เชื้อราก่อโรค อันตราย!!! กว่าที่คิด

แชร์ให้เพื่อน

เชื้อราก่อโรค อันตราย!!! กว่าที่คิด

เป็นยังงัยกันบ้างเรื่องของเห็ด ตั้งแต่ประโยชน์จนถึงการล่าเห็ด สำหรับตอนนี้เราจะอ่านเกี่ยวกับเรื่องของเชื้อรากันบ้าง ยังงัยก็ยังไม่พ้นอาณาจักร​ Fungi อยู่ดี เชื้อราที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้จะเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในคนซึ่งมีมากมายหลากหลายชนิด
โรคที่เกิดจากเชื้ิอรานั้นสามารถพบได้ในทุกเพศ​ ทุกวัย เชื้อราในร่างกายมนุษย์​หากมีความสมดุลย์​ก็ไม่ก่อโรคขึ้น แต่ถ้าร่างกายขาดความสมดุลย์​แล้วเชื้อรามักโจมตีและจะก่อโรคขึ้นได้ทันที เช่นเชื้อราในช่องคลอด เชื้อราที่ผิวหนัง กลากเกลื้อน​ เชื้อราที่เล็บ ฮ่องกงฟูต โรคเชื้อราของทางเดินหายใจ เชื้อราที่ปอด เชื้อราในกระแสเลือด เชื้อราที่สมองและไขสันหลัง​ กรณีมีการติดเชื้อราแบบเรื้อรังสามารถทำให้เซลล์​กลายเป็นมะเร็งได้อย่างเช่น มะเร็งตับ ที่เกิดจากสารพิษของเชื้อราที่มีชื่อว่า อะฟลาทอกซิน เป็นต้น


โอกาสในการติดเชื้อราได้ง่าย มักพบกับคนในกลุ่มดังต่อไปนี้คือ
1.โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภูมิต้านทานต่ำ เบาหวาน มะเร็ง เอดส์​
2.เด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
3.คนอ้วน คนท้อง คนที่ไม่ดูแลรักษาความสะอาด
4.คนที่กินยาฆ่าเชื้ิอ หรือสเตียรอยด์​อย่างต่อเนื่อง
5.กลุ่มที่กินยากดภูมิต้านทานในการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
อาการที่สังเกตุได้หากติดเชื้อราได้แก่
1.อาการคัน ระคายเคือง บวม แดง ร้อน
2.บางครั้งมีผื่นที่เป็นลักษณะ​เฉพาะในการแยกโรคได้ชัดเจน
3.มีแผล แผลจากเชื้อรามักมีลักษณะ​เฉพาะตัวคือ เป็นสีขาวเหมือนคราบน้ำนม กรณีเชื้อราในปากเด็กเล็ก เป็นต้น
4.มีอาการไอเรื้อรัง หายใจเหนื่อย เบื่ออาหาร หากติดเชื้อราที่ปอด
5.มีอาการสับสน ซึม ปวดศรีษะ​ชัก และโคม่า หากติดเชื้อที่สมองหรือประสาทส่วนกลาง ไขสันหลัง
6.มีอาการไข้สูง หนาวสั่น เพลีย ขาดน้ำ ช็อค และเสียชีวิต หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
การดูแลตนเองและการป้องกันการเชื้อรา
1.เน้นการดูแลสุขอนามัย​ส่วนบุคคล ไม่คลุกคลี​กับผู้ที่เป็นโรค
2.เสื้อผ้า อุปกรณ์​แห้ง สะอาด ไม่ใช้ร่วมกัน
3.มีเพศ​สัมพันธ์​ทุกครั้งต้องใส่ถุงยางอนามัย
เป็นยังงัยบ้างราอยู่ในกลุ่มเดียวกับเห็ดที่มีโปรตีนสูง รสชาติ​อร่อย แต่เชื้อรานั้นกลับเกิดความรุนแรงในการก่อโรคกว่าที่คิดเลยทีเดียว

แชร์ให้เพื่อน

มีโปรตีนสูงไขมันต่ำ ต้องยกให้ไข่มดแดง

แชร์ให้เพื่อน

มีโปรตีนสูงไขมันต่ำ ต้องยกให้ไข่มดแดง

มดแดงส่วนใหญ่มีสีส้ม (ไม่เกี่ยวการเมืองนะ)​แต่ทำไมถึงเรียกมดแดงก็ไม่รู้ มดแดงมักทำรังบนต้นไม้โดยใช้ใยสีขาว เหนียวเชื่อมต่อใบไม้ให้เป็นรังกลมๆ รังใหญ่มักอยูบนต้นไม้สูง เมื่อโดนรบกวนจะกัดและปล่อยกรดฟอร์มิกมีกลิ่นฉุน และมีอาการแสบร้อนบริเวณที่โดนสัมผัสหลังจากนั้นมีตุ่มใสและคัน ในรังมดแดงจะมีราชินีมดแดงอาศัยอยู่ลำตัวใหญ่กว่ามดแดง มีสีน้ำตาลเขียว หัวและอกมีขนสั้นๆ สีขาว มีหน้าที่ออกไข่มดแดงที่มีขนาดใหญ่ ที่คนนิยมแหย่ไข่มดแดงมารับประทานนั่นเอง
ไข่มดแดงนั้นมีราคาแพงขายกิโลกรัมละหลายร้อยบาท ไข่มดแดงจัดเป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมในแถบภาคอีสาน สามารถทำเมนูจากไข่มดแดงได้ทั้ง ยำไข่มดแดง แกงไข่มดแดงใส่ผักหวาน ห่อหมกไข่มดแดง ไข่ทอดใส่ไข่มดแดง และมีการถนอมอาหารในรูปไข่มดแดงแช่น้ำเกลืออีกด้วย ไว้กินในช่วงเดือนที่ไม่สามารถหาไข่มดแดงได้
ช่วงเทศกาล​แห่งการกินไข่มดแดงนั้นจะอยู่ในระหว่างเดือนมกราคม​ถึงเดือนเมษายน ขั้นตอนการแหย่ไข่มดแดงนั้นก็ไม่ได้มีความยุ่งยากแต่อาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ​ไม่เช่นนั้นไข่มดแดงจะตกลงมาใส่พื้นดินหมด

