เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน  ไสยศาสตร์เแก้โดนของ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน  ไสยศาสตร์เแก้โดนของ

       ไสยศาสตร์นับเป็นศาสตร์แห่งความลึกลับ ความเชื่อ ความศรัทธา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิพราหมณ์ อันเป็นลัทธิว่าด้วยเรื่องของเวทมนต์และคาถา จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยยังมีคนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะไสยศาสตร์เขมร ซึ่งรวมถึงเขมรตอนล่างหรือเขมรอีสานใต้และเขมรอาณาจักรกัมพูชา ไสยศาสตร์เพื่อการรักษานับเป็นไสยศาสตร์สีขาว มีประโยชน์ต่อผู้คน โดยใช้วิชาเวทมนต์ คาถา อาคม ร่วมกับการใช้สมุนไพรต่างๆในการรักษา เนื่องจากคนมีความเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจาก 3 สาเหตุหลักๆคือ

  1. ความเจ็บป่วยที่แท้จริง เช่น โรคไข้จับสั่น ฝีดาษ อีสุกอีใส
  2. ความเจ็บป่วยจากการทำของคน เช่น ยาสั่ง ปอบเข้าสิง ถูกปล่อยของเข้าตัว ถูกทำร้ายด้วยคาถาอาคม
  3. ความเจ็บป่วยจากภูตผีปีศาจ เช่น เป็นบ้า เสียสติ ปวดท้อง จุกเสียด ร้อนรุ่ม พูดจาไม่รู้เรื่อง

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากทิดชมโดนของ ตอนไปไต้อึ่งใกล้จอมปลวกที่ท้ายหมู่บ้านและได้รับการรักษาเบื้องต้นไปแล้ว วันนี้ตาแก้วและตาย้อยนัดทิดชมเพื่อการทำพิธีแก้ของเข้าตัวอีกครั้งหนึ่ง

      “เข้ามาสิทิดชม” เสียงของตาแก้วพูดขึ้น โดยไม่ได้หันหน้ามามองว่าใครมาเยือนบนบ้าน ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่เสียงของตาแก้วแน่นอน โดยมีตาย้อยนั่งอยู่ข้างๆกันในบริเวณแถวนั้น ตาแก้วนั่งหันหน้าเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตาแก้วเชื่อถือและศรัทธาได้แก่ นางกวัก ฮกลกซิ่ว กุมารทอง นกคุ้ม ไซดักทรัพย์ พญาเต่า ตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง และพ่อปูชูชก รวมถึงสิ่งอื่นๆอีกมากมาย มีการจุดธูปเทียนและวางดอกไม้ไว้เพื่อบูชา “นั่งลงหน้าขันน้ำ” ตาย้อยพูดขึ้น ขันน้ำสีขาวบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้เกือบเต็มขันและมีใบไม้หลากหลายชนิดบรรจุอยู่ พร้อมกับมีเทียนไขจุดวางไว้ข้างๆ ตาย้อยดูดวงตามวันเดือนปีเกิดของทิดชมเรียบร้อยแล้วพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ดวงของทิดชมปีนี้ ตกอยู่ความวินาศ ต้องทำการสะเดาะเคราะห์” ตาแก้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้ามาหาทิดชม ใช้ไม้ตีที่ศีรษะของทิดชมเบาๆ สามครั้งพร้อมกับร่ายคาถาเป็นภาษาเขมร ทำปากมุบมิบ มุบมิบฟังไม่ได้ศัพท์ พร้อมกับเคี้ยวหมากในปาก “ยกมือพนมขึ้น หลับตา นึกถึงพ่อแก้ว แม่แก้ว เข้าไว้นะ” ตาแก้วบอกขั้นตอนถัดไป ตาย้อยนำสายสิญจน์สีขาวหม่น มาล้อมรอบบริเวณที่ทิดชมนั่ง พร้อมนำปลายสายสิญจน์มาวางบนหัวแม่มือของทิดชม ตาแก้วใช้มือขวาจับที่กลางศีรษะของทิดชม ร่ายคาถาภาษาเขมร ฟังไม่ได้ศัพท์ พร้อมพ่นน้ำหมากใส่กลางศีรษะสามครั้ง คายกากหมากออกมาจากปาก พูดเบาๆ แล้วโยนกากหมากออกไปนอกบ้าน เป็นการแสดงถึงทุกข์โศก เคราะห์กรรมจงมลายหายไปนั่นเอง ตาย้อยนำขวดน้ำมาใส่น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จนเต็ม แล้วยื่นให้ทิดชม “น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์นี่ นำไปดื่มทุกวันก่อนนอน” และบอกให้ทิดชมนำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือไปอาบทันที หลังจากทิดชมอาบน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อยเป็นอันเสร็จพิธีการแก้เคราะห์กรรมในครั้งนี้ เวลาผ่านไปล่วงเลยเข้าสู่คืนวันใหม่ ตาแก้วบอกทิดชมให้รีบกลับบ้านนอนพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่อีกครั้ง พร้อมกับยื่นไซดักทรัพย์ให้ทิดชมไปบูชาตามความเชื่อของคนเชมรตอนล่างที่ว่าถ้าบูชาไซดักทรัพย์ จะช่วยให้อยู่บ้านด้วยความสงบสุข ร่มเย็น ช่วยปรับฮวงจุ้ยในบ้านอีกด้วย ไซจะช่วยดักเงิน ดักทอง ทรัพย์สิน เงินทองไม่หายไปไหน “แล้วข้าจะต้องบูชาไซดักทรัพย์ ยังงัย” ทิดชมถามขึ้น “ให้นำไซไปแขวนที่เหนือประตูบ้านให้หันปากไซออกไปข้างนอกบ้าน แล้วในแต่ละวันให้นำเงินหนึ่งสลึงใส่เข้าไปในใสทุกวันเมื่อเดินทางเข้าบ้านเพื่อเป็นการออมเงินนั่นเอง พร้อมกับท่องคาถาว่า อุอา กะสะ วันละเก้าครั้ง และห้ามหันปากใสเข้าบ้านเด็ดขาดเพราะจะทำให้เงินทองรั่วไหลนั่นเอง” ตาแก้วอธิบายยืดยาว

      เหตุผลที่ตาแก้วเลือกวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นวันแก้กรรม สะเดาะเคราะห์นั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่า ในวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นช่วงที่พระจันทร์มีพลังงานมากที่สุด และสวยที่สุดบนท้องฟ้า ช่วงนี้เป็นเวลาของการตื่นรู้และการเฉลิมฉลองในสิ่งที่ดี เป็นช่วงที่อิทธิพลของดวงจันทร์ส่งผลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเปิดรับสิ่งดี ๆ หรือสานสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ช่วงนี้สำหรับบางคนอาจจะได้โชคลาภ ใครที่อยากจะมูฟออน อยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ถ้าได้อิทธิพลของดวงจันทร์มาเสริมแล้ว ก็จะช่วยทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

       ทิดชมก้าวลงจากบันไดบ้านของตาแก้ว ได้ยินเสียงหมาหอนเป็นระยะๆ รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เพราะในใจของทิดชมมีความเชื่อว่าหากหมาหอนแสดงว่าหมาเห็นผีหรือเกิดความผิดปกติในสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นเอง    หากความเป็นจริงนั้น การหอนของสุนัข เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติของสุนัข เพราะสุนัขสามารถได้ยินเสียง ที่มีคลื่นความถี่สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะได้ยิน เมื่อได้ยินคลื่นแบบนี้แล้ว สุนัขจะหูอื้อ และหอนออกมาเพื่อระบายความหูอื้อนั้น ดังนั้น เราจึงมักได้ยินสุนัขหลายตัวหอนติด ๆ กัน เพราะพวกมันได้ยินคลื่นเสียงในระดับความถี่ที่ใกล้เคียงกันพร้อม ๆ นั่นเอง

       ไอ้ด่างวิ่งนำหน้าทิดชมกลับบ้านตามเคย  เวลากลางคืนพระจันทร์เต็มดวงสว่างใสวทั่วท้องฟ้า ทิดชมรีบก้าวเท้าเดินกึ่งวิ่ง ใกล้ถึงบ้านเข้ามาทุกที และแล้ว หูของทิดชมได้ยินเสียงดังแปลกๆ  “กรุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง หริ่งๆๆๆๆๆ” เหมือนเสียงกระพรวนแขวนคอวัว ควาย ดังมาจากสวนหม่อนของพ่อตา ทิดชมรวบรวมพละกำลังเท่าที่มี รีบวิ่งขึ้นบนบ้าน เมื่อเปิดประตูบ้านถึงกับตกใจกับสภาพที่เห็นภายในบ้าน เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปว่าทิดชมเห็นอะไร ถึงต้องตกใจขนาดนั้น?  หากชื่นชอบเรื่องราวชีวิตของคนเสราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ และกดซับสไคร้ เพื่อให้เพื่อนๆได้อ่าน และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน เจ้าของนามปากกา Rommyrom ขอบคุณคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน บทนำ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน บทนำ

        “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นช่วงสายวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อนของปีเสือของภาคอีสานตอนล่างของประเทศไทย เป็นวันปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็กหญิงสองคนวัยเรียนประถมศึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่ง พวกเธอเกิดและเติบโตอาศัยอยู่กับตายาย ป้า และลุง ช่วงต้นเดือนเมษายนนับเป็นการเริ่มต้นฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าว แม้ว่าจะเปิดพัดลมยังออกมาเป็นลมร้อนเลย “สวัสดีคะ” แม่ของเด็กน้อยสองคนรับโทรศัพท์มือถือ “ดิฉันโทรจากสถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ตอนนี้วีซ่าเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์ของลูกสาวคุณ ผ่านเรียบร้อยแล้วคะ” เจ้าหน้าที่ของสถานทูตแจ้งผลการขอวีซ่าจากปลายสาย “ขอบคุณมากนะคะ” แม่ของเด็กหญิงสองคนที่เป็นเจ้าของวีซ่ากล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ปลายสายพร้อมกับวางหูโทรศัพท์ไป

         เด็กหญิงสองคนวัยประถมศึกษามัวแต่สาละวนกับการเล่นกับเพื่อนๆซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสี่ห้าคนที่บริเวณหน้าบ้าน เค้าเล่นขายของแบบเด็กๆโดยแบ่งเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านขายน้ำปั่น ร้านขายไอศกรีมและร้านขายอาหารฝรั่งอย่างร้านขายไก่ทอดและแฮมเบอร์เกอร์ โดยมีป้าเป็นผู้ร่วมทีมในการเล่นขายของครั้งนี้

“สวัสดีคะ คุณลูกค้า วันนี้จะทานอะไรดีคะ?” เสียงของเด็กหญิงผู้เป็นน้องสาว รูปร่างผอมบาง ผิวขาวเหลืองหน้ารูปไข่ ปากเล็ก จมูกหน่อย ฟันหลอ สองซี่หน้า กล่าวถามป้าผู้ที่เล่นบทบาทเป็นลูกค้านั่นเอง “ขอส้มตำปูปลาร้า ใส่ปลาร้าตัวใหญ่ๆ หมูน้ำตก ขนมจีน ข้าวเหนียวหนึ่งกะติบ คะ” ป้าสั่งอาหารตามบทบาทสมมุติ ในขณะที่กำลังนั่งผูกผ้าไหมมัดหมี่ เพื่อทักทอออกมาเป็นลวดลายแบบต่างๆที่สวยงามตระกาลตาเนื่องจากป้ามีความคิดสร้างสรรค์และเป็นผู้ที่ทำงานได้อย่างละเอียดอ่อน งานไหมมัดหมี่จึงออกมาได้อย่างสวยงามเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานในแถบนั้น “ทางร้านเราไม่ได้ขายอาหารอีสานคะ เรามีรายการอาหาร บลา บลา” เด็กน้อยอีกคนตอบพร้อมแนะนำเมนูอาหารที่มีในร้าน “ออ งั้นขอสลัดผัก น้ำมะพร้าวปั่นหนึ่งแก้ว หวานน้อย” เนื่องจากป้ามีโรคประจำตัวคือ เบาหวานและไขมันในเลือดสูงนั่นเอง ป้าก็เล่นบทบาทสมมุติเหมือนชีวิตจริงกันเลยทีเดียว

      ขณะที่เด็กๆ กำลังเล่นขายของกันอย่างสนุกสนานอยู่นั่นเอง แม่ของเด็กน้อยสองคนเดินเข้ามาเรียกลูกๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เราต้องรีบเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางกันวันนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้องรีบออกเดินทางเข้ากรุงเทพแต่เช้ากันนะลูก” เด็กๆในกลุ่มเดียวกันหันหน้ามามองแม่ของเด็กหญิงสองคนเหมือนอยากรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับพวกเพื่อนเล่นของพวกเค้า “แม่เรากำลังจะเดินทางไปใหนกันหรือคะ ทำไมต้องไปกรุงเทพด้วย” พี่สาวถามแม่ด้วยความอยากรู้ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบเชียบ ชั่วขณะเหมือนทุกคนหยุดหายใจเพื่อรอฟังคำตอบว่า แม่จะพาพวกเราไปเที่ยวช่วงปิดเทอมเดี๋ยวก็กลับมา แต่แล้วคำตอบที่ได้ยินจากปากของแม่เด็กทั้งสองกลับกลายทำให้หัวใจของเด็กน้อยๆที่เป็นเพื่อนเล่นกันมายาวนานเป็นเวลาหลายปี หล่นตุบลงที่ตาตุ่ม “แม่จะพาหนูไปเรียนหนังสือที่ประเทศฟิลิปปินส์ “เราคงต้องจากกันไปซักพักหนึ่งนะคะ” แม่เด็กบอกเพื่อนๆของลูกวัยประถมศึกษาทั้งสองคน

       เด็กหญิงสองคนเอ่ยปากกล่าวคำอำลาเพื่อนๆโดยหวังว่าจะได้เจอกันอีกไม่นาน ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านและเด็กสองคนรีบจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางโดยเตรียมข้าวของต่างๆเช่นตุ๊กตาของเล่นใส่กระเป๋ามาเต็มกระเป๋าเดินทาง ค่ำคืนนั้นเด็กสองคนแอบเขียนจดหมายน้อยมาวางไว้ที่เตียงของตายายและของป้า กว่าจะหลับตาลงได้ก็ล่วงเลยไปเช้าวันใหม่

       รุ่งเช้าของวันใหม่ ตะวันส่องแสงยามเช้าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกของการจากลาต้องเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลเพื่อไปเล่าเรียนหนังสือในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเพราะอยู่อาศัยในเมืองหลวงอย่างกรุงมะนิลา “ได้เวลาต้องออกเดินทางกันแล้วเด็กๆ” แม่ของเด็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับบอกให้กล่าวคำอำลาตายาย ลุง ป้า น้า อา บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องจากลากันไปไกล วันนั้นเด็กๆ ได้เงินขวัญถุงเพื่อเดินทางกันพอสมควรติดกระเป๋าไปด้วย

      รถยนต์รุ่นเก่าวีออส สีบรอนเงินเคลื่อนตัวออกจากบ้านอย่างช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่จะได้ เดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรกของชีวิตของเด็กน้อยวัยประถมศึกษาทั้งสองคน ขณะที่ป้าผู้ดูแลและเลี้ยงดูมาตั้งแต่วัยเยาว์กลับน้ำตาไหลพรากออกมา ท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์และดีใจระคนกันที่เด็กน้อยทั้งสองคนที่เป็นเด็กต่างจังหวัดใช้ชีวิตเซราะกราวจวบจนอายุย่างเข้าเจ็ดแปดปี เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เด็กสองคนจะเข้าเรียนได้หรือไม่หากการสื่อสารภาษาอังกฤษก็ยังพูดไม่ได้ และเหลือระยะเวลาแค่สี่เดือนโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว

     หากสนใจเรื่องสั้นแนวการใช้ชีวิตของเด็กเซราะกราวในกรุงมะนิลา รบกวนกดไลค์ กดแชร์ และ กดซับสไคร้ เพื่อเป็นกำลังให้กับนักเขียนมือใหม่ภายใต้นามปากกา Rommyrom ติดตามตอนต่อไปได้ในเร็วๆนี้คะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน  คนเล่นของ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน  คนเล่นของ

      เนื้อเรื่องสั้นคนเซราะกราวตอนที่แล้ว หลังจากที่ทิดชมโดนของที่ท้ายหมู่บ้าน  ตาแก้วใช้วิชาอาคมทางไสยศาสตร์และยาสมุนไพรที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยแก้มนต์ดำให้ทิดชมจนปลอดภัย และวันรุ่งขึ้นยายระย้าเดินทางมาที่บ้านเพื่อตรวจครรภ์

“นางพราวโน้มตัวลงนอนหงายบนที่นอนเดี๋ยวข้าจะตรวจครรภ์ให้เจ้า” ยายระย้าพูดขึ้น  ยายระย้าใช้มือทั้งซ้ายขวาคลำคัดท้องของนางพราวเพื่อตรวจดูท่าของเด็กในท้อง ว่ามีการหันหัวลงหรือยัง ขณะที่เด็กในท้องบางคนก็เอาขาออกมาก่อน หรือเอามือออกมาก่อน หรือหันด้านข้าง ยายระย้าคลำท้องไปมา 2-3 ครั้ง เพื่อคัดท้องให้เด็กอยู่ในท่าปกติคือการคลอดแบบเอาหัวออกก่อนนั่นเอง  “เป็นยังงัยบ้างจ๊ะยาย ลูกข้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ข้าจะคลอดง่ายไหมยาย”  นางพราวถามด้วยความวิตกกังวล เนื่องจากเป็นท้องแรก ยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการคลอดลูกมาก่อน และมีความอยากรู้ว่าจะได้ลูกชายหัวปีคนแรกตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ “ไม่ต้องกังวลหรอก ทำใจให้สบายนะหลาน  จะลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายก็ลูกเรานั่นแหละ” แม้ว่ายายระย้ารู้อยู่เต็มอกว่า ตอนนี้ลูกในท้องของนางพราวอยู่ในท่าเอาขาออก ซึ่งเป็นท่าที่คลอดยาก และเด็กในท้องของนางพราวเป็นเพศหญิง แต่ยายระย้าก็ไม่ยอมปริปากบอกแต่อย่างใด เพราะว่าเป็นข้อห้ามที่สำคัญที่ครูหมอตำแยโบราณสั่งสอนมา  ก็คือห้ามบอกพ่อแม่เด็กหรือญาติพี่น้องว่าเด็กในท้องเป็นเพศอะไร เพราะถือว่าเป็นข้อห้ามข้อเดียวที่สำคัญในวิชาชีพของหมอตำแยไทยสมัยโบราณนั่นเอง เพราะหากบอกไปแล้วเกิดคลอดออกมาไม่ตรงตามที่บอกไว้อาจทำให้พ่อแม่และญาติคาใจว่าใช่ลูกของตนจริงๆหรือไม่? มีการแอบสลับเด็กคนอื่นในผู้บ้านที่คลอดในวันเดียวกันหรือไม่?  ซึ่งจะมีผลต่อการเลี้ยงดูเด็กในอนาคตนั่นเอง

       “ลูกน้อยของข้าจะคลอดยากไหมยาย” นางพราวเอ่ยปากถามยายระย้า ด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก  ยายระย้าจึงอธิบายเรื่องท่าคลอดที่คลอดยากเช่น กรณีที่ทารกอยู่ในท่าขวางเอาไหล่ลง ทารกในครรภ์มีตัวใหญ่มากเกินไป  และกรณีที่ช่องเชิงกรานแคบของหญิงตั้งครรภ์ สำหรับกรณีของนางพราวนั้นมีปัญหาแค่เด็กคลอดโดยใช้ขาเป็นส่วนนำแค่นั้น หากในสมัยปัจจุบันนั้น หากมีประเด็นที่กล่าวมานี้หมอสูตินรีแพทย์มักจะพิจารณาผ่าท้องคลอดเพราะเป็นการช่วยลดภาวะเสี่ยงการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดนั่นเอง ยายระย้าอธิบายต่อ เรื่องของการเจ็บครรภ์เตือนและเจ็บครรภ์คลอด(ได้กล่าวถึงในตอนที่แล้ว)  “ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงกำหนดคลอดมากแล้ว จะเดินลงขึ้นบันไดก็ต้องระมัดระวัง อย่ายกน้ำเป็นถังใหญ่นะ ห้ามกินลูกมะเขือพวงเด็ดขาดเลยนะ” ยายระย้าบอกด้วยความเป็นห่วง “จ๊ะยาย” นางพราวรับปากยายระย้าแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามเรื่องมะเขือพวงว่าทำไมถึงไม่ให้กิน หากถามยายระย้า คำตอบที่ได้ก็น่าจะเป็นว่า คนแก่สมัยก่อนเล่าสืบทอดกันมา และยายระย้านั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนนั่นเอง “เดี่ยวข้าจะต้องรีบกลับก่อนละ เพราะจะไปตรวจครรภ์นางนวลต่อ น่าจะคลอดใกล้เคียงกับเองนี่แหละ” นางพราวหยิบอัฐส่งให้ยายระย้าเป็นค่าตรวจครรภ์หนึ่งสลึง  (มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน  ไม่ควรซื้อก็อย่าพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ <บทกลอนของสุนทรภู่>)และกลายเป็นบทกลอนที่พ่อของนางพราวสอนให้นางพราวเป็นคนประหยัด มัธยัสถ์ในเรื่องการใช้เงินและการเก็บออมนั่นเอง และเป็นบทกลอนที่สามารถใช้สอนเด็กในรุ่นต่อๆมาได้เช่นกัน ยายระย้ากำลังเดินจะไปบ้านนางนวลเจอตาย้อยพอดีที่หน้าบ้าน “อ้าวตาย้อย มาทำอะไรที่นี่” ตาย้อยตอบด้วยเสียงที่แสดงถึงความกังวลใจ “ข้ามาหาไอ้ทิดชม พอดีมีธุระจะคุยด้วยนิดหน่อย” นางพราวได้ยินเสียงตาย้อยมาที่บ้าน รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ  ถึงแม้ว่าตาย้อยจะเป็นตาแท้ๆ ของทิดชมก็ตาม แต่เนื่องจากใช้ความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นแนวทางการใช้ชีวิตของคนเซราะกราวสมัยโบราณ “ไม่อยู่หรอกตา ออกไปทุ่งนา ตั้งแต่กินข้าวเช้าเสร็จยังไม่กลับมาเลย” ตาย้อยคอแห้งผาดเนื่องจากอากาศร้อนจัดในช่วงเดือนมีนาคม จึงเลียริมฝีปากเบาๆ เนื่องจากริมฝีปากแห้ง นางพราวแอบสังเกตเห็นรู้สึกกลัวจับใจขึ้นมาทันที 

        ตาย้อยนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตาแก้ว เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่วัยเด็ก และเดินทางไปร่ำเรียนวิชารักษาโรคด้วยสมุนไพรและคาถาเวชมนต์ทางไสยศาสตร์ด้วยกันโดยมีครูเป็นคนเขมรที่อยู่ติดเขตชายแดนเขมร  ตาย้อยนั้นเป็นผู้เล่นไสยศาสตร์เมื่ออาคมแข็งกล้าจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ของเข้าตัวตาย้อยกลายเป็นผีกระหัง ผีปอบซึ่งตาย้อยก็เข้าข่ายนี้และตาย้อยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อควรปฏิบัติต่างๆ  กินเหล้าเลยผิด คะลำ ชาวบ้านจึงคิดว่าตาย้อยเป็นผีกระหัง หรือผีปอบตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คำว่าผีกระหังเป็นผีชนิดหนึ่ง เป็นผีผู้ชายคู่กับผีกระสือที่เป็นผีผู้หญิง สิงในตัวของตาย้อย มีหาง ขาเป็นสากกะเบือ และมีปีกเป็นกระด้งฟัดข้าว ติดแขนทั้งสองข้างออกบินหากินของโสโครกในเวลากลางค่ำคืน มีแสงไฟวิบวับ วิบวับ เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีกระหัง ผีกระสือ ผีปอบนั้นมีมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น คืนวันหนึ่งเป็นคืนเดือนมืด มีบ้านหลังหนึ่งเป็นคนแก่แล้วเจ็บป่วยนอนติดเตียง วันนั้นเป็นช่วงหน้าฝนพอดี ตามสถานที่เซราะกราวนั้นหากฝนตกปัญหาที่ตามมาคือไฟฟ้าดับ เสียงอึ่งอ่างร้องระงม หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งใช้ไฟฉายส่องลงจากบ้านเพื่อส่องดูรอบๆ บ้าน หากแต่แสงไฟฉายสะท้อนกับกระจกบ้านพอดี จึงทำให้ยายคนหนึ่งซึ่งแกเป็นคนธรรมะธรรมโม เชื่อเรื่องผีปอบ ผีกระสือและผีกระหัง อย่างงมงาย แกจึงเล่าบอกคนในเซราะกราวว่าคนที่ป่วยนอนติดเตียงเป็นผีปอบ ทั้งที่หญิงวัยกลางคนที่ใช้ไฟฉายส่องรอบๆบ้านพยายามอธิบายแล้วก็ตาม ว่าแสงไฟที่เกิดลูกไฟนั้นเป็นแสงจากไฟฉาย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของหญิงชราที่มีความเชื่ออย่างงมงายลงได้ เพราะคนเซราะกราวสมัยก่อนมักเชื่อเรื่องราวต่างๆ รวมถึงเรื่องราวด้านสุขภาพโดยไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง

  “งั้นข้ากลับบ้านก่อนละ อย่าลืมบอกทิดชมไปหาข้าที่บ้านคืนนี้ด้วยนะ มีธุระสำคัญต้องคุยกัน” ตาย้อยพูดพร้อมกับก้าวเดินจากไปอย่างเงียบๆ มีความรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ที่ตัวเองเดินทางมาบ้านหลานสะใภ้ที่เป็นหญิงท้องแก่ใกล้คลอด

    ณ.เวลาพลบค่ำของครอบครัวชายหนุ่มและหญิงสาววัยรุ่นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย และเตรียมตัวเข้านอน นางพราวนึกขึ้นมาได้ว่าตาย้อยมาบอกให้ทิดชมไปหาที่บ้านมีธุรสำคัญจะคุยด้วย จึงเอ่ยปากบอกผัวว่า “ตาย้อยให้ไปหาคืนนี้ให้ได้  รีบไป รีบกลับมานะพี่” ทิดชมมีความรู้สึกกังวลในใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะปริปากบอกภรรยาได้ ค่ำคืนนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือนสาม และพระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสว่างไสว  เจ้าด่างเห็นเจ้านายก้าวลงจากบ้าน รีบวิ่งนำหน้ามุ่งตรงไปที่บ้านของตาแก้วและตาย้อย ท่ามกลางความวิตกกังวลของนางพราวที่ผัวต้องไปพบบุคคล2คนที่มีคาถาอาคมทั้งในด้านสว่างและด้านมืด ในเวลากลางคืนพระจันทร์เต็มดวงในหมู่บ้านเซราะกราวแห่งนี้

      “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงเห่าของไอ้ดำหมาตาแก้วดังลั่นรอบบ้าน “ตาแก้ว ตาย้อย ข้ามาแล้ว” ทิดชมตะโกนร้องบอก พร้อมกับปรามไอ้ดำ “ช๊บ ช๊บ ปรุ๊ค อาคเมา” สายตาของทิดชมเหลือบมองเห็นตาแก้วและตาย้อยนั่งคุยกันสองคนท่ามกลางแสงเทียนจุดเหมือนกำลังทำพิธีกรรมอะไรซักอย่างหนึ่ง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทิดชมจะกลายเป็นทายาทรุ่นต่อมาด้านไสยศาสตร์มนต์ดำหรือไม่อย่างไร รบกวนติดตามอ่านเรื่องสั้น คนเซราะกราว และกดไลค์ กดแชร์ ซับสไคร้ เพื่อสร้างกำลังใจแด่ผู้เขียนมือใหม่ภายใต้นามปากกา Rommyrom คะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ทิดชมโดนของ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ทิดชมโดนของ

          เนื้อเรื่องจากตอนที่แล้ว ทิดชมไปไต้อึ่งอ่างแม่ไข่ที่ท้ายหมู่บ้าน แล้วคิดว่าตัวเองโดนงูสามเหลี่ยมกัดที่เท้าขวา จึงเดินทางกลับมาบ้านของตาแก้วพร้อมกับซากงูสามเหลี่ยม และเป็นลมสลบไปที่หน้าบ้านของตาแก้วนั่นเอง ตาแก้วเปิดประตูบ้านมาเจอพอดี จึงร้องเรียกตาย้อยให้มาช่วยยกร่างทิดชมขึ้นบนแคร่ “ตาย้อย มาช่วยยกไอ้ทิดชมขึ้นนอนบนแคร่หน่อย ไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรมา” ตาย้อยซึ่งเป็นตาของทิดชมบ้านอยู่ข้างกันกับตาแก้ว ตาย้อยเป็นหม้ายมาหลายปีแล้ว หลังจากที่เมียเสียชีวิตลงและทิดชมออกเรือนไป ตาย้อยก็อาศัยอยู่คนเดียวมาตลอด มีทิดชมช่วยนำอาหารมาให้เป็นครั้งคราวที่มีอาหารมื้อพิเศษ เช่น ต้มไก่ ต้มเห็ด แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง เป็นต้น “หลานข้าเป็นอะไรรึ ตาแก้ว ยายระย้า” ตาแก้วตอบว่าข้าก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ มาๆช่วยกันพยุงทิดชมขึ้นบนแคร่ก่อน นับ หนึ่ง สอง สาม ยกขึ้น หนักมากเหมือนกันแหะ” ตาย้อยมองไปที่มือขวาของทิดชม เห็นซากงูสามเหลี่ยมยังกำอยู่ จึงร้องบอกตาแก้ว “สงสัยโดนงูกัดมาแน่เลย ที่ขามีเชือกรัดไว้นี่” ตาแก้วรีบคลายเชือกออกพร้อมกับสำรวจหาบาดแผลที่ข้อเท้า “แต่บาดแผลเหมือนไม่ใช่โดนงูพิษกัดนะ เพราะไม่มีรอยเขี้ยวเลย น่าจะเป็นงูไม่มีพิษมากกว่าถ้าบาดแผลเป็นแบบนี้” ตาแก้วพูดขึ้น ตาย้อยบีบนวดตามตัวพร้อมตบหน้าเบาๆ เรียกหลานชายให้รู้สึกตัว “ทิดชมหลานตาตื่นๆ”ทิดชมเริ่มรู้สึกตัวขยับแขนขา ลืมตาขึ้น พร้อมกับเอ่ยถาม “ข้าเป็นอะไรไปตา ข้าอยู่ที่ใหน นางพราวเมียข้าละ”  “เองได้อึ่งอ่างไข่มาเต็มข้องเลย” ตาย้อยพูดขึ้น ขณะที่ตาแก้วกำลังสาละวนกับการเปิดห่อผ้าสีขาวหม่นที่มีท่อนไม้สมุนไพรชนิดต่างๆอยู่มากมายหลายชนิดและหยิบออกมาสามชนิดฝนๆเข้ากับก้อนหินเบาๆละลายน้ำประมาณครึ่งกระบวย พร้อมกับร่ายคาถาทำปากมุบมิบ “ข้าจำได้แล้ว เมื่อคืนฝนตกหนักหลังฝนหยุด ข้าออกไปไต้อึ่งอ่างที่ใกล้จอมปลวกต้นไม้ใหญ่ทางทิดตะวันออกของหมู่บ้านนะตา” ตาแก้วหันมาสบตากับตาย้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “ข้าเจ็บที่ข้อเท้าขวา เห็นงูสามเหลี่ยมเลื้อยผ่านไป ไอ้ด่างกัดตายข้าเลยนำซากงูมาด้วย” ตาแก้วยื่นกระบวยตักน้ำที่มียาสมุนไพรบรรจุอยู่ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ดื่มยาสมุนไพรนี่ก่อนนะ ทิดชม” ทิดชมรับยาสมุนไพรมาดื่ม พร้อมกับแสดงสีหน้า ผะอืดผะอม “ทำไมขมมากขนาดนี้ละตาแก้ว” “หวานเป็นลม ขมเป็นยา กินให้หมด กลั้นหายใจ กินคำใหญ่ๆ เดี่ยวก็หมดแล้ว” ตาแก้วพูดให้กำลังใจทิดชม สักพักหลังจากกินยาสมุนไพรแล้วมีอาการผะอืดผะอมอย่างหนัก พร้อมกับอาเจียนพุ่งออกมา “อ๊วก อ๊วก” ทิดชมอ๊วกออกมาจนหมดไส้หมดพุง หลังจากนั้นตาแก้วยื่นน้ำในกระบวยให้ทิดชมบ้วนปาก และยื่นใบยาสมุนไพรให้ทิดชมเคี้ยวแล้วกลืนลงคอ โดยตาแก้วร่ายคาถาภาษาเขมรมุบมิบในลำคอ พร้อมกับพ่นน้ำหมากใส่บริเวณแผลสามครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้นพีธีการถอนพิษจากการโดนของคนไทยภาคอีสานตอนล่าง (เขมร) ข้าเป็นอะไรตาแก้ว “ทิดชมเอ่ยปากสอบถามตาแก้ว หลังจากหายเป็นปกติแล้ว “เอ็งโดนของ ที่ตรงนั้นเจ้าที่มันแรง อย่างไปใกล้แถวนั้นอีกละ” ตาแก้วหันไปสบตากับตาย้อยอย่างมีเลศนัย ทิดชมไม่ทันสังเกตเห็นพฤติกรรมของสองตาเฒ่า ทิดชมรีบลุกขึ้นและเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารีบกลับบ้านละ นางพราวคงเป็นห่วงข้า” ตะวันเริ่มส่องแสงยามเช้า ฟ้าสีแดง เป็นสัญญาณวันใหม่ของการเริ่มต้นของคนเซราะกราว ทิดชมคว้าข้องที่มีอึ่งแม่ไข่พร้อมกับแบ่งปันให้ยายระย้า ตาย้อย “ข้ากลับบ้านก่อนนะตา” ไอ้ด่างวิ่งนำหน้ากลับบ้านตามเคย ระหว่างทางเดินกลับบ้านไอ้ด่างยกขาฉี่ใส่ต้นไม้ใหญ่ เป็นการแสดงให้รู้ว่าเป็นการจำเส้นทางและแสดงอาณาจักรของสัตว์สี่เท้า ทิดชมมองเห็นแต่ไกลว่าเมียท้องแก่นั่งรอที่ประตูราวบันไดบ้าน “ทำไมถึงกลับมาช้านักละ ข้าเป็นห่วงมากรู้ไหม?” ทิดชมเลือกที่จะไม่บอกเมียสาวท้องแก่ใกล้คลอด ยื่นส่งข้องใส่อึ่งแม่ไข่ให้นางพราว พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ครั้งหน้า ครั้งหลัง อย่ามานั่งบริเวณประตูอีกนะ เดี่ยวจะทำให้คลอดลูกยาก” แท้จริงแล้วการนั่งบริเวณธรณีประตูนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการคลอดลูกยากหรือง่ายแต่อย่างใด หากเป็นเพียงกุสโลบายของคนสมัยโบราณเพราะกลัวตกบันไดนั่นเอง นางพราวพยักหน้าหงึกหงึก พร้อมรับข้องใส่อึ่งแม่ไข่แล้วเดินเข้าครัวไปเพื่อทำต้มอึ่งอ่างแม่ไข่เป็นอาหารเช้า

“ทิดชม ทำไมถึงกลับมาถึงบ้านช้านักละ” พ่อของนางพราวเอ่ยปากถาม ทิดชมหันซ้าย หันขวาก่อนพูดขึ้นเบาๆ กลัวนางพราวได้ยิน “ข้าโดนของที่จอมปลวกท้ายหมู่บ้าน ตาแก้วแก้ของให้แล้วพ่อ” พ่อของนางพราวทำหน้าฉงน ก่อนจะเอ่ยปากบอกทิดชม “วันหลังเอ็งไปเรียนวิชาอาคมจากตาแก้วสิ เพราะตาแก้วแก่แล้วเองจะได้เป็นทายาทรุ่นต่อไป แต่เองต้องปฏิบัติตัวให้ได้นะ ถ้าปฏิบัติตัวไม่ได้จะเป็นเหมือนตาย้อยนั่นแหละ” ตาย้อยเป็นคนที่มีวิชาอาคมเรียนรุ่นเดียวกันกับตาแก้วนั่นแหละ แต่ตาย้อยกินเหล้าจึงผิดคะลำ กลายเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใครในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงมีฉายาให้ตาย้อยว่า “กระหังประจำหมู่บ้าน และโดนบูลี่มาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงไอ้ด่างเห่าผู้มายืน “นางพราวอยู่ไหม” เสียงของยายระย้าเรียกเจ้าของบ้าน “ฉันอยู่นี่จ๊ะยาย” นางพราวส่งเสียงตอบรับ พร้อมกับเดินอุ้ยอ้ายออกมาหายายระย้า “เดี่ยววันนี้ข้าจะตรวจครรภ์เองซักหน่อย” นางพราวพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ได้จ๊ะยาย ฉันขอเวลากินข้าวก่อนนะ” นางพราวตักต้มอึ่งแม่ไข่ใส่ชามเดินเอาไปให้พ่อ เป็นการแบ่งปันอาหารของคนเซราะกราวเมื่อได้อาหารมื้อพิเศษ นางพราวกลับมากินข้าวพร้อมกับทิดชมอย่างเอร็ดอร่อย และเดินกลับไปหายายระย้าเพื่อตรวจครรภ์ต่อไป

      รบกวนติดตามตอนต่อไปว่า ย้ายระย้าจะตรวจครรภ์และสอนนางพราวเรื่องการเตรียมตัวก่อนคลอดในประเด็นไหนบ้าง? และเรื่องราวของตาย้อยเกี่ยวกับฉายา “กระหัง” ประจำหมู่บ้าน หากชื่นชอบเรื่องสั้น คนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ และติดตามตอนอื่นๆ ได้ที่ Healthy bestcare.com

 

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตทิดชมผู้เฉลียวฉลาด

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตทิดชมผู้เฉลียวฉลาด

        ทิดชมเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีในหมู่บ้าน ผิวพรรณดำขลับเนียนละเอียด รูปร่างสูงโปร่ง ร่างกายกำยำแข็งแรง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ นัยน์ตาสีน้ำตาล ผมหยิกติดหนังศีรษะ  ทิดชมเป็นลูกคนเดียวของแม่มณี หลานตาย้อย ตาย้อยเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตาแก้ว ทิดชมเกิดและเติบโตในตัวเมือง ร่ำเรียนหนังสือโดยการบวชเณรจนจบได้เปรียญ 3 ประโยค ทิดชมมีความเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากแม่มณีเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ เนื่องจากเป็นช่วงของการระบาดครั้งใหญ่ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมากรวมถึงคนแก่ ลูกเล็ก เด็กแดง สำหรับผู้ที่รอดชีวิตมาได้ กลับมีรอยแผลติดตัวมาจนชั่วชีวิต อาการของแม่มณีมีไข้สูงปวดศีรษะ จะเกิดขึ้นเพียง 2-3 วันแล้วจึงทุเลาลง จากนั้นจะเริ่มมีผื่นสีแดงเรียบขึ้นที่บริเวณใบหน้า มือ และปลายแขน แล้วค่อย ๆ ลามไปที่ลำตัว ต่อมาผื่นสีแดงจะค่อย ๆ นูนขึ้นกลายเป็นตุ่มน้ำและตุ่มหนองตามลำดับ ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 8-9 วันแผลจึงเริ่มตกสะเก็ด แล้วค่อย ๆ หลุด เหลือเพียงแผลเป็นในที่สุดนั่นเอง ผู้ที่ป่วยด้วยโรคฝีดาษมักจะโดนปล่อยทิ้งไว้ให้นอนบนใบตองปูให้นอนห่างไกลจากคนอื่นๆ หากใครที่เสียชีวิตก็จะแบกหามไปฝังในป่าช้าท้ายหมู่บ้านแบบไม่ต้องทำบุญหรือหาพระมาสวดแต่อย่างใด หลังจากแม่มณีเสียชีวิตลงทิดชมจึงย้ายกลับมาอยู่กับตาย้อยเป็นเด็กเซราะกราวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

         โรคฝีดาษ (Smallpox) หรือไข้ทรพิษ เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสวาริโอลา (Variola Virus) สามารถติดต่อกันได้ผ่านการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่อยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย โรคฝีดาษพบการระบาดครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2301 สำหรับในประเทศไทย การระบาดครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งคร่าชีวิตคนไทยไปจำนวนมาก และการระบาดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 มีผู้ป่วยเสียชีวิตไม่มากนัก โดยตลอดระยะเวลากว่า 200 ปีที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ทำการกวาดล้างและป้องกันอย่างจริงจังจนอัตราการติดเชื้อลดลง เป็นผลให้พบการติดเชื้อตามธรรมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2520 และในปี พ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า โรคฝีดาษถูกกวาดล้างจนหมดแล้ว จึงหยุดการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคนับแต่เป็นต้นนั้นมา โรคฝีดาษถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ต้องมีการแจ้งความต่อหน่วยงานสาธารณสุขดั่งเช่นการระบาดของโรคโควิด19 ในรอบสามปีที่ผ่านมานั่นเอง

      “นางพราวข้าจะออกไปหาอึ่งอ่างนะคืนนี้” เสียงอึ่งอ่าง กบ จิ้งหรีดและสัตว์อื่นๆน้อยใหญ่ร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ ณ สถานที่เซราะกราวแห่งนั้น แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งธรรมชาติ “อึ่งอ่าง อึ่งอ่าง? อ๊บ อ๊บ อ๊บ อ๊บ? ตรี๊ด ตรี๊ด ตรี๊ด ตรี๊ด?” เสียงร้องของสัตว์ป่าดังสลับกับเสียงพูดคุยกันของคู่สามีภรรยาวัยรุ่น ทิดชมเตรียมขี้ไต้เพื่อจุดไฟ และตร๊อก “ตร๊อก” เป็นศัพท์ภาษาเขมรใช้เรียกข้องใส่ปลา เป็นเครื่องจักรสานทำจากไม้ไผ่ เป็นฝีมือประดิดประดอยของตาแก้ว “รีบไปรีบมานะ พ่อมึง อย่าเดินไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านนะ” เมียสาวท้องแก่เอ่ยวาจาที่แสดงความห่วงใยสามีวัยรุ่น เพราะไม่ต้องการให้ลูกน้อยในท้องต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่วัยเด็ก “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก แม่มึง แถวเซราะกราว ข้าหลับตา ยังเดินกลับบ้านได้นะนอนต่อเถอะ ไม่ต้องคิดมาก เดียวลูกเกิดมาหน้านิ่ว คิ้วขมวด ไม่รู้ด้วยนะ” ทิดชมก้มลงจูบที่หน้าผากของภรรยาสาวท้องแก่ ก่อนก้าวเดินลงบันไดแบบเงียบกริบ “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงไอ้ด่างเห่าสองสามครั้ง พร้อมกระดิกหางไปมาและวิ่งล่วงหน้าทิดชมไปทางทิดตะวันออกของหมู่บ้าน เนื่องจากทางทิดตะวันออกมีความสมบูรณ์ของแหล่งของธรรมชาติ มีอึ่งอ่างมากมาย มักจะออกมาวางไข่ในวันฝนตกหนักของต้นปีนั่นเอง

       ทิดชมมองเห็นแสงไฟวิบวับ วิบวับ ที่ไกล้จอมปลวกที่มีเรื่องเล่าขานกันมาว่ามีผีปอบนั่นเอง จึงรีบเดินมุ่งหน้าเพื่อที่จะไปจับอึ่งอ่างแม่ไข่มาให้เมียสาวต้มกินเป็นอาหารมื้อเช้า “สงสัยมีคนไปจับอึ่งแถวนั้นแน่เลย” ทิดชมนึกในใจพร้อมกับก้าวเดินด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า ใกล้บริเวณจอมปลวกเข้ามาทุกขณะ แต่แสงไฟกลับหายไป เสียงอึ่งอ่างร้องระงมเซ็งแซ่ ทิดชมจับอึ่งอ่างแม่ไข่ได้เกือบเต็มตร็อก “โอ้ย โอ้ย” ทิดชมร้องเสียงหลง ใช้ขี้ไต้จุดไฟมองที่เท้าเห็นงูสามเหลี่ยมเลื้อยไปแบบช้าๆ งูสามเหลี่ยมลำตัวเป็นสามเหลี่ยม มีสีแตกต่างกันตามชนิด มักอาศัยในป่า เวลากัดไม่มีแผ่แม่เบี้ยเหมือนงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยมมีพิษต่อระบบประสาทและระบบโลหิต ผู้ที่ถูกงูสามเหลี่ยมกัด จะเกิดการบวมอักเสบหรือเนื้อตายที่แผลน้อยมาก และจะมีอาการทางระบบประสาทได้แก่ หนังตาตก หรือลืมตาไม่ขึ้น (อาจเข้าใจผิดคิดว่าผู้ป่วยง่วงนอน) กลืนน้ำลายลำบาก เป็นอัมพาตที่แขนขา และหยุดหายใจเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจหยุดทำงาน เป็นเหตุให้เสียชีวิตเพราะร่างกายขาดออกซิเจนตามมาได้  ไอ้ด่างได้ยินเสียงเจ้านายร้องเสียงหลง วิ่งเข้ามาเห่าเสียงดังลั่นท่ามกลางเวลากลางคืนดึกสงัดและวังเวง “โฮ่ง โฮ่ง” ไอ้ด่างสู้รัดฟัดเหวี่ยงกับงูอยู่พักใหญ่ งูสามเหลี่ยมตายคาคมเขี้ยวของเจ้าด่างนั่นเอง ทิดชมรีบใช้เชือกรัดเหนือรอยแผลงูกัดเพื่อป้องกันพิษเข้าสู่ร่างกาย ทิดชมเป็นเด็กในเมืองมาก่อนและเรียนจบเปรียญ 3 ประโยคจึงพอมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทิดชมรีบเดินมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านพร้อมข้องใส่อึ่งอ่าง และหิ้วซากงูสามเหลี่ยมเดินกลับบ้าน โดยมีเจ้าด่างหมาคู่ใจ วิ่งนำทาง มุ่งตรงไปที่บ้านของตาแก้วผู้ที่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรทันที เดินต่อมาสักพักหนึ่งเริ่มมีอาการง่วงนอนแบบผิดสังเกต ลืมตาเกือบไม่ขึ้น แต่ยังแข็งใจเดินมาเรื่อยๆ ก้าวเท้าได้ช้าลง ช้าลง เสียงไอ้ดำ หมาของตาแก้วเห่า”โฮ่ง โฮ่ง” ทิดชมรวบรวมพลังสุดท้ายของชีวิต ตะโกนออกมาเท่าที่มีเสียงแต่กลับเป็นเสียงที่เบาหวิวในริมฝีปาก หูแว่วได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านและเสียงตาแก้วร้องถามว่า “เสียงใครนะ” ก่อนหมดสติ ล้มลงหน้าบ้านของหมอยารักษาโรค ด้วยสมุนไพรแบบโบราณนั่นเอง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ? ลูกน้อยจะลืมตาดูโลกโดยปราศจากหัวหน้าครอบครัