เกษียณ​โสดไม่หวั่น หมั่นรักษ์​สุขภาพ ในยุค 4.0

แชร์ให้เพื่อน

เกษียณ​โสดไม่หวั่น หมั่นรักษ์​สุขภาพ ในยุค 4.0

การเกษียณ​จากการทำงานย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อถึงวัยอันควรซึ่งประเทศไทยกำหนดให้อายุครบ60ปีบริบูรณ์​ การเกษียณ​แบบมีคู่และการเกษียณ​แบบโสดมีความแตกต่างกันในแง่ของการใช้ชีวิตแต่มีความเหมือนกันในด้านการเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณ​ ขณะที่การเกษียณ​แบบมีคู่มักจะมีลูกหลานคอยดูแลเยี่ยมเยียนแต่การเกษียณ​แบบชาวโสดนั้นจะขาดสิ่งนี้ไปแบบสิ้นเชิง จากตัวเลขประชากรที่เป็นโสดของประเทศไทยประมาณ 17 ล้านคน นับเป็น 40%ของวัยทำงานเลยทีเดียว เราจะหวังพึ่งสวัสดิการ​ต่างๆ ก็ไม่เพียงพอต่อภาวะเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นเรามาดูผลกระทบและเตรียมความพร้อมในการเกษียณ​ของชาวโสดในมิติ 6ด้านกันเถอะ

1.ด้านจิตใจ
ถือว่ามีผลกระทบจากการเกษียณ​ค่อนข้างมากเนื่องจากกิจวัตรประจำวัน​ที่เคยทำลดลงไปอย่างมาก ว่างมากขึ้น รู้สึกตัวเองด้อยค่า หงุดหงิด ซึมเศร้า คิดว่าตัวเองหมดความหมาย ขาดความพึงพอใจในชีวิตปัจจุบัน

การเตรียมความพร้อมของชาวเกษียณ​โสด
1.1คนโสดสร้างกำลังในการเผชิญหน้ากับวัยเกษียณ​ ยอมรับหลักธรรมชาติ สรรพสิ่งเกิดขึ้นอยู่และดับไป ใช้หลักธรรมเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ  เกิดมาคนเดียวจากโลกนี้ไปคนเดียว
1.2มองโลกหลายแง่มุม รู้จักการปล่อยวาง ใช้สติและรู้จักควบคุมตนเอง
1.3พบปะเพื่อนต่างวัยโดยเฉพาะวัยเด็กที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี่ จะช่วยให้ผ่อนคลายได้
1.4ติดตามข่าวสาร เหตุการณ์บ้านเมืองเพื่อจะได้เป็นคนเกษียณ​โสด ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์​รอบโลก ไม่ตกเทรนด์​

2.ด้านร่างกาย
ร่างกายเริ่มมีความเสื่อมของอวัยวะเช่น กระดูกเสื่อม  การเคลื่อนไหวลำบาก ระบบประสาทเสื่อมลง ยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำให้ขาดการดูแลสุขภาพตนเอง การเตรียมความพร้อมของร่างกายควรเริ่มตั้งแต่อายุ40ปี เพื่อใม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา

การเตรียมความพร้อม​ของชาวเกษียณ​โสด
2.1ติดตามตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีล่ะ1ครั้ง เพื่อประเมินและวางแผนการดูแลสุขภาพในอนาคต
2.2การรับประทานอาหารให้ครบหลัก 5หมู่ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอวันล่ะ8-10แก้วตามสภาวะของร่างกาย งดอาหารประเภทชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เพิ่มอาหารแคลเซียมสูงเพื่อช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง  กินอาหารทที่มีโอมิก้า3 เพื่อบำรุงสมอง
และกระตุ้นสมองโดยเล่นเกมเกี่ยวกับตัวเลข
2.3ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันล่ะ 8ชั่วโมง

3.ด้านเศรษฐกิจ​ การเงิน
ทำให้มีรายได้น้อยลง รายจ่ายเพิ่มขึ้น  รายจ่ายที่ต้องดูแลสุขภาพมากขึ้น การวางแผนด้านการเงินที่ดีควรเริ่มต้นตั้งแต่การหาเงินมาได้และวางแผนการใช้จ่ายอย่างรัดกุม และต้องตระหนักมากขึ้นเมื่อตัดสินใจที่จะเกษียณโสด

การเตรียมความพร้อมของชาวเกษียณ​โสด
3.1วางแผนด้านรายรับรายจ่ายและเงินเก็บเพื่อการเกษียณ​ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายแต่ล่ะเดือนในวัยเกษียณ​โสด
3.2เตรียมหาแหล่งเงินทุนหรือรายได้สำรอง ตั้งแต่ขณะที่ยังมีตำแหน่งในหน้าที่งานประจำอยู่
3.3สะสมสินทรัพย์สำรองเพื่อวัยเกษียณโสดเช่น
ที่ดิน ทองคำ หุ้น กองทุนหุ้น  กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จ​บำนาญ ข้าราชการ  โดยเลือกให้เหมาะกับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้

4.ด้านกิจกรรมยามว่าง
ทำให้มีเวลาว่าง 6-8ชั่วโมงต่อวัน เกิดความเครียดและเบื่อหน่ายได้ง่าย

การเตรียมความพร้อมของชาวเกษียณ​โสด
4.1ทำงานอดิเรก​ที่ตนเองชื่นชอบเช่นการเขียนหนังสือ ทำสิ่งประดิษฐ์​ ยูทูปเบอร์​
4.2การเล่นกีฬายามว่าง เช่น เดินออกกำลัง ว่ายน้ำ เปตอง โยคะ
4.3อ่านหนังสือออนไลน์ต่างๆ เช่น นิยาย การลงทุนความเสี่ยงต่ำ

5.ด้านสังคมและสัมพันทภาพในครอบครัว
จะเห็นได้ว่าบทบาททางสังคมลดน้อยลง อำนาจที่เคยมีหมดไป พบปะผู้คนน้อยลง มีความเหงา ว้าเหว่

การเตรียมความพร้อม​ของชาวเกษียณ​โสด
5.1ไปมาหาสู่ เยี่ยมเยียนและติดต่อสื่อสารถึงกันเสมอแม้ทางออนไลน์​
5.2เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ครอบครัวเดิมและเด็กรุ่นใหม่

6.ด้านที่อยู่อาศัย
เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต​จึงควรวางแผนตั้งแต่วัยกลางคนว่าจะอาศัยอยู่ที่ใหนในวัยเกษียณ​โสด