อุปกรณ์​และการเตรียมตัวแหย่ไข่มดแดง

บางที่มีการเลี้ยงมดแดงในขวดไม่จำเป็นต้องแหย่ หากตามธรรมชาติ​แล้วจำเป็นต้องแหย่ไข่มดแดงเพราะรังอยู่สูงโดยใช้ไม้ที่มีความยาวถึงรังมดแดง ปลายไม้จะเป็นหวดหรือถังเพื่อดักไข่ไม่ให้ตกที่พื้น
ผู้ที่แหย่ไข่มดแดงต้องใส่เสื้อแขนยาว ปกปิดหัวใบหน้าให้มิดชิดคล้ายไอ้มดเอ็กซ์​เพื่อป้องกันมดแดงกัดและเข้าหู ไข่มดแดงแบ่งแยกเป็นไข่ราชินีมดแดงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าและตัวอ่อนมดแดงที่มีรูปร่างเหมือนมดแดงแต่เป็นตัวอ่อนสามารถรับประทานได้เช่นกัน
ไข่มดแดงนั้นมีโปรตีนสูง ปราศจาก​ไขมัน มีรสชาติ​เปรียวเล็กน้อยเมื่อกัดกินจะมีเสียงดังเปาะในปาก มันๆ รสชาตอร่อยสำหรับคนที่ชอบอาหารป่า
อันตรายจากพิษของมดแดงนั้นเกิดจากการกัดให้เป็นแผลแล้วปล่อยกรดฟอร์มิกจึงเกิดอาการแสบร้อน หากคนที่มีอาการแพ้อาจขึ้นขั้นต้องนอนโรงพยาบาลเลยทีเดียว การป้องกันโดยการทางแป้งตามมือเพื่อให้มดแดงไม่สามารถเกาะติดได้
อันตรายอีกอย่างจากมดแดงคือการเข้าหูแล้วกัดเยื่อแก้วหูโดยไม่ยอมปล่อย พร้อมปล่อยกรดฟอร์มิกอีกเช่นเดิม ยอมสละชีวิตเลยทีเดียว

 

แชร์ให้เพื่อน

9. ประโยชน์ของเห็ด ที่หลายคนไม่เคยรู้

แชร์ให้เพื่อน

9. ประโยชน์ของเห็ด ที่หลายคนไม่เคยรู้

     ต้นฤดูฝนของประเทศ​เขตร้อนชื้น จัดเป็นฤดูแห่งการเก็บหรือล่าเห็ด  เพราะเห็ดชนิดต่างๆที่กินได้เป็นแหล่งโปรตีนจากดินที่มีความอุดมสมบูรณ์​ เห็ดจัดเป็นแหล่งอาหารโปตีนสำหรับกลุ่มคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์และเทศกาล​การกินเจ  เรามักจะเห็นคนแถบชนบทหรือชุมชนเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าที่อุดมสมบูรณ์​ออกไปเก็บหรือล่าเห็ดเพื่อขายหรือรับประทาน ซึ่งสังเกต​ุได้จากการวางขายริมถนนสายหลักต่างๆ ให้คนขับรถผ่านไปมาสามารถเลือกซื้อไปรับประทานโดยไม่ต้องบุกป่าฝ่าดง​ไปเก็บด้วยตนเอง
    เห็ดจัดเป็นพืชในสมัยก่อนเนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ต่อมานักวิทยาศาสตร์​จัดเห็ดอยู่ในอาณาจักร Fungi มนุษย์​จะเก็บดอกเห็ดในส่วนที่โผล่มาเหนือพื้นดิน โดยทั่วไปนั้นเห็ดมักจะขึ้นเป็น
กลุ่มและใกล้เคียง​กับบริเวณเดิมที่เคยขึ้น ส่วนที่อยู่ใต้ดินจะเป็นต้นกำเนิดของดอกเห็ดในฤดูกาล​หน้า
     เห็ดจัดเป็นขุมทรัพย์​สมบัติ​ในป่าสำหรับนักเก็บของป่าหรือล่าเก็บเห็ด ฟังดูแรงไปใช่ใหมคะ  แต่เป็นเรื่องจริง เพราะในฤดูแห่งการเก็บเห็นมักมีนักล่าเห็ดออกไปเก็บเห็ดในเวลากลางคืนหรือเช้ามืดโดยใช้ไฟส่องเก็บเห็ดนั่นเอง  เพราะเห็ดบางชนิดราคาติดเพดานหลักพันบาทต่อกิโลกรัมเลยก็ว่าได้
    เห็ดบางชนิดเป็นส่วนประกอบของยาอายุวัฒนะ​เป็นที่นิยมและหายากนั่นเอง

