เมนูปิ้ง ย่าง พบสารก่อมะเร็ง ภัยร้ายในความอร่อย

แชร์ให้เพื่อน

เมนูปิ้ง ย่าง พบสารก่อมะเร็ง ภัยร้ายในความอร่อย

อาหารที่ปรุงชนิดปิ้ง ย่าง และรมควัน พบสารก่อมะเร็งชื่อว่า สารพีเอเอช(Polycyclic Aromatic Hydrocarbon-PAH) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่เกิดในควันไฟ ควันธูป ควันบุหรี่​  ควันโรงงาน และควันอื่นๆที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
จากรายงานการวิจัยของประเทศจีน เมืองกวางโจว พบว่าสารก่อมะเร็ง จากอาหารปิ้งย่างนั้น นอกจากจะเข้าสู่ร่างกายโดยการกินแล้ว  ยังเข้าทางการสูดดมหรือหายใจขณะนั่งกินข้างเตาไฟ ทั้งนี้ยังสามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ด้วย

เมนูอาหารปิ้งย่าง เกิดสารก่อมะเร็งได้อย่างไร?

.สารพิษที่ก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเกิดจากการย่างเนื้อสัตว์ที่มีไขมันหยดบนเตาถ่านขณะที่ให้ความร้อนต่ำ และเมื่อมีอากาศจำกัดทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดควันที่มีสาร
พีเอเอชลอยขึ้นมาเกาะติดที่ผิวของอาหาร โดยจะมีมากบริเวณที่ไหม้เกรียมของอาหารที่ปิ้งย่างนั้น
.สารพิษที่ก่อมะเร็งอยู่ในควันจากการปิ้ง ย่าง หากเราสูดดมควัน หรือการอยู่ใกล้เตาขณะปิ้ง ย่างอาหารอยู่เราก็สามารถรับสารก่อมะเร็งทางผิวหนังได้เช่นกัน

กินอาหารปิ้ง ย่าง อย่างไรให้ปลอดภัยจากสารก่อมะเร็ง?

ทางที่ดีที่สุดควรเลือกการปรุงอาหารแบบ ต้ม หรือ นิ่ง แต่ถ้าอยากกินอาหารปิ้ง ย่าง สามารถลดความเสี่ยงจากสารก่อมะเร็ง พีเอเอช ได้ดังนี้

  • เลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันติดน้อยที่สุดมาปรุงเมนูปิ้งย่าง
  • ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกด้วยวิธีการต้ม ลวก ก่อนนำมา ปิ้ง ย่าง จะช่วยลดการเกิดสารพิษ พีเอเอช ขณะปิ้งย่าง
  • หลีกเลี่ยงการใช้เตาถ่าน ควรใช้เตาไฟฟ้าไร้ควัน ในการปิ้ง ย่าง
  • ใช้ใบตองหรือฟรอยห่อหุ้มอาหารก่อน ปิ้ง ย่างบนเตาไฟ ช่วยลดไขมันหยดลงบนถ่าน และลดสารพิษเอพีเอชได้
  • ขณะปิ้ง ย่างควรอยู่ห่างจากเตาปิ้ง ย่างให้มากที่สุด
  • การรับประทานอาหารปิ้ง ย่าง ไม่ควรกินเนื้อปิ้ง ย่างบริเวณที่ไหม้เกรียม
  • หลังการปรุงอาหารชนิด ปิ้ง ย่าง ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำความสะอาดร่างกายทันที

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) อันตรายใกล้ตัว ที่ป้องกันได้

แชร์ให้เพื่อน

โรคพิษสุนัขบ้า(Rabies) อันตรายใกล้ตัว ที่ป้องกันได้

โรคพิษ​สุนัข​บ้า(Rabies) เป็นโรคระบาดจากสัตว์สู่คน ที่มีความรุนแรงเป็นอย่างมาก เมื่อคนได้รับเชื้อพิษสุนัขบ้าจะมีโอกาส​เสียชีวิตสูง โรคพิษสุนัขบ้าแพร่ระบาดได้จากสัตว์​เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ส่วนใหญ่คนได้รับเชื้อจากสุนัข องค์การอนามัยโลกและองค์​การโรคระบาด​สัตว์ระหว่างประเทศ ได้กำหนดเป้าหมายให้โรคพิษสุนัข​บ้า​หมดไปจากทุกประเทศทั่วโลกในปี ค.ศ. 2020
มีข่าวการระบาดโรคพิษสุนัขบ้าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2022 ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นการระบาดกับวัวที่เลี้ยงไว้ ขณะนี้เสียชีวิตไป 8-9ตัวเสียหายหลายแสนบาท

สาเหตุการติดต่อมาสู่คน
.ติดต่อทางน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อโดยเข้าทางบาดแผลที่ถูกกัด ข่วน หรือสัตว์ที่ติดเชื้อมาเลียแผลก็ทำให้ติดเชื้อได้ และเชื้อไวรัสพิษ​สุนัขบ้าสามารถติดต่อทางเยื่อเมือก​เช่น เยื่อบุตา ปาก แม้ว่าเยื่อเมือกจะไม่มีบาดแผลก็ตาม

อาการและอาการแสดง
การแสดงอาการหลังได้รับเชื้อพิษสุนัข​บ้าประมาณ 30-90วัน บางรายไม่ถึง 10วัน โดยเชื้อไวรัสพิษสุนัข​บ้าจะแพร่กระจายไปตาม​เซลล์​ประสาทไปยังสมองและเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว อาการที่พบได้บ่อยเช่น ไข้สูง กระสับกระส่าย​ กลืนลำบาก หายใจลำบาก กลัวน้ำ กลัวลม ชัก เกร็ง และโคม่าในที่สุด

การป้องกันเมื่อสัมผัสเชื้อ
โรคพิษสุนัขบ้า ในปัจจุบันนี้มีวัคซีนป้องกันได้ หากผู้ที่ติดเชื้อได้รับวัคซีน หลังถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นกัด แต่มีคนจำนวนไม่น้อย ไม่ตระหนักถึงอันตราย ไม่มารับการฉีดวัคซีน ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ข้อควรปฏิบัติเมื่อถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กัด ข่วน หรือเลียบาดแผล

  • ฟอกล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ให้ลึกถึงก้นแผลอย่างน้อย 15 นาที
  • เช็ดทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำเกลือ และเช็ดรอบๆ บาดแผลด้วยแอลกอฮอล์​
  • รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าและวัคซีนป้องกันบาดทะยัก ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
  • ให้กักตัวสัตว์ที่กัดและสังเกตุอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน ว่าสัตว์มีอาการดุร้าย อาละวาด หรือไม่ แต่สัตว์บางตัวอาจดูเชื่อง ซึม ลิ้นห้อย และตายในที่สุด

ในปัจจุบันนี้มีสุนัข และแมวจรจัดจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ปกครองต้องสอนลูกหลาน ไม่ให้เข้าไปใกล้ หรือเล่นกับสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ไม่ควรไปแหย่ หรือทำร้าย และควรนำสัตว์เลี้ยง สุนัข แมวรับการฉีดวัคซีนทุกปี เพื่อความปลอดภัย หากถูกสุนัขหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกัด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและฉีดวัคซีนโดยเร็ว หากใครที่เลี้ยงวัวควรระมัดระวังและสังเกตุอาการของวัวเพราะมีการระบาดของโรคพิษ​สุนัขบ้ากับวัวที่เลี้ยงใว้ในจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2565

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทยใช้ป้องกัน รักษาโรคได้

แชร์ให้เพื่อน

ขมิ้นชัน สมุนไพรไทยใช้ป้องกัน รักษาโรคได้

ขมิ้นชันเป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับขิงข่า มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในเหง้ามีสีเหลืองเข้ม กลิ่นหอมเฉพาะตัว
จัดเป็นพืชสมุนไพรไทยที่มีคุณประโยชน์เหลือหลาย ขมิ้นชันได้รับการบรรจุเข้าบัญชี​ยาหลักแห่งชาติปี 2542 ต่อมามีการวิจัยพบสารเคอร์คูมินอยด์ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดโคเลสเตอรอลในเลือด  บำรุงตับ ป้องกันมะเร็ง
ช่วยรักษาโรคต่างๆดังนี

1.ขมิ้นชัน  ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร มีสารเคอร์คูมินอยด์  ที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคลือบกระเพาะอาหาร  ช่วยลดการอักเสบของแผลในกระเพาะอาหาร  ช่วยลดการจุดเสียด แน่นท้อง ช่วยขับลม ใครที่มีปัญหาโรคกระเพาะอาหารลองหามารับประทานดูนะคะ

2.ขมิ้นชัน ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน จากข้อมูลของงานวิจัยเกี่ยวกับขมิ้นชันและเบาหวานพบว่าสาร เคอร์คูมินอยด์ มีประโยชน์และส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานได้ ทั้งยังช่วยลดการแข็งตัวของเลือดซึ่งเป็นภาวะเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งยังช่วยลดไขมันรวมในร่างกายและช่องท้องได้ด้วย

3.ขมิ้นชัน ช่วยข้อเข่าเสื่อม  โดยทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่า  ความฝืดข้อเข่าดีขึ้น และเพิ่มความสามารถในการใช้งานของข้อเข่าได้ดีไม่แตกต่างกับการใช่ยาแผนปัจจุบันเลยทีเดียวทั้งยังลดปัญหาการอักเสบของกระเพาะอาหารจากการใช้ยาแก้ปวดได้ด้วย

4.ขมิ้นชัน มีสารต้านอนุมูล​อิสระ​ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้

5.ขมิ้นชัน ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ลดการอักเสบของผิวหนัง บรรเทาอาการคัน  โดยใช้ผงขมิ้นทาที่ผิวหนังหลังทำความสะอาดร่างกาย

6.ขมิ้นชันนอกจากป้องกันและรักษาโรคแล้วยังใช้ประกอบอาหารให้น่ารับประทาน มีกลิ่นหอม  เช่น ต้มไก่ขมิ้น  ต้มปลาใส่ขมิ้นเพิ่มความหอมลดกลิ่นคาวปลา  แกงขี้เหล็กใส่ขมิ้นช่วยให้สีน่ารับประทาน

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

8 วิธีฝึกปฏิบัติเพื่อขจัดความกลัว

แชร์ให้เพื่อน

8 วิธีฝึกปฏิบัติเพื่อขจัดความกลัว

1.อยู่กับความเป็นจริง ฝึกจิต กำหนดจิตว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ความกลัวเกิดจากสาเหตุใด
2.เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรากลัว ว่าความกลัวนั้นมีเหตุผลประกอบความกลัวหรือไม่ ทำไมต้องกลัว
3.สร้างความคุ้นเคยกับสิ่งที่กลัวโดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆก่อน
4.การใช้เวลาอยู่กับคนที่เค้าไม่กลัวสิ่งที่เรากลัวให้มากขึ้นเพื่อจะได้ลดความกลัวลงเรื่อยๆ
5.การสื่อสารหรือการพูดบ่อยๆถึงสิ่งที่กลัวจะช่วยลดความกลัวลงได้
6. การจินตนาการ ถ้ากลัวในการพูดต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมาก ให้ใช้วิธีฝึกพูดและจินตนาการว่ากำลังพูดในห้องประชุมเป็นต้น
7.ถ้ากลัวความสูง ห้ามมองลงมาข้างล่าง ใช้เทคนิคการหลอกจิตว่ายืนอยู่บนพื้นดิน ไม่ใช่ตึกสูง
8.แสวงหาความช่วยเหลือเช่น จิตแพทย์ การบำบัดโดยกลุ่ม นักพฤติกรรม​บำบัด การฝึกจิตวิญญาณ​การใช้ยา

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

อย่าปล่อยความกลัว มาครอบงำจิตใจ

แชร์ให้เพื่อน

อย่าปล่อยความกลัว มาครอบงำจิตใจ
 
ความกลัวคืออารมณ์​ที่เกิดจากการรับรู้ถึงภัยคุกคามของสิ่งมีชีวิต เป็นสัญชาตญาณ​ของสัตว์เพื่อความอยู่รอดและคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์​นั่นเอง  ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม เช่น การวิ่งหนี การหลบซ่อน  แต่ถ้ากลัวมากเกินไปหรือกลัวบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วไปไม่กลัวเรียกว่า โรคกลัว(Phobia)​

รูปแบบของความกลัว
1.กลัววัตถุเฉพาะเช่น กลัวงู กลัวแมงมุม กลัวไส้เดือน​
2.กลัวเหตุการณ์​ เช่น กลัวที่แคบ กลัวฝน พายุ กลัวที่สูง กลัวอุโมง เป็นต้น
3.กลัวความเจ็บป่วยเช่น กลัวความตาย
4.กลัวการรักษาทางการแพทย์เช่น กลัวเลือด กลัวเข็มฉีดยา กลัวการบาดเจ็บ
5.ความกลัวอื่นๆ เช่น กลัวเชื้อโควิด19

ความกลัวแบบมีเหตุผลหรือเหมาะสมนั้นเป็นวิสัยของสิ่งมีชีวิตพึงมีต่อภัยคุกคามที่กำลังมาถึงตัวเช่น ความกลัวของวัวกับเสือที่ดุร้าย(เขียนเสือให้วัวกลัวเป็นสำนวนไทยหมายถึง การทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม  แต่ถ้าตีความแบบตรงตัวแล้วผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าวัวกลัวหรือไม่  แต่เท่าที่เคยเห็นมาคือวัวยืนกินหญ้าข้างรูปปั้นเสือนั่นเอง)

เส้นทางการพัฒนาความกลัว

  • ประสบการณ์​ตรง เช่น เคยถูกสุนัขกัดมักจะมีภาพความทรงจำเรื่องบาดแผลและการฉีดวัคซีน
  • ประสบการณ์​จากการสังเกตุเช่น ดูสารคดีเรื่องฉลามกัดแขนขาด ได้รับความทุกข์ทรมาน​ แม้ไม่ได้มีประสบการณ์​ตรงก็ทำให้เกิดความกลัวได้
  • การได้รับข้อมูลทางลบ เช่นพ่อแม่ต้องการปกป้องลูกจากสัตว์เช่นจิ้งจกซึ่งแท้จริงแล้วจิ้งจกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ได้พิสูจน์​เป็นความกลัวที่สืบทอดมาจากพ่อแม่
  • ความกลัวที่มีมาแต่กำเนิดเช่นเด็กอายุ 0-2ปี กลัวเสียงดัง คนแปลกหน้า  เด็กอายุ 3-6ปี กลัวสิ่งที่คิดหรือจินตนาการเช่น กลัวผี ตัวประหลาด ความมืด กลัวการนอนคนเดียว อายุ 7-16ปีความกลัวที่สอดคล้องความเป็นจริงเช่น กลัวตาย กลัวการบาดเจ็บ กลัวผลการเรียนแย่ กลัวภัยธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าความกลัวเริ่มลดลงเมื่อมีวุฒิภาวะ​มากขึ้น แต่ความกลัวบางอย่างฝังลึกในจิตใต้สำนึก ไม่สามารถอธิบายได้
    จะเห็นได้ว่าความกลัวนั้นเป็นเรื่องเฉพาะส่วนบุคคล
    สังคม ศาสนา หรือวัฒนธรรม

 

กลวิธีเพื่อเอาชนะความกลัว
1.หลีกเลี่ยงดูภาพที่สยดสยองเช่น เครื่องบินตก เพราะจะทำให้กลัวการขึ้นเครื่องบิน
2.การเผชิญกับความกลัวให้เร็วที่สุด เช่น ถ้าถูกสุนัขกัด  ควรรีบเจอสุนัขตัวอื่นๆโดยอยู่กับคนที่ไว้วางใจได้
3.ผู้ปกครองต้องเป็นแบบอย่างในวงจรของความกลัวไม่เช่นนั้นเด็กๆจะซึมซับความกลัวจากผู้ปกครอง
4.ผู้ปกครองหรือคนแวดล้อมให้คำแนะนำที่มีเหตุผล อย่าหลอกให้เด็กกลัว หรือนำความกลัวใส่ลงในความคิดเด็ก
5.เรียนรู้ที่จะเผชิญกับความกลัวถ้าปรารถนา​จะหายจากความกลัวนั้น เช่น การเผชิญกับความกลัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและกระทำซ้ำๆ
โดยทำรายการความกลัวออกมาว่ามีอะไรบ้าง
ค่อยๆเผชิญกับความกลัวน้อยๆก่อนและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างทางที่ทำสำเร็จ​ก็ให้รางวัลกับความกล้าหาญเพื่อจูงใจไปสู่เป้าหมายชนะความกลัวให้ได้
6.เรียนรู้เทคนิคผ่อนคลาย โดยปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เช่น

  • เปิดเพลงที่ทำให้คลื่นสมองต่ำเช่น Awakening
  • การนั่งในท่าที่สบายบนก้าวอี้
  • สูดหายใจเข้าออกลึกๆ
  • ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยเริ่มจากหน้า คอ แขน หลัง และขาผ่อนคลาย
  • จินตนาการไปในสถานทีที่สวยงามเช่น ทะเล ภูเขา สวนดอกไม้

การจัดการกับความกลัวนั้นไม่ได้ยากจนเกินไป เพียงแต่ใช้เทคนิค และสร้างกำลังใจเพื่อช่วยให้หายจากความกลัวสิ่งต่างๆได้ โดยใช้ขั้นตอนการประเมินความกลัว การวัดระดับความกลัวและใช้วิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

กฎ7ข้อ ศาสตร์​แห่งการควบคุมอารมณ์

แชร์ให้เพื่อน

กฎ7ข้อ ศาสตร์​แห่งการควบคุมอารมณ์

การควบคุมอารมณ์(Emotional Control) คือทักษะในการจัดการกับสิ่งเร้าต่างๆที่ทำให้เกิดการตื่นตัวและแสดงพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย​ที่กำหนดไว้

องค์ประกอบของอารมณ์​มี 3 ประการคือ
1.องค์​ประกอบด้านสรีระ(Physical dimension) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ้นควบคู่กับอารมณ์​เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกตามร่างกาย อารมณ์​ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากที่สุดคือ อารมณ์​กลัว  ซึ่งอารมณ์กลัวทำให้หลั่งฮอร์โมน​แอดรีนาลีนจากต่อมแอดรีนัล(Adrenal gland) และอารมณ์​โกรธ  ซึ่งอารมณ์โกรธจะหลั่งฮอร์โมน​นอร์แอดรีนาลีน(Noradrenalin)​

2.องค์​ประกอบทางด้านการนึกคิด(Cognitive dimension) เป็นปฏิกิริยาด้านจิตใจต่อสิ่งเร้าและเกิดเป็นอารมณ์​ขึ้นมา เช่น ชอบ-ไม่ชอบ  ถูกใจ-ไม่ถูกใจ

3.องค์​ประกอบด้านประสบการณ์​(Experiential dimention) เป็นการเรียนรู้ภายในจิตใจของแต่ละบุคคลในอดีต ซึ่งมีความแตกต่างกันไป 

การแสดงออกของอารมณ์นั้นสามารถแสดงออกมาโดยคำพูดและสีหน้า  ท่าทาง  อาจเกิดความสับสนในการตีความได้เนื่องจากสังคมและวัฒนธรรม เช่น การแลบลิ้น บางกลุ่มชนเป็นการทักทาย  ในสังคมจีนแสดงถึงความประหลาดใจ


นักจิตวิทยาพบว่าอารมณ์​แรกของมนุษย์ คืออารมณ์​ตื่นเต้น ขณะที่ทารก 3 เดือน มีเพียง อารมณ์​เศร้า และอารมณ์​ดีใจ สำหรับอารมณ์​ที่มีความสลับซับซ้อนจะปรากฏ​ขึ้นตามวุฒิภาวะ เช่น อารมณ์​ก้าวร้าว​และรุนแรงเป็นผลมาจากความคับข้องใจ หรือถูกกดขี่ตลอดเวลา

ดังนั้นมนุษย์​ทุกคนจึงต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์​ของตนเองให้สามารถปรับตัวและดำรงชีพอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

กฏ 7 ข้อศาสตร์​แห่งการควบคุมอารมณ์​มีดังต่อไปนี้

1.การรู้เท่าทันอารมณ์  โดยการมีสติอยู่เสมอ เพื่อควบคุมอารมณ์​ให้คลายลงได้ เช่น การขับรถใกล้วัด บริเวณ​ที่เผาศพ มองเห็นเงาตะคุ่ม ก่อให้เกิดอารมณ์​กลัวทำให้เร่งขับเร็วขึ้นทำให้เกิดอุบัติเหตุได้  ทั้งที่เงานั้นเป็นเงาต้นไม้ ถ้าใช้สติมากขึ้นก็ไม่ทำให้เกิดความสูญเสีย

2.การมีความอดทน การขาดความอดทนทำให้ใจร้อน รอคอยไม่เป็น ไม่อดกลั้น ก่อให้เกิดปัญหาหลากหลายเช่นการเกิดอุบัติเหตุ​ตามท้องถนน  ทะเลาะเบาะแว้ง ลงไม้ลงมือ การฝึกความอดทนอดกลั้นจะช่วยลดปัญหาต่างๆลงได้ และเกิดผลลัพธ์​ที่ดีในอนาคต

3.การมีกลยุทธ์​ที่ยืดหยุ่นได้ เป็นการผ่อนปรน การรู้จักผ่อนสั้น ผ่อนยาว ความไม่เคร่งครัดในบางโอกาส  ถ้าเคร่งครัดมากเกินไปเกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็ต้องมีความยืดหยุ่นลงบ้าง เช่นความเคร่งเครียดกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ เราควรแบ่งช่วงเวลา ผ่อนคลาย อารมณ์​ ใช้วันหยุดพักร้อนเพื่อพักผ่อน

4.ควรหยุดพักก่อน  เมื่อสังเกตุว่าเราแสดงอารมณ์​ที่ไม่เหมาะสม เราควรต้องหยุดพักเพื่อจะได้คิดทบทวนย้อนกลับว่าเหตุใดเราถึงแสดงอารมณ์​นั้นออกมา

5.การให้รางวัลกับตัวเอง  เป็นการเสริมแรง  สร้างพลังทางบวกแก่จิตใจ เช่น การไปเที่ยว  การซื้อทรัพย์​สินให้ตัวเอง  รวมถึงการฝึกสมาธิเป็นการเสริมพลังทางจิตด้วย

6.การบันทึกชนิดของสิ่งเร้าที่กระตุ้นอารมณ์(Mood Tracker) โดยจดบันทึกระดับความรู้สึกอารมณ์​ด้วยสีต่างๆที่บ่งบอกความรู้สึกเศร้า โกรธ เฉยๆ หรือมีความสุขมากๆ และต้องเป็นการบันทึกอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง ทำให้เราเข้าใจและสามารถควบคุมอารมณ์​ได้ดีขึ้น

7.พัฒนาการด้านอารมณ์​เป็นความสามารถในการแยกแยะความรู้สึก และการควบคุมการแสดงออกของอารมณ์​อย่างเหมาะสมเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์​ต่างๆตลอดจนการสร้างความรู้สึกที่ดีและนับถือตัวเอง

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ภาวะท้องเสีย ท้องร่วง ภัยไกล้ตัวกับทุกเพศ ทุกวัย

แชร์ให้เพื่อน

ภาวะท้องเสีย ท้องร่วง ภัยไกล้ตัวกับทุกเพศ ทุกวัย

“ภาวะท้องเสีย ท้องร่วงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 8 ของโลก”

ภาวะท้องเสีย ท้องร่วง (Diarrhea) คือ ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร​โดยถ่ายอุจจาระเหลว หรือเป็นน้ำมากกว่าปกติ มีความถี่มากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป  และถ่ายมีมูกปนเลือดมากกว่า1 ครั้งขึ้นไป มักเกิดหลังจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนที่กระตุ้นการขับถ่าย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการติดเชื้อ หรืออาหารเป็นพิษ

สาเหตุ​ของท้องเสียหรือท้องร่วงแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.ท้องเสียแบบเฉียบพลัน มักเกิดภายใน24ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อหรือสารปนเปื้อน

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ปนเปื้อนกับอาหารการกินหรือน้ำดื่ม ส่งผลทำให้ท้องเสียตามมาเช่น
    เชื้อชิเกลล่า เชื้อซาโมเนลล่า และอีโคไล
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรต้าไวรัส ซึ่งเป็นการติดเชื้อในเด็กมากที่สุด  โนโรไวรัส
  • การได้รับเชื้ิอปรสิต เช่นเชื้อบิดอมีบา  คริปโตสปอริเดียม

2.ท้องเสียแบบเรื้อรัง อาการท้องเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ขึ้นไป  สาเหตุเกิดจาก

  • อาหาร เช่น นมพบกับกลุ่มที่ขาดน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแล็กโทส ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
  • ยาบางชนิด  ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษามะเร็งบางตัว
  • การผ่าตัดลำไส้ หรือถุงน้ำดี ทำให้เกิดอาการท้องเสียแบบเรื้อรังได้
  • อาการท้องเสียเรื้อรังอาจตรวจพบโรคเหล่านี้ร่วมด้วยเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่  โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้แปรปรวน
  • ภาวะเครียดต่างๆ

ฉะนั้นถ้ามีอาการท้องเสียแบบเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาจะได้ไม่สายเกินแก้

อาการและอาการแสดงของภาวะท้องเสีย ท้องร่วง

  • ถ่ายอุจจาระเหลว เป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป
  • ถ่ายมีมูกปนเลือด1ครั้งขึ้นไป
  • ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย
  • รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวหรือมีไข้

การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคแบ่งเป็น
1.การตรวจทางห้องปฏิบัติการเช่น การตรวจเลือด การตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจหาสัญญานการติดเชื้อและหาชนิดของเซื้อโรค
2.การตรวจโดยวิธีการส่องกล้องเข้าระบบทางเดินอาหารเพื่อดูความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารและสาเหตุของภาวะท้องเสีย ท้องร่วง

การดูแลรักษาเบื้องต้นก่อนไปพบแพทย์

  • ยาผงถ่าน เพื่อลดอาการแน่นท้อง ช่วยดูดซับเชื้อหรือสารพิษ และช่วยลดการถ่าย
    รับประทาน 2 เม็ดทันที และกินซ้ำได้ทุก 3-4ชั่วโมง และไม่ควรกินเกิน16 เม็ดต่อวัน
  • ผงเกลือแร่โออาร์เอส ช่วยชดเชยการขาดน้ำและเกลือแร่ ผสมน้ำสะอาดตามที่ระบุข้างซอง โดยค่อยๆจิบถ้ามีคลื่นไส้อาเจียน

ถ้ารักษาเบื้องต้นไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาต่อไป

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

สอนลูกอย่างไร? ให้มีระเบียบวินัย

แชร์ให้เพื่อน

สอนลูกอย่างไร? ให้มีระเบียบวินัย

ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาการขาดระเบียบวินัยของประชาชนและเยาวชนอย่างรุนแรงเช่น ปัญหาวินัยในการจราจร 
การที่ลูกขาดระเบียบวินัยเป็นปัญหาความหนักใจหรือหงุดหงิดใจของพ่อแม่ 
ฉะนั้นพ่อแม่ต้องเน้นการสร้างระเบียบวินัยกับลูกตั้งแต่วัยเด็กก่อนเรียน โดยอาศัยเทคนิคดังต่อไปนี้

1.ด้านการสื่อสาร
การสื่อสารกับลูกต้องชัดเจน ใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับกฎระเบียบของบ้านซึ่งเป็นระเบียบวันัยพื้นฐานเบื้องต้น ชึ่งทุกคนในครอบครัวต้องร่วมมือกันปฏิบัติโดยปราศจาก​ข้อโต้แย้งเช่น เวลากินข้าวห้ามเล่นโทรศัพท์​  ไม่ควรเข้านอนเกิน 4 ทุ่ม กลับมาจากโรงเรียนต้องเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย เป็นต้น

2.เรียนรู้ถึงขอบเขตของตัวเองว่าสิ่งใหนที่ลูกทำได้และสิ่งใหนที่ลูกไม่สามารถทำได้ ขอบเขตที่ดีช่วยให้มีอิสระในการใช้ชีวิตในแบบที่ช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง เช่น เมื่อลูกมีอารมณ์​โกรธไม่สามารถตีน้องหรือโยนสิ่ง ทำลายข้าวของไม่ได้

3.ฝึกใช้การกระทำแทนการใช้คำพูดอย่างเดียว ด้วยการสัมผัสเพื่อกำหนดพฤติกรรม เช่นเมื่อดูไปหยิบขนมเพื่อนกินแม่ดึงมือลูกกลับพร้อมกับบอกลูกให้กินขนมตนเองห้ามหยิบขนมเพื่อนเวันแต่ได้รับอนุญาต​แล้ว

4.การฝึกลูกให้รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง
เช่นพ่อแม่กำหนดสถานการณ์​ขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วประเมินดูว่าลูกคิดหาแนวทางการแก้ปัญหาได้เหมาะสมหรือไม่

5.ฝึกลูกให้รู้จักผ่อนคลายความเครียด และหาทางออกได้อย่างเหมาะสม การผ่อนคลายอารมณ์​เครียดของเด็กเช่นการร้องให้ หรือการขี่จักรยานเล่นช่วยคลายเครียดได้

6.ฝึกลูกให้เขียนบันทึกประจำวัน เพื่อเป็นการทบทวนการกระทำของตนเอง ว่าในแต่ละวันทำอะไรบ้าง อะไรบ้างเป็นสิ่งที่ควรทำและอะไรบ้างไม่ควรทำ เพื่อจะได้ติดเป็นนิสัย

7.ฝึกลูกให้รู้จักทำความดี โดยการกล่าวคำชมเชย ทั้งด้วยวาจา และภาษากาย เช่น พูดชมเชย 
การกอด การหอมแก้ม

8.ฝึกให้ลูกยอมรับในข้อตกลงร่วมกันที่เป็นลายลักษณ์อักษร การเขียนข้อกำหนด กฎเกณฑ์​ติดแปะไว้เช่น เก็บร้องเท้าให้เป็นระเบียบ ล้างมือทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ เป็นต้น

การฝึกระเบียบวินัยให้ลูกต้องมีความสม่ำเสมอ  พ่อแม่ต้องมีความเด็ดขาด ในการปฏิบัติตนเพื่อรักษากฎระเบียบร่วมกัน  ทั้งน้ำเสียง ท่าทาง และสีหน้าที่สามารถสื่อให้ลูกเข้าใจว่าการกระทำนั้นไม่ได้รับการยอมรับให้ทำได้
การฝึกเรื่องระเบียบวินัยกับลูกแต่ละวัยไม่เหมือนกันเพราะเด็กแต่ละวัยจะมีความสามารถในการรับคำสั่งหรือข้อปฏิบัติที่แตกต่างกัน ฉะนั้นพ่อแม่ต้องคำนึงถึงข้อนี้ด้วย

หลักสำคัญที่สุดของการฝึกระเบียบวินัยกับลูกนั้นพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเด็กจะได้เลียนแบบและซึมซับ​พฤติกรรมของพ่อแม่มาเป็นของตน
และสามารถพัฒนาทักษะและมีวุฒิภาวะทางอารมณ์​เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ตลอดจนควบคุมอารมณ์​ได้ตามสถานการณ์​ที่เหมาะสม

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

6 เทคนิคที่พ่อแม่ต้องรู้ ในการเลี้ยงลูก

แชร์ให้เพื่อน

6 เทคนิคที่พ่อแม่ต้องรู้ ในการเลี้ยงลูก

ยุคสมัยปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกๆด้าน ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมก็เช่นกัน สมัยก่อนนั้นสถาบันครอบครัวประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก
ในครอบครัวหนี่งมีลูกหลายคน เช่น 10 คน 5 คน
ต่อมาเริ่มลดลงเป็น 3 คน 2 คน หรือ 1 คน หรือไม่มีลูกเลยทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาทางเศรษฐกิจ​  มีศักยภาพในการเลี้ยงลูกได้แต่เลือกที่จะไม่มีลูก อาจเป็นทัศนคติ​ที่เปลี่ยนไปว่าการลงทุนกับลูกนั้นไม่ใช่ความจำเป็นอีกต่อไป จึงเลือกที่จะมีครอบครัวแบบสามี ภรรยา และที่สำคัญกว่านั้น เลือกที่จะอยู่เป็นโสดมากขึ้นด้วย
เจนเนอร์เรชั่นอัลฟา คือเด็กที่เกิดในปี ค.ศ. 2010-2024 หรือพ.ศ. 2553-2567

 

6 เทคนิค​ที่พ่อแม่ต้องรู้ ในการเลี้ยงลูก

1.ความรัก ความอบอุ่น ความไว้วางใจ
การเลี้ยงลูกด้วยมือถือเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยๆในยุคของเทคโนโลยี่ เด็กเข้าถึงสื่อออนไลน์​ได้อย่างง่ายดายโดยเฉพาะสื่อที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก

การเลี้ยงลูกต้องเลี้ยงด้วยความรัก บางคนเลี้ยงลูกด้วยเงิน ตามใจลูกทุกอย่าง การตามใจทุกอย่างไม่ใช่การสื่อถึงความรัก แต่ทำให้เด็กคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้  ซึ่งในโลกแห่งความจริงในสังคมนั้นจะมีระเบียบ ข้อกำหนดกฎเกณฑ์​ต่าง
พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกแบบควบคุมให้ลูกทำดั่งใจตัวเองนั่นไม่ใช่ความรัก
การให้ความอบอุ่นแก่ลูก เป็นประเด็นที่ส่งเสริมให้ลูกมีความรู้สึกทางบวก(Positive feeling) ความรู้สึกสบายใจ ผ่อนคลาย ไว้วางใจส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางใจ ซึ่งเป็นพลังทางสุขภาพจิตที่เข้มแข็งยั่งยืนเป็นภูมิต้านทานปัญหาทางจิตและชีวิตทุกรูปแบบ  เมื่อคนมีภาวะปีติยินดี สงบสุขในจิตใจและไร้ความกังวล จะหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า
เอ็นดอร์ฟินออกมามาก
พ่อแม่ต้องทำให้ลูกมั่นใจว่ารักและจริงใจกับเค้าจริงๆ แม้ในยามที่เค้ามีปัญหา เกิดเหตุ​การณ์​ดีหรือร้ายก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเสมอ  สอนให้ลูกเลือกสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเช่นหลักธรรมในศาสนาเพื่อเป็นเครื่องมือทางความคิดในการดำรงชีวิต จะช่วยให้เกิดความอบอุ่นใจได้เป็นอย่างดีเช่นกัน


2.การรับฟังความคิดเห็นของลูกมากขึ้น
การเลี้ยงลูกยุคสมัยปัจจุบันนั้นแตกต่างจากสมัยก่อนมาก สมัยก่อนนั้นลูกจะเชื่อฟังพ่อแม่ดังคำกล่าวที่ว่า  อาบน้ำร้อนมาก่อน ขณะที่การเลี้ยงลูกในยุคสมัยปัจจุบันพ่อแม่ต้องปรับตัวพร้อมที่จะให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆและรับฟังความคิดเห็นของลูก  เพื่อให้มีผลดีกับทั้งสองฝ่าย


3.ความมีระเบียบวินัย
การสอนเรื่องระเบียบวินัยนั้นในโลกของความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่ลูกสามารถเรียนรู้จากการกระทำของพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ แต่จะเรียนรู้ด้วยตนเองว่าสิ่งใหนทำลงไปแล้วผู้อื่นให้การยอมรับ
เด็กโดยส่วนใหญ่แล้วต้องการให้พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ควบคุมเขา แต่ไม่ใช่ด้วยการข่มขู่ หรือ ใช้ความรุนแรง เพราะเด็กจะไม่ให้ความร่วมมือและเสียสัมพันธภาพ​ที่ดีในครอบครัวด้วย

ประโยชน์จากการฝึกวินัยลูก

  • ลูกสามารถแสดงออกภายในขอบเขตที่เหมาะสม
  • ลูกเรียนรู้สิทธิและความเป็นส่วนตัวของตนเองและผู้อื่น
  • ลูกเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่ตนเองได้รับ
  • ลูกสามารถควบคุมตนเองได้ดี

ฉะนั้นการจะสอนลูกเรื่องระเบียบวินัยพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้านระเบียบวินัยด้วย
สำหรับเทคนิคการสอนลูกเรื่องระเบียบวินัยมีในบทความต่อไปค่ะ


4.การควบคุมตนเอง เป็นความสามารถในการเปลี่ยนหรือยับยั้งอารมณ์​  พฤติกรรม​ และความปรารถนา​ตามธรรมชาติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาว ให้เป็นไปตามกฎหรือบรรทัด​ฐานของสังคม ลูกจะควบคุมตนเองได้ดีนั้น  ต้องอาศัยความมีระเบียบวินัยเป็นพื้นฐาน
การควบคุมตนเองจากภายในนั้น เป็นความสำนึกที่ยับยั้งได้จากความดีงาม การเคารพตนเอง ความอดทน อดกลั้นต่อความคับข้องใจ และสำนึกความรับผิดชอบ

5.พ่อแม่ยอมรับในความเป็นปัจเจกบุคคลของลูก
ลูกแต่ละคนไม่ได้เลี้ยงเหมือนกันเพราะว่าลูกแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคนทั้งในรูปธรรมภายนอก เช่นรูปร่าง หน้าตา สีผิว หรือในแง่นามธรรมภายใน บุคลิก​  นิสัย ความคิดและอารมณ์​ความรู้สึก อันเป็นเอกลักษณ์​เฉพาะตัวของแต่ละคน
พ่อแม่ต้องตระหนักในความแตกต่าง

6.การเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี่ พ่อแม่ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยี่ยุคใหม่ เนื่องจากลูกเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตและความคิดเห็นที่แตกต่างจากพ่อแม่ รวมถึงอาชีพที่พ่อแม่คิดว่าดีที่สุดอาจไม่ใช่ความต้องการของลูกอีกต่อไป พวกเขาคุ้นเคยกับความเปลี่ยนแปลง การศึกษาเปลี่ยน ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตและมีความคิดหลายมิติ ความสนใจในการเรียนรู้และอาชีพเปลี่ยน ซึ่งแตกต่างจากสมัยพ่อแม่ ฉะนั้นพ่อแม่ต้องยอมรับถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและพร้อมที่จะส่งเสริม ให้กำลัง รับฟังความคิดเห็นของลูกเพื่อให้เติบโตเป็นผู้ที่มีคุณภาพ ในอนาคตต่อไป

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

กิจกรรมสันทนาการ​ช่วยกระตุ้นสมองผู้สูงอายุ

แชร์ให้เพื่อน

กิจกรรมสันทนาการ​ช่วยกระตุ้นสมองผู้สูงอายุ ตอนที่2

อ่านตอนที่ 1 ภาวะสมองเสื่อม การเขียนหนังสือช่วยได้ !!!! ตอนที่ 1 

กิจกรรมสันทนาการ​ ช่วยกระตุ้นสมองของผู้สูงอายุที่มีอาการหลงลืม ความจำเสื่อม โดยจัดกิจกรรมสันทนาการ​อย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยกระตุ้นสมอง ลด หรือบรรเทาอาการความจำเสื่อม หลงลืม ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้สูงอายุมีร่างกายแข็งแรง และสุขภาพจิตดีอีกด้วย เรามาดูกันเลยว่ามีกิจกรรมสันทนาการ​อะไรบ้าง?

1.กิจกรรมสันทนาการ​ การออกกำลังกาย
เนื่องจากผู้สูงอายุมีความเสื่อมของร่างกาย เช่น กระดูกพรุน หรือบางรายอาจมีโรคประจำตัวร่วมด้วยเช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ควรเลือกประเภทในการออกกำลังเบาๆ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง จิตใจแจ่มใส การทรงตัวดีขึ้น และช่วยให้การสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น

หลักการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ

  • ควรออกกำลังกายสัปดาห์​ละ 4-5ครั้ง หรือออกกำลังกายวันเว้นวัน ตามสภาพร่างกายของผู้สูงอายุ
  • ระยะเวลาในการออกกำลังกายแต่ละครั้งไม่ควรเกิน20-30นาที รวมช่วงการอบอุ่นร่างกายแล้ว
  • ชนิดของการออกกำลังควรงดการใช้แรงปะทะ ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ เน้นการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่เช่น การวิ่งเหยาะๆ ควรหลีกเลี่ยงกรณีเข่าเสื่อม การเดิน รำมวยจีน เต้นแอโรบิค
  • ควรงดออกกำลังกายถ้ามีอาการดังนี้คือ เวียนศรีษะ​ หลังกินอาหารมื้อหลัก หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ
    หรือหลังรับประทานอาหารมื้อหลัก

2.กิจกรรม​สันทนาการ​ การเขียน การอ่าน หนังสือ และการวาดรูป การ์ดอวยพร
กิจกรรมการอ่านหนังสือเปิดโอกาสให้สมองผู้สูงอายุได้คิด วิเคราะห์ รวบรวมเนื้อหาและนำมาเขียนเป็นบทความ สรุปเนื้อหาสั้นๆ โดยมีการวาดภาพประกอบบทความ ช่วยกระตุ้นด้านความคิดสร้างสรรค์ และความสุขทางใจ
กิจกรรมการวาดรูป การ์ดคำอวยพรในเทศกาลต่างๆ เช่น การ์ดอวยพรวันเกิด วันปีใหม่ วันแต่ง


 

 

3.กิจกรรม​สันทนาการ​ การเล่นเกมฝึกสมองลดความจำเสื่อม
การเล่นเกมนอกจากจะช่วยให้สนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยฝึกสมาธิ มีเพื่อนเช่นการเล่นหมากรุกกับเพื่อนวัยเดียวกัน ช่วยกระตุ้นสมองด้านการวางแผนการเดินหมากรุกแต่ละตัว ช่วยกระบวนการตัดสินใจด้วยว่าเลือกที่จะเสียหรือเก็บหมากตัวไหนไว้
เกม​ออนไลน์​เช่น Candy Crush Saga

4.การดูยูทูป การฟังเพลง ร้องเพลง ช่วยลดความจำเสื่อม
ดนตรี หรือสื่อออนไลน์​ที่ให้ความบันเทิง​ช่วยกระตุ้นอารมณ์​เชื่อมโยงไปสู่การคิด วิเคราะห์และความจำของผู้สูงอายุ ช่วยลดความเสื่อมของสมอง ถึงแม้ว่าในรายที่มีภาวะความจำเสื่อม การรับรู้ด้านเสียงเพลง และร้องเพลง ถือเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ควรจัดให้มีกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดความจำด้านกิจวัตรประจำวัน​ได้ดีขึ้นด้วย
กิจกรรม​สันทนาการ​เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริม กระตุ้นสมองของผู้สูงอายุ ร่วมกับการมีสัมพันธภาพ​ที่ดีภายในครอบครัว ช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

อ่านตอนที่ 1 ภาวะสมองเสื่อม การเขียนหนังสือช่วยได้ !!!! ตอนที่ 1 

แชร์ให้เพื่อน