การเตรียมความพร้อมของชาวเกษียณ​โสด
6.1สถานที่ควรสะดวกในการเดินทาง ไม่ไกลจากแหล่งชุมชนเดินทางได้ง่าย
6.2เนื่องจากชาวเกษียณ​โสดอาจต้องอยู่คนเดียวเป็นอาจต้องมองหาสถานที่พักคนชราไว้สำรอง
6.3สภาพที่อยู่อาศัย ควรเป็นชั้นเดียว พื้นไม่ลื่น เตรียมห้องน้ำมีที่ยึดเกาะ อาจต้องติดตั้งวงจรปิดเพื่อให้พี่น้องได้ติดตามการเคลื่อนกรณีมีอุบัติเหตุสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที
การเข้าสู่วัยเกษียณ​ของชาวโสด เป็นการเตรียมความพร้อมกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปและด้านจิตใจอาจไม่ต้องปรับมากเนื่องจากชาวโสดอยู่คนเดียวมานาน แต่การเตรียมความพร้อมก็จะช่วยลดความเครียด ความกังวล ปรับทัศนคติ​ที่ดีต่อการเป็นผู้สูงอายุในอนาคต  ใช้ชีวิตหลังเกษียณ​ของชาวโสดอย่างมีความสุขในยุคของเทคโนโลยี่ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

รายการอ้างอิง
รายงานการวิจัยของ เพ็ญประภา เบญจวรรณ ศสม.การเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณ​อายุ

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ความเครียดของวัยเด็กตอนปลาย

แชร์ให้เพื่อน

ความเครียดของวัยเด็กตอนปลาย

จากสถานการณ์​โควิด19 ระบาด ช่วง 3 ปีที่ผ่านทำให้ระบบการศึกษาเปลี่ยนจากเรียนที่สถานศึกษา​มาเป็นเรียนที่บ้าน เด็กต้องปรับตัวกับการใช้เครื่องมือสื่อสารและระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ประกอบกับการกักตัวส่งผลให้เด็กเกิดความเครียด​เนื่องจากวัยเด็กตอนปลายเป็นวัยที่เริ่มต้นของการเรียนรู้ทุกด้าน การเข้าสังคมปรับตัวกับการอยู่กับกลุ่มเพื่อน ซึ่งการเรียนที่สถานศึกษา​ย่อมเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วแต่เมื่อมีข้อจำกัดต่างๆ ทำให้วัยเด็กตอนปลายเกิดความเครียด
ความเครียดทำให้เกิด ความวิตกกังวัล ซึมเศร้า กลัวอย่างไร้เหตุผล อารมณ์​ไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงง่าย  ประสิทธิภาพการเรียนรู้แย่ลง บางครั้งมีนิสัยก้าวร้าวไม่เชื่อฟังพ่อแม่

สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดของวัยเด็กตอนปลายคือ
1.พ่อแม่ที่เข้มงวดกับลูกมากเกินไป เข้มงวดทุกอย่างเกินไป ทำให้เด็กมีพัฒนาการถดถอย

2.คาดหวังกับลูกมากเกินไป ต้องการเลี้ยงให้ได้ดั่งใจตัวเอง โดยไม่คิดย้อนกลับสมัยตัวเป็นเด็ก คาดหวังลูกต้องสอบได้ที่ 1 เข้าเรียนคณะดีๆ มหาวิทยาลัยดังๆ แต่ลืมที่จะประเมินถึงความสามารถและความถนัดของลูก เพื่อที่จะได้ส่งเสริมให้ลูกได้เลือกแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีความสุขในวัยผู้ใหญ่และมีอนาคตที่สดใส

3.เป็นห่วงมากเกินไป การเป็นลูกเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้ามากเกินไป ทำให้เด็กไม่สามารถที่จะเผชิญและแก้ปัญหาเมื่อออกสู่สังคมภายนอก โดยเฉพาะจากสถานการณ์​โควิด19ที่ผ่านมา พ่อแม่บางคนคุมเข้มเรื่องความสะอาดจนเกินความพอดี ใช้แอลกอฮอล์​เช็ดทำความสะอาดจนเกินความจำเป็น

4.ตามใจมากเกินไป ทำให้เด็กมีความรู้สึกว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างที่ต้องการแต่เมื่อต้องเผชิญกับสังคมภายนอกจะทำให้เกิดปัญหาการปรับตัวเนื่องจากสิ่งแวดล้อมและสังคมข้างนอกมีการแข่งขัน แก่งแย่งสูง ฉะนั้นการปฏิเสธในบางครั้งก็จะช่วยให้เด็กปรับตัวและเผชิญกับการถูกปฏิเสธเมื่อโตขึ้น สามารถจัดการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
5.การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี่และการสื่อสารที่รวดเร็ว เนื่องจากการใช้อินเตอร์​แบบเสรีเด็กไม่สามารถแยกแยะได้เหมื่อนผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเกมออนไลน์​ ทำให้เด็กติดเกม ไม่รับผิดชอบการเรียน
จิตใจอ่อนไหว​ง่าย มีพฤติกรรมเลียนแบบเกมออนไลน์​

เมื่อเด็กเกิดความเครียดจะแสดงพฤติกรรมต่างๆเช่น
1.ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้าแสดงออก นิสัยขี้อายไม่กล้าเผชิญหน้า
2.มีนิสัยเก็บตัว แยกตัวอยู่ตามลำพัง อาจเกิดอาการซึมเศร้า ไม่มีเหตุผล
3.เด็กเริ่มโกหก นิสัยก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น
4.ฉี่รดที่นอน
5.ไม่อยากไปโรงเรียน บ่นปวดท้อง ป่วย ปวดหัว

วิธีลดความเครียดในเด็ก
1.การออกกำลังกายเช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ
ทำให้เด็กสดชื่น รู้สึกสนุกสนาน ลดความวิตกกังวลได้
2.ทำกิจกรรมในครอบครัวร่วมกันเช่น วาดรูป เต้นรำ ปลูกต้นไม้ ฟังเพลง ดูทีวี  เล่นเกมค้นหาคำศัพท์
3.การแสดงออกทางอารมณ์​ที่เหมาะสมเช่น ร้องให้เมื่อเสียใจ การร้องให้เป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่ง
4.มีความยืดหยุ่นในการทำกิจวัตรประจำวัน แต่ควรเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัย
5.ยอมรับในความสามารถและไม่ควรบังคับเมื่อเด็กไม่พร้อม
6.ค้นหาสาเหตุของปัญหาก่อนการลงโทษและหาแนวทางแก้ปัญหา
7.ส่งเสริมกิจกรรมที่เด็กชอบและชมเชยเมื่อทำได้ดี

จากยุคเก่าเข้าสูยุคแห่งเทคโนโลยี่สำหรับเด็กรุ่นใหม่จะปรับตัวและเติบโตไปพร้อมๆกันแต่พ่อแม่ซึ่งเป็นยุคเก่า ไม่เข้าใจเทคโนโลยี่จึงต้องปรับตัวและก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่โตแบบก้าวกระโดดจะได้เข้าใจวัยเด็กตอนปลายมากขึ้น เพื่อจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

ติดตามบทความดีๆ ด้านสุขภาพจาก healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เมนูเด็ดกับฤดูปลายฝนต้นหนาว ดีต่อร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

เมนูเด็ดกับฤดูปลายฝนต้นหนาว ดีต่อร่างกาย

หน้าฝนกำลังจะหายไปพร้อมๆกับหน้าหนาวกำลังคืบคลานเข้ามา ฤดูการท่องเที่ยวกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหลังสงครามโควิด19ซาลง การรวมตัวของคนหมู่มากและกิจกรรมต่างๆกำลังเริ่มขึ้น    การเดินทางท่องเที่ยว  การพักอาศัยตามโรงแรม รีสอร์ท​ การรับประทานอาหารตามร้านอาหาร ภัตตาคาร​  โรงเรียนและมหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนตามปกติ กิจกรรมต่างๆเข้าสู่ภาวะปกติ เว้นแต่สถานการณ์​น้ำท่วมที่ยังดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง10ปีมีน้ำท่วมครั้งหนึ่งนับจากเหตุการณ์​ปี2554
เกิดความเสียหายกับโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ พื้นที่การเกษตร
เรามาดูกันว่าเมนูอาหารที่เหมาะกับช่วงปลายฝนต้นหนาวมีอะไรกันบ้าง

1.แกงเห็ดโคน​ใส่ใบผักติ้ว  เป็นเมนูอาหารแถบภาคอีสานได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เห็ดโคนช่วยบำรุงกำลัง เจริญอาหาร ช่วยขับเสมหะ กินร้อนๆ กับข้าวสวยอร่อยด้วย แถมสามารถหาเก็บได้ตามโคกหนองนา


2.แกงขี้เหล็กปลาย่าง
ขื้เหล็กจัดเป็นพืชที่มีรสขม  เป็นยาระบาย ต้มรับประทานเป็นยาทำให้นอนหลับ ลดความดันโลหิต รักษาโรคเส้นประสาท รักษาหืด ล้างศีรษะรักษารังแค โรคโลหิตพิการ ผายธาตุ ขับพยาธิ ดอกตูมเป็นยาทำให้นอนหลับสบายหรือใช้ดอกตูมร่วมกับใบไม่แก่จัดรักษาอาการนอนไม่หลับ  สามารถหามาประกอบอาหารได้ง่ายแถมมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
หากต้องการเพิ่มพลังงานก็ปรุงเมนูแกงขี้เหล็กใส่หมู3ชั้น ใส่มะเขือพวง เสริมธาตุเหล็ก บำรุงเลือดนอกจากจะช่วยให้หลับสบายแล้วยังทำให้ร่างกายอบอุ่นช่วงหนาวนี้อีกด้วย

3.แกงส้มดอกแค
อุดมไปด้วยวิตามิน  ช่วยต้านและยับยั้งเซลล์​มะเร็ง
ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง  ช่วยแก้ไข้หัวลมหรือไข้เปลี่ยนอากาศเปลี่ยนฤดู ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ลดไข้ แก้กระหายน้ำ ลองทำเมนูนี้กินกันค่ะ

4.ต้มยำปลา
ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์​ของคนไทย  จัดเป็นแหล่งอาหารที่ให้สารอาหารโปรตีนสูงรองจากเนื้อสัตว์และไข่ มีไขมันต่ำ เหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุ และผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
5.แกงอ่อม
แกงอ่อมเป็นเมนูอาหารอีสาน ที่อุดมไปด้วยผักใบเขียว เหลือง ที่หลากหลายชนิด ประกอบด้วย บวม มะเขือ ฟักทอง สามารถหามารับประทานได้ง่าย

หากชื่นชอบบทความนี้สามารถอ่านเพิ่มได้ที่  healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

คลายเครียดด้วยอาหาร 7 อย่าง

แชร์ให้เพื่อน

คลายเครียดด้วยอาหาร 7 อย่าง

อาหารเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย​์ การเลือกรับประทานอาหารแต่ล่ะอย่างให้มีประโยชน์ต่อร่างกายที่แตกต่างกัน ฉะนั้นถ้าต้องการผ่อนคลายความเครียด ควรรับประทานอาหารที่มีสารที่ช่วยลดความเครียด เนื่องจากความเครียดเป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญ และส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ มีหลากหลายวิธี ที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เช่น การนวดคลายเครียด  การออกกำลังกาย  ทำงานอดิเรก  การใช้ยาคลายเครียดหรือการใช้จิตบำบัด แต่การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดได้
อาหารที่ช่วยคลายเครียดได้เช่น

1.ดาร์กช็อกโกแลต เนื่องจากอุดมไปด้วยทีโอโบรมีน เป็นสารที่ช่วยให้ผ่อนคลาย และลดความวิตกกังวล

2.อาหารกลุ่มที่มีทริปโตเฟนสูง(Tryptophan)​เช่น กล้วย ถั่ว เนื้อสัตว์ ไข่ เป็นสารตั้งต้นเซโรโทนิน เป็นฮอร์โมน​สารสื่อประสาทช่วยให้อารมณ์​ดีขึ้น

3.อาหารที่มีคาโบไฮเดรตสูง เช่น อาหารจำพวกข้าว แป้ง ธัญพืชไม่ขัดสี มีสารเซโรโทนินเป็นฮอร์โมน​ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย คลายเครียดได้


4.ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเช่น มะขามป้อม ส้ม ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยซ่อมแซมร่างกาย ลดความดันโลหิต และช่วยลดฮอร์โมน​คอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมน​ที่เกิดจากความเครียด ยังมีรสเปรี้ยวช่วยให้ตื่นตัวได้ทั้งวันอีกด้วย

5.อาหารที่มีวิตามินบี6สูงและกรดโฟลิค​สูงเช่น อโวคาโด ช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้

6.อาหารที่มีแมกนีเซียม​สูง เช่นปลาทูน่า  ช่วยลดระดับความเครียด รู้สึกผ่อนคลาย ควบคุมความดันโลหิต

7.ขมิ้นชัน ขมิ้นชันใช้ประกอบอาหารหรือรับประทานแบบแคปซูล​ มีสารสำคัญที่เรียกว่าเคอร์คิวมินช่วยคลายเครียดได้

 

นอกจากการรับประทานอาหารที่กล่าวมาการเลือกรับประทานให้เหมาะสมและครบหลัก5หมู่ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ งดเครื่อง​ดื่ม​ประเภทแอลกอฮอล์​กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว เพิ่มความวิตกกังวล นอนหลับยาก นอกจากนี้ การออกกำลังกายและการนวดเพื่อผ่อนคลาย อย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการหลั่งสารเอ็น​โดฟิน(Endophin)​ ช่วยให้มีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารควรคำนึงถึงภาวะสุขภาพและโรคประจำตัว โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และนักโภชนาการ

หากชื่นชอบบทความนี้สามารถอ่านเพิ่มได้ที่  healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

การเรียนรู้และพัฒนาการของวัยเด็กตอนปลาย

แชร์ให้เพื่อน

การเรียนรู้และพัฒนาการของวัยเด็กตอนปลาย

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนเคยผ่านช่วงวัยเด็กตอนปลายมาแล้ว เรามาย้อนอดีตกันน่ะค่ะว่าเป็นแบบใหนบ้างตรงกับตัวเองไหม​อย่างไร
  วัยเด็กตอนปลายมีอายุ 6-12 ปี หรือที่เรียกว่า วัยเรียนประถมศึกษานั่นเองค่ะ เด็กวัยนี้เริ่มใช้เวลาเต็มวันอยู่ที่โรงเรียน มีการเริ่มเรียนรู้หลายๆด้านเนื่องจากมีการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดี  การคิด เข้าใจกฎระเบียบ ความสัมพันธ์​กับเพื่อน การเรียนรู้ด้านภาษา การเขียน และการอ่าน การเข้าใจเหตุผล
การคิดเพื่อแก้ปัญหาอย่างมีระบบมากขึ้น

การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยเด็กตอนปลาย

1.พัฒนาการด้านร่างกาย
ร่างกายเจริญเติบโตใกล้เคียง​กับวัยผู้ใหญ่  แขนขายาวขึ้น แต่การเติบโตเริ่มช้าลงแต่มีความต่อเนื่องควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะได้ดี  เคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่ว  ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดี


2.พัฒนาการด้านสมองและสติปัญญา
จะเห็นได้ว่าเด็กวัยตอนปลายนี้สมองมีการเจริญเติบโตเต็มที่
สามารถคิดวิเคราะห์ และตรวจสอบความคิดของตัวเองกลับไปมาได้ และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี เข้าใจการคิดแก้ปัญหาต่างๆที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น  มีการวางแผนด้วยตนเอง  รวมถึงการคิดแบบนอกกรอบและความคิดสร้างสรรค์


3.พัฒนาการด้านอารมณ์​และสังคม 
วัยเด็กตอนปลายเข้าใจกฏระเบียบการอยู่ร่วมกันกับเพื่อน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เริ่มเข้าใจบทบาทของตนเอง เข้าใจบทบาทการทำงานเป็นทีม การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม  เข้าใจกฎกติกามากขึ้น ควบคุมอารมณ์​โกรธ การกระทำที่ไม่เหมาะสม มีเหตุผล สามารถหลีกเลี่ยง แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ชอบแข่งกันและเอาชนะ


สิ่งที่ควรทำ
1.การปล่อยให้เด็กเผชิญปัญหาด้วยตนเอง เพื่อเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา โดยมีผู้ใหญ่คอยให้คำแนะนำ
2.มอบหมายงานเพื่อให้มีความรับผิดชอบ
3.ตั้งกฎกติกา
4.สอนวีธีการผ่อนคลายเมื่อเผชิญกับปัญหา และการจัดการความเครียด
5.ชื่นชมการกระทำที่ทำได้ดีเช่นการสอบได้ที่หนึ่ง

สิ่งที่ไม่ควรทำ
1.การปล่อยปละละเลย ไม่มีกฏกติกาหรือกฏระเบียบต่างๆ
2.ไม่ควรแก้ปัญหาให้ทุกเรื่อง
3.ไม่ควรบ่น ตำหนิหรือเปรียบเทียบ

จะเห็นได้ว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่่เข้าใจถึงการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยเด็กตอนปลายแล้วก็สามารถนำมาปรับให้เข้ากับบริบทในการเลี้ยงลูกในยุคที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี่ที่เจริญอย่างรวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นยุคดิจิทัล​เราไม่สามารถปิดกั้นได้ ควรแนะนำและสั่งสอนให้เด็กได้เรียนรู้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและรู้เท่าทันโลกมากขึ้น
สนใจเนื้อด้านสุขภาพเด็ดๆมันๆติดตามได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

5 ความเชื่อทั่วโลก ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

“5 ความเชื่อทั่วโลก ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ”
ความเชื่อด้านสุขภาพมีอยู่มากมายทั่วโลก ที่เราเองก็ยังเรียนรู้ไม่หมด วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความเชื่อด้านสุขภาพจากทั่วทุกมุมโลก ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่เชื่อต่อ ๆ กันมา บางอย่างก็ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าส่งผลดี หรือไม่ดีต่อสุขภาพอย่างไร บางอย่างก็ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แต่ก็ยังถือปฏิบัติต่อ ๆ กันมา เราไปดูกันเลยค่ะ ว่ามีความเชื่ออะไรบ้างที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าได้รับผลดี

 

1. เด็กอ้วน คือเด็กที่มีสุขภาพดี
ผู้คนในหลายพื้นที่ในประเทศฟิลิปินส์เชื่อว่า เด็กอ้วน คือเด็กที่มีสุขภาพดี แสดงให้เห็นถึงความมีฐานะของพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดู ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองพยายามป้อนอาหารให้เด็กจนมากเกินความต้องการ ทำให้เด็กหลาย ๆ คนเป็นเด็กอ้วน และมีปัญหาด้านสุขภาพตามมา เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ


2. การกินยาคุมกำเนิด เป็นบาป เนื่องจากไปขัดขวางการเกิดของมนุษย์

ความเชื่อเรื่องการกินยาคุมกำเนิดเป็นบาปเนื่องจากไปขัดขวางการเกิดของมนุษย์ ความเชื่อนี้มีในหลายประเทศ หลายวัฒนธรรม ทำให้หลาย ๆ ประเทศมีปัญหาเรื่องวัยรุ่นท้องก่อนวัยอันควร และส่งผลให้เกิดปัญหาความยากจน เด็กจรจัดตามมา


3. ความเจ็บป่วยรักษาได้ด้วยวิธีไสยศาสตร์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
อันนี้เราเองได้คุยกับเพื่อนที่มาจากทวีปแอฟริกา ที่ประชาชนบางกลุ่มยังไม่ยอมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะมีความเชื่อด้านไสยศาสตร์มากกว่า สำหรับเราเองมองว่า โรคที่เกี่ยวกับจิตใจการรักษาทางไสยศาสตร์ก็อาจจะได้ผลดีในแง่ของการเสริมสร้างกำลังใจ แต่โรคทางร่างกายโดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือการติดเชื้ออื่น ๆ จำเป็นต้องให้การรักษาด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์


4. การดื่มกินน้ำเหลือง จากศพ จะทำให้อายุยืน
บางชนเผ่าทางทวีปแอฟริกาเชื่อเรื่องพวกนี้ โดยเมื่อมีผู้เสียชีวิต คนในเผ่าก็จะนำเอาศพไปเก็บไว้บนตะแกรงสูง เมื่อศพเริ่มขึ้นอืด และมีน้ำเหลืองไหลออกมา ทุกคนในเผ่าก็จะเอาภาชนะไปรองน้ำเหลืองเพื่อเอามาดื่มกิน ถ้าเรามองในฐานะคนไม่เชื่อ เราก็รู้สึกสะอิดสะเอียน ขยะแขยง แต่ในแง่คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็ถึงขั้นแย่งกันดื่มกินสิค่ะ เห็นแล้วก็บอกเลยว่าแทบจะกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน


5. การฉีดวัคซีน เป็นการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย

ความเชื่อนี้มีมานาน จนถึงปัจจุบัน โดยกลุ่มคนที่มีความเชื่อเรื่องพวกนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศในแถบยุโรป โดยคนกลุ่มนี้จะปฏิเสธไม่ให้ลูก หรือเด็กเกิดใหม่ไปฉีดวัคซีนตามกำหนด หรือหลาย ๆ คนก็ปฏิเสธการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ทำให้หลาย ๆ ฝ่ายมีความกังวลว่าหลาย ๆ โรคที่เคยระบาดในอดีต อาจจะมีโอกาสกลับมาระบาดอีกครั้งในกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีน เช่น โรคไข้ทรพิษที่เคยคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน หรือโรคโปลิโอที่ทำให้ผู้ป่วยมีความพิการส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเศรษฐกิจของโลก
นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างความเชื่อ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย มากกว่าส่งผลดี วันหลังเราจะเอาความเชื่ออื่น ๆ มา
เล่าให้ฟังใหม่ แล้วกลับมาพบกันใหม่เร็ว ๆ นี้นะคะ

สนใจเนื้อหาด้านสุขภาพเด็ด ๆ มันส์ ๆ ติดตามได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

การนอนหลับให้มีประสิทธิภาพ ก่อนวันหวยออก

แชร์ให้เพื่อน

การนอนหลับให้มีประสิทธิภาพ ก่อนวันหวยออก

การนอนนับเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อน ฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเองของร่างกายจากการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ
เช่น การทำงาน การเดินทางไกล โดยการนอนนั้นใช้เวลา1 ใน3ของแต่ล่ะวัน ดังนั้นเรามาดูว่าปัจจัยที่มีผลต่อการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วยอะไรบ้าง

Continue reading

แชร์ให้เพื่อน

หนาวนี้กับ 10เมนูอาหารคลายหนาว ถูกดีอร่อยด้วย

แชร์ให้เพื่อน

หนาวนี้กับ 10เมนูอาหารคลายหนาว ถูกดีอร่อยด้วย

ย่างเข้าสู่กลางเดือนตุลาคมปีนี้เป็นการเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการแล้ว ฝนเริ่มลดลงอากาศหนาวเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่ สำหรับพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมอยู่ก็ยิ่งหนาวมากยิ่งขึ้น เรามาดู 10 เมนูอาหารที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น ช่วงหนาวนี้มีอะไรบ้างติดตามดูกันได้เลยค่ะ

1.กาแฟร้อน ชาร้อน
เครื่องดื่มประเภทนี้เหมาะสำหรับช่วงที่อากาศหนาวเย็น นั่งจิบขณะเที่ยวตามภูเขาลำเนาไพรเพียงแค่มีกาแฟ หรือชาสำเร็จ​รูปติดตัวขณะไปเที่ยว พร้อมแก้ว1ใบเติมน้ำร้อน เติมนมสดเพื่อให้รสชาด​กลมกล่อม แต่สำหรับท่านใดที่ชื่นชอบการแฟดำก็ไม่ว่ากัน การแฟหรือชานอกจากจะช่วยให้ร่างกาย​อบอุ่นแล้วยังช่วยให้กระปรี้กระเปร่า​ได้ด้วย ช่วยให้การท่องเทียวช่วงหน้าหนาวชิลล์​มากขึ้นพร้อมกับบรรยากาศ​ช่วงหยุดยาว ที่สำคัญอย่าลืมติดตามตรวจสุขภาพประจำปีว่าไขมันในเลือดสูงหรือไม่ด้วยน่ะค่ะ

2.น้ำเต้าหู้ น้ำเต้าฮวย
จัดเป็นเครื่องดื่มที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาดทั่วไป แถมเพิ่มโปรตีนจากพืชได้ด้วย น้ำเต้าหู้ ช่วยเพิ่มฮอร์โมน​สำหรับวัยทองอีกด้วย นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์แล้วยังช่วยให้นอนหลับง่ายกรณีกินอุ่นๆก่อนนอนด้วยน่ะ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น

3.น้ำขิง
ขิงจัดเป็นสมุนไพรที่โดดเด่นช่วงโควิด19 ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น โดยการต้มน้ำขิง อาจใส่มันเพิ่มเข้าไปเพื่อเป็นการเพิ่มพลังจากแป้ง เหมาะกับการรับประทานช่วงอากาศหนาว กลิ่นหอม เป็นพืชสมุนไพรที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาด ช่วยขับลม ลดอาการท้องผูก เหมาะกับผู้สูงอายุที่ระบบการขับถ่ายไม่ดีด้วยน่ะ แถมราคาถูก


4.ซุป ร้อนๆ
ซุปจัดเป็นอาหารอ่อนที่เหมาะกับหน้าหนาว ผู้สูงวัย ผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดช่วงแรกๆ  เช่น ซุป​เห็ด ซุปฟักทอง ซุปไก่ อุ่นๆ กินตอนเช้านอกจากจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นแล้วยังให้พลังงานอีกน่ะค่ะ

5.กล้วยปิ้ง มันเผา
จัดเป็นอาหารที่หาซื้อได้ง่ายพบเห็นตามท้องตลาดทั่วไป กินร้อนๆสุกใหม่ๆช่วยให้ร่างกายอบอุ่นพร้อมให้สารอาหารประเภทแป้ง ทำให้ร่างกายอบอุ่นได้ด้วยค่ะ เมนูนี้ทำรับประทานได้เองที่บ้าน อาจเปลี่ยนเป็นการนำเข้าตู้อบแทนการปิ้งก็ได้ค่ะเหมาะกับการอยู่อาศัยบนคอนโดมิเนียม​

6.ไข่
จัดเป็นอาหารที่สามารถประยุกต์​ได้หลากหลายเมนู มีโปรตีนสูง เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย เช่น ไข่ตุ๋นเหมาะสำหรับเด็กหรือผู้สูงวัย กินอุ่นๆตอนมื้อเช้าหรือมื้อเย็นช่วยคลายหนาวได้ค่ะ
ไข่เจียวร้อนๆ เพิ่มพลังงานจากไขมัน ร่างกายอบอุ่น
ทำได้ง่ายราคาประหยัด เหมาะกับช่วงภาวะเศรษฐกิจ​ถดถอย​เงินเฟ้อ​สูง มูลค่าหลักร้อยบาทแต่ประโยชน์หลักพันเลยทีเดียวค่ะ

7.ถั่วชนิดต่างๆ
ถั่วจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและโปรตีนสูง
ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เช่น ถั่วทอด ถั่วอบเนย ถั่วต้ม
ถั่วคั่ว สามารถหาซื้อตามท้องตลาดได้ง่าย ทำกินเองก็ไม่เลวน่ะค่ะ


8.ต้มจืด มะระยัดไส้หมูสับ
เป็นเมนูที่ได้สารอาหารทั้งโปรตีนและผักเลยน่ะค่ะเป็นเมนูที่รับประทานเช้าหรือเย็นก็ดีค่ะช่วยร่างกายอบอุ่นขึ้น นอกจากนี้มะระยังช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย เหมาะสำหรับช่วงอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงจากหน้าฝนเข้าหน้าหนาว ช่วยเจริญอาหารบำรุงกระดูกและฟันช่วยให้ฟันแข็งแรงจากแคลเซียม หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด และราคาไม่แพงจนเกินไปค่ะ

9.สุกี้ ชาบู
สุกี้ ชาบูจัดเป็นอาหารที่ได้รับสารอาหารเกือบครบหลัก5หมู่เลยทีเดียวประกอบด้วยโปรตีน ผักใบเขียวชนิดต่างๆ ไข่ เห็ดชนิดต่างๆ กินตามร้านอาหารทั่วไปพบเห็นได้ง่ายเหมาะกับการรับประทานช่วงอากาศหนาว นั่งคุยกันสนุกสนานช่วงหลังเลิกงาน แต่ราคาอาจแพงไปนิดแต่ถ้าใช้งบน้อยลงก็สามารถหาซื้อมาทำรับประทานเองที่บ้านได้ น้ำจิ้มก็มีแบบสำเร็จรูป​ อร่อยด้วย ราคาไม่แพงจนเกินไปค่ะ

10.เนื้อย่าง ทะเลเผา
เมนูนี้เหมาะสำหรับอาหารมื้อเย็น นั่งรับประทานร้อนๆข้างเตาไฟ มีทั้ง หมู เนื้อ และอาหารทะเลอย่างกุ้งหอย ปูปลา ที่ให้สารอาหารโปรตีนสูง สังสรรค์​กันยามเย็น กับบรรยากาศ​หนาวเย็นการรับประทานเนื้อย่างก็เป็นอีกเมนูที่แนะนำช่วงหน้า
หนาวน่ะค่ะ
ถ้าถูกใจเมนูที่แนะนำอย่าลืมกดไลค์​กดแชร์​กันน่ะ

แชร์ให้เพื่อน

โควิด19 ส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของคุณอย่างไร (ตอนที่2)

แชร์ให้เพื่อน

โควิด19 ส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของคุณอย่างไร
(ตอนที่2)

ถึงแม้ว่าโควิด19 จะมีวัคซีนฉีดเพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคอย่างแพร่หลายแล้วก็ตาม แต่ผล
กระทบก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานาน 3 ปีแล้ว ซึ่งปัญหาจากโควิดที่พบได้เช่น ภาวะ long covid ซึ่งกระทบต่อสุขภาพกาย  สุขภาพจิต  และสุขภาพเงินในกระเป๋า โดยตรง

บทความตอนนี้เรามาดูว่าโควิด19 กระทบต่อระบบการเงินอย่างไรบ้าง

ถึงแม้ว่าเงินอาจไม่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยตรงแต่ทุกคนก็ย่อมปฏิเสธ​ไม่ได้ว่าถ้าสุขภาพเงินไม่ดี ย่อมส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ไม่ดีตามมาดังคำคมที่ว่า

ชีวิตดีเพราะมีตังค์  ชีวิตพังเพราะตังค์หมด
เป็นโรคซึมเศร้า   ถ้าเงินเข้าก็ดีน่ะ

จะเห็นได้ว่าธุรกิจการเงินสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆคือ ธนาคาร เงินทุนและหลักทรัพย์  ประกันภัยและประกันชีวิต
1.ธนาคาร 
สมัยก่อนการติดต่อกับธนาคารหรือการทำธุรกรรม​ต่างๆกับธนาคารคือต้องเดินทางเข้าหาธนาคารจะเห็นได้ว่าธนาคารต่างๆเปิดสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างกับดอกเห็ดแต่พอโควิด19ระบาดหนักทำให้ธนาคารลดการให้บริการที่สาขามีการปิดสาขาต่างๆมากขึ้น ความเจ็บป่วยจากโควิดที่มีระบบการกักตัว กำหนดการจำกัดการเดินทางไม่ได้เป็นอุปสรรคทางการเงินแต่อย่างใด​การจับจ่ายง่ายขึ้นแค่มีสมาร์ทโฟน​โหลดแอฟ​ของธนาคารก็ทำให้การใช้ชีวิตช่วงเจ็บป่วยได้ง่ายดาย  การใช้เงินในรูปแบบของธนบัตรลดลงอย่างมากเนื่องจากช่วงโควิด19ข่าวออกมาว่าเงินเป็นตัวกลางการระบาดของโควิด19 ทำให้คนเลือกที่จะใช้วิธีการจ่ายเงินค่าบริการต่างๆผ่านแอฟ​พลิเคชั่น​มากขึ้น
จากการระบาดโควิด19ครั้งนี้การจ่ายเงินผ่านแอฟพลิเคชั่น​ในรูปของการจองวัคซีนโควิด19 ซึ่งการชำระเงินแบบเงินสดไม่มีต้องชำระผ่านระบบแอฟพลิเคชั่น​เท่านั้น

หลังเหตุการณ์​การระบาดโควิด19แบบฝุ่นตลบผ่านไปย้อนกลับมาดูยอดเงินในบัญชีธนาคารที่จับจ่ายใช้สอยช่วงโควิด19  ประกอบกับพนักงานของบริษัทต่างๆถูกเลิกจ้างขาดรายได้เข้ามาการแก้ปัญหาของภาครัฐบาลโดยการจัดโครงการคนล่ะครึ่ง  เราเที่ยวด้วยกัน เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศเนื่องจากปัญหาเงินฝืด  บางประเทศมีการนำเงินเข้าสู่ระบบในรูปของบิทคอย มีการเทรดบิทคอยอย่างแพร่หลายซึ่งจะกล่าวถึงในข้อต่อไป

2.เงินทุนและหลักทรัพย์
ช่วงการระบาดของโควิด19 ตลาดทุนตกลงมาอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆ ประกอบกับนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้าน ประชาชนแห่เปิดบัญชีซื้อขายหลักและมีการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เป็นตราสารหุ้น และบิทคอย จะเห็นได้ว่าประชาชนแห่เข้าเทรดบิทคอยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากมูลค่า แค่10, 000$/ต่อ1บิทคอยสูงขึ้นไปเป็น 69,000$/1บิทคอยเลยที่เดียว
หลังจากนั้นไม่นานบิทคอยร่วงลงอย่างรุนแรงสุดท้ายแล้วปัจจุบันมีการซื้อขายอยู่ที่ 19,000 $/1บิทคอยพร้อมๆกับตลาดหุ้นทั่วโลกค่อยๆมีการเทขายออกมาเรื่อยๆ อย่างเช่นตลาดยักษ์​ใหญ่อย่างดัชนีดาว​โจนส์​ลดลงภายใน1ปีคิดเป็น 15%ภายใน1ปีเลยทีเดียวขณะที่มหาอำนาจฝั่งคอมมิวนิสต์​จีนแผ่นดินใหญ่ก็ลดลงมาอย่างไม่แพ้กันภายใน1ปีลดลงถึง 19.66%กันเลยทีเดียวขณะที่ประเทศไทยเองก็ลดลงเพียง 5%เท่านั้นทั้งนี้ทั้งมีหุ้น Delta ซึ่งเป็นเงาด้านเทคโนโลยี่ค้ำตลาด

จับตามองต่อจากนี้ไปเกมตลาดทุนจะเป็นอย่างไรกันต่อไปเมื่อเจ้าใหญ่อย่าง PTT เปลี่ยนไลน์ธุรกิจปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมีการออกรถไฟฟ้ามากขึ้นและเปิดตัวบริษัทลูกที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์​แบบนี้จะไม่เรียกกินรวบแล้วจะบอกว่าอะไรกันค่ะ
จากสถานการณ์​ก่อนโควิดกองทุนยักษ์ใหญ่่อย่าง ARK investment management มีการโปรโมต​กองทุนที่มองไปในอนาคตข้างหน้าว่าการเติบโตทางเทคโนโลยี่ ด้านการแพทย์ โดยเน้นการลงทุนด้านนี้ทำให้หน่วยลงทุนลงมาอย่างไม่เป็นท่าลดลงมาที่ระดับ- 60%กันเลยทีเดียวจ้า
ถ้าเป็นแบบนี้แล้วบรรดา​กลุ่มนักลงทุนตลาดกองทุนจะไม่เครียดได้อย่างไรในพันทิปขาดทุนอย่างน้อย40-50%กันเลยน่ะตลาดต้องขึ้นมา100%เลยถึงจะคืนทุนจะไม่เครียดได้อย่างไรค่ะ
แม้แต่ตลาดทองคำและน้ำมันเองก็ลงมาเรื่อยๆไม่รู้จะจบตรงจุดไหน

3.ประกันภัยและประกันชีวิต
เรามาต่อด้วยการประกันภัยและประกันชีวิตกันเลยค่ะจะเห็นว่าช่วงแรกของการระบาดโควิด19แรกๆบริษัทประกันภัยออกผลิตภัณฑ์​ประกันภัย​โควิด19ด้วยเบี้ยประกันเพียงหลักร้อยแต่ชดเชยสินไหมหลักแสนกรณีตรวจพบเชื้อแบบ เจอ จ่าย จบ รับเงินเข้ากระเป๋าตุงไปตามๆกันแต่หลังจากนั้นไม่นานโควิด19ระบาดเข้าประเทศไทยประกันภัยแบบ เจอ จ่าย จบ ด้วยเบี้ยหลักร้อย จ่ายสินไหมหลักแสน ก็ต้องเกินกรณีตามมาการร้องเรียนคปพ.อย่างไม่หยุดหย่อนในประเด็นการจ่ายสินไหมล่าช้าหรือประวิงการจ่ายสินไหม
จากบทเรียนของโควิด19ครั้งนี้เองทำให้โควิด19ระบาดหนักขึ้นเพื่อผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้
อย่างไรเสียการระบาดของโรคโควิด19 ทำให้ประชากรทั่วโลกหันกลับมาดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตเพื่อให้ดีขึ้นพร้อมๆกับโควิด19ที่จากโลกนี้ไปแต่ก็มีทีมวิจัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าพบเชื้อไวรัสตัวไหม่​ XBB ที่กำลังเริ่มระบาดในขณะนี้ที่จีนแล้วแบบนี้จีนจะจัดการอย่างไรกับนโยบาย Zero Covid แต่ถ้าจะใช้สมองอันน้อยนิดของผู้เขียนเพื่อจบเกมนี้ก็คือ Covid 19เป็น 0 แล้วจริงๆแต่ที่ระบาดไหม่คือเชื้อตัวไหม่
นั่นเอง
ถ้าเป็นแบบนี้จริงวันจันทร์นี้หรือไม่เกินสิ้นเดือนตุลาคมนี้เราจะได้เห็น ตลาดทุน เติบโตรอบไหม่
อย่างสวยงาม เขียวขจีทั่วโลกหรือไม่รอติดตามกันค่ะ
อย่างไรเสียการลงทุนมีความโปรดพิจารณาก่อนการลงทุนค่ะจะได้ไม่เครียดตามมา
โปรดติดตามบทความตอนต่อไปค่ะ

“การลงทุนมีความเสี่ยง”

แชร์ให้เพื่อน

โควิด 19 กับการเปลี่ยนแปลงทางระบบเศรษฐกิจ​ที่ต้องจดจำ(ตอนที่1)​

แชร์ให้เพื่อน

โควิด 19 กับการเปลี่ยนแปลงทางระบบเศรษฐกิจ​ที่ต้องจดจำ (ตอนที่1)​

การระบาด​ของ​โควิด19 เริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2562 โดยพบครั้งแรกในประเทศมหาอำนาจจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์​ ที่นครอู่ฮั่น​เมืองหลวงมณฑล​หูเป่ย​และ  who ประกาศภาวะฉุกเฉินระหว่างประเทศ​ในวันที่ 30 มกราคม 2563 และประกาศให้เป็นโรคระบาดทั่วโลกในวันที่ 11 มีนาคม 2563  ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงด้วยความตกใจและขึ้นกลับคืนแต่ก็ไม่สามารถรักษาระดับได้จึงร่วงกลับลงมาเกือบถึงตอนภาวะโควิด 19 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจ​ยังคงปรับช้ากว่าตลาดหุ้นที่โตขึ้นในปัจจุบัน
การระบาด​ของไวรัส​เป็นการแพร่เชื้อระหว่างคนในลักษณะเดียวกับไข้หวัดใหญ่​โดยผ่านละออง​เสมหะ จากการไอ ระยะรอคอยอยู่ที่ 14 วัน
อาการที่พบบ่อยได้แก่ ไข้ ไอ และหายใจลำบาก ภาวะแทรกซ้อน รวมถึงปอดบวมและหายใจลำบากเฉียบพลัน

การรักษาและการป้องกัน
โดยใช้ยาต้านไวรัส ต่อมาใช้การรักษาแบบประคับประคองและมีมาตรการการป้องกันโดยเน้นการล้างมือ อยู่ห่างจากคนป่วย และกักตัวเอง14วัน

ตั้งแต่ปี 2563 ช่วงโควิดระบาดจนถึงปัจจุบันส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ​ด้งต่อไปนี้
กลุ่มแรกคือ
1.กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร สินค้าอุปโภค บริโภค
1.1 จากสถานการณ์​โควิด19 ทำให้คนกลับมาใช้ชีวิตที่ดูแลตัวเองมากขึ้นโดยเน้นการใช้สมุนไพรเพื่อดูแลสุขภาพเช่น
1.กระชายขาว กระชายดำ ช่วงที่โควิดระบาดมีการออกผลิตภัณฑ์​ที่เกี่ยวกับกระชาย​ออกมาจำหน่าย​ในปริมาณมากในรูปของน้ำกระชายบรรจุขวดและผลิตภัณฑ์​ในรูปแคปซูล​ออกจำหน่ายอย่างแพร่หลายช่วยละลายเสมหะ
2.ฟ้าทะลายโจน​ โดยการออกผลิตภัณฑ์​ในรูปของแคปซูล​และต้มใบฟ้าทะลาย​โจนรับประทานเพื่อช่วยบรรเทาอาการจากโควิด19 ช่วยลดไข้
3. ขิง ขิงเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์​ร้อนช่วยละลายเสมหะ รับประทานในรูปของการต้มน้ำขิงรับประทาน มีการทำผลิตภัณฑ์​น้ำขิงเพื่อจำหน่าย
4.หอม กระเทียม ใช้ประกอบอาหาร เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินหายใจล่วงขึ้น
5. ตะไคร้ ใช้สำหรับการประกอบอาหาร และใช้สำหรับการอบสมุนไพรช่วงโควิด19

1.2 สินค้าเกษตร​ที่มีการแปรรูปที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัดช่วงโควิดที่ใช้เพื่อป้องกันโรคก็คือถุงมือยางนั่นเอง จะเห็นได้ว่าช่วงโควิดระบาดอย่างรุนแรงทำให้สินค้าจากยางพาราอย่างถุงมือยางถีบตัวขึ้นเป็นร้อยเท่า เกิดการแย่งชิงการซื้อสินค้า เพื่อใช้ในระบบการดูแลสุขภาพอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก สินค้าอย่างถุงมือยางในตลาดหุ้นเติบโตอย่างมหาศาลแต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันแล้วมูลค่าลดลงอย่างชัดเจนมาก

1.3 สินค้าทางการเกษตร​กลุ่มเนื้อสัตว์ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ราคาแพงขึ้นแบบเท่าตัว เช่นจากเดิมเนื้อหมูกิโลกรัมล่ะ 100 บาทแต่ปัจจุบันนี้เนื้อแพงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 200 บาทเลยทีเดียว
1.4 สินค้าเกษตร​กลุ่มผัก ผลไม้ ข้าวได้รับผลกระทบอย่างมากจากปุ๋ยที่มีราคาแพงขึ้นเป็นเท่าตัวส่งผลได้เกษตรกร​ซึ่งเป็นประชากรเกินครึ่งหนึ่งของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักตามมาด้วย


การเกิดโควิด 19 ทำให้คนมีการใช้ชีวิตแบบมีระยะห่างมากขึ้นเช่น
ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ เน้นการจับจ่ายแล้วนำไปรับประทานที่บ้าน รัฐบาลสั่งปิดการนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน  ห้างสรรพสินค้า​ต่างๆ มีการงดการเข้าห้าง  ทำให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์  shopee,​ Amazon​,  และ  Lazada เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระบบการขนส่งโลจิสติกส์​  สินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์​ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากการกักตัวของคนที่อยู่ที่บ้านตามมา

คนใช้ชีวิตง่ายขึ้นไม่ต้องออกจากบ้านมีการสั่งอาหารมารับประทานที่บ้าน
จากสถานการณ์​โควิด19 ทำให้คนปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ด้านพฤติกรรมการบริโภคอย่างเห็นได้ชัด
แต่เหตุการณ์​หลังจากนี้เราต้องรอดูกันว่าคนจะกลับมาใช้ชีวิตเหมือนสถานการณ์​ก่อนโควิดหรือไม่

หลังจากนี้เรามาจับตาดูการประชุมสมัชชา​พรรค​คอมมิวนิสต์​จีนครั้งที่ 20 โดยประชุมทุกๆ5ปี ก่อนเริ่มประชุมจะเห็นว่าตลาดหุ้นเวียดนามตกลงมาอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งการประชุมจะเริ่มขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2565 นี้ จับตาตลาดหุ้นทั่วโลกจะเป็นอย่างไร  หากมหาอำนาจฝั่งพรรคคอมมิวนิสต์​เปิดเสรีให้ประชาชนออกท่องเที่ยวได้ หรือยังคงนโยบาย​Zero Covid

บทความต่อไปเรามาติดตามประเด็นโควิด19 มีผลกระทบต่อธุรกิจการเงินอย่างไร
สุดท้ายนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวอย่างเป็นทางการแล้วขอให้ทุกท่านดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากโรคภัยต่างๆค่ะ

แชร์ให้เพื่อน