าแคโรทีน และเส้นใยอาหาร
มีสารอาหารที่ชื่อ ซัลโฟราเฟน(Salforaphane)​ ช่วยลดภาวะสมองเสื่อมได้



2.ส้ม เป็นผลไม้ที่มีจำนวนมากมายหลายสายพันธุ์​ในประเทศไทยให้เลือกรับประทานรสชาติหวานอมเปรี้ยวในบางสายพันธุ์​นอกจากจะช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์​แล้วยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ​ ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อรู้สึกสมองอ่อนล้าลองหยิบส้มแกะรับประทานจะรู้สึกสดชื่นหรือดื่มน้ำส้มคั้น​หนึ่งแก้วก็ช่วยได้



3.แอปเปิล เป็นผลไม้เมืองหนาวหาซื้อรับประทานได้ง่ายในประเทศไทยมีรสชาติ​หวานอมเปรี้ยวอุดมไปด้วยวิิตามินและแร่ธาตุ​ เส้นใยอาหารทั้งเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์​อีกด้วยรับประทานแบบสดหรือคั้นเป็นน้ำแอปเปิล​ก็ได้



4.มันฝรั่ง เป็นผักที่นำมาประกอบอาหารคาวและขนมขบเคี้ยว มีแป้งเป็นส่วนประกอบหลักให้พลังงาน​สูงมีวิตามิน แร่ธาตุ​ช่ายรักษาอาการอัลไซเมอร์​เมนูที่ได้รับความนิยมเช่น มันฝรั่งทอด​ มันฝรั่งอบชีส 



5.หัวใชเท้า เป็นผักกินหัวอยู่ในดินที่ชอบอากาศหน้าหนาว มีวิตามินและแร่ธาตุ​ช่วยชะล้างสารพิษตกค้าง​ในร่างกายทั้งยังช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์​ได้อีกด้วยเมนู​อาหารต้มจืดและเมนู​อาหารญี่ปุน

ทั้งนี้การรับประทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการสารอาหารของร่างกายและเสริมด้วยผักผลไม้5ชนิดช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์​ได้ ใครที่รู้สึกว่าเริ่มมีอาการหลงๆลืมๆง่าย ลองหาผักผลไม้ 5 ชนิดมารับประทานดูนะคะ

แชร์ให้เพื่อน