    เราลองเข้าป่าเก็บเห็ดดูว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้างเพื่อความปลอดภัยในการเข้าป่า เก็บเห็ด

1.เตรียมอาวุธ​อาจเป็นเสียม มีดเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายในป่า
2.อาหารการกิน​เช่น นม ขนม ลูกอมเผื่อกรณีหลงป่า
3.ตะกร้า มีดตัดเห็ด ขรุถัง ถุงพลาสติก​สำหรับใส่เห็ด
4.ที่ขาดไม่ได้​เลยในยุคนี้คือสมาร์ท​โฟนนั่นเอง ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารหากหลงป่า ถ่ายภาพต่างๆ

สาธยาย​มาตั้งเยอะแยะ​เรามาเข้าเรื่องประโยชน์ของเห็ดเลยคะ ว่ามีประโยชน์​อะไร ยังงัยกันบ้าง

1.เห็ดเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงสามารถทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้
2.เห็ดเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงไขมันน้อยจึงเหมาะสำหรับกลุ่มที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง
3.เห็ดเป็นแหล่งอาหารวิตามิน B และวิตามิน D โพแทสเซียม​ สูง
4.เห็ดเป็นแหล่งอาหารที่มีเส้นใยสูงจึงเป็นยาระบายช่วยสำหรับคนที่เป็นโรคริดสีดวง​ทวารหนัก
5.เห็ดเป็นแหล่งโปรตีน​ที่มีไขมันต่ำเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุม​น้ำหนักได้
6.การรับประทานเห็ดเป็นประจำช่วยลดปัจจัยเสี่ยง​การเกิดโรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดสมองเนื่องจากเห็ดมีไขมันต่ำ จึงช่วยให้อายุยืน
7.โปรตีนจากเห็ดย่อยง่าย กลืนง่ายเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีฟันในการขบเคี้ยวอาหาร
8.สารบางชนิดในเห็ดช่วยรักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้
9.ในการปรุงอาหารต้องล้างทำความสะอาดให้แน่ใจว่าสะอาด อาจใช้น้ำอุ่นล้างช่วยให้ดิน เศษผงออกได้ง่ายขึ้น เพราะเห็ดอาจมีเชื้อโรคหรือพยาธิ​ดังนั้นกรมอนามัยแนะนำให้ปรุงสุกก่อนรับประทานทุกครั้ง

แชร์ให้เพื่อน

ถุงใต้ตา ปัญหาความงามของผู้หญิง

แชร์ให้เพื่อน

ถุงใต้ตา ปัญหาความงามของผู้หญิง

ผู้หญิงทุกคนอยากสวย บางคนสวยมาตั้งแต่กำเนิดพ่อแม่พาสวย บางคนสวยด้วยศัลยกรรม บางคนสวยตามแบบฉบับของตนเอง ความสวยเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา​ ในปัจจุบันนี้ความสวยในโลกโซเชียล​ทำได้ไม่ยากแค่มีสมาร์ท​โฟนเครื่องหนึ่งก็ทำให้สวยได้กว่าการทำศัลยกรรม​อีก เพียงแต่ความสวยนั้นไม่ได้ติดตัวเราอยู่ เป็นแค่ภาพลวงตา แต่ผู้หญิงเราก็มีความสุขกับภาพลวงตาเหล่านั้น ปัญหาที่มีอยู่จริงอย่างถุงใต้ตาก็เป็นสิ่งที่ผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้นไม่พึงปรารถนา

ถุงใต้ตาเทียมนั้นต้นเหตุเกิดจากพฤติกรรม​การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เล่นสมาร์ทโฟน​ เล่นคอมพิวเตอร์​ นอนดึก ร้องให้บ่อย ดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารรสเค็ม ปัญหาฝุ่นละออง ภูมิแพ้ การป้องกันปัญหา​ถุงใต้ตาเทียมก็แค่ลดพฤติกรรม​เสี่ยงที่กล่าวมาทั้งหมด

ถุงใต้ตาแท้เกิดขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 20 ปี เกิดจากกรรมพันธุ์​ เกิดจากไขมัน และของเหลวไหลมาคั่งบริเวณเปลือกตาล่างมองดูคล้ายกะเปาะ เมื่อเกิดขึ้นเป็นระเวลานาน จะยิ่งทำให้เปลือกตาล่างหย่อนมากขึ้น เมื่อเกิดถุงใต้ตาเรามีตัวช่วยด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่ง​ลดปัญหา​ถุงใต้ตา เพื่อให้เปลือกตาล่างเรียบเนียนสวยขึ้น
การแก้ปัญหา​ถุงใต้ตาแท้ ด้วยการผ่าตัดด้านศัลยกรรมตกแต่งด้านความงาม สามารถช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาแท้ได้ ทั้งนี้ควรเลือกสถานพยาบาลที่มีศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทางด้านความงามโดยตรง
การแก้ปัญหา​ถุงใต้ตาเทียมสามารถช่วยได้ด้วยการประคบด้วยน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ใช้แตงกวาแช่เย็นประคบที่เปลือกตา การใช่ถุงชาแช่เย็นประคบเปลือกไว้ก็พอช่วยได้ระดับหนึ่ง ลองทำดูนะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

ผอมลง ด้วยมีดหมอกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน

แชร์ให้เพื่อน

ผอมลง ด้วยมีดหมอกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน

       ทางเลือกสุดท้าย​สำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่พยายามลดน้ำหนัก​ด้วยวิธีการ​ จำกัดอาหาร ออกกำลังกาย​ กินยาเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักแลัวก็ยังไม่ได้ผล  จงตัดสินใจผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนเพื่อให้ร่างกายกลับมามีสุขภาพ​ดี​และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนทั่วไป การตัดสินใจเลือกการผ่าตัดเพื่อรักษา​โรคอ้วนนั้น  มีมานานแล้วในต่างประเทศ​ ที่เจริญ​แล้วอย่างสหรัฐ​อเมริกา​ ออสเตรเลีย​และแถบยุโรป สำหรับประเทศไทย​เองก็มีการผ่าตัดมาแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่แพร่หลาย​มากนัก
โรคอ้วนนั้นเป็นโรคเรื้อรังและรักษา​ยากโรคหนึ่ง หากปล่อยไว้อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อน​ต่างๆ ตามมาถึงขั้นเสียชีวิต​ได้ก่อนวัยอันควร โดยผู้ป่วยโรคอ้วนนั้นมักมีน้ำหนักตัวเป็นสองเท่าของน้ำหนักตัวปกติและมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ 2-3 เท่าเลยทีเดียว หากใครที่เริ่มมีปัญหา​ภาวะอ้วนอย่างนิ่งนอนใจ​ควรมีแผนการลดความอ้วนได้แล้ว ถ้าไม่ต้องการพบทางเลือกสุดท้ายด้วยการผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน

 

เพราะอะไรถึงทำให้เป็นโรคอ้วน?
1.โรคอ้วนจากกรรมพันธุ์​ พบได้ถึง 20-30% เลยทีเดียว ซึ่งอยู่ในยีนบางตัวที่ทำให้รับประทาน​อาหาร​มากกว่าปกติ
2.ความเจริญ​ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี​ทำให้คนมีความสะดวก​สบายมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน​ และพฤติกรรม​การบริโภค​อาหารที่มีไขมันสูงและขาดการออกกำลังกาย​เป็นต้น
3.อ้วนจากโรคประจำตัวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ เช่น เบาหวาน

ปัญหา​แทรกซ้อนสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนมีอะไรบ้าง?
1.ปัญหาที่เกิดจากสรีระ​ที่ผิดปกติ เช่น อาการปวดเข่าเรื้อรัง ไส้เลื่อน ทางเดินหายใจอุดกั้นระหว่างนอนหลับ
2.มีโรคแทรกซ้อน​เกี่ยวกับการเผาผลาญ​อาหาร เช่น ไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน​ชนิดที่2 มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึมเศร้า​จิตแปรปรวน​เป็นต้น

วีธีการผ่าตัดเพื่อรักษา​โรคอ้วนมี 2 วิธีคือ
1.การผ่าตัดลำไส้เพื่อลดการดูดซึมสารอาหาร
2.การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของกระเพาะอาหาร ลดปริมาตรในการจุอาหารนั่นเอง ในกรณีนี้ผู้ป่วยโรคอ้วนต้องปรับเปลี่ยน​พฤติกรรม​การรับประทาน​อาหาร​ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน การแยกรับประทานอาหาร​ที่เป็นอาหารแข็งและอาหารเหลว
แม้ว่าการผ่าตัดเพื่อรักษา​โรคอ้วนนั้นมี​วัตถุประสงค์​เพื่อลดปัญหา​ภาวะแทรกซ้อน​ของโรคอ้วนแต่ความสวยงามนั้นเป็นประเด็นรองถัดมา ทั้งนี้หลังผ่าตัดก็อาจมีภาวแทรกซ้อน​ต่างๆ ได้เช่น เกิดรอยรั่วของแผลผ่าตัด ของเสียคั่ง แผลติดเชื้อ ไส้เลื่อน ภาวะขาดสารอาหาร​บางชนิด ดังนั้นหลังผ่าตัดอาจต้องได้รับอาหารเสริมเพื่อชดเชยตลอดชีวิต

 

แชร์ให้เพื่อน

5. สัตว์ร้าย อันตรายในฤดูฝน

แชร์ให้เพื่อน

5. สัตว์ร้าย อันตรายในฤดูฝน

    ฤดูฝนเริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะ มักจะมีสัตว์ร้ายแมลง หลบฝนเข้าอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน หากเราไม่จัดเก็บของให้เป็นระเบียบ หรือดูแลตัดต้นไม้รอบๆบ้านไม่ให้รกเป็นที่อยู่ของสัตว์มีพิษที่ก่อให้เกิดอันตราย ช่วงหน้าฝนมักจะมีสัตว์และแมลงร้ายแฝงตัวเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในบ้านเช่น บริเวณข้าวของที่วางกองไว้ ไม่เป็นระเบียบ จึงควรต้องจัดระเบียบและดูแลทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ สัตว์​หรือแมลงร้ายเหล่านั้นพร้อมที่จะทำอันตรายกับเจ้าบ้านได้ตลอดเวลา เรามาดูกันเลยคะว่าสัตว์ร้ายหรือแมลงร้ายที่มาช่วงหน้าฝนนั้นมีอะไรกันบ้าง

1.ยุงลาย จริงๆแล้วยุงลายมีทุกฤดูกาล หากแต่ว่าช่วงหน้าฝนนั้นมีน้ำขังอยูมาก จึงทำให้ยุงลาย​สามารถ​เจริญเติบโต​และขยายพันธุ์​ได้อย่างรวดเร็ว ยุงลายนั้นเป็นสาเหตุ​ของโรคไข้เลือดออก​และโรคไข้ปวดตามข้อหรือที่เรียกว่า (ชิคุนกุนยา)​เป็นศัตรูที่เกิดขึ้นกับเด็กและผู้ใหญ่บางรายอาจทำให้เสียชีวิตเลยก็มี ดังนั้นช่วงหน้าฝนเราควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์​ยุงลาย นอนกางมุ้งเพื่อป้องกันยุงลายกัด เฝ้าสังเกตุอาการหากเข้าข่ายโรคไข้เลือดออก​หรือชิคุนกุนยาให้รีบไปโรงพยาบาลหรือแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อกำจัดและควบคุมการระบาดของโรคต่อไป


2.ตะขาบ มีลำตัวเป็นข้อปล้อง ขาเป็นข้อ ชอบแอบตัวในที่มืดชื้น เวลากัดจะมีรอยเขี้ยวสองรอยเป็นลักษณะรอยเลือดออก เหยื่อที่ถูกตะขาบกัดจะมีอาการเจ็บปวดและเป็นอัมพาต​ เกิดการอักเสบ​ต่อร่างกาย หากในกลุ่มที่มีอาการแพ้พิษรุนแรง จะมีอาการ กระวนกระวาย คลื่นไส้​อาเจียน มึนงง ปวดศีรษะ​ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เคยมีการรายงานว่าเสียชีวิตได้ การพยาบาลเบื้องต้นให้ล้างแผลด้วยน้ำสบู่และฉีดยาป้องกันบาดทะยัก


3.แมงป่อง มีรูปร่างคล้ายปู ชอบชูหางขึ้นสูง พิษของแมงป่องทำให้เหยื่อเจ็บปวด​ ปวดแสบร้อน และเป็นอัมพาต​ มีไข้ ถ้าพิษ​เข้ากระแสเลือดอาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ชักเกร็ง น้ำลายไหล ความดันสูง ปัสสาวะ​ออกน้อย หัวใจเต้นเร็ว น้ำคั่งที่ปอด เกิดภาวะหัวใจและหายใจล้มเหลวเสียชีวิตได้ การพยาบาลเบื้องต้นให้ล้างแผลให้สะอาด กินยาแก้ปวด


4.งูพิษ มักเห็นอยู่ในข่าวบ่อยๆ ในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่มักพบเห็นข่าวว่างูพิษ​เช่น งูจงอาง งูเห่า เข้าไปในบ้านมักต้องเรียกเจ้าหน้าที่​ให้จับงูไปช่วย เพราะงูกลุ่มมีพิษเมื่อกัดแล้วมักมีพิษ​ร้ายแรง เราควรสังเกตุรอบบ้านไม่ให้มีโพรงเพราะจะมีงูเข้าไปอาศัยและแพร่พันธุ์​เป็นแหล่งที่อยู่ของงูพิษ​ซึ่งเป็นอันตรายใกล้ตัวในบริเวณบ้าน หากโดนงูพิษ​กัดให้รัดเหนือแผลและรีบนำส่งโรงพยาบาล


5.แมงก้นกระดก​ มักชอบมาเล่นแสงไฟช่วงหน้าฝน พิษ​จากแมงก้นกระดก​มีความเป็นกรดเมื่อโดนพิษ​จะมีอาการระคายเคือง​ปวดแสบปวดร้อน​เป็นรอยไหม้ อาจเป็นผื่นหรือตุ่มน้ำ คล้ายเริมหรืองูสวัด​ คนที่แพ้อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้​อาเจียน มีไข้ การพยาบาลเบื้องต้นให้ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่ ล้างแผล หากอาการรุนแรงขึ้นให้พบแพทย์

แชร์ให้เพื่อน

อันตราย!!! ที่มากับดวงตา ที่ไม่ควรมองข้าม

แชร์ให้เพื่อน

อันตราย!!! ที่มากับดวงตา ที่ไม่ควรมองข้าม

      เคยเป็นใหม ตื่นเช้าขึ้นมามีอาการเลือดออกใต้เยื่อบุตาทั้งที่ไม่ได้รับการกระทบกระเทือน​อะไรมาก่อน  อาการก่อนนอนมีเคืองตาเล็กน้อย ขยี้ตาเบาๆ นอนหลับ​ทั้งคืน ตื่นมาตอนเช้าพบว่ามีเลือดออกใต้เยื่อบุตา เรามาดูกันเลยคะว่ามีสาเหตุ​มาจาก​อะไรได้บ้าง มีวิธีการดูแลสังเกตุตนเองอย่างไร ก่อนตัดสินใจ​ไปพบแพทย์

   ภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา (Subconjuctival Hemorrhage)​ เกิดจากเส้นเลือดฝอยระหว่างเยื่อบุตาและตาขาวฉีกขาด ทำให้เกิดเลือดออกและสังเกต​เห็นได้ชัดเจนบริเวณ​ตาขาวกลายเป็นสีแดง แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอาการนี้ขึ้น เมื่อส่องกระจกถึงได้รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะหายได้เองภายใน1-2สัปดาห์​ และไม่ได้มีผลกระทบ​ต่อการมองเห็นแต่อย่างใด อาจมีอาการเคืองตาหรือมีขี้ตาร่วมด้วยได้บ้าง

 

จะเห็นว่าเลือดออกใต้ตามองดูแล้วน่ากลัวและรุนแรงเพราะดวงตาไม่ได้รับความกระทบกระเทือน​แต่อย่างใด​ หากพบว่ามีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์

1.มีอาการปวดตาร่วมด้วย
2.การมองเห็นเปลี่ยนไปเช่น ตามัวลง มองไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
3.อาการไม่ดีขึ้นหรือหายไปภายในสองสัปดาห์
4.เคยมีประวัติ​โรคความดันโลหิตสูง​มีเลือดออกผิดปกติ​หรือดวงตาได้รับบาดเจ็บ
  สาเหตุ​ที่พบได้บ่อยเช่น
1.มีสิ่งแปลกปลอม​เข้าดวงตาแล้วขยี้ตาอย่างรุนแรง
2.ได้รับบาดเจ็บ​ที่ดวงตา อาจโดนจิ้มตา หรือกระแทกตา เป็นต้น
3.มีการยกของหนัก ไอ หรืออาเจียนอย่างรุนแรง หรือออกแรง​เบ่งมากเกินไป
4.ในผู้ป่วยบางกลุ่มอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดขึ้นได้เช่น โรคความดันโลหิตสูง​ โรคเบาหวาน ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ​ มีการใช้ยาบางชนิดร่วมด้วย

การ​รักษา​นั้นสามารถรักษาเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์​คือ
1.หยอดน้ำตาเทียมเมื่อระคายเคือง​ตา
2.หลีกเลี่ยง​การกินยาแก้ปวด แก้อักเสบบางชนิดชั่วคราวจนกว่าจะหายดี

 

การป้องกันการเกิดภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา
1.ไม่ควรขยี้ตาอย่ารุนแรง
2หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาให้ล้างตาหรือหยอดน้ำตาเทียมเพื่อชำระล้างสิ่งแปลกปลอม​ออกมาได้
3.สวมหน้ากาก แว่นตาป้องเศษฝุ่นละอองเมื่ออยู่ในสถานที่เสี่ยงเช่น ขี่จักรยาน​ยนต์​ ทำงานโรงงาน
4.หากเกิดปัญหาเลือดออกใต้เยื่อบุตาบ่อยๆ ควรพบแพทย์เพื่อค้นหา​สาเหตุที่แท้​จริง​และรีกษาได้ตามความเหมาะสม​

แชร์ให้เพื่อน

คุณกินยาควบคุมไขมันเลือดอยู่หรือไม่?

แชร์ให้เพื่อน

คุณกินยาควบคุมไขมันเลือดอยู่หรือไม่?

โรคไขมันในเลือดสูงนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือดฉะนั้นหากท่าต้องรับประทาน​ยาลดไขมันในเลือดต้องรู้ในประเด็นใดบ้างและปฏิบัติ​ตัวอย่างไรขณะกินยานี้

ยา  Xarator​ เป็นยาควบคุมระดับไขมันในเลือดที่เรียกว่า สแตติน ( Statin)

ข้อบ่งชี้​ในการรับประทานยา
1.ใช้สำหรับลดไขมันในเลือดที่เรียกว่า คอเลสเตอรอล​และไตรกลีเซอร์ไรด์​ในเลือด ขณะใช้ยานี้ ต้องรับประทาน​อาหารที่มีไขมันต่ำ และออกกำลังกาย​เป็นประจำ
2.ยานี้ใช้ป้องกัน​การเกิดโรคแทรกซ้อน​ที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด​เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือด​สมอง การเกิดกล้ามเนื้อ​หัวใจตาย  การเกิดอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจาก​เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ​หัวใจไม่พอ

ข้อห้ามในการใช้ยานี้
1.ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ
2.ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์​หรือวางแผนการตั้งครรภ์​และหญิงให้นมบุตร
   ผลข้างเคียง​ของยาที่ควรระวังเป็นพิเศษ​ หากใช้ยานี้แล้วมีภาวะดังต่อไปนี้​
1.มีความผิดปรกติ​ของกล้ามเนื้อ
2.โรคตับหรือดื่มสุราอย่างหนัก
3.เป็นโรคหลอดเลือด​สมองที่มีเลือดออกในสมอง
4.หากรับประทาน​ยาอื่นร่วมด้วย ควรแจ้งให้เภสัชกรทราบ
5.ยาที่ใช้ปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
6.ยาปฏิชีวนะ​บางชนิดเช่น ยากลุ่มรักษาวัณโรค
7.ยาควบคุมไขมันชนิดอื่นๆ
8.ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
9.ยารักษาโรค​ติดเชื้อ HIV
10. ยาคุมกำเนิด ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร​
11.ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย​ fusidic acid
12.ยารักษาโรค​เก๊าท์
13.ระหว่างรับประทาน​ยานี้ห้ามดื่มน้ำ grapefruit เกินวันละ 1.2 ลิตร
14.ควรรับประทาน​ยาตามเวลาเดิมอย่างสม่ำเสมอ หากลืมให้กินทันที เมื่อนึกขึ้นได้ ห้ามกินเกินสองเท่า
15.หลีกเลี่ยง​อาหารไขมันสูง งดสูบบุหรี่​ออกกำลังกาย​สม่ำเสมอ

ผลข้างเคียง​ของยาที่พบได้บ่อย
1.คอหอยหลังโพรงจมูก​เกิดการอักเสบ
2.ระดับน้ำ​ตาล​ในเลือดสูงขึ้น
3.เจ็บคอหอยและกล่องเสียง
4.เลือดกำเดา​ไหล ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย คลื้นไส้ ท้องอืด ปวดข้อ ปวดตามแขนขา ปวดกล้ามเนื้อ​และกระดูก​กล้ามเนื้อหดเกร็ง​  ข้อบวม ตับทำงานผิดปกติ ระดับเครตินีในเลือดสูงขึ้น
หากพบอาการเหล่านี้รุนแรงขึ้นให้หยุดยา
1.ผื่นขึ้นใบหน้า หนังตา ริมฝีปากบวม หายใจลำบาก
2.ปวด กดเจ็บกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ​อ่อนแรง ​รู้สึกไม่สบายกายมีไข้ร่วมด้วย

การเก็บรักษายา
1.เก็บให้พ้นจากมือเด็ก
2.เก็บไว้ในอุณหภูมิ​ต่ำกว่า 30 องศา

แชร์ให้เพื่อน

9 อันตราย!!! ที่มากับต้นฤดูฝน

แชร์ให้เพื่อน

9 อันตราย!!! ที่มากับต้นฤดูฝน

ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนอยู่ในช่วงเดือนพฤษภา​คม ช่วงต้นฤดูฝนอากาศ​มักจะแปรปรวน เกิดพายุ ลมแรง ฟ้าร้อง ฟ้าแล้บ ฟ้าผ่า พายุโซนร้อน​ พายุหมุน ทำให้เกิดอันตรายทั้งชีวิตและทรัพยสิน​ จากข่าวที่พบเห็นทางสื่อออนไลน์​บ่อยๆ เช่น เกิดฟ้าผ่าสัตว์เลี้ยง​ที่ปล่อยไว้ตามทุ่งนา หรือที่โล่งแจ้ง เช่น วัว ควาย แพะ บางครั้งก็เกิดฟ้าผ่าคนขับรถไถนากลางแจ้งเป็นต้น

เรามาดูกันเลยว่าอันตรายในช่วงต้นฤดูฝนนั้นมีอะไรบ้าง และเราสามารถป้องกันอันตรายอย่างไรได้บ้าง

1.อันตรายจากโดนฟ้าผ่า ช่วงต้นฤดูฝนมักจะเกิดฟ้าผ่าได้ง่าย ดังนั้นหากเกิดฝนตก ฟ้าร้องให้รีบปิดเครื่องมือสื่อสารทันที ถอดเครื่องประดับที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า หรือไม่ควรใส่ในช่วงฝนตก ฟ้าร้อง เข้าหลบฝนในบ้านเรือนไม่แนะนำให้หลบฝนใต้ต้นไม้เพราะมีโอกาสฟ้าผ่าและต้นไม้ล้มทับเสียชีวิตได้

2.อันตรายกับสัตว์เลี้ยงเช่น วัว ควายได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตจากฟ้าผ่า หากมีฝนตกให้รีบนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอกให้เร็วที่สุดเพราะจากปัญหาฟ้าผ่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่กลางแจ้งนั้นมักพบว่าตายเกือบทั้งฝูง

3.อันตรายจากต้นไม้ล้มทับบ้านเรือนหรือทรัพย์สินเช่น ​รถยนต์​ช่วงหน้าฝนไม่แนะนำให้จอดรถทิ้งไว้บริเวณต้นไม้ใหญ่เพราะเมื่อเกิดพายุ ลมแรงไม่สามารถเคลื่อนรถออกทัน ทำให้เกิดความเสียหายได้

4.สำรวจบ้านเรือนช่วงก่อนหน้าฝน ซ่อมแซมบ้านเรือนให้มีความแข็งแรงเพราะมีพายุลมแรงอาจทำให้บ้านเรือนเสียหายและได้รับอันตรายได้

5.อันตรายที่เกิดกับเด็กเล็ก ดูแลเด็กเล็ก ห้ามเล่นน้ำฝนช่วงต้นฤดูฝน อาจทำให้เกิดฟ้าผ่าได้เช่นกัน รวมถึงเกิดเจ็บป่วยไข้หวัดได้ง่ายเนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงง่าย และเด็กยังมีภูมิคุ้มกันน้อยกว่าผู้ใหญ่

6.หากเกิดความเสียหายกับชีวิต ทรัพย์สิน​สามารถแจ้งหน่วยงานของรัฐเพื่อขอความช่วยเหลือเพื่อบรรเทา​สาธารณภัย​ได้ตามความจำเป็น

7.การขับรถบนถนนขณะฝนตกให้มีความระมัดระวังเพราะพื้นถนนลื่นให้ลดความเร็ว และเปิดไฟเพื่อเป็นสัญญานเตือนให้รถที่ขับสวนทางมาท่ามกลางสายฝน และระมัดระวังเรื่องต้นไม้หรือเสาไฟฟ้าล้มทับ

8.การเดินทางไปใหนมาใหนช่วงหน้าฝนให้เตรียมเสื้อกันฝนหรือร่มกันฝนติดตัวไว้เพราะฝนอาจตกลงมาเวลาไหนก็ได้อาจไม่ตรงตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา​พยากรณ์​อากาศและลมฝนไว้

9.ดูแลรักษาสุขภาพ​ให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกาย​เป็นประจำ​เพราะหากเคยเกิดติดเชื้อโควิดมาก่อนอาจทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติได้

 

แชร์ให้เพื่อน

ระวัง อันตรายที่มากับเห็ดพิษช่วงต้นฝน

แชร์ให้เพื่อน

ระวัง อันตรายที่มากับเห็ดพิษช่วงต้นฝน

เห็ดตามธรรมชาติถึอว่าเป็นของขวัญจากดินในช่วงหน้าฝน ทุกคนสามารถหาเก็บเห็ดมากินได้ ยกเว้นบางที่จะไม่อนุญาต​ให้ประชาชน​เข้าไปเก็บเห็ดซึ่งพบเห็นในข่าวเรื่องถูกจับดำเนินคดีกรณีเก็บเห็ดให้เห็นอยู่บ่อยๆนั่นเอง
เห็ดส่วนมากที่นำมาบริโภคนั้นมีทั้งเห็ดที่เพาะขึ้นมาเช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็ดฟาง เห็ดหูหนู และเห็ดที่ขึ้นเองตามป่าในธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์​อากาศ​ร้อนชื้นทำให้เห็ดงอกได้ดี จึงมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเข้าไปเก็บเห็ดมาบริโภค เนื่องจากเห็ดเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต​ไขมัน แร่ธาตุ​และวิตามินต่างๆ

เห็ดโดยหลักๆแล้วแยกออกได้เป็นสามกลุ่มคือ

1.เห็ดที่นำมาใช้ในทางยา พวกกลุ่มยาสมุนไพร​จีน เช่น เห็ดหลินจือ​ เห็ดหอม
2.เห็ดที่นำมาบริโภค​เช่น เห็ดฟาง เห็ดละโงก เห็ดเผาะ
3.เห็ดพิษ​ ส่วนใหญ่เห็ดกลุ่มนี้จะขึ้นเองตามธรรมชาติในช่วงหน้าฝน ปะปนอยู่กับกลุ่มเห็ดที่สามารถนำมากินได้ จึงมักเกิดกับกลุ่มที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์​เก็บเห็ดพิษมากินแล้วทำให้เสียชีวิตที่เห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ หรือจากหนังเรื่องหนึ่งที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกินเห็ดพิษหรือเห็ดเมา
จากหนังเรื่อง “มัน… ผุดจากนรก” ( Shroom)​ เป็นหนังเกี่ยวกับอาการเมาเห็ดพร้อมกับความหลอนจนเกิดสยองขวัญ เห็ดเมาจัดว่าเป็นสารเสพติดตามธรรมชาติ เพราะทำให้เกิดภาพหลอนที่ทำให้คนเสพมีอาการเคลิบเคลิ้ม​ ในต่างประเทศ​นั้นได้รับความนิยม
เห็ดพิษ มีข้อสังเกต​ุอย่างไรบ้าง เราสามารถสังเกต​ุจากสี รูปร่าง หรือแมลงกัดกิน แยกได้ว่าสามารถ​กินได้หรือไม่ ขอตอบว่าไม่ได้นะคะ
เรามาดูวิธีการ​สังเกต​ุว่าเห็ดลักษณะ​แบบใหนเป็นเห็ดพิษโดยทั่วไป​จะมีก้านสูง ลำต้นโป่งพองออกและที่ฐานมีวงแหวนชัดเจน สีผิวของหมวกเห็ดมีหลากหลายสี หากไม่แน่ใจไม่ควรนำมารีบประทานเด็ดขาด
เห็ดพิษ​นั้นสามารถ​ออกฤทธิ์​ทำลายเซลล์​ตับ ไต ทางเดินอาหาร ระบบเลือด ระบบหายใจและสมอง หรือประสาทส่วนกลาง​ขึ้นอยู่กับว่ากินเห็ดพิษชนิดใดเข้าไป สามารถทำให้อันตรายถึงชีวิต อาการที่เกิดจากการกินเห็ดพิษ​ได้แก่ คลื่นไส้​อาเจียน ท้องเสีย เวียนศีรษะ​ ปวดหัว ​เป็นตะกริว ชัก หมดสติ ถึงขั้นเสียชีวิต
ในการปฐมพยาบาล​เบื้องต้นนั้นกระตุ้นให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด แล้วให้รับประทานผงถ่านช่วยในการดูดพิษ​ร่วมกับการให้ยาระบายกระตุ้นการขับถ่าย หรือกินน้ำใบรางจืดหรือใบย่านาง เพื่อถอนพิษ​ตามภูปัญญา​ท้องถิ่น หลังจากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

แชร์ให้เพื่อน