5 ผลไม้มีไซยาไนด์ เสี่ยงอันตราย กินอย่างไรให้ปลอดภัย

แชร์ให้เพื่อน

5 ผลไม้มีไซยาไนด์ เสี่ยงอันตราย กินอย่างไรให้ปลอดภัย

คุณรู้หรือไม่ว่า สารไซยาไนด์ ก็มีได้ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่เรารับประทานในชีวิตประจำวัน ผลไม้บางชนิดก็มีสารบางชนิดที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์จนเป็นอันตรายต่อชีวิต วันนี้เราจะชวนคุณผู้อ่านมาดู 5 ผลไม้มีไซยาไนด์ เสี่ยงอันตราย และเราจะกินอย่างไรให้ปลอดภัย เรามาดูกันเลยค่ะ

1. แอปเปิ้ล มีไซยาไนด์ เสี่ยงอันตราย
สำหรับแอปเปิ้ล ขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ต้านความแก่ แต่แอปเปิ้ลก็มีไซยาไนด์ เสี่ยงอันตรายต้องระวังเช่นกัน โดยเฉพาะในเมล็ดแอปเปิ้ล จากการเก็บข้อมูลพบว่า ในเมล็ดแอปเปิ้ลมีสารบางชนิด (Amygdalin) ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ โดยในเมล็ดแอปเปิ้ล 1 กรัมมีไซยาไนด์ 0.06-0.2 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 60-200 มิลลิกรัมไฮโดรเจนไซยาไนด์ต่อเมล็ดแอปเปิ้ล 1 กิโลกรัม โดยปริมาณของไซยาไนด์ขึ้นกับชนิดของแอปเปิ้ล วิธีการปลูกและดูแลเป็นสำคัญ ไซยาไนด์ในเมล็ดแอปเปิ้ลที่จะก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายคือ 0.5-3.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม ซึ่งจะอันตรายมากสำหรับเด็กเล็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย


2. แอปริคอตมีไซยาไนด์เช่นกัน
สำหรับแอปปริคอต ก็มีไซยาไนด์ในเมล็ด โดยในเมล็ดของแอปริคอตจะมีสาร Amygdalin ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไฮโดรเจนไซยาไนด์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่นเดียวกับเมล็ดแอปเปิ้ล ปริมาณของไซยาไนด์ในเมล็ดแอปริคอต ขึ้นกับชนิดของแอปริคอต จากข้อมูลพบว่า ปริมาณไซยาไนด์ในเมล็ดแอปริคอตจากประเทศตูนิเซีย และประเทศตุรกีมีค่าแตกต่างกัน โดยเมล็ดแอปริคอต พบสาร Amygdalin 44.1-63.5 กรัม ต่อน้ำหนักเมล็ด 1 กิโลกรัม ซึ่ง Amygdalin จะสามารถเป็นไฮโดรเจนไซยาไนด์ได้ประมาณ 2600 -3700 มิลลิกรัม ซึ่งหากเรารับประทานในปริมาณมากเสี่ยงที่จะเกิดพิษเช่นเดียวกับเมล็ดแอปเปิ้ล



3. เชอรี่แดง/ เชอรี่ดำ มีไซยาไนด์ อันตรายในการรับประทาน
สำหรับเชอรีดำ และเชอรี่แดง ในเมล็ดก็มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ได้เช่นเดียวกับแอปเปิ้ล และแอปริคอต ถึงแม้ในเมล็ดเชอรีจะมีปริมาณน้อยกว่า แต่ถ้ารับประทานเข้าไปจำนวนมากก็เป็นอันตรายเช่นเดียวกัน สิ่งที่น่ากังวลก็คือการนำผลเชอรี่มาบดทั้งเมล็ด แล้วดื่มสด ๆ ซึ่งก็เสี่ยงที่ร่างกายจะได้รับสารไซยาไนด์ที่มากเกินไป แต่หากรับประทานน้ำเชอรี่ที่ผ่านกระบวนการผลิตจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้อันนี้ถือว่า ปลอดภัยจากไซยาไนด์ค่ะ


4. ลูกพีช หรือ ลูกท้อ
ลูกพีช หรือ ท้อมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน สำหรับลูกพีช เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่สูง โดยเฉพาะวิตามินเอที่สามารถลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง นอกจากนั้นในลูกพีชยังมีโพแทสเซียม ที่ช่วยควบคุมความดัน และการเต้นของหัวใจ แต่ก็ต้องระวังที่จะไม่เคี้ยว หรือกินเมล็ดลูกพีช เพราะในเมล็ดของลูกพีช มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ได้เช่นเดียวกับเชอรี่

5. ลูกพลัม หรือ ลูกไหน
ลูกพลัม หรือ ลูกไหน เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งจะช่วยการซ่อมแซมและลดการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย นอกจากนั้นยังช่วยควบคุมความดัน ลดความเสี่ยงต่อสโตรก ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดความวิตกกังวล แถมยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายคล้าย ๆ ลูกพรุน สำหรับลูกพลัม เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยต้านความแก่ แต่ในเมล็ดลูกพลัมก็มีไซยาไนด์ เช่นเดียวกับผลไม้ที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นเราจึงต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานเมล็ดนะคะ
สำหรับอาการเป็นพิษจากไซยาไนด์ และวิธีการกินให้ปลอดภัยเราเคยแชร์ไปแล้วในบทความ ”กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ที่มีในพืชผักตามธรรมชาติ” ซึ่งยังมีผักอีกหลายชนิดที่มีไซยาไนด์ จะพยายามเอามาแชร์ให้ท่านผู้อ่านทราบกันค่ะ
ขอขอบคุณ ข้อมูลบางส่วนจากเว็บไซต์กรมควบคุมอาหารประเทศสวีเดน
Livsmedelsverkets rapportserie


ข้อมูลเกี่ยวกับไซยาไนด์

แชร์ให้เพื่อน

ระวังจะแก่ก่อนวัย ภัยร้ายจากแสงแดด

แชร์ให้เพื่อน

ระวังจะแก่ก่อนวัย ภัยร้ายจากแสงแดด

แสงแดดหรือรังสียูวีนั้นมีประโยชน์​ในการช่วยสังเคราะห์​วิตามินดีที่ผิวหนัง แต่ถ้าได้รับแสงแดดที่มากเกินไป​ก็เป็นโทษได้เหมือนกันคะ เพราะว่ารังสี UVA สามารถผ่านลึกถึงผิวหนังชั้นหนังแท้ สามารถทำลายเนื้อเยื่อ คอลลาเจน​ อลาสติน ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวแก่ก่อนวัยและทำลาย DNA ทางอ้อมได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุ​ของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ส่วนรังสี UVB แม้ไม่สามารถผ่านลงลึกถึงชั้นหนังแท้ได้ ซึ่งอยู่แค่หนังกำพร้า​ แต่ก็ทำให้ผิวหนังไหม้แดดและเซลล์​ผิวหนังคล้ำเสียได้ ดังนั้นสาวๆ ที่ชอบออกแดดบ่อยๆ อย่างการท่องเที่ยวทะเลจึงต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ​นะคะ
เรามาดูวิธีการหลีกเลี่ยงและป้องกันปกป้องผิวหนังจากแสงแดดให้สาวๆและหนุ่มๆเจ้าสำอางค์ลองปฏิบัติ​กันดูคะ

1.หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือการออกเผชิญแสงแดดในช่วงเวลาหลังสิบโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงเย็น เพราะว่าแสงแดดช่วงเวลานี้ มีรังสี UVB ที่มีความเข้มข้นมากกว่าปกติ ทำให้เกิดผิวหนังไหม้แดด หากมีความจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดในช่วงเวลาดังกล่าวลองปฏิบัติตามข้อต่อไปคะ


2.เลือกใช้ครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวหนังได้ลึกถึงเซลล์​ผิวหนังและคอลลาเจน​ในชั้นผิวด้วยการทำงานได้สามระดับคือ การสะท้อนระสี UV การดูดซับและกรองรังสี UV และปกป้องลึกถึงระดับเซลล์​ผิวและคอลลาเจน​ในผิวหนังโดยอาศัยกลไกทางชีวภาพ เพื่อลดการเกิดอนุมูล​อิสระ​ซึ่งเป็นตัวการทำให้ผิวหนังแก่ก่อนวัยนั่นเอง


3.การใส่แว่นตาดำ การใส่หมวกเพื่อกันแดด การกางร่มกันแดด หรือการเลือกใช้ฟิล์ม​กรองแสงในรถยนต์​ที่มีความเข้มข้นสูงก็ช่วยกรองรังสีจากแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยนะคะ

หากจำเป็นหรือชื่นชอบในการท่องเที่ยวทะเลเชิงธรรมชาติ​ก็ควรออกแดดหรือเล่นน้ำทะเลหลังจากเลยเวลาบ่ายสามโมงเย็นไปแล้วก็จะช่วยลดการเกิดอันตรายต่อผิวหนังจากแสงแดดได้ระดับหนึ่ง
สำหรับสาวๆท่านใดที่เคยผ่านการทำเลเซอร์​ทรีทเมนท์​กันมาแล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังกันมากเป็นพิเศษ สำหรับครีมกันแดด​ที่แนะนำนั้นควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ปกป้องทั้งUVA /UVB และมีค่าSPF30 หรือมากกว่าและควรรับประทานผักและผลไม้เยอะๆด้วยนะคะ รับรองว่าผิวพรรณ​เนียนใสและดูอ่อนกว่าวัยอย่างแน่นอน​นะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

