ปวดบวมตามข้อเรื้อรังกับ โรคเก๊าท์(Gout)​

แชร์ให้เพื่อน

ปวดบวมตามข้อเรื้อรังกับ โรคเก๊าท์(Gout)​

โรคเก๊า​ท์​(Gout)​ ถูกระบุโดยชาวอียิปต์​โบราณ​โดยเรียกว่า โรคเดินไม่ได้ และเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนร่ำรวยสมัยนั้น จนได้รับฉายาว่า โรคของกษัตริย์​

สาเหตุ​ของโรคเก๊าท์(Gout)

เกิดจากกรดยูริกในเลือดสูง(Hyperuricemia)เป็นระยะเวลานานจนตกตะกอน มีอาการปวดตึง บวม และอักเสบในข้อต่อและเนื้อเยื่อ​อื่นๆ โรคเก๊าท์​มักเริ่มโจมตี​ที่ข้อต่อของหัวแม่เท้าก่อนหลังจากนั้นค่อยลามไปข้อส่วนอื่น
ภาวะกรดยูริก​สูงเกี่ยวข้องกับ โรคอ้วน ยาบางชนิดเช่น ยาขับปัสสาวะ  ยาแอสไพริน​ มีโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย รับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง และเหล้าเบียร์​

อาหารกลุ่มใหนบ้าง?  ที่มีปริมาณ​กรดยูริกสูง

  • เหล้าและเบียร์ ควรดื่มแต่น้อยๆหรือพอประมาณ​
  • อาหารกลุ่มเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ไต สมอง
  • กลุ่มอาหารทะเล
  • เนื้อสัตว์ปีกเช่น เป็ด ไก่ ถ้าผู้ป่วยกินแล้วมีอาการกำเริบให้งดเนื้อไก่
  • กลุ่มยอดผัก หรือต้นอ่อนของผักชนิดต่างๆ เช่น ยอดคะน้า ยอดผักหวาน หน่อไม้ฝรั่ง ถ้ารับประทานแล้วมีอาการกำเริบให้งดกลุ่มยอดผักและต้นอ่อน

อาการของโรคเก๊าท์(Gout)​ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
1.โรคเก๊าท์(Gout)​ระยะเฉียบพลัน​ มักพบการอักเสบที่ข้อเท้า หัวแม่เท้า ข้อปวดบวมแดงร้อนรุนแรงภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่รักษาหายเองได้ภายใน 5-7วันและแสดงอาการซ้ำๆ
2.โรคเก๊าท์(Gout)​ระยะไม่แสดงอาการ หลังจากอาการเฉียบพลันหายไป5-7วันแล้วผู้ป่วยไม่มีอาการใดๆ
3.โรคเก๊าท์(Gout)​ระยะเรื้อรัง มีอาการซ้ำๆในระยะ5ปีมีข้ออักเสบลุกลามไปที่ข้ออื่นๆมากขึ้น ยูริกตกผลึกมีขนาดก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ อาจแตกมีผงขาวนวลคล้ายชอล์ก

การดูแลสุขภาพและการรักษาโรคเก๊าท์(Gout)​โดยใช้ยาแผนปัจจุบัน​
1.การรักษาโรคเก๊า​ท์(Gout)​โดยใช้ยา2กลุ่มคือ

  • กลุ่มยาควบคุมอาการข้ออักเสบ เป็นการรับประทานเพื่อป้องกันการกำเริบของข้ออักเสบ ควรใช้ยาอยู่ภายใต้การติดตามดูแลโดยแพทย์แผนปัจจุบัน
  • กลุ่มยาควบคุมระดับยูริกในเลือด แบ่งเป็นยาลดการสร้างยูริก และยาเพิ่มการขับยูริกออกทางไต การรับประทานยาอยู่ภายใต้การติดตามดูแลโดยแพทย์​แผนปัจจุบัน

2.แนวทางการปฏิบัติ​ตัวของผู้ป่วยโรคเก๊าท์(Gout)​

  • พบแพทย์เพื่อรับยาและติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการปวดบวมตามข้อกำเริบเช่น การกินเหล้า เบียร์ อาหารบางชนิดที่กล่าวมาแล้ว การบีบนวดบริเวณ​ข้อ
  • กรณีมีโรคร่วมอื่นๆ ต้องได้รับการรักษาร่วมกันเช่น ความดันโลหิต​สูง เบาหวาน นิ่วในไต โรคหัวใจ โรคอ้วน และงดสูบบุหรี่
  • อาหารกลุ่มเครื่องใน สัตว์ปีก และยอดผัก ต้นอ่อนถ้ารับประทานแล้วมีอาการกำเริบให้หยุดรับประทานไปก่อน

จะเห็นได้ว่าโรคเก๊าท์​(Gout)​ ส่งผลต่อสุขภาพทำให้มีอาการปวดบวมบริเวณข้อสร้างความทุกข์​ทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก การสังเกตุ​อาการเริ่มแรกหรือการตรวจสุขภาพ​ประจำปีเพื่อคัดกรองโรคเพื่อจะได้รักษาทันท่วงที

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

8 เทคนิค​สร้างเซลล์​สมองอัจฉริยะ

แชร์ให้เพื่อน

8 เทคนิค​สร้างเซลล์​สมองอัจฉริยะ

การเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองมนุษย์​นั้นเติบโตเต็มที่เมื่อถึงช่วงของวัยรุ่นและเราจะดูแลสมองให้มีความยืดหยุ่นตามช่วงอายุโดยใช้เทคนิคที่จำเป็นเพื่อช่วยกระตุ้นสมองตามช่วงวัย
จากผลการวิจัยล่าสุดเรื่องของเซลล์​สมองของมนุษย์พบว่าสมองมีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงตามช่วงของอายุ หากเราฝึกสมองและดูแลและกระตุ้นเซลล์​สมองได้อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างเซลล์​สมองให้มีความยืดหยุ่น โดยใช้ 8 เทคนิคสร้างเซลล์​สมองอัจฉริยะ​

1.กินอาหารบำรุงสมอง
อาหารที่ช่วยบำรุงสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ​นอกจากสารอาหารหลัก 5 หมู่แล้วพบว่า อาหารทานเล่นนั้นช่วยเพิ่มสารอาหารแก่สมอง เช่น กลุ่มธัญพืช​ เช่น ถั่ว เมล็ดฟักทอง​ เมล็ดทานตะวัน  ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ มอลเบอร์รี่​ และอะโวคาโด


2.พักงีบหลับช่วงกลางวัน 20 นาที
การงีบหลับช่วงเวลากลางวันระหว่างทำงานหรือการเรียนหนังสือช่วยเพิ่มศักยภาพ​ให้กับเซลล์​สมอง เนื่องจากการทำงาน เรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมช่วงเวลากลางวันที่ต่อเนื่องยาว 7-8ชั่วโมงจะทำให้เซลล์​สมองเกิดความเมื่อยล้า ดังนั้นการงีบหลับกลางวันแค่ 20 นาทีจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้น

3.สร้างคลังคำศัพท์​ใหม่ๆ
การเรียนรู้คำศัพท์​ใหม่ๆจะช่วยให้สมองมีการพัฒนาขึ้น เช่น การเรียนรู้ภาษาอื่นๆที่ไม่ใช่ภาษาที่ใช้สื่อสารในปัจจุบัน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ​
ภาษาฝรั่งเศส​ ภาษาเขมร  ภาษาจีน  เมื่อสมองเรียนรู้คำศัพท์​ใหม่ๆด้านภาษายิ่งรู้หลายภาษาเท่าไหร่ยิ่งพัฒนาเซลล์​สมองมากเท่านั้น

4.ฝึกใช้มือข้างไม่ถนัด เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์​สมอง
สมองของคนเราแบ่งเป็น2ซีก ซ้ายขวา ถ้าเราใช้มือข้างที่ถนัดเพียงอย่างเดียวโดยมือข้างที่ไม่ถนัดไม่ค่อยได้ใช้งานก็เท่ากับว่าเราไม่ได้กระตุ้นเซลล์​สมองข้างที่ไม่ถนัดเลย ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นฝึกใช้งานมือข้างที่ไม่ถนัดให้มีศักยภาพเท่าข้างที่ถนัดเพื่อกระตุ้นและพัฒนาเซลล์​สมองไปด้วย เช่น เริ่มหยิบจับสิ่งของด้วยมือที่ไม่ถนัด หลังจากนั้นค่อยเริ่มใช้นิ้วมือข้างที่ไม่ถนัดตามมาด้วยการเขียนหนังสือหรือวาดรูป


5.ฝึกโยนลูกบอลสลับมือไปมา
การฝึกโยนบอลสลับไปมาเป็นการกระตุ้นเซลล์​สมองทั้งซ้ายและขวาไปพร้อมๆกัน ทั้งยังช่วยในเรื่องของสายตาทำงานสัมพันธ์​กับมือสองข้างอีกด้วย


6.เล่นเกมหมากรุก
เกมหมากรุก​นั้นเป็นเกมที่ฝึกสมองด้วยความคิดและวางแผนในการเดินหมากร่วมกับการทายใจของคู่แข่งในการเดินหมากด้วย และยังช่วยในการจำหมากรุกแต่ละตัวมีศักย​ภาพอย่างไรในเกมของหมากรุกนั้น


7.ฝึกเทคนิคช่วยจำ
เทคนิคในการช่วยจำนั้นมีมากมายหลายวิธี เช่น การท่องสูตรคูณ เป็นเทคนิคการจำด้านจำนวนและตัวเลข  การจำด้วยคำกลอน   การจำเป็นเนื้อเพลง
การจำด้วยคำที่มีใจความสำคัญเป็นหลัก

8.เกมฝึกสมองกับ Stop test โดยอ่านออกเสียงตามสีที่เห็น หรือการพูดสิ่งของที่เห็นด้วยคำอื่นเช่นเมือเห็นขวดน้ำให้พูด ต้นไม้ เป็นต้น

จาก 8 เทคนิคที่กล่าวมาสามารถนำมาฝึกได้กับทุกช่วงวัย ถ้าที่บ้านมีเด็กๆ ลองใช้เทคนิคนี้ดูจะเห็นการพัฒนา​ศักยภาพ​ของสมองได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ด(ไม่)​ลับกับ    ประโยชน์ของกล้วย

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ด(ไม่)​ลับกับประโยชน์ของกล้วย

วันเวียนบรรจบมาครบรอบ​วันลอยกระทงของทุกปี กล้วยจัดเป็นพืชที่นำมาทำกระทงในวันลอยกระทงแทนใช้โฟม​เพื่อช่วยอนุรักษ์​ธรรมชาติ​แหล่งน้ำ
กล้วย เป็นพืชล้มลุก ใบแบนยาวใหญ่  ออกดอกที่ปลายลำต้นเป็นหัวปลี มีลูกเป็นหวีๆ รวมกันเรียกว่าเครือ เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลือง  ปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนเริ่มจาก ใบกล้วย  ก้านกล้วย ผลกล้วย เชือกกล้วย ลำต้นกล้วย  รากกล้วย และผลกล้วย

เรามาดูประโยชน์ของกล้วยกันเลยค่ะ

1.ผลกล้วย ที่นิยมรับประทานได้แก่ กล้วยหอมทอง กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น กินกล้วยมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร?

  • กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ​ต่างๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี6 วีตามินบี12 วิตามินซี และ ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส​ โพแทสเซียม​แมกนีเซียม​ และแป้งซึ่งให้พลังงานกับร่างกายและปรับสมดุลของร่างกาย
  • กล้วยมีสารต้านอนุมูล​อิสระ​และช่วยบำรุงผิวพรรณ​เนื่องจากมีวิตามินซีสูง
  • กินกล้วยช่วยลดความอ้วนและช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
  • ยางกล้วยช่วยเคลือบกระเพาะอาหารได้สำหรับผู้ที่มีแผลเรื้อรังในระบบทางเดินอาหาร
  • กินกล้วยช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายเครียดเนื่องจากมีสารTryptophan ซึ่งช่วยในการผลิต Serotonin ช่วยผ่อนคลายอารมณ์​เครียด
  • กินกล้วยช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้ร่างกายมีอุณหภูมิปกติ
  • กล้วยสุกสามารถบดละเอียดผสมน้ำผึ้งมาสก์หน้าช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ผิวกระจ่างใสได้อีกด้วย
  • กล้วยดิบสามารถทำกล้วยฉาบเก็บไว้รับประทานได้นาน หรือกล้วยสุก ทำกล้วยเบรคแตก กล้วยบวดชี  กล้วยตาก ขนมกล้วยทอด

2.ปลีหรือหัวปลี กล้วยน้ำว้า นำมาประกอบอาหารเป็นผักจิ้มน้ำพริก ขนมจีน หรือแกงหัวปลีช่วยบำรุงและขับน้ำนมในหญิงให้นมบุตรอีกด้วย


3.ใบกล้วย สามารถนำมาห่ออาหารปลอดสารพิษตกค้าง​ และช่วยอนุรักษ์​ธรรมชาติ​แทนการใส่กล่องโฟม ทำบายศรีเพื่อบวงสรวงต่างๆ กระทง ห่อขนมชนิดต่างๆ

4.ผลดิบเป็นยาช่วยรักษาอาการท้องเสียโดยกินแบบสดๆหรือบดผสมกับน้ำกินแก้ท้องเสียได้

5.เชือกกล้วยหรือกาบกล้วยทำเชือกไว้มัดของได้
6.ลำต้นของกล้วย แกนอ่อนสามารถนำมาประกอบอาหารได้  ลำต้นสามารถนำมาตัดเป็นวงทำฐานของกระทงเพื่อช่วยอนุรักษ์​สิ่งแวดล้อม

7.ลำต้นของกล้วยหลังเก็บผลกล้วยแล้วสามารถนำมาสับเพื่อให้อาหารสัตว์เลี้ยง และทำอาหารปลานิลได้

8.ต้นกล้วยพร้อมผลกล้วยสุกสีเหลืองอร่ามใช้ประดับงานบุญในพุทธศาสนา​เช่น งานบุญ​กฐิน งานเทศน์มหาชาติ​เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต

9.รากกล้วยและต้นกล้วยเป็นสมุนไพรใช้รักษาโรคตามแผนโบราณ เนื่องจากต้นกล้วยมีสารแทนนิน ออกฤทธิ์​เย็น ช่วยแผลไหม้ น้ำร้อนลวก ส่วนรากกล้วยดิบนำมาต้มแก้ร้อนใน กระหายน้ำได้

จะเห็นได้ว่ากล้วยมีประโยชน์​ต่อร่างกายที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และมีสรรพคุณ​เป็นยารักษาโรค​โรคได้ ทั้งนำส่วนของใบห่ออาหารช่วยลดขยะและอนุรักษ์​สิ่งแวดล้อม​อีกด้วย

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ด(ไม่)​ลับสุขภาพดี กับผัก 5ชนิด

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ด(ไม่)​ ลับสุขภาพดี กับผัก 5ชนิด

ผักชนิดต่างๆเป็นอาหารในกลุ่มเดียวกันกับผลไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการในปริมาณ​น้อยแต่ขาดไม่ได้ ถ้าขาดวิตามินหรือเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอาจบางชนิดส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยได้เช่น เลือดออกตามไรฟันเกิดจากขาดวิตามินซี  สายตาฝ้าฟางเกิดจากขาดวิตามินเอ โรคเหน็บชา​เกิดจากขาดวิตา
มินบีหนึ่ง ภาวะโลหิตจางเกิดจากขาดธาตุเหล็ก และภาวะกระดูกพรุนเกิดจากขาดแคลเซียม เป็นต้น นอกจากผักชนิดต่างๆอุดมไปด้วยวิตามันและเกลือแร่แล้วยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารซึ่งไม่ถูกย่อยจากเอ็นไซม์​ในทางเดินอาหารใยอาหารมีผลต่อระบบการทำงานของร่างกายหลายด้านขับเช่น ลดระดับคอเลสเตอรอล​ในเลือด มีผลต่ระดับน้ำตาลในเลือด ลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ลดความอ้วน ป้องกันมะเร็ง ปรับปรุงหน้าที่ของลำไส้ใหญ่ ช่วยระบบการขับถ่ายดีขึ้นเป็นต้น ฉะนั้นการรับประทานผักให้เพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวันจึงช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่ดีได้

ผัก 5 ชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และเส้นใยอาหารได้แก่

1.แครอท เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูง
แครอทเป็นผักที่ใช้หัวเพื่อประกอบอาหารและน้ำดื่มเพื่อสุขภาพอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ​ชนิดต่างๆเช่น เบต้าแคโรทีน​ วิตามินเอ วิตามินบี1
วิตามินบี 2 วิตามินซี  วิตามินอี แร่ธาตุ​แคลเซียม  โพแทสเซียม​ ฟอสฟอรัส​  แร่ธาตุ​เหล็ก ทั้งยังมีสารฟอลคารินอล(Falcarinal)​ ช่วยยับยั้งเซลล์​มะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสายตา  ช่วยบำรุงผิวพรรณ​
ทำให้ผิวกระจ่างใส ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน บำรุงเลือด ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์​ที่ได้จากแครอทเช่น

  • นำมาประกอบอาหารเช่น เมนูผัดผักรวมมิตร ข้าวผัด ซุปแครอท
  • น้ำผักเพื่อสุขภาพพร้อมดี่มจากแครอทช่วยบำรุงผิวพรรณ
  • สบู่จากแครอทช่วยให้ผิวขาว เนียนใส
    ข้อควรระวังในการรับประทานแครอทต้องล้างทำความสะอาดเพราะอาจปนเปื้อนสารตะกั่วจากการปลูกใกล้แหล่งน้ำใกล้เขตอุตสาหกรรม​

2.ผักโขม มีคุณสมบัติคล้ายสเตียรอยด์​ ช่วยเพิ่มสมรรถภาพ​ของร่างกาย
ผักโขมเป็นผักใบเขียว พืชผักพื้นบ้านที่ขึ้นเองตามธรรมชาติหรือปลูกได้ง่าย โตไว ไม่ต้องฉีดยาฆ่าแมลง​ เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและธาตุ​เหล็กสูง ทั้งยังมีสารแอนตี้​ออกซิแดน​สูง นอกจากนี้ยังพบสารเอคไดสเตอโรน(ecdysterone)​ เป็นสารที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับร่างกาย  ช่วยลดระบบคอเลสเตอรอล  ช่วยรักษาภาวะโลหิตจาง​ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ผักโขมนำมาประกอบอาหารเช่น ลวกจิ้มน้ำพริก  ผักโขมผัดน้ำมันหอย  ผักโขมอบชีส และเครื่องดื่มผักโขมเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย


3.ผักบุ้ง เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ แร่ธาตุ​
และมีเส้นใยอาหารสูง
ผักบุ้งเป็นผักใบเขียวเป็น ที่ปลูกง่ายโตไว  และขึ้นเองตามธรรมชาติ อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน  ช่วยบำรุงสายตา มีเส้นใยอาหารสูง ใช้ประกอบอาหารเพื่อสุขภาพได้หลากหลายชนิดสามารถกินดิบได้ มีวิตามินซีสูง ลวกจิ้มน้ำพริก  ผัดผักบุ้งไฟแดง เป็นส่วนประกอบของผักสำหรับอาหารจานเดียวเช่น ก๋วยเตี่ยว​  เกาเหลา สุกี้  ชาบู เนื้อย่าง


4.ฟักทอง เป็นผักที่นิยมรับประทานเพื่อควบคุมน้ำหนักเพราะให้พลังงานต่ำ มีน้ำตาลน้อย อุดมไปด้วยวิตามินเอ และเส้นใยอาหารสูง
ฟักทองอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน​ วิตามินเอ วิตามินอี สารต้านอนุมูล​อิสระ​ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง  ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน  ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี
สามารถปรุงอาหารได้ทั้งคาวหวาน เช่น ฟักทองผัดไข่ แกงฟักทอง  แกงเลียง ซุปฟักทอง​ แกงบวดฟักทอง สังขยา​ฟักทอง  ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของอาหารคลีนอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์​จากฟักทอง เช่น
ครีมทามือ ครีมบำรุงผิว แผ่นมาสก์หน้า เทียนหอม


5.บร็อคโคลี่ เป็นพืชตะกูลเดียวกับดอกกะหล่ำ อุดมไปด้วยวิตามิน  แร่ธาตุ​และเส้นใยอาหารสูง
บร็อคโ​คลี่​มีสารต้านอนุมูล​อิสระ​ช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง  ช่วยบำรุงผิวพรรณ​เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินซี  ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล​ในร่างกาย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยบำรุงสายตา  ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน​ให้แก่ร่างกาย  ช่วยให้ระบบการขับถ่ายของเสียทำงานได้ดีขึ้นเนื่องจากมีกากใยอาหารสูง
เมนูอาหารจากบร็อคโ​คลี่​เช่น กุ้งผัดบล็อค​โคลี่ ผัดผักรวมมิตร ซุปบร็อคโ​คลี่​ บร็อคโ​คลี่​อบชีส เป็นส่วนผสมของเมนูอาหารคลีน ทั้งยังมีผลิตภัณฑ์​เสริมอาหารชนิดผงอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าผักทั้ง5ชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรค ทั้งยังต้านการเกิดโรคมะเร็งซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในอันดับต้นๆของประเทศและของโลกอีกด้วย ท้งนี้การรับประทานให้หลากหลายและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์​ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

กินคลีน ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

แชร์ให้เพื่อน

กินคลีน ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

จากข้อมูลการวิจัยเรื่องพฤติกรรมการบริโภค​อาหารคลีนพบว่าเพศหญิงแต่งงานแล้วอายุ26-35ปีเลือกรับประทานอาหารคลีนโดยให้เหตุผล​ว่าอาหารคลีนนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ได้รับคุณค่าทางโภชนาการสูง สถานที่เลือกรับประทานอาหารคลีนคือที่บ้านและรับประทานกับครอบครัว รับประทานสัปดาห์​ละ2ครั้งราคาตกมื้อละ  50-100 บาทถือว่าค่อนข้างแพง

อาหารคลีน(Clean food)​ คือ อาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงเพียงเล็กน้อย คงสภาพตามธรรมชาติมากที่สุด ส่วนประกอบของอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่เสริมหรือดัดแปลงด้วยกรรมวิธีต่างๆ สด สะอาดไม่มีสารกันบูด ไม่เค็มหรือหวานจัด

หลักการของอาหารคลีนคือเน้นกินอาหารประเภทผักและผลไม้เป็นหลัก ถั่ว ข้าวกล้อง ธัญพืช​ ไขมันโดยเลือกบริโภคไขมันจากพืชเช่นน้ำมันมะกอก  สารอาหารโปรตีน  เน้นโปรตีนจากเนื้อปลา  เนื้อแดงไม่ติดมัน เช่นหมูไม่ติดมัน อกไก่  ทั้งนี้ยังจำกัดโซเดียม คือกลุ่มอาหารที่มีรสชาติ​เค็ม และจำกัดน้ำตาล ลดปริมาณการบริโภคน้ำตาลลงด้วย ฉะนั้นอาหารคลีนเป็นอาหารที่ไม่มีความเค็มและความหวาน

สาเหตุ​ของความอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐานหรือโรคอ้วน

  • พันธุกรรม ความอ้วนหรือโรคอ้วนนั้นอาจมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรม​ได้ เช่น ในครอบครัวที่พ่อแม่อ้วน ลูกอาจเป็นโรคอ้วนได้
  • พฤติกรรมการบริโภคอาหาร จะเห็นได้ว่าคนอ้วนนั้นมักมีพฤติกรรม​การบริโภคอาหารที่มีรสเค็ม รสหวาน อาหารทอดกรอบ เนื้อสัตว์ติดมัน และรับประทานอาหารในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ​ได้ทั้งหมดต่อวันจึงเกิดไขมันสะสมในร่างกายทำให้อ้วนได้
  • พฤติกรรม​การออกกำลังกาย กลุ่มผู้ป่วยโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน​ส่วนใหญ่มักไม่ออกกำลังกาย ไม่มีกิจกรรมที่ส่งผลต่อกระบวนเผาผลาญ​พลังงานส่วนเกินจึงสะสมในรูปของไขมันทำให้อ้วน

อาหารคลีน ลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักได้จริงหรือ?
จากหลักการของการกินอาหารคลีนนั้นเป็นการตัดวงจรด้านพฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหารโดยเน้นผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไขมันจากพืช ลดอาหารเค็ม และหวานซึ่งช่วยในการลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักได้จริงเว้นแต่ความอ้วนหรือโรคอ้วนเกิดจากพันธุกรรม​อาจใช้ไม่ได้ผลหากเลือกบริโภคอาหารคลีนเพื่อลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักเนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม​นั้นควบคุมไม่ได้ทั้งหมด

การกินคลีนนั้นควรเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอต่อกิจกรรม​ต่างๆในแต่ละวันทำให้เกิดปัญหาขาดสารอาหารหรือแร่ธาตุ​ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายได้
ควรเริ่มต้นกินคลีนสัปดาห์​ละ 1-2 วันแล้วค่อยปรับเพิ่มขึ้นโดยประเมินสุขภาพเป็นหลักไม่เช่นนั้นการกินคลีนอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ทั้งนี้อาหารคลีนมีราคาค่อนข้างแพงกว่าอาหารทั่วไปอาจมีผลกระทบต่อปัญหาทางเศรษฐกิจ​ตามมาได้

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ด(ไม่)​ลับ  การเลือกซื้อเนื้อสัตว์มาปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ด(ไม่)​ลับ  การเลือกซื้อเนื้อสัตว์มาปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์ คนเราต้องการสารอาหารเพื่อช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตในวัยเด็กและช่วยซ่อมแซม​ส่วนที่สึกหรอ​ในวัยผู้ใหญ่ เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ เป็นแหล่งอาหารที่ให้สารอาหารโปรตีนสูง มีรสชาติ​ดี และสามารถนำไปประกอบอาหารเพื่อรับประทานได้หลากหลาย จากข้อมูลกรมการเกษตรพบว่าคนไทยเลือกบริโภคเนื้อไก่มากเป็นอันดับหนึ่ง เนื้อหมูเป็นอันดับสอง และเนื้อวัวเป็นอันดับสาม ฉะนั้นการทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกซื้อเนื้อสัตว์อย่างไร? ให้ได้เนื้อสัตว์ที่สดและสะอาด ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค

คุณภาพเนื้อสัตว์ตามมาตรฐาน ต้องมีคุณสมบัติ​ดังนี้

  • ต้องสะอาด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ และไม่มีรอยช้ำ หรือรอยขีดข่วนเป็นหนอง
  • ต้องมีสีตามชนิดของเนื้อสัตว์
  • มีปริมาณ​ไขมันแทรกในกล้ามเนื้อ เช่นมากที่สุด มาก ปานกลาง และน้อย
  • ปราศจาก​โรคติดเชื้อและพยาธิ​ต่างๆ
  • ปราศจาก​สิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

การเลือกซื้อเนื้อไก่
เนื้อไก่มีหลายส่วนให้เลือกซื้อมาประกอบอาหารได้แก่ เนื้ออก   เนื้อสะโพก และเนื้อน่อง และเครื่องใน

  • เนื้อไก่ต้องจัดเก็บใส่ในภาชนะที่สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม
  • การเลือกเนื้อไก่ ต้องสด มีสีขาวหรือขาวอมชมพู
  • กลิ่นของเนื้อไก่ต้องไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • ไม่มีสิ่งแปลกปลอมที่เป็นอันตรายในการนำมาบริโภคเช่นมีจุดช้ำหรือไข่พยาธิ​ทำให้ติดพยาธิได้
    เมนูอาหารสำหรับเนื้อไก่เช่น แกงอ่อมไก่ เนื้ออกไก่อบสมุนไพร ไก่ผัดมะม่วงหิมพานต์​เป็นต้น
    การรับประทานเนื้อไก่ความระมัดระวังกับผู้ป่วยโรคเก๊า​เพราะเนื้อไก่นั้นมียูริก​สูง


การเลือกซื้อเนื้อหมู
เนื้อหมูมีหลายส่วนให้เลือกซื้อขึ้นอยู่กับเมนูอาหารได้แก่ เนื้อสันคอ  เนื้อสันนอก เนื้อสันใน เนื้อสะโพก เนื้อคอหมูทำเมนูคอหมูง่าย  เนื้อสามชั้น กระดูกและเครื่องในต่างๆ

  • เนื้อหมูต้องจัดเก็บในภาชนะที่สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม
  • เนื้อหมูสดต้องมีสีชมพูถึงชมพูเข้ม มีไขมันแทรกส่วนที่เป็นเนื้อคอ เนื้อสันคอ และเนื้อสะโพก
  • กลิ่นของเนื้อหมูต้องไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • เนื้อหมูสดต้องไม่มีสิ่งแปลกปลอมติดตามเนื้อ ไม่มีรอยช้ำ หรือมีไข่พยาธิ จุดสีขาวตามเนื้อหมู
    การปรุงเนื้อหมูเพื่อรับประทานไม่ควรกินสุกๆดิบๆหรือกินดิบๆเพราะอาจมีไข่พยาธิตัวตืดหมู
    เมนูอาหารสำหรับเนื้อหมูเช่น แกงอ่อมหมู ต้มเล้ง​กระดูกหมู เป็นต้น


การเลือกซื้อเนื้อวัว
เนื้อวัวมีชิ้นส่วนที่หลากหลายมีความนุ่มแตกต่างกันเฉพาะส่วนมีไขมันแทรกและเมื่อจับดูจะแน่น

  • เนื้อวัวจัดเก็บในภาชนะที่สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม
  • เนื้อวัวต้องมีสีแดงสด ยิ่งแดงมากแสดงว่ายิ่งสดมาก
  • เนื้อวัวต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอมเนื้อเช่นไข่พยาธิต่างๆ
    การปรุงเนื้อวัวเพื่อรับทานต้องปรุงสุกไม่ควรกินสุกๆดิบๆหรือกินดิบๆเพราะอาจมีไข่พยาธิตัวตืดวัวทำให้ติดพยาธิได้
    เมนูอาหารสำหรับเนื้อวัวเช่น
    แกงอ่อมเนื้อ ต้มเนื้อสมุนไพร เป็นต้น

อาหารประเภทเนื้อสัตว์นั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต้องปรุงสุกก่อนรับประทานไม่เช่นอาจติดเชื้อพยาธิ​ตัวตืดจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัวได้

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

โรค(ไม่)​ร้าย ในหน้าหนาวที่ทุกคนต้องรู้

แชร์ให้เพื่อน

โรค(ไม่)​ร้าย ในหน้าหนาวที่ทุกคนต้องรู้

ประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศเขตแถบร้อนชื้นมีสามฤดูกาลในหนึ่งปีได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝนและ ฤดูหนาว เรามาดูกันว่าโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  ที่มาพร้อมอากาศเปลี่ยนจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวมีอะไรกันบ้าง? จะได้รับมือทันในหน้าหนาวของทุกปี ในช่วงสามปีที่ผ่านมามีการระบาดโรคโควิด19ไปทั่วโลกซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและเศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลก ​ฉะนั้นเรามารับมือกับสามโรคที่มาพร้อมลมหนาวได้แก่ โรคไข้หวัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด19

สาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่  ไข้หวัด โควิด 19

ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือ โควิด 19 เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจด้วยการ ไอ จาม ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปในอากาศ หรือปนเปื้อนตามนิ้วสัมผัส เช่น ลูกบิดประตู  ราวบันได​แก้วน้ำ พบการระบาดได้บ่อยในสถานที่ต่างๆเช่นโรงเรียนเนื่องจากเด็กๆในโรงเรียนมีกิจกรรมร่วมกันมากมายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเด็กยังขาดความตระหนักในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรค
สถานดูแลคนชราเนื่องจากผู้สูงอายุมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ประกอบกับร่างกายเสื่อมลงตามอายุทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะมีวัคซีนฉีดเพื่อป้องกันโรคแล้วแต่ก็ช่วยได้แค่บรรเทาความรุนแรงของโรคแค่นั้น

อาการที่พบบ่อยในโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และโควิด19

  • ใข้สูง ไอ จาม มีน้ำมูก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย ยังพบภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยเช่น ปอดติดเชื้อจากไวรัสชนิดนั้นๆหรืออาจติดเชื้อแบคทีเรีย​ทำให้ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานขึ้นเพื่อได้รับยาฆ่าเชื้อและดูแลอย่างใกล้ชิด บางรายอาจเสียชีวิตได้ เช่นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอัมพฤกษ์​อัมพาต​  โรคไต โรค​เอดส์​

การตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกโรค

  • ใช้การตรวจเลือดหรือเสมหะเพื่อวินิจฉัย​แยกโรคเช่น ATK ตรวจหาเชื้อโควิด19 ซึ่งผู้ป่วยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านออนไลน์​ต่างๆเพื่อตรวจหาเชื้อเองได้

การดูแลรักษาโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โควิด19
โดยทั่วไปแล้วเป็นการดูแลตามอาการ สำหรับโควิด19 เน้นให้กักตัว14วัน การดูแลตามอาการเช่น มีไข้ ให้เช็ดตัวลดไข้ กินยาพาราเซตามอล​เพื่อลดไข้ทุก4-6ชั่วโมง ดื่มน้ำอุ่นมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้ามีอาการไอให้รับประทานยาแก้ไอ มีน้ำมูกให้รับประทานยาลดน้ำมูก ซึ่งเป็นยากลุ่มสามัญ​ประจำบ้านหรืออาจใช้ยาสมุนไพรแทนก็ได้  โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยจะหายเองได้ภายใน1-2สัปดาห์​เวันแต่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆเช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย ซึมลง สับสน  รับประทานอาหารได้น้อย ควรพาไปรับการรักษาที่สถานพยาบาล

การฉีดวัคซีนต่างๆเช่น
1.วัคซีนโควิด19ซึ่งในปัจจุบันได้รับการฉีดอย่างแพร่หลายตามสถานพยาบาลไกล้บ้านโดยลดความรุนแรงของโรคเท่านั้นซึ่งฉีดในทุกกลุ่มอายุรวมถึงหญิงตั้งครรภ์
2.วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดปีละ1ครั้งก่อนการเข้าสู่ช่วงการระบาด 2 สัปดาห์​โดยเน้นในกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า65ปี กลุ่มที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังเช่นโรคไตวาย โรคเบาหวาน​โรค​เอดส์​ หรือบุคคลากร​ทางการแพทย์​เพื่อลดการแพร่ระบาดจากผู้ดูแลสู่ผู้ป่วยตามสถานพยาบาลต่างๆ

หน้าหนาวควรดูแลสุขภาพอย่างไร? เพื่อความปลอดภัยจากเชื้อไวรัส
1.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนแออัด อากาศถ่ายเทสะดวก
2.ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ
3.ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งดดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่
4.ดูแลร่างกายให้อบอุ่นโดยการใส่เสื้อผ้าหนาๆและอาบน้ำอุ่นหรือลดระยะเวลาการอาบน้ำช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นจัด ถ้ามีผิวแห้งหรือริมฝีปากแห้งให้ใช้โลชั่น​ทาผิวและลิปมันเพื่อป้องกันริมฝีปากแตกได้
5.การดูแลด้านจิตใจและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์​ที่เปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยลดปัญหาการเจ็บป่วยด้านร่างกายได้
มนุษย์​เป็นสัตว์สังคมอยู่อาศัยร่วมกันเป็นกลุ่มและมีกิจกรรม​ร่วมกันอยู่บ่อยๆฉะนั้นการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดเชื้อจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีช่วยให้มนุษย์​มีอายุยืนยาว​ขึ้น

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ต้มยำกุ้ง  อุดมไปด้วยสมุนไพรไทยช่วยรักษาโรค

แชร์ให้เพื่อน

ต้มยำกุ้ง  อุดมไปด้วยสมุนไพรไทยช่วยรักษาโรค

ต้มยำกุ้งเป็นเมนูอาหารไทยที่อยู่คู่ครัวของคนไทยมาช้านานและเป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมมากทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เมนูอาหารประเภทต้มยำกุ้งจัดเป็นกลุ่มอาหารที่ออกฤทธิ์ร้อนอุดมไปด้วยสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ  มีเทคนิคในการปรุงอาหารประเภทต้มยำให้มีรสชาติ​อร่อย หอมสมุนไพรไทยและไม่มีกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์เลยโดยการตั้งไฟให้เดือดก่อนแล้วค่อยใส่ส่วนผสมต่างๆลงไป
เรามาดูกันเลยว่าต้มยำหนึ่งถ้วยมีสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอะไรบ้าง

ประโยชน์ของสมุนไพรไทยที่ใส่ในต้มยำกุ้งได้แก่
1.ตะไคร้
ตะไคร้​เป็นพืชสมุนไพรท้องถิ่น เป็นพืชล้มลุกขยายออกเป็นกอใหญ่ นิยมปลูกตามบ้านเพื่อนำมาปรุงอาหารมีประโยชน์มากมายเช่น

  • อุดมไปด้วยแร่ธาตุ​และวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย คือ วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินซีบำรุงผิวพรรณ​ วิตามินบีรวมช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ทั้งยังมีแร่ธาตุ​ แมกนีเซียม​ โฟเลต สังกะสี แคลเซียม โพแทสเซียม​ ช่วยบำรุงกระดูก​และฟันอีกด้วย
  • ต้มยำกุ้งหรือน้ำตะไคร้ ออกฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยล้างพิษในร่างกาย
  • ตะไคร้ช่วยระบบย่อยอาหาร การดื่มชาตะไคร้ช่วยย่อยอาหาร ลดแก๊สในกระเพาะและลำไส้อีกด้วย
  • ตะไคร้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูล​อิสระ​ มีกลิ่นหอมระเหยอ่อนๆช่วยให้หายใจโล่ง สดชื่น ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ​อีกด้วย นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์ลดปวดและลดการอักเสบได้ด้วย

2.ข่าขาวหรือข่าเหลือง
ข่าเป็นส่วนผสมของต้มยำที่ขาดไม่ได้ ข่าเป็นพืช
ลุ้มลุกนิยมปลูกตามบ้านใช้เหง้าเพื่อนำมาปรุงอาหารและมีประโยชน์หลากหลายดังนี้

  • ข่ามีสารชนิดหนึ่งช่วยยับยั้งและรักษาโรคมะเร็ง โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์​มะเร็ง ทำให้หายจากโรคมะเร็งในที่สุด
  • ข่ามีกลิ่นหอมและให้น้ำมันหอมระเหยเมื่อรับประทานต้มยำกุ้ง ช่วยแก้หวัด หายใจโล่งขึ้น แก้ไอและเจ็บคอ ช่วยขับเสมะ
  • ข่าช่วยระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ย่อยอาหารดีขึ้น เป็นยาระบายอ่อนๆ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดหรือแน่นท้อง ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร
  • ข่าช่วยคลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามตัว และบรรเทาอาการปวดข้อ

3.ใบมะกรูดหรือเปลือกมะกรูด
มะกรูดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีหนามตามกิ่งและลำต้น การใช้ใบมะกรูดหรือผิวมะกรูดใส่ปรุงในต้มยำกุ้ง มีประโยชน์ดังนี้

  • แก้อาการเป็นลมหน้ามืดหรือแก้อาการวิงเวียนศรีษะ ช่วยบำรุงหัวใจ และช่วยให้นอนหลับสบาย
  • ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลมะเร็งและป้องกันการเกิดโรคมะเร็งทางเดินอาหารได้้ด้วย
  • ช่วยบำรุงเส้นผมให้มีความเงางาม นุ่มลื่นสลวย เส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย ไม่แตกปลาย กำจัดรังแคได้ดีอีกด้วย

4.พริกชี้ฟ้า
พริกเป็นพืชล้มลุก มักติดผลช่วงหน้าหนาว มีรสชาติ​เผ็ดร้อนเป็นผักที่จำเป็นในการปรุงอาหารต้มยำกุ้ง ช่วยให้รสจัด และมีสาร แคปไซซิน(Capsaicin) ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน นอกจากนี้ยังช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร โดยสารแคปไซซิน ช่วยยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้แผลหายเร็วขึ้นด้วยการรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

5.กระเทียม
กระเทียมเป็นส่วนผสมที่จำเป็นในต้มยำกุ้ง มีประโยชน์บรรเทาและรักษาอาการไข้หวัดเนื่องจากในกระเทียมมีสารหอมระเหยแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยในระบบภูมิคุ้มกันโรคหวัดและภูมิแพ้ การรับประทานกระเทียมช่วยลดความดันและช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากช่วยการสลายตัวของไขมันในร่างกายลดการสะสมไขมันส่วนเกิน

6.มะเขือเทศ
มะเขือเทศ มีรสเปรี้ยวเมื่อใส่ในต้มยำกุ้งออกรสชาติ​เปรี้ยวเล็กน้อย มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณ​ให้เนียนใส และลดการเกิดสิว ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น ทั้งยังเป็นยาระบายอ่อนๆ ลดการแน่นอึดอัดหรือบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง


7.น้ำมะขามเปียก
มะขามเปียกมีรสเปรี้ยวช่วยให้ตื่นตัว อุดมไปด้วยวิตามินซีและแคลเซียมช่วยป้องกันและรักษาเลือดออกตามไรฟัน ทั้งยังช่วยบำรุงกระดูกและฟันอีกด้วย ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้เป็นยาระบายได้ดีสำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกอีกด้วย

8.มะนาว
มะนาวจัดเป็นผักคู่ครัวของคนไทย อุดมไปด้วยวิตามินซีและแร่ธาตุ​เช่นแคลเซียม​โพแทสเซียม​และฟอสฟอรัส​ การรับประทานต้มยำกุ้งมีมะนาวเป็นส่วนผสมช่วยในการย่อยอาหารได้ดี และช่วยดีทอกซ์​โดยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ช่วยขับสารพิษออกมาทางอุจจาระ ลดอาการท้องอืด และยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้มีความกระจ่างใส และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันไข้หวัด

จะเห็นได้ว่าสมุนไพรในต้มยำกุ้งทั้งแปดชนิดอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ​ต่างๆมากมาย มีกลิ่นหอมของสมุนไพร รสชาติจัดจ้าน ทำให้ร่างกายตื่นตัว ช่วยขับล้างสารพิษในลำไล้ เป็นยาระบาย ลดอาการท้องอืดแน่นท้องเป็นเมนูอาหารที่เหมาะสำหรับคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ภัยร้ายอันตราย ในของเล่นของเด็กๆ

แชร์ให้เพื่อน

ภัยร้ายอันตราย ในของเล่นของเด็กๆ

อุปกรณ์​ของเล่นสำหรับเด็กส่วนใหญ่แล้วมักผลิตมาจากพลาสติก​ ซึ่งในพลาสติก​นั้นมีสารเคมีเป็นส่วนประกอบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กไม่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ปกครองในการแยกแยะว่าพลาสติก​ของเล่นแบบใหนควรหลีกเลี่ยงและเป็นอันตรายสำหรับเด็กหรือบุตรหลานอันเป็นที่รัก จากตัวอย่างเด็กชาติตะวันตกหนึ่งคนมีของเล่นพลาสติก​เฉลี่ย 18 กิโลกรัม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กมีของเล่นพลาสติก​รายล้อมอยู่ในชีวิตประจำวันมากมายเพียงใด โดยเฉพาะพลาสติก​เนื้ออ่อนหรือพลาสติก​อ่อนทำให้เกิดการสัมผัสกับสารที่เป็นอันตรายได้มากกว่าสำหรับการสูดดม
สำหรับเด็กไทยแล้วของเล่นที่เป็นพลาสติก​นั้นมีจำนวนมากมายเลยทีเดียวโดยสังเกตุจากร้านขายของเล่นสำหรับเด็กส่วนใหญ่ผลิตมาจากพลาสติก​ทั้งนั้น

โอกาสในการสัมผัสกับสารเคมีในของเล่นของเด็กที่เป็นพลาสติก​ขึ้นอยู่กับ

  • ระยะเวลาที่เด็กใช้ในการเล่นของเล่นพลาสติก​ในแต่ละวัน
  • โอกาสที่เกิดขึ้นในการหยิบของเล่นพลาสติก​ใส่ปาก จมูกของเด็ก
  • ปริมาณ​ของเล่นที่เป็นพลาสติก​ของเด็กมีมากน้อยแค่ใหนในบ้าน

ทีมวิจัยจากประเทศสหรัฐ​อเมริกาพบว่า มีสารเคมีกว่า 419 ชนิดที่พบในวัสดุพลาสติก​แข็ง พลาสติก​อ่อน และโฟมซึ่งใช้ในของเล่น และพบว่ามาจากสารตั้งต้นมากถึง 126 ชนิดที่ทำร้ายสุขภาพของเด็กไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดมะเร็ง หรือไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง รวมถึงสารเติมแต่ง 31 ชนิดคุณสมบัติ​ติดไฟง่าย 18 ชนิด และกลิ่นที่เป็นปัญหาอีก 8 ชนิด
ซึ่งอันตรายของสารเคมีเหล่านั้นส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจหรือมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสำหรับทางเดินหายใจถ้ามีปริมาณ​มากเกิดกว่ากำหนด

อันตรายจากของเล่นนอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ที่พบบ่อยเช่น

  • เด็กหายใจไม่ออกเนื่องจากของเด็กมีขนาดที่หลากหลาย เด็กมักเอาของเล่นใส่ปากหรือจมูก สามารถเข้าไปติดลำคอ อุดตันทางเดินหายใจได้ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ หรือของเล่นที่มีเชือกคาดหรือยางยืดเสี่ยงในการรัดคอเด็ก ส่งผลทำให้หายใจไม่ออกและเสียชีวิตได้เช่นกัน
  • อันตรายจากเสียงดังเกินไปทำให้เป็นอันตรายต่อแก้วหูของเด็กได้
  • อันตรายจากสารเคมีที่มีพิษในของเล่น เช่น น้ำยาทาเล็บ
  • อันตรายจากลักษณะรูปลักษณ์​ของของเล่นที่เป็นอันตรายเช่น ของเล่นมีปลายแหลมเกิดการทิ่มตา หรือมีบาดแผลได้

คำแนะนำของทีมวิจัยสำหรับผู้ปกครองให้หลีกเลี่ยงของเล่นที่เป็นพลาสติก​อ่อน และเปิดห้องเล่นของเล่นเด็กทุกวันเพื่อช่วยระบายอากาศ

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เทคนิคเล่านิทาน ช่วยลดพฤติกรรม​ก้าวร้าวของเด็กปฐมวัย

แชร์ให้เพื่อน

เทคนิคเล่านิทาน ช่วยลดพฤติกรรม​ก้าวร้าวของเด็กปฐมวัย

เด็กปฐมวัยนั้นเริ่มต้นที่อายุ 0-6ปี นับเป็นวัยวิกฤตของมนุษย​์ซึ่งมีความสำคัญในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ การเรียนรู้พฤติ​กรรมทางสังคมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งจะช่วยให้เด็กปรับตัวกับเพื่อนและสังคมได้อย่างราบรื่น ถ้าเด็กไม่สามารถปรับตัวได้จะเกิดความคับข้องใจ​และแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางลบที่เป็นปัญหาสำหรับเด็กปฐมวัยโดยสามารถสังเกตุได้จากพฤติกรรม​ต่างๆ เช่น พูดจาหยาบคาย หยิก กัด ไม่เคารพผู้อื่น  ทำลายข้าวของ พฤติกรรม ก้าวร้าว อาละวาด​ในเด็กอายุ 2-6 ปี เกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากเด็กขาดการควบคุมอารมณ์
พฤติกรรมก้าวร้าว หมายถึง อารมณ์​โกรธ​ ไม่พอใจอย่างรุนแรง เนื่องจากผิดหวัง  ไม่ได้ดั่งใจในสิ่งที่คาดหวังไว้ โดยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว 2 แบบ คือ

  • พฤติกรรม​ก้าวร้าวต่อตนเอง เช่น ตีอกตัวเอง ดึงผมตัวเอง การทำร้ายร่างกายตนเอง เป็นต้น
  • พฤติกรรม​ก้าวร้าวต่อผู้อื่น เช่น ตีคนอุ้ม  ตีเด็กคนอื่น ขว้างปาสิ่งของใส่ผู้อื่น เป็นต้น

การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบ่อยๆ เช่น กระวนกระวายใจ อารมณ์​เก็บกด  โมโหร้าย เบื่อหน่าย ไม่เชื่อฟัง การขโมยของ เนื่องจากพัฒนาการทางอารมณ์​ของเด็กวัย 3-5ขวบ มักเจ้าอารมณ์​  มีความกลัวสุดขีด อิจฉา​อย่างไม่มีเหตุผล​ โมโห​ร้าย เกิดจากเด็กได้รับความรัก การเอาใจใส่ ดูแล จากพ่อแม่หรือคนไกล้ชิด เมื่อต้องพบปะกับคนนอกบ้านที่ไม่ได้เอาใจใส่เด็กได้เท่าคนในบ้าน ทำให้เด็กรู้สึกขัดใจ โดยแสดงอารมณ์​ออกมาทางคำพูดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เด็กแต่ละคนมีอารมณ์​ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ สิ่งแวดล้อมภายใน​บ้านและการอบรมเลี้ยงดู

เทคนิคการเล่านิทานช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว
เลือกนิทานที่เหมาะสมสำหรับเด็ก วิธีการเล่านิทานเพื่อให้เด็กเกิดความสนใจ ติดตามฟังเนื้อเรื่องจนจบมี 2 วิธี ดังนี้
1.การเล่านิทานด้วยปากปล่าว ไม่มีอุปกรณ์ ต้องอาศัยน้ำเสียง และลีลาของผู้เล่า มีรายละเอียดดังนี้

  • การเริ่มต้นเล่า ควรดึงดูดความสนใจของเด็ก โดยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน เล่าช้าๆ และเริ่มเร็วขึ้น จนเป็นการเล่าปกติ
  • น้ำเสียงดังฟังชัด ประโยคสั้นๆได้ใจความ ควรเล่าต่อเนื่องเพื่อลดความเบื่อหน่าย ไม่ควรมีคำถามแทรกเพราะทำให้เด็กหมดสนุก
  • อุ้มหรือกอดเด็กขณะเล่านิทาน หรือถ้ามีเด็กหลายควรนั่งในระดับสายตาเด็ก
  • ใช้เวลาในการเล่านิทานประมาณ​15 นาที เพราะเด็กมีความสนใจในช่วงเวลาสั้น
  • ให้โอกาสเด็กได้สอบถาม แสดงความคิด

2.การเล่านิทานโดยมีอุปกรณ์ช่วย เช่น สิ่งแวดล้อมรอบตัว ได้แก่ สัตว์ พืช ต้นไม้ ภาพประกอบ หุ่นมือ หน้ากากทำเป็นรูปละคร นิ้วมือประกอบการเล่า

ประโยชน์ที่ได้จากการฟังนิทานของเด็ก
1.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย
ขณะฟังนิทานบางเรื่องอาจมีการทำท่าประกอบเนื้อหานิทานที่เล่า เด็กได้เคลื่อนไหว​ส่วนต่างๆของร่างกาย ช่วยพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก
2.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์​ จิตใจ
ขณะฟังนิทานเด็กมีสมาธิ ใจจดจ่อในเนื้อเรื่อง มีอารมณ์​สงบ สุขุมเยือกเย็น มีภาพจินตนาการตามเนื้อเรื่อง กล้าแสดงออก สร้างความเชื่อมั่น และได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
3.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
ขณะเล่านิทานเด็กมีปฎิสัมพันธ์​ระหว่างผู้เล่าและเด็กด้วยกัน ทำให้เด็กเรียนรู้เข้าใจตนเองและผู้อื่นมากขึ้น นอกจากนี้ในเนื้อหาบางเรื่องส่งเสริมคุณธรรมทางสังคม เช่น การส่งเสริมด้านความซื่อสัตย์​ จากนิทานเรื่อง เทวดากับคนตัดต้นไม้
4.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
การฟังนิทานช่วยให้เด็กมีทักษะด้านภาษา การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ทั้งนี้ยังได้เคล็ดลับ​ของนิทานแต่ละเรื่องด้วยเช่น นิทานเรื่องลูกหมูสามตัว เด็กได้เรียนรู้เรื่องวัสดุอุปกรณ์​มีความแข็งแรงที่แตกต่างกันในการสร้างบ้าน เด็กได้เรียนรู้จดจำคำศัพท์​ใหม่ๆที่มีในนิทานเป็นการขยายประสบการณ์​ของเด็กให้กว้างขึ้น
การเลี้ยงเด็กถ้าสังเกตุว่าเด็กมีพฤติกรรม​ก้าวร้าวผู้ดูแลเด็กลองนำเทคนิคการเล่านิทานให้เด็กฟังเพื่อช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวได้ เช่นนิทานเรื่อง สามสหายกับเจ้าของฟาร์ม

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน