6 โรคเรื้อรัง โรคร้ายใกล้ตัว (ตอนจบ)
การใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ทำให้เกิดความเครียดและส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม
โรคเรื้อรัง หมายถึงภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังที่มีองค์ประกอบดังต่อไปนี้คือ
- เป็นความเจ็บป่วยอย่างถาวร
- การดำเนินของโรคไม่แน่นอน
- ภาวะความเจ็บป่วยไม่หายขาด แต่อาการทุเลาลงได้ โดยไม่ปรากฏอาการ
- เกิดความพิการหลงเหลืออยู่
- ต้องการการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานหรือตลอดชีวิต
- ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ติดตามการรักษาและให้การช่วยเหลือเป็นเวลานาน
6 โรคเรื้อรังมีโรคอะไรบ้าง? เรามาดูต่อกันเลยคะ
4.โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งซึ่งเป็นสถานการณ์ที่วิกฤติของประเทศไทยโรคมะเร็งเกิดจากเซลล์บริเวณที่ผิดปกติมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติกลายเป็นเซลล์มะเร็ง และแพร่กระจายลุกลามเนื้อเยื่อข้างเคียง รวมทั้งอวัยวะอื่นๆ โดยทางน้ำเหลืองหรือหลอดเลือด
สาเหตุของโรคมะเร็ง
- เกิดจากกรรมพันธุ์
- สารก่อมะเร็งเช่น เชื้อไวรัสฮิวแมนแปบปิโลมา หรือสารก่อมะเร็งอื่นๆ
อาการของโรคมะเร็ง
- ในช่วงแรกมักไม่แสดงอาการใดๆ ฉะนั้นการคัดกรองโดยการตรวจสุขภาพประจำปีสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เริ่มแรก
- การแสดงอาการเมื่อเซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายเช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เลือดออกในช่องคลอดมากผิดปกติ ภาวะโลหิตจางอ่อนเพลีย เจ็บปวดอุ้งเชิงกราน
- ขาบวมเนื่องจากเซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ
- ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด และภาวะไตวายตามมาได้
การรักษาโรคมะเร็ง
การรักษาโรคมะเร็งมีจุดประสงค์เพื่อรักษาโรคให้หายขาดกรณีที่มะเร็งอยู่ในระยะแรกและรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองในกรณีที่มีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น การรักษาโดยทั่วไปมี4วิธีคือ
1.การผ่าตัด โดยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกมาแล้วหายไปได้
2.การฉายรังสี เพื่อยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง
3.การให้ยาเคมีบำบัด
4.การใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน เช่น ฉายรังสีหลังผ่าตัด ให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด หรือการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและผลการตอบสนองต่อการรักษา
5.โรคติดเชื้อเอชไอวี เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีเกิดกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อโรคได้ ทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมา
สาเหตุของโรคติดเชื้อเอชไอวี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมีอยู่ 2 ชนิดคือ
1.เชื้อเอชไอวี-1(HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดทั่วโลก
2.เชื้อเอชไอวี-2(HIV-2) ซึ่งแพร่ระบาดส่วนใหญ่ในแถบตะวันตกของทวีปแอฟริกา
อาการของโรคติดเชื้อเอชไอวี
- เมื่อร่างกายได้รับเชื้อและติดเชื้ิอมีอาการที่พบคือ มีไข้ คออักเสบ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย มีผื่นแดงไม่คันตามหน้า คอ และลำตัว ต่อมน้ำเหลืองโต บางรายท้องเสีย ระยะนี้พบเม็ดเลืือดขาวลดลงเล็กน้อย เมื่อตรวจหาเชื้ออาจได้ผลลบ มักไม่แสดงอาการ ระยะเวลานับจากเริ่มติดเชื้อเอชไอวีจนเกิดอาการของโรคเอดส์โดยเฉลี่ย 8-10ปี
- ระยะอาการสัมพันธ์กับเอดส์เป็นระยะที่ภูมิต้านทานลดลงเรื่อยๆ เม็ดเลือดขาว CD4+ T cell เริ่มลดลงมากมีอาการไข้สูงเรื้อรังนานเป็นเดือน น้ำหนักลดลงอย่างมาก มีโรคแทรกซ้อนเช่น งูสวัด ฝ้าขาวบริเวณขอบลิ้น เชื้อราในช่องปาก ผิวหนังอักเสบ ตุ่มตามผิวหนัง ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ
- เข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้น ภูมิคุ้มกันถูกทำลายไปมาก CD4+T cell ลดลงต่ำมาก เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนเช่น ปอดอักเสบวัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- อาการทางด้านจิตใจเช่น อ่อนเพลีย โดดเดี่ยวหดหู่ สูญเสียภาพลักษณ์ วิตกกังวล ซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย
การรักษาของโรคติดเชื้อเอชไอวี มีการรักษาหลายวิธีเช่น
1.การให้ยาต้านไวรัสเอดส์เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอดส์มีหลายชนิดพิจารณาตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ลดปัญหาเชื้อดื้อยาโดยใช้ยา 3 ตัวรวมกันหรือมากกว่า เพื่อช่วยลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนและอัตราการตาย โดยผู้ติดเชื้อต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
2.การรักษาด้วยอิมมูน โมเดอเรเตอร์ เป็นสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบสารเคมีในเซลล์เม็ดเลือดขาวก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อต้านไวรัส
3.อิมมูโนเทอราปี เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
4.แอ็คจิวแวนท์เทอราปี เป็นการใช้ยาบางตัวเพื่อเสริมฤทธิ์ของยาต้านไวรัส
5.การรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่นปอดบวม วัณโรค เชื้อราช่องปาก เริม เป็นต้น
6.การส่งเสริมสุขภาพ ด้านอาหาร การพักผ่อน การออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพจิตใจ
การรักษาแพทย์ทางเลือกอื่นๆเช่น การใช้สมุนไพรพื้นบ้านต่างๆ การนั่งสมาธิ
6. ผู้พิการ เป็นผู้ที่มีความผิดปกติหรือบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา หรือจิตใจเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ หรือพิการมาแต่กำเนิดเป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติหรือมีอุปสรรคทำให้เกิดความยากลำบากในการกระทำสิ่วต่างๆในขณะที่คนทั่วไปไม่มีปัญหา
สาเหตุของความพิการ
- การบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุ
- โรคผิดปกติมาแต่กำเนิด
อาการของความพิการ แบ่งความผิดปกติหรือบกพร่องได้ 5 ด้านคือ
1.ด้านการเคลื่อนไหว มีความผิดปกติหรือบกพร่้องด้านร่างกายที่เห็นได้ชัดเจนและไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ หรือสูญเสียการเคลื่อนไหว เช่นกระดูกสันหลังคด โรคโปลิโอ
2.ด้านการมองเห็น เป็นปัญหาด้านลานสายตาแคบ หรือสั้นเกินไป เช่น ตาบอด มองเห็นเลือนลาง
3.ด้านการได้ยินหรือการสื่อสาร มีความผิดปกติหรือบกพร่องในการเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูดจนไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ เช่นหูหนวก หูตึง
4.ด้านจิตใจหรือพฤติกรรมเป็นความบกพร่องทางจิตใจหรือพฤติกรรม
5.ด้านสติปัญญาหรือการเรียนรู้ผิดปกติด้านสติปัญญาหรือสมองจนไม่สามารถเรียนรู้ด้วยวิธีการศึกษาปกติได้
การรักษาความพิการ
รักษาโดยการฟื้นฟูความสามารถให้ดำเนินชีวิตได้ปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม
ในปัจจุบันนี้มีการช่วยเหลือกลุ่มผู้พิการโดยจ่ายเบี้ยยังชีพสำหรับผู้พิการในแต่ละเดือนเพื่อให้ดำเนินชีวิตได้
จะเห็นได้ว่าโรคเรื้อรังทั้ง 6 โรคที่กล่าวมานี้มีผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมของผู้ป่วยเป็นอย่างมากฉะนั้นการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคและสาเหตุของการเกิดโรคเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังเพื่อป้องกันหรือบรรเทาปัญหาในทุกๆด้านที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้