สวมใส่รองเท้าอย่างไรลดการเกิดโรค

แชร์ให้เพื่อน

สวมใส่รองเท้าอย่างไรลดการเกิดโรค

    รองเท้านั้นเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นช่วยปกคลุมเท้าไม่ให้ได้รับอันตรายจากสภาพแวดล้อม รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีความเสี่ยงเรื่องการเกิดแผลที่เท้าได้ง่าย และผู้ที่มีปัญหากระดูกทับเส้นประสาท วันนี้ผู้เขียนอยากแนะนำรองเท้าที่สวมใส่แล้วทำให้รู้สึกสบายเท้า ไม่ปวดฝ่าเท้า หรือส้นเท้าขณะเดินวิ่งออกกำลังกาย เพราะผู้เขียนเคยทำงานที่ต้องเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรในแต่ละวัน วันนี้เลยอยากแนะนำหากใครที่เริ่มมีปัญหาปวดส้นเท้า ปวดฝ่าเท้า ใส่รองเท้าไม่รองรับกับสรีระ​ของร่างกาย เรามาดูกันเลยนะคะว่ามีรองเท้าแบบใหนกันบ้างคะ

 

1.รองเท้าแตะ  สำหรับรองเท้าแตะนั้นเราจะสวมใส่เดินเหินในระยะทางใกล้ๆ เช่นเดินซื้อของตามตลาดโดยใช้เวลาในการสวมใส่ขณะเดินไม่เกินหนึ่งถึงสองชั่วโมงต่อการเดินหนึ่งรอบ  ผู้เขียนสวมใส่มาประมาณหนึ่งปีแล้วใส่สบายไม่เคยปวดส้นเท้าหรือฝ่าเท้าอีกเลย ช่วยลดปัญหาการปวดข้อสะโพกลงได้อย่างมาก เป็นรองเท้าที่ทำจากวัสดุยางพารา สวมใส่นุ่มสบายเท้านับว่าเป็นรองเท้าที่ช่วยดูแลเท้าได้อย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว ใครที่มีปัญหาสวมใส่รองเท้าแตะแล้วรู้สึกไม่สบายเท้าลองหาซื้อมาใส่ดูนะคะแล้วจะติดใจเลยคะ ดูตามรูปเลยนะคะ



2.รองเท้าใส่ทำงานหุ้มส้น ผู้เขียนเคยทำงานที่ต้องเดินบ่อยๆ การเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับสรีระของเท้าก็ช่วยได้มากเลยทีเดียว รองเท้านี้ผู้เขียนเคยใส่ทำงานมาก่อนแต่หลังออกจากทำงานประจำผู้เขียนก็ไม่ได้ทิ้งนะคะ นำมาสวมใส่เดินทางไปมา ช่วยซับพอร์ต​เท้าได้ดีมาก จากปัญหาที่เคยปวดสะโพกข้างขวาเวลาเดินมากๆ ตอนนี้ปัญหานั้นหมดไปหลังจากที่ได้ตัดสินใจซื้อและสวมใส่ร้องเท้าคู่นี้มาตลอดหากใครมีปัญหาเรื่องใส่รองเท้าแล้วยังมีปัญหาปวดส้นเท้า ฝ่าเท้า ปวดสะโพกขณะลงน้ำหนัก ลองหาซื้อมาสวมใส่ดูนะคะตามรูปด้านล่างนี้เลยคะ


   3.รองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าสวมใส่สำหรับการออกกำลังกาย เดิน หรือวิ่งเป็นระยะทางไกลๆ ใส่สบาย เดินทางไกล หรือวิ่งออกกำลังกายไม่ปวดฝ่าเท้า หรือส้นเท้า ช่วยรักษาสุขภาพ​เท้าได้จริงๆ แถมยังช่วยกระตุ้นให้เราอยากออกกำลังกายบ่อยๆอีกด้วยได้ประโยชน์​หลายต่อเลยทีเดียวคะ ลดน้ำหนัก หุ่นดี ปราศจาก​โรคภัยไข้เจ็บอีกด้วยค่ะเรามาดูรองเท้าตัวอย่างได้เลยคะ

แชร์ให้เพื่อน

หลงเสน่ห์​ภูเก็ต​ที่แหลมพรหม​เทพ

แชร์ให้เพื่อน

หลงเสน่ห์​ภูเก็ต​ที่แหลมพรหม​เทพ

      สำหรับการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว​นอกจากเป็นการช่วยในผ่อนคลายและพักผ่อน​หย่อนใจ คลายเครียด​จากการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังเป็นการเพิ่มประสบการณ์​ให้กับชีวิตอีกด้วย
       เวลาพูดถึงภูเก็ต​ แหลมพรหม​เทพก็เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่หากไปภูเก็ต​แล้วไม่ได้ไปสัมผัส​บรรยากาศ​พระอาทิตย์​ตกดินที่แหลม​พรหมเทพ อาจทำให้มีความรู้สึกว่าไม่ได้ไปถึงทะเลภูเก็ตนะคะ

       การเดินทางไปท่องเที่ยวภูเก็ต สามารถเดินทางโดยรถ​ยนต์ส่วนตัว​ เครื่องบิน​ หลังจากก้าวแรกที่ได้มาสัมผัสแหลมพรหมเทพแล้ว เราก็รู้ได้ทันทีว่า ความสุขทางใจและทางกายกำลังจะเริ่มขึ้น

แหลมพรหมเทพ เป็นความสวยงามทางธรรมชาติ​ของภูเขาและท้องทะเลมีต้นตาลเรียงรายสวยงามมองดูแล้วสบายตา อากาศ​เย็นสบายสดชื่นยามเย็น ดื่มด่ำกับบรรยากาศ​ตะวันตกดินที่สวยงาม บอกได้เลยว่าคุณจะหลงรักความงามและความเงียบสงบของท้องทะเลของที่นี่เข้าอย่างจังเลยทีเดียวคะ

นอกจากวิวทะเลและภูเขาที่สวยระดับชวนให้หัวใจเต้นแรงแล้ว แหลมพรหม​เทพเป็นที่ตั้งของการพยากรณ์อากาศ​และพยากรณ์​พระอาทิตย์​ขึ้นและตกดินของประเทศไทย​อีกด้วย

การเดินทางท่องเที่ยวทะเลและภูเขาเป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ​ช่วยให้ผู้ท่องเที่ยวเกิดอารมณ์​ผ่อนคลาย​ สดชื่น สัมผัสสิ่งแวดล้อม​ที่เป็นธรรมชาติ​การมองต้นตาลเรียงรายอย่างเป็นระเบียบช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวนะคะ

ช่วงทำงานหยุดยาวหรือลูกๆ ปิดเทอม​ช่วงหน้าร้อนลองหาโอกาสไปสัมผัส​ท้องทะเลและภูเขาที่ภูเก็ตกันนะคะโดยเฉพาะ​บรรยากาศ​ของแหลมพรหมเทพคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

10 อาหารว่างยามบ่ายอะไรเวิร์คที่สุด

แชร์ให้เพื่อน

10 อาหารว่างยามบ่ายอะไรเวิร์คที่สุด

อาหารว่างยามบ่ายประมาณบ่ายสามแบบใหนช่วยให้เราชนะความหิวและทำงานต่อไปได้อย่างกระปรี่กระเปร่า เราลองมาดูกันเลยคะ

1.ช็อกโกแลต​ซักชิ้นสองชิ้น การกินช็อกโกแลต​ในยามบ่ายนอกจากจะให้พลังงานแล้วยังช่วยให้มีความสุข กระปรี่กระเปร่า มีพลังงานเพียงพอจนถึงเวลาเลิกงานเลยทีเดียวคะ


2.ผลไม้ซักลูกอย่างเช่นมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นผลไม้เขตร้อนนอกจากจะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อมแล้วยังให้พลังงานและอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ แถมมีราคาถูกหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดอีกด้วยคะ


3.สับปะรด​ซักชิ้น สับปะรดเป็นผลไม้ที่รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานนอกจากจะช่วยย่อยสารอาหารโปรตีนแล้ว ยังมีเส้นใยเป็นจำนวนมากช่วยระบายลดอาการท้องผูกสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบการขับถ่าย ใครที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ ลองเลือกรับประทานสับปะรด​เป็นอาหารว่างยามบ่ายดูนะคะ


4.มะละกอสุก มะละกอสุกเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ มีเส้นใยอาหารสูง เป็นยาระบายเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกบ่อย ลองเลือกรับประทานมะละกอสุกซักครึ่งลูกเล็กเป็นอาหารมื้อว่างยามบ่ายดูนะคะ จะเห็นผลที่น่าพอใจเลยทีเดียวคะ


5.โยเกิร์ต​ไขมันต่ำ สำหรับคนที่ชอบกินนมแปรรูปอย่าง โยเกิร์ต​ไขมันต่ำก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะหยิบมากินเป็นอาหารว่างยามบ่ายนอกจากจะมีรสชาติ​อร่อยแล้วยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุเช่น แคลเซียม​ช่วยให้ผิวพรรณ​กระจ่างใส แถมยังให้พลังงานอีกด้วยคะ


7.มันฝรั่งทอด อย่างโปเตโต้คอนเนอร์​ นอกจากมันฝรั่งทอดจะให้สารอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต​สูงแลัวยังแบ่งกันกินในที่ทำงานอย่างเอร็ดอร่อย​อีกด้วยคะ


8.มะม่วงน้ำปลาหวาน เมืองไทยนั้นอุดมไปด้วยผลไม้หลากหลายชนิดอย่างเช่นมะม่วงนอกจากจะกินแบบสุกแล้วยังดัดแปลงกินกับน้ำปลาหวานซึ่งช่วยให้ตื่นตัวหายง่วงกันเลยทีเดียวคะ แถมหาซื้อรับประทานได้ง่ายราคาไม่แพงคะ

9.ขนมปังลูกเกต ขนมปังลูกเกตสองแผ่นรับประทานยามบ่ายกับกาแฟร้อน​ซักถ้วยนอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องแล้วยังทำให้มีความกระปรี่กระเปร่าจากกาแฟอีกด้วยคะ

10.สมูธตี้ส์​ไขมันต่ำกับกล้วยหอม การรับประทานกล้วยหอมนอกจากจะให้พลังงานแล้วยังช่วยให้อิ่มท้อง รู้สึกกระปรี่กระเปร่า​จนถึงเย็นก่อนเลิกงานอีกด้วยคะ สมูธตี้ส์​ไขมันต่ำช่วยดับกระหายเย็นชื่นใจเหมาะสำหรับอากาศ​ร้อนช่วงเดือนเมษายนพฤษภาคม​อีกด้วยคะ

ใครที่กำลังมองหาอาหารว่างยามบ่ายก่อนเลิกงานลองเลือกรายการอาหารว่างทั้ง10 อย่างนี้รับประทานกันดูนะคะ แล้วจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าได้จริงๆคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ที่มีในพืชผักตามธรรมชาติ

แชร์ให้เพื่อน

กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ที่มีในพืชผักตามธรรมชาติ

ในช่วงที่ผ่านมาข่าวเรื่องไซยาไนด์ทำให้หลาย ๆ คนถึงกับหวาดระแวงเพื่อน และคนใกล้ตัว แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาหารบางชนิดที่เรากินในทุกวัน หลายอย่างก็อุดมไปด้วยสารบางชนิดที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ จนอาจจะทำให้เราเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ วันนี้เราจึงอยากมาแชร์ กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ตามธรรมชาติ เรามาดูกันเลยค่ะ

1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากพืช ผัก ผลไม้ที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์
พืชที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์ตามธรรมชาติ มีมากกว่า 2500 ชนิดทั่วโลก ที่เรารู้จักกันดี เช่น มันสำปะหลัง มีไซยาไนด์ทั้งในหัว และใบ โดยมันสำปะหลังมีสารบางชนิด ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนเรา โดยปริมาณสารไซยาไนด์ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของมันสำปะหลัง หากเป็นมันสำปะหลังชนิดขมจะมีปริมาณไซยาไนด์มากกว่ามันสำปะหลังชนิดหวาน ดังนั้นหากเราไม่รู้ว่าจะกินมันสำปะหลังอย่างไรให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ เราก็ควรเลี่ยงไปเลยดีกว่าค่ะ สำหรับแป้งมันสำปะหลังเอง ถ้ามีการผลิตที่ได้มาตรฐาน ก็ยังมีสารไซยาไนด์อยู่บ้าง แต่ถือว่าปลอดภัยค่อนข้างสูง

2. ต้องปรุงอาหารให้ถูกวิธี เพื่อลดอันตรายจากไซยาไนด์
หน่อไม้ โดยเฉพาะหน่อไม้สด อันตรายจากไซยาไนด์ถ้าปรุงไม่ถูกวิธี หน่อไม้ ก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่คนนิยมรับประทาน ไม่ว่าจะเมนูผัด แกง หรือ แม้แต่ซุปหน่อไม้ที่เป็นเมนูสุดฮิตของชาวอิสาน หน่อไม้สดนับว่าเป็นพืชที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์สูงเช่นเดียวกับมันสำปะหลัง ซึ่งหากปรุงไม่ถูกวิธีก็เสี่ยงที่ร่างกายจะได้รับสารไซยาไนด์จนทำให้เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ สำหรับเราจะทำการต้มน้ำทิ้งหน่อไม้สดอย่างน้อย 2 ครั้ง และหน่อไม้ที่ซื้อจากตลาดไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้กระป๋อง หรือ หน่อไม้บรรจุถุง ก็ควรนำมาต้มน้ำทิ้งก่อนรับประทานเช่นกัน เพราะเราไม่อาจจะทราบได้ว่า หน่อไม้ที่เราซื้อมาปลอดภัยจากสารไซยาไนด์แค่ไหน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราจึงต้องต้มน้ำทิ้ง เพื่อจำกัดสารไซยาไนด์ในอาหารให้เหลือน้อยที่สุด

3. หลีกเลี่ยงการกัด หรือเคี้ยวเมล็ดของผลไม้บางชนิด เพราะในเมล็ดอุดมด้วยไซยาไนด์!!
เมล็ดผลไม้มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ จะเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดแข็ง ที่เรียกว่า ”Stone Fruit” เช่น แอปเปิ้ล แอปริคอต เชอรี่ พลัม ลูกแพร์ โดยหากเรารับประทานผลไม้เหล่านี้ ต้องระวังการกัด หรือเคี้ยวโดนเมล็ด แต่หากเราเผลอกลืนเข้าไปแค่หนึ่งเม็ด ก็อาจจะไม่เป็นอันตราย แต่หากในเด็กเล็ก อาจจะทำให้ร่างกายได้รับสารไซยาไนด์เกินขนาดได้ง่าย เนื่องจากความเป็นพิษของไซยาไนด์ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวเป็นหลัก
ตัวอย่างที่เราอาจจะไม่ได้ระวัง เช่นการทำน้ำเชอรี่ดื่มเองที่บ้าน โดยอาจจะทำการบดคั้นเชอรี่โดยไม่ได้เอาเมล็ดออก ก็เสี่ยงที่สารไซยาไนด์จากเมล็ดจะออกมาเจือปนกับน้ำเชอรี่ กรณีนี้เคยมีคนที่ช็อกหมดสติจากการดื่มน้ำเชอรี่ทำเองแบบไม่ระวังมาแล้ว หากเราทำน้ำเชอรี่ดื่มกันในครอบครัว และทุกคนดื่มน้ำเชอรี่คนละหนึ่งแก้วเท่า ๆ กัน เด็กที่ตัวเล็กกว่าจะมีอาการมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นหากต้องการรับประทานผลไม้เหล่านี้ ต้องระวังการกัด เคี้ยว และกลืนเมล็ดให้ดี โดยเฉพาะเด็กตัวเล็ก ๆ

4. ถั่วบางชนิด ต้องรับประทานให้ถูกวิธี ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ไซยาไนด์ไปเต็ม ๆ
ถั่วที่มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ที่ถูกพูดถึงบ่อย ๆ คือ ถั่วลิมา ซึ่งมีในแถบอเมริกาใต้ ถั่วลิมาจัดว่าเป็นถั่วที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีน และเส้นใย หากจะรับประทานถั่วลิมาต้องทำการต้มน้ำทิ้ง ก่อนนำมารับประทาน ถั่วอีกชนิดที่ต้องระวัง คือ อัลมอลด์ ซึ่งจะมีทั้งอัลมอลด์หวาน และอัลมอลด์ขม จากข้อมูลพบว่า อัลมอลด์หวานพบปริมาณของไซยาไนด์น้อยกว่าอัลมอลด์ขม ซึ่งเคยมีคนที่เผลอกินอัลมอลด์ขมไปจำนวน 7-8 เม็ด และมีอาการช็อก หมดสติ จากการตรวจเลือด พบสารไซยาไนด์ในเลือดจำนวนมาก ดังนั้นหากเราไม่แน่ใจ ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน จะได้ไม่ต้องเสี่ยงที่จะได้รับสารไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกาย

5. หลีกเลี่ยงการผายปอดคนที่เป็นพิษจากไซยาไนด์
ไซยาไนด์เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปขัดขวางการใช้ออกซิเจนในร่างกาย จึงทำให้คนที่ได้รับไซยาไนด์มีอาการอย่างรวดเร็ว โดยพิษของไซยาไนด์มีตั้งแต่มีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หรือ มีอาการมาก ตั้งแต่ความดันตก หายใจเร็ว ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณไซยาไนด์ที่ร่างกายได้รับ และน้ำหนักตัวของเป็นหลัก หากเราพบว่า บุคคลใกล้ตัวอาจจะหมดสติจากการได้รับไซยาไนด์ เช่นอาจจะหมดสติหลังจากรับประทานอาหารที่กล่าวมาข้างต้น ห้ามทำการผายปอดเด็ดขาด เพราะไซยาไนด์สามารถซึมผ่านน้ำลายมาสู่ผู้ช่วยเหลือได้

อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ว่ามีพืชมากกว่า 2500 ชนิดบนโลกที่มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ได้ และไซยาไนด์ก็ทำให้เกิดพิษต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากเราไม่ทราบ หรือ ไม่แน่ใจว่าพืชชนิดไหนมีไซยาไนด์หรือไม่ ก็ควรจะเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เราได้รับไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง วันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน แล้ววันหลังจะเอาข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพมาฝากใหม่นะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน ไถงส่องฟ้า ณ.กรุงมะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน ไถงส่องฟ้า ณ.กรุงมะนิลา

         (ไถงเป็นคำภาษาเขมรแปลว่าดวงอาทิตย์) กรุงมะนิลาเป็นเมืองหลวง ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ใน มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยหมู่เกาะมากมาย 7,000 กว่าเกาะ และเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์มีชื่อว่า “กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนแห่งไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น และมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากเตรียมข้าวของเพื่อเดินเข้าสู่กรุงมะนิลา ทั้งสามคนแม่ลูกมาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย

        เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กๆ นอนตื่นสายมากกว่าปกติเนื่องจากเหนื่อยจากการเดินทางและวันเวลาของกรุงมะนิลานั้นเร็วกว่าเมืองไทยหนึ่งชั่วโมง  “พี่ๆตื่นได้แล้ว มาดูบรรยากาศหลังห้องกัน” เด็กหญิงวัยเรียนประถมผู้ที่เป็นน้องวิ่งมายืนที่ระเบียงหลังห้อง มองออกไปนอกระเบียงบ้านพัก เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะมองดูร่มรื่นสบายตา มีผู้คนวิ่งออกกำลังกาย พร้อมกับถามขึ้นว่า “ตอนนี้เราอยู่ที่ใหนกันคะแม่” แม่ได้ยินดังนั้น จึงรีบให้ข้อมูลทันที “ตอนนี้เราอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นประเทศหมู่เกาะ มีเมืองหลวงชื่อว่า “กรุงมะนิลา” ที่เราพักอาศัยอยู่ในขณะนี้ เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วัฒนธรรม การศึกษา และการท่องเที่ยวของประเทศ ถือเป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญที่สุดของฟิลิปปินส์ มีประชากรมากกว่า 13 ล้านคน รวมกันอยู่หลากหลายเชื้อชาติ และด้วยความที่ฟิลิปปินส์เคยถูกปกครองโดยสเปนและสหรัฐอเมริกายาวนานกว่า 400 ปี ทำให้สถาปัตยกรรม อาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ยังคงมีกลิ่นอายของColonialอันเก่าแก่ราวกับอยู่ในยุโรป แต่ก็เต็มไปด้วยความทันสมัยของตึกสูงระฟ้าและความมีชีวิตชีวาของผู้คน ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับเมืองมะนิลาได้อย่างดี และยังเป็นสวรรค์ของคนที่รักการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีร้านอาหารหลากหลายชาติ และมีความบันเทิงมากมาย มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า และมีของที่ระลึกมากมาย” และยังมีอาหารและขนมรสชาติแปลกๆอีกด้วย” แม่เล่ายาวเหยียด พร้อมกับยืนมองถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ และจอดอยู่เรียงรายริมถนนที่ติดอยู่กับสวนสาธารณะเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีตลาดขายอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปมากมายให้เลือกซื้อ

          “วันนี้เราจะไปเดิน Sunday Market กันนะคะ” แม่พูดขึ้นพร้อมกับบอกเด็กๆให้ไปอาบน้ำแต่งตัว พร้อมทั้งแนะนำการเปิดปิดไฟและอุปกรณ์ของใช้ในห้องนอนและในบ้านเช่น การเปิดปิดทีวี การเปิดปิดแอร์ การกดลิฟท์ขึ้นลง การเปิดประตูทางออกนอกตึก “Good morning” เสียงยามรักษาความปลอดภัยของตึกกล่าวทักทาย แต่เด็กวัยประถมสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรแค่หันมามองหน้าแม่แล้วยิ้มให้(เนื่องจากยังพูดภาษอังกฤษไม่ได้นั่นเอง) เมื่อเดินออกไปที่ถนนใหญ่ทางแยกหรือทางข้ามถนนจะมีทางม้าลายและมีปุ่มกด รอสัญญาณให้ข้ามถนนก่อนแล้วค่อยข้ามโดยสัญญาณรูปมือสีแดงคือห้ามเดินข้ามหากเป็นรูปคนเดินสีขาวและสีเขียวสามารถเดินข้ามถนนได้ เดินต่อมาซักพักถึงสวนสาธารณะที่หนึ่ง พี่สาวถามแม่ขึ้น “แม่คะนี่คือสวนอะไรคะ” แม่รีบอธิบาย “นี่คือ Washington Sycip Park และนั่นคือ Legaspi Park” พร้อมกับชี้ไปที่สวนสาธารณะ “แล้วสวนสาธารณะ เค้ามาทำอะไรกันบ้างคะแม่” น้องสาวเอ่ยถามบ้าง ด้วยความอยากรู้ “งั้นเราเข้าไปดูกันคะว่าเค้ามาทำอะไรกันบ้าง” สามคนแม่ลูกพากันเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ มีคนมาออกกำลังกาย บางคนก็เดิน บางคนก็วิ่ง บางคนก็เต้นแอโรบิค บางคนก็เล่นโยคะ บางคนก็พาสุนัขมาเดินเล่น บางคนก็มานั่งคุยกัน บางกลุ่มก็มานั่งเป็นกลุ่มนั่งกินอาหารร่วมกัน บางคนก็เข็นลูกหลานมาเดินเล่นเพื่อออกกำลังกาย “แม่คะเราไปตรงโน้นดีกว่าคะ” น้องสาวเหลือบตามองเห็นสนามเด็กเล่นแต่ไกล พร้อมกับรีบวิ่งจะข้ามถนนไปอีกสวนสาธารณะอีกที่หนึ่ง เสียงรถยนต์เบรกดัง เอี๊ยด พร้อมกับแม่รีบตะโกนบอกอย่าเพิ่งข้ามถนน รอสัญญาณไฟก่อน ดีที่สัญญาณไฟข้ามถนนปรากฏขึ้นเป็นรูปคนเดินสีขาวแสดงว่าข้ามถนนได้พอดี แม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกในใจได้เวลาต้องสอนการใช้ชีวิตในเมืองอย่างจริงจังเสียที

      ณ สนามเด็กเล่นจะมีเด็กๆออกมาเล่นปีนป่าย วิ่งเล่น มีสไลเดอร์เล่นอย่างสนุกสนาน ขณะที่สองพี่น้องยังสื่อสารกับคนอื่นยังไม่รู้เรื่องเพราะพูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้ ขณะที่น้องสาวก็พยายามใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารนั่นเองเพราะตามพัฒนาการของเด็กแล้วการเล่นด้วยกันแม้ว่าจะใช้ภาษาพูดยังไม่ได้แต่เด็กจะมีทักษะในการสังเกตุและเข้าใจภาษากายโดยใช้สัญชาตญาณในวัยเด็กนั่นเอง “แม่คะ หนูอยากเล่นสไลเดอร์ตรงนั้น” น้องสาวพูดเสร็จพร้อมกับรีบวิ่งไปเล่นโดยไม่รอคำตอบว่าแม่อนุญาตหรือไม่ ในสวนสาธารณะจะมีเจ้าของจูงสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเย็น การเลี้ยงสัตว์และเจ้าของพาสัตว์ไปเดินเล่นทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง “ทรามวัยกับไอ้ด่าง (One Hundred and One Dalmatians)” เริ่มเรื่องโดยเจ้าของพาสุนัขไปเดินเล่นและสุนัขมีความชอบพอกันต่อมาเจ้าของสุนัขได้มาใช้ชีวิตด้วยกัน แต่เนื้อเรื่องของหนังเน้นที่สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวและลูกๆทั้งสิบห้าตัวที่โดนเศรษฐินีใจโหดลักพาต้วลูกหมาไปขังไว้ หลังจากนั้นเป็นการทำภารกิจระทึกใจของสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆในการช่วยชีวิตลูกสุนัขผู้กล้าหาญให้รอดพ้นจากนางมารร้ายใจโหดนั่นเอง นับเป็นหนังที่น้องสาวชื่นชอบเป็นพิเศษโดยดูเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

      หลังจากเล่นที่สนามเด็กเล่นได้พักใหญ่ๆ “เด็กๆ เราไปเดินซื้ออาหารกินที่ Sunday Market คะ” เสียงแม่เรียกเด็กวัยประถมทั้งสองคนเพื่อไปหาซื้ออาหารการกิน ที่ตลาด Sunday Market ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั่นเอง ในตลาด Suday Market นั้นมีอาหารขายหลากหลายชนิด ทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ เสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ อาหารสำเร็จรูปมีทั้งอาหารไทย (ผัดไทยกุ้งเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ ราคาก็ค่อนข้างแพงเหมือนกัน) อาหารอินเดีย (ปานีปุรีเป็นของว่างทานเล่นจากอินเดีย ซึ่งชื่อ ” Pani Puri ” จะเป็นชื่อเรียกของทางใต้ของอินเดีย แต่ถ้าทางเหนือจะเรียกว่า “Golgappe” และความหมายของชื่อจะแยกออกเป็น 2 อย่างคือ ปูรี หมายถึง แป้งสาลีทอดกรอบ ที่เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งมีลักษณะกลมพองและข้างในกลวง มักทานคู่กับเครื่องเคียงคือ มันฝรั่งต้ม หัวหอม ถั่วลูกไก่ และ ปานี หมายถึง น้ำ ที่นำไว้ตักใส่ในตัวแป้งทอดกรอบที่พองกลวง ซึ่งจะมีรสเปรี้ยว เผ็ดนิดหน่อย เค็ม และมัน ในตอนท้ายจะมีกลิ่นหอมใบยี่หร่า รับรองว่าอร่อยถูกใจแน่นอน ) อาหารตุรกี (เมนูแป้งห่อเนื้อสัตว์ต่างๆ มีให้เลือกทั้ง ไก่  แกะ หรือเนื้อวัว พร้อมผักสลัด จะทานกับมันบด เฟรนช์ฟรายส์ หรือทานเดี่ยวๆ ก็ได้ค่ะ เป็นอาหารที่อร่อยได้ง่ายๆ ออกแนวเป็นฟาสฟู้ดของเค้าเลย)  อาหารมื้อเช้าของชาวฟิลิปปินส์(อาหารเช้าแบบพื้นเมืองในฟิลิปปินส์ได้แก่ ปันเดซิล (ขนมปังม้วนขนาดเล็ก) เกซอง ปูตี (ชีสขาว) ชัมโปราโด (โจ๊กข้าว) ซีนางัก (ข้าวผัดกระเทียม) และเนื้อสัตว์ ปลา และไข่เค็ม กาแฟ เป็นที่นิยมดื่มเช่นกัน รูปแบบการกินอาหารเป็นสำรับทำให้กลายเป็นชื่อเรียกอาหารเช้าในฟิลิปปินส์นั่นเอง) หลังจากเลือกซื้ออาหารและน้ำได้เรียบร้อยแล้ว “แม่คะเราไปนั่งกินอาหารในสวนสาธารณะกันคะ” น้องสาวเอ่ยขึ้น เนื่องจากสังเกตเห็นคนอื่นๆ นั่งกินอาหารในสวนสาธารณะกัน วันนั้นกินอาหารต่างชาติด้วยความผะอืดผอมสุดขีด สุดท้ายพี่สาวรีบเอ่ยขึ้น “แม่คะหนูว่าเรากลับบ้านไปตำส้มตำกินกันดีกว่า กินอาหารนี่แล้วมันเวียนหัว” ในวันนั้นจบลงด้วยส้มตำรสจัดจ้านกินกับเส้นขนมจีนนั่นเอง เรารอติดตามกันตอนต่อไปว่า อาการเวียนหัวนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากอาหารการกินหรือเป็นจากสาเหตุอื่นหรือไม่เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์นั้นมีแผ่นดินไหวอยู่บ่อยๆ นั่นเอง

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน บินลัดฟ้าสู่มะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน บินลัดฟ้าสู่มะนิลา

        การเดินทางต่างประเทศ (ประเทศฟิลิปปินส์) ในยุคสมัยปัจจุบันนี้หลังจากการระบาดโรคโควิด 19 ต้องแสดงการฉีดวัคซีนอย่างน้อยสองเข็มก่อนเข้าประเทศฟิลิปปินส์ โดยต้องกรอกข้อมูลผ่านระบบก่อนการบินประมาณหนึ่งวัน ถึงแม้ว่าประชากรของฟิลิปปินส์นั้นได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับคนไทย

        เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากที่ทั้งสามคนแม่ลูกเดินทางด้วยรถยนต์วีออส รุ่นเก่าเข้าสู่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ วันรุ่งขึ้นทุกคนตื่นแต่เช้าเช่นเดิมเนื่องจากเป็นการใช้ชีวิตของคนเซราะกราว เพื่อออกไปซื้อข้าวของต่างๆในการเตรียมเดินทางในช่วงเวลาพลบค่ำของวันนี้นั่นเอง

        “แม่คะ หนูเอามาม่าเกาหลีไปด้วยนะคะ” พี่สาวถามผู้เป็นแม่พร้อมกับหยิบมาม่าเกาหลีรสเผ็ดจัดใส่รถเข็นสี่ห้าซองเพื่อจะนำไปด้วย “ไม่ต้องหรอกลูกที่ฟิลิปปินส์เค้าก็มีขาย” แม่บอกพร้อมกับหยิบมาม่าเกาหลีรสเผ็ดออกมาและให้ลูกสาวนำไปเก็บที่เดิมเนื่องจากความเผ็ดมากของมาม่าเกาหลีทำให้น้องสาวที่ตัวเล็กกว่าปากพองและมีปัญหากรดไหลย้อนบ่นปวดท้องอยู่บ่อยๆ แม่สาละวนกับการเลือกเครื่องปรุงเพื่อนำไปปรุงอาหารเพราะเครื่องปรุงที่ฟิลิปปินส์มีราคาแพงกว่าที่เมืองไทยมาก เช่น รสดี น้ำมะขามเปียก เส้นหมี่แห้ง เส้นเล็กสด (ปรุงหมี่ยำเป็นอาหารท้องถิ่นดินแดนคนกระสัง) ผงมะนาว น้ำปลาร้า เส้นขนมจีนแห้ง  ใบโหระพา ใบกระเพรา ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปลา ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ เป็นต้น รวมกันทั้งสามคนสามารถขนสัมภาระมาได้ทั้งหมดเก้าสิบกิโลกรัม หลังจากได้ของเรียบร้อยจึงรีบกลับบ้านเพื่อแพคของเตรียมตัวเดินทางไกลต่อไป

        “เด็กๆ มาแพคกระเป๋าเดินของตัวเองนะคะ” เสียงป้าผู้ที่เดินทางบ่อยๆโดยเครื่องบินบอกหลานๆให้แพคกระเป๋าเดินทางของตนเองพร้อมกับแจ้งว่า ห้ามใส่สิ่งของประเภทน้ำ ครีม และของมีคมในกระเป๋าที่จะนำติดตัวขึ้นบนเครื่องบินเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงในการเตรียมของเพื่อเดินทาง “แม่คะ หนูขอไปว่ายน้ำก่อนได้ไหมคะ” น้องสาวคนเล็กเอ่ยขึ้น เนื่องจากช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนจัด เป็นเดือนแห่งเทศกาลสงกรานต์ และเป็นปีใหม่ของไทยเช่นกัน เด็กๆเซราะกราวมักจะชอบเล่นน้ำคลอง น้ำสระนั่นเอง พอเข้าสู่เมืองหลวงจึงชอบว่ายน้ำในสระว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ว่ายน้ำหรอก เรียกว่าเล่นน้ำดีกว่าเพราะชอบดำผุด ดำว่าย กระโดด ดึงกันในน้ำมากกว่า ถึงแม้จะมีหมวกว่ายน้ำและแว่นตาแต่ก็ไม่ได้ใส่เช่นกัน “เล่นน้ำแค่สองชั่วโมงแล้วรีบกลับมานะคะ” แม่พูดขึ้น พร้อมกับสาละวันกับการแพคของกินใส่กระเป๋า “ทำไมมีรสดีเยอะแยะขนาดดีละ มิน่าละ ผมร่วงหมดหัว” ผู้เป็นป้าเปรยขึ้นหลังจากสังเกตข้าวของที่เตรียมเดินทาง “ที่โน่นราคาแพง เลยต้องเตรียมไปเยอะหน่อย” แม่ของเด็กทั้งสองเอ่ยขึ้น

      เด็กๆ เล่นน้ำอย่างมีความสุข อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “กลับกันได้แล้วเด็กๆ เราต้องรีบไปกินข้าวเย็นก่อนเดินทางไปสนามบินนะ” พี่สาวลูกของป้าเอ่ยขึ้น” น้องสาวรีบขึ้นจากสระว่ายน้ำไปอาบน้ำล้างตัวตามคำบอกของพี่สาว และไปยื่นด้อมๆ มองๆ จุดตำแหน่งกดสัญญาณเตือนไฟไหม้ของตึกด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาของเด็กวัยประถมศึกษาและเป็นเด็กบ้านนอกเข้าเมืองกรุงครั้งแรกและที่บ้านไม่เคยเห็นมาก่อน “มายืนทำอะไร” พี่สาวเอ่ยถาม พร้อมกับพูดขึ้นว่า ห้ามไปกดเล่นเด็ดขาดนะ แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลอะไร

     “เราไปกินไอศรีมกันไหม” ป้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากจัดเตรียมของเพื่อเดินทางเรียบร้อยแล้ว “ดีคะ หนูขอบกินไอศรีม” พี่สาวเอ่ยขึ้น ไอศรีมกับเด็กมักจะเป็นของคู่กันเสมอ สมัยก่อนรุ่นที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กจะมีไอศรีมแบบแท่งที่ขายแท่งละ1 บาท หากใครกินไอศรีมหมดแล้วสังเกตที่ปลายของแท่งไอศรีมมีสีแดงก็จะสามารถแลกกินได้อีกหนึ่งแท่งฟรีนั่นเอง ซึ่งเป็นแนวทางการตลาดในสมัยก่อน หากสมัยปัจจุบันก็จะมีการจัดทำบัตรสมาชิกโดยการลดราคาให้หากใช้บัตรสมาชิก หรือ

จ่ายด้วยบัตรเครดิตต่างๆที่เข้าร่วมบริการ หลังจากกินไอศรีมเรียบร้อยถึงเวลาต้องรีบเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปสนามบินเพราะกลัวรถติดเดี่ยวไม่ทันเชคอิน ซึ่งเคยมีประวัติการตกเครื่องบินเนื่องจากเชคอินไม่ทันทำให้เสียเงินค่าเครื่องบินนั่นเอง

       เมื่อไปถึงสนามบินเด็กๆก็ตื่นตาตื่นใจกับความกว้างใหญ่ของสนามบินสุวรรณภูมิ ถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้โดยเฉพาะน้องสาวมักจะชอบแอคชั่นถ่ายรูปเป็นพิเศษ ขั้นตอนการโหลดกระเป๋าผ่านไปด้วยดี ต่อมาเป็นขั้นตอนการตรวจสอบสัมภาระที่จะนำขึ้นไปบนเครื่อง “ในกระเป๋าเดินทางของลูกสาวคุณเราพบกรรไกรนะคะ” เจ้าหน้าที่สนามบินแจ้งให้แม่ทราบหลังจากแสกนและพบกรรไกรขนาดเล็ก แม่แสดงสีหน้าตกใจ “แอบนำกรรไกรใส่กระเป๋าตั้งแต่เมื่อไหร่ละนี่” แม่รำพึงรำพันในลำคอ แต่ดีที่เป็นเด็กเลยไม่ได้มีปัญหาอะไรมากและขนาดของกรรไกรมีขนาดเล็กเค้าเลยคืนกลับมาให้นำขึ้นบนเครื่องบินมาได้ ขั้นตอนต่อมาเป็นการตรวจพาสพอร์ตก็ผ่านมาได้ด้วยดีเช่นกัน

     เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบินหาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินประกาศให้ใส่เข็มขัดนิรภัย “แม่คะ หนูไม่ใส่ได้ไหมคะ” น้องคนเล็กถามอีก แม่ต้องอธิบายยาวอีก ถ้าเราไม่ใส่เวลาเกิดปัญหาเช่นเครื่องบินตกหลุมอากาศ เข็มขัดนิรภัยจะช่วยยึดเราไม่ให้กระเด็นกระดอนออกจากที่นั่งได้ “แม่คะเครื่องบินมันจะตกไหมคะ” พี่สาวถามบ้าง แม่เริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับสอนลูกว่า เวลาเราเดินทางไปใหนอย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่ดี เช่น เวลาเราเดินทางเข้าป่าก็อย่าถามถึงเสือ หรือเดินทางกลางคืนอย่าทักถึงเรื่องผี ประเด็นนี้สมัยผู้เขียนเป็นนักศึกษาพยาบาลฝึกงาน หลังจากลงเวรบ่ายซึ่งเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน ผู้เขียนและเพื่อนๆ เดินทางกลับที่พักซึ่งในระหว่างทางนั้นจะผ่านโรงเก็บศพของโรงพยาบาล ณ เวลาเที่ยงคืนโรงพยาบาลประจำอำเภอบรรยากาศจะเงียบสงบ เพราะต่างจังหวัดมักจะเข้านอนกันหัวค่ำ ขณะเดินผ่านโรงเก็บศพ “หวี๊ด หวี๊ด หวี๊ด” เสียงลมพัดในหน้าหนาว ท่ามกลางความเงียบ “เสียงอะไรนะ” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น ทันใดนั้นเอง “ตุ๊กแก ตุ๊กแก ตุ๊กแก” ทุกคนวิ่งกันอย่างสุดชีวิตมุ่งตรงไปที่บ้านพัก ขณะที่ผู้เขียนสตาร์ทช้ากว่าเพื่อน “รอด้วย พร้อมกับสะดุดขาตัวเองล้มลง” ขณะที่เพื่อนๆ วิ่งไปถึงหน้าบ้านพักเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนรีบลุกขึ้นยืนขึ้น หันซ้ายแลขวาพร้อมกับตั้งสติและท่องบทสวด “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” และก้าวขาวิ่งอย่างรวดเร็วในใจนึกขึ้นมาได้ว่า แล้วทำไมเราต้องตกใจเสียงตุ๊กแกมากมายขนาดนี้ คืนนั้นกว่าจะนอนหลับได้ก็กลัวจนเจ็บไข้หัวโกรนไปตามๆกัน

      การเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์นั้นใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินแล้ว สนามบินในกรุงมะนิลานั้นค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับสนามบินสุวรรณภูมิ กลับถึงที่พักเกือบสามทุ่มอย่างปลอดภัยเด็กเซราะกราวสองคนที่เพิ่งเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งแรกอ่อนเพลียไปตามๆกัน คืนนั้นเด็กๆนอนหลับสนิททั้งคืน ติดตามตอนต่อไปว่าเด็กเซราะกราวสองคนจะใช้ชีวิตในเมืองอย่างไร และมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องสอนการใช้ชีวิตซึ่งเด็กเดินทางมาจากเซราะกราว ไม่เข้าใจหรือใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาก่อน

       หากชื่นชอบเรื่องสั้นแนวการใช้ชีวิตของเด็กเซราะกราวในเมืองหลวงกรุงมะนิลา รบกวนกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเพื่อให้ผู้เขียนมีกำลังใจในการเขียนเรื่องสั้นต่อไป ภายใต้นามปากกาของ Rommyrom. ขอบคุณคะ

แชร์ให้เพื่อน
แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว

ตอน ทางสามแพร่ง

        “ทางสามแพร่ง” เป็นความเชื่อของคนเซราะกราวที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยของที่พักอาศัย จัดเป็นสิ่งที่อัปมงคลและ เป็นที่ชุมนุมของดวงวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือสัมภเวสีต่างๆ ที่ให้โทษแก่คนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากคนซราะกราวนั้นเมื่อมีคนตายในหมู่บ้านเกิดขึ้น ณ วันที่แบกหามศพไปเผาที่วัด เมื่อผ่านทางสามแพร่งคนที่ทำพิธีเผาศพประกอบด้วยหมอผีและบริวารของหมอผีทั้งสี่จะเอาหม้อดินใส่ข้าวสารอาหารแห้งพริกเกลือให้เต็มหม้อและตีให้แตกเพื่อให้ผู้ตายเดินทางมาถึงทางสามแพร่งแล้วต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินทางไปทางซ้ายหรือขวาหากว่าผีตนใดไม่เลือกทางเดินก็จะไม่ได้ไปผุดไปเกิดกลายเป็นดวงวิญญาณ ภูตผีปีศาจหรือสัมภเวสีที่อยู่ตรงทางสามแพร่งนั่นเอง ส่วนตามหลักฮวงจุ้ยนั้นทางสามแพร่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่ดี ผู้คนที่อยู่ในบ้านบริเวณทางสามแพร่งจะไม่มีความสงบสุข แต่หลักฮวงจุ้ยสามารถช่วยบรรเทาเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีได้โดยการติดตั้งกระจก การปลูกต้นไม้ใหญ่ การสร้างรั้วให้สูงขึ้น เป็นต้น

     ตามหลักวิทยาศาสตร์ ทิศทางลมและฝนจะพัดมายังบ้านที่อยู่ในทางสามแพร่งโดยตรง หรือถ้ารถขับผ่านจะมีแสงไฟจากรถสะท้อนเข้าบ้านตลอดเวลา เนื่องจากอยู่ตรงตำแหน่งจุดตัดหรือทางแยก และอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนเข้ามาในบ้านด้วย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการพักผ่อนเพราะจะทำให้กระวนกระวายใจทั้งตื่นและหลับ  แต่อย่างไรก็ตาม บ้านตรงทางสามแพร่งจะเหมาะเป็นที่ตั้งของธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ซึ่งทำให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นชัด เป็นต้น

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากทิดชมเดินทางกลับบ้านจากการแก้โดนของและสะเดาะเคราะห์ เมื่อผ่านสวนหม่อนได้ยินเสียงกระพรวนดังและเมื่อเปิดประตูบ้านถึงกับตกใจเหตุการณ์ที่เห็น

       “นางพราว เมียรักของข้า” ทิดชมร้องตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน เมื่อเห็นนางพราว นอนสลบไสลอยู่กลางบ้าน พร้อมเขย่าตัวเบาๆ “นางพราวเองเป็นอะไรไป” ทิดชมร้องเรียก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากภรรยาสาวท้องแก่แต่อย่างใด นางพราวหายใจสม่ำเสมอ แต่กลับเรียกไม่รู้สึกตัว เนื้อตัวร้อนจี๋  ทิดชมรีบก้าวลงบันไดบ้านพร้อมตะโกนร้องเรียกพ่อตาเสียงดังลั่น ท่ามกลางเวลากลางคืนซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง “พ่อคล้าย นางพราวเป็นอะไรไม่รู้” ตาคล้ายเป็นหม้ายตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตอยู่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวประมาณ 3 ปี ต่อมาได้พบรักใหม่กับยายจีนมีลูกด้วยกันสามคน แต่ละคนแยกไปมีครอบครัวหมดแล้ว ยายจีนสมัยเป็นสาวหน้าตาสะสวย แต่ยายจีนนั้นเป็นหญิงที่มีความอิจฉาริษยา ตอนนางพราวยังเป็นเด็กยายจีนจิกหัวใช้นางพราวทุกรูปแบบ ลูกทั้งสามของยายจีนอยู่สุขสบาย ยายจีนเกิดในครอบครั้วคนเลี้ยงช้างมาก่อนมีฐานะร่ำรวยในหมู่บ้านเซราะกราว “ตาคล้ายเปิดประตูบ้านดังเอียด พร้อมกับก้าวลงบันไดบ้านโดยมียายจีนเดินตามมาติดๆ แสดงสีหน้าเป็นห่วงนางพราวจากใจจริง “นางพราวเองอย่าเป็นอะไรไปนะ” ยายจีนเอ่ยขึ้นเบาๆ” รู้สึกสงสารนางพราวและหลานในท้องขึ้นมาจับใจ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตาเบาๆโดยหวังว่านางพราวจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นผล “ทิดชมรีบไปตามตาแก้วมาเร็ว” ตาคล้ายบอกลูกเขยวัยหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตำหนิที่ปล่อยให้นางพราวอยู่บ้านคนเดียวในเวลากลางคืนของวันพระจันทร์เต็มดวง ทิดชมมีสีหน้ารู้สึกผิด รีบก้าวเดินตามหลังเจ้าด่างมุ่งหน้าไปบ้านตาแก้วด้วยสีหน้าเศร้าหมองระคนกัน พร้อมกับรำพึงรำพันเบาๆ “นางพราว เองและลูกในท้องต้องปลอดภัย ข้าจะไม่ยอมให้เองเป็นอะไรไปเด็ดขาด” ระหว่างทางเดินไปบ้านตาแก้วได้ยินเสียงหมาเห่าและหอนเป็นระยะ และเสียงไก่ขันดังเป็นช่วงๆ รับกันอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเวลาไกล้รุ่งเช้าเข้ามาทุกขณะ “ตาแก้ว ยายระย้าย” ทิดชมตะโดนเรียกตาแก้วแข่งกับเสียงไอ้ดำที่เห่าไม่หยุดเช่นกัน ตาแก้วเปิดประตูบ้านพร้อมตะโกนปรามหมาให้หยุดเห่า”ช๊บ ช๊บ อา คเมา” ไอ้ดำเงียบเสียงลงทันที เหมือนเสียงตาแก้วนั้นมีพลังสงบความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบตัว “มีอะไรรึทิดชม” ตาแก้วร้องถามจากหน้าประตูบ้านโดยมียายระย้าเดินมายืนข้างๆแบบงัวเงีย “นางพราวเป็นอะไรไม่รู้ตาแก้ว ตอนนี้นอนสลบอยู่ เรียกยังงัยก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา ตัวร้อนจี๋เลย” ตาแก้วรีบคว้าผ้าขาวสีหม่นที่แสดงถึงเวลาการใช้งานผ่านมาหลายปีแล้ว เดินตามทิดชมและไอ้ด่างมุ่งหน้าไปบ้านทิดชมทันที  ตาคล้าย ยายจีนนั่งบีบนวดนางพราวเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง “นางพราวเดินทางไปไหนบ้างไหมเมื่อวานนี้”ตาแก้วเอ่ยถาม พร้อมกับแกะห่อผ้ายาสมุนไพรออก หยิบเศษไม้ออกมาสามชิ้นฝนเข้ากับก้อนหินเบาๆประมาณ 9 ครั้งพร้อมสวดคาถาในลำคอเบาๆฟังไม่ได้ศัพท์ “นางพราวเดินไปเก็บยอดขี้เหล็กมาแกงเมื่อเย็นวานนี้กับข้า” ยายจีนเอ่ยขึ้น “เดินผ่านเส้นทางสามแพร่งใช่ไหม” ตาแก้วเอ่ยถามขึ้น “ใช่ ใช่” ยายจีนตอบพร้อมกับแสดงสีหน้าสำนึกผิด “งั้นเอาน้ำมนต์นี่เช็ดตัวให้นางพราวไปก่อน” ตามแก้วเอ่ยบอกยายจีนพร้อมกับหันหน้าไปสั่งทิดชม “เองเอาม้าแคระของข้าไปรับตัวยายจันทร์มาที่บ้าน” ยายจันทร์เป็นน้องสาวแท้ๆของยายจีนเป็นร่างทรง หากใครเจ็บไข้ ได้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุมักจะเข้าทรงเพื่อต้องการทราบว่าการเจ็บป่วยครั้งนี้เกิดจากอะไรโดยใช้ร่างทรงเป็นสื่อกลางระหว่างดวงวิญญาณต่างๆ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหมือนหนึ่งวันสำหรับการเฝ้ารอร่างทรง ทิดชมเดินทางมาพร้อมยายจันทร์ผู้ที่เป็นร่างทรงพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ในการเข้าทรง ก่อน
การเริ่มพิธีกรรมนั้นร่างทรงคือยายจันทร์ และทิดชมจะเป็นผู้ที่จะเข้าร่วมประกอบพิธีการเข้าทรง โดยจะมีการสวดมนต์ นมัสการพระรัตนตรัย บทชุมนุมเทวดา บทเจริญคุณ พระคาถายอดพระกัณไตรปิฎก พระคาถาชินบัญชร
พาหุงมหากาล มงคลจักรวาล เป็นต้น ซึ่งบทสวดเหล่านี้บรรดาร่างทรงที่มีการประกอบพิธีกรรมได้
นำมาประยุกต์ใช้ในการประกอบพิธีรองลงมาคือ ทำบุญให้ทานตามโอกาสต่าง ๆร่างทรงที่มีความเชื่อ
ด้านอื่น ๆ คือ พิธีกรรมไหว้ครูประจาปี รองลงมาคือ การรักษาโรค การถอนคุณไสย การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ การต่อดวงชะตา เหตุผลในการเข้าทรงต้องการกำลังใจอีกทางหนึ่งหรืออาจจะมีความเชื่อในพิธีกรรมการเข้าทรงเป็นต้น

       เสียงเพลงบรรเลงดังขึ้นประกอบด้วยเสียงกลอง เสียงซอ ยายจันทร์เป็นร่างทรงร่วมกับทิดชมเป็นผู้เข้าร่วมประกอบร่างทรงในการทำพิธีครั้งนี้  ยายจันทร์ส่งเสียงดังขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นอย่างดัง “นางพราวมันเดินเหยียบลูกหลานและบริวารของข้า มันต้องรับผิดชอบในการกระทำครั้งนี้” เสียงยายจีนเอ่ยขึ้น “ลูกหลานข้าทำผิดไปแล้ว แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเพื่อเป็นการไถ่โทษในครั้งนี้” ยายจีนพูดขึ้นด้วยเสียงที่รู้สึกผิด “ลูกหลานของข้าอยากกินน้ำแดงและไก่ต้ม ปลาย่าง กบย่างพร้อมขนมวง ขนมรา และเหล้าขาวหนึ่งจอก” ยายจันทร์เอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นชี้ไปที่ทางสามแพร่ง “มันลบหลู่ข้าและบริวารของข้า” ทิดชมร้องไห้ขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับลุกขึ้นยืนขึ้นและล้มลงหมดสติไป ตาแก้วช่วยบีบนวดทิดชมให้ฟื้นขึ้นมา หลังจากรู้สึกตัวทิดชมแสดงสีหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตน

     ยายระย้ารีบบอกให้แม่ครัวช่วยเตรียมอาหารที่จะต้องประกอบพิธีกรรมในการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณในครั้งนี้ที่ทางสามแพร่ง หลังจากเตรียมของเรียบร้อยแล้ว ทุกคนไปรวมตัวกันที่ทางสามแพร่ง “เอาอาหารทั้งหลาย ขนมหวานวางไว้ตรงนี้ วางหมากพลู” เสียงยายจันทร์พูดขึ้น หลังจากนั้นจะมีหมอผีเรียกดวงวิญญาณให้มากินอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้โดยเรียกมาสามครั้ง “โมเวย ตาแยย โมประสา มลู ศลา ศรา บาย แดล โกน เจา ยัว โม ทวาย” หมายความว่าให้ผีปู่ย่า ตายายมากินอาหารที่ลูกหลานได้นำมาเซ่นไหว้ในครั้งนี้ หลังจบพิธีกรรมแล้วถือว่าเสร็จสิ้นการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของคนเซราะกราวที่ทางสามแพร่งนั่นเอง “นังพราวเองเป็นยังงัยบ้าง”ยายระย้าเขย่าตัวนางระย้าอีกครั้งเพื่อปลุกให้ตื่น นางพราวค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าเป็นอะไรไปยายระย้า ทำไมที่บ้านข้ามีคนเยอะแยะไปหมด” นางพราวถามขึ้น ยายระย้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นางพราวฟังทั้งหมด ทันใดนั้นเอง นางพราวรู้สึกปวดท้องแข็งขึ้นเป็นระยะ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป หากท่านชอบเรื่องสั้นแนวคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์และกดซับสไคร้เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนมือใหม่นามปากกา Rommyrom ขอบคุณคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง

         สำหรับการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงในครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกของเด็กหญิงวัยประถมศึกษาทั้งสองคน พวกเธอมีความรู้สึกตื่นเต้นในการเดินทางและพบเจอสิ่งใหม่ที่รออยู่เบื้องหน้า มีความสนใจมองบรรยากาศรอบข้างถนน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุช่วงเดือนเมษายนก่อนเข้าสู่เทศกาลวันสงกรานต์  การเดินทางเป็นไปด้วยบรรยากาศที่สนุกสนานลืมคนที่บ้านไปชั่วขณะตามประสาของเด็ก “แม่ค่ะแวะเข้าห้องน้ำก่อนคะ หนูปวดฉี่” เด็กหญิงผู้ที่เป็นน้องบอกแม่หลังจากนั่งรถออกมาจากบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง “รอก่อนนะ เพิ่งผ่านปั๊มน้ำมันมาเมื่อกี้” แม่บอกลูกสาวคนเล็ก ขับรถมาเรื่อยๆก็ยังไม่เจอปั๊มน้ำมันซักปั๊ม “แม่หนูฉี่จะราดแล้ว” ลูกสาวคนเล็กตัวแคระแกร็นจนได้รับฉายาว่า “ไอ้แคระ” แต่นางก็งอนทุกครั้งเมื่อโดนเรียกว่า “ไอ้แคระ” เป็นการบูลี่ของคนเซราะกราว เสียงเด็กหญิงผู้น้องเตือนแม่อีกครั้งว่าถ้าไม่จอดรถเดี่ยวเจอดีแน่ เสียงเบรกรถดังเอี๊ยดริมถนนทางหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง “ลงไปฉี่ข้างถนนนี่แหละ” เสียงแม่บอกลูกสาวคนเล็ก “พี่พี่ยืนบังให้หน่อยหนูอาย” แม่นึกในใจนี่ลูกสาวแม่เป็นสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ ขับรถต่อไปอีกสักพัก คราวนี้ถึงคิวพี่สาวบ้าง “แม่คะหนูว่าเราแวะเข้าเซเว่นก่อนดีกว่า เผื่อหาอะไรกินรองท้อง” พี่สาวพูดโน้มน้าวให้แม่แวะจอดรถที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ระหว่างเดินทางไปเซเว่นนั้นพี่สาวเหลือบสายตาไปเห็นห้องน้ำ จึงรีบขอตัวไปห้องน้ำเพราะกลัวว่าต้องแวะข้างทาง “แม่คะเมืองหลวงเป็นยังงัยหรือคะเหมือนบ้านเราไหมคะ”พี่สาวถามบ้างหลังจากกินข้าวอิ่มนอนหลับไปหนึ่งยกก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางซักที “ทำไมถึงไกลจังเมืองหลวงนี่” ผู้เป็นแม่จึงรีบตอบคำถามรวบเลยเพราะถ้าไม่รีบตอบเดี่ยวคำถามจะรัวมาเรื่อยๆ “เมืองหลวงมีชื่อ กรุงเทพมหานคร ชื่อยาวแม่จำไม่ได้ เนื่องจากแม่มีความจำสั้นเป็นปลาทอง เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงิน การธนาคาร การพาณิชย์ การสื่อสาร ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านและแบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่งคือ ฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี มีสถานที่สำคัญต่างๆเช่นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสาชิงช้า วัดพระแก้ว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และอื่นๆอีกมากมาย มีคำขวัญว่า “กรุงเทพมหานคร ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย” แม่ผู้ชอบอธิบายแบบยืดยาว ขับผ่านมาเรื่อยๆเจอแหล่งน้ำขนาดใหญ่ “แม่ค่ะนั่นแม่น้ำอะไรคะ”น้องถามบ้าง “ออ เขื่อนลำตะคองเป็นเขื่อนดิน (earthfill dam) ตั้งอยู่เขตจังหวัดนครราชสีมา มีโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำและมีกังหันลมผลิตไฟฟ้าทอดยาวตลอดแนวเขายายเที่ยง” พร้อมกับชี้ให้ดูประกอบคำอธิบาย

          ตะวันบ่ายคล้อยแดดเริ่มส่องเข้ามาทางหน้ารถ เด็กๆ ย้ายไปนั่งด้านหลัง “กริ้ง กริ้ง กริ้ง”เสียงไลน์โทรเข้า “ถึงใหนกันแล้ว”เสียงปลายสายถามแสดงถึงความเป็นห่วงในการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงและต้องเดินทางอีกยาวไกลข้ามน้ำข้ามทะเลต่อไป “อยุธยาละ”แม่ตอบเป็นสั้นได้ใจความ น้องสาวตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียถามขึ้นว่า “อยุธยาคือที่ไหนหรือคะ” แม่ตอบแบบสั้นๆเนื่องจากเริ่มอ่อนเพลียในการขับรถและอากาศร้อนอบอ้าวช่วงเดือนสงกรานต์ รถยนต์ร่นเก่า แอร์ไม่ค่อยเย็น“เป็นเมืองหลวงในอดีตของประเทศไทยคะ มีความอุดมสมบูรณ์มาก่อนดั่งคำกล่าวที่ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”

“ใหนละปลา ใหนละข้าว ไม่เห็นมีเลย” เริ่มไม่ค่อยเชื่อแล้วเนื่องจากไม่เห็นด้วยตา พี่สาวค้าน แม่เลยเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่งั้นต้องคุยยาวแน่ รถวีออสสีบรอนเงิน รุ่นเก่าแก่ เกือบ20ปีแล้ว แต่สภาพเครื่องยนต์ยังใหม่อยู่ขับน้อยมาก ขับขึ้นบนทางด่วนเพื่อมุ่งหน้าไปที่เขตพระโขนง เด็กๆเริ่มตื่นตาตื่นใจเห็นตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่าน “เป็นแบบนี้นี่เองเมืองหลวง” พี่สาวพูดเปรยในลำคอไม่ต้องการคำตอบ ตะวันบ่ายคล้อยจะตกตึกแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่พักสักที รถเริ่มติดอย่างหนักหน่วงเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็นของวันศุกร์และหยุดยาวถึงวันจันทร์ทำให้การจราจรคับคั่งมากกว่าปกตินั่นเอง คนรอรับปลายทางโทรตามเป็นระยะๆ เนื่องจากรอตั้งแต่เที่ยงยังไม่ถึงซักที ตลอดเส้นทางผู้เป็นแม่ต้องตอบคำถามที่มีมาเรื่อยๆ จนเพลียทั้งการขับรถและพูดคุยแต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์แม่ ถึงอย่างไรก็ต้องอดทน แต่สำหรับเด็กวัยเรียนประถมศึกษาดูมีพละกำลังและอยากรู้ อยากเห็นตามพัฒนาการและการเจริญเติบโตตามวัย สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือเมืองหลวงกรุงเทพมหหานครโดยปลอดภัยตลอดการเดินทางร่วม 8 ชั่วโมง  เด็กๆมีความสุขมากที่สุดตรงที่ได้เล่นน้ำในสระน้ำของเมืองหลวงซึ่งมีความแตกต่างจากการเล่นน้ำคลองตามบ้านนอกเซราะกราว หลังเสร็จจากว่ายน้ำก็พาไปรับประทานอาหารปะเภทเนื้อย่างแถวเขตพระโขนงนั่นเอง สำหรับเด็กการกินบุบเฟ่ต์ดูแล้วก็ไม่น่าคุ้มหรอก กินได้ห้าคำก็หยุดกินแล้วสำหรับน้องสาวผู้ซึ่งมีรูปร่างผอมบาง หุ่นดีตั้งแต่เด็ก ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวอย่างเห็นได้ชัด พี่สาวนี่ชอบกิน ถือว่าตลกบริโภคเลยก็ว่าได้ ตกกลางคืนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยพาพี่น้องนั่งดูแสงสีกรุงเทพอย่างมีความสุขและหยอกล้อกันตามประสาของเด็กวัยประถมศึกษา  เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งวันก็ต้องเดินทางแล้วเรามาติดตามกันเลยว่าสำหรับเด็กวัยประถมศึกษาที่ศึกษาเล่าเรียนและอยู่เซราะกราวตลอดระยะเวลา8ปีไม่เคยเจอเครื่องบิน เคยเห็นแต่ในทีวีหรือมองเห็นบนฟ้าเท่านั้น หากว่าให้พวกเค้าต้องเลือกอาหารและจัดกระเป๋าเดินทาง พวกเค้าจะมีปัญหาตอนตรวจสัมภาระในการเดินทางหรือไม่ อย่างไร แอบใส่อะไรเข้าไปในกระเป๋าเดินที่ขึ้นบนเครื่องบ้าง? หากสนใจเรื่องสั้นแนวเด็กหญิงวัยประถมศึกษาคนเซราะกราวสองคน ที่คนหนึ่งมีแนวการแต่งตัวแบบทอมบอย และอีกคนหนึ่งชอบการแต่งตัวแบบสาวหวาน รบกวนกดไลค์หรือกดแชร์เพื่อให้กำลังนักเขียนมือใหม่ภายใต้นามปากกา Rommyrom ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องสั้นคะ

แชร์ให้เพื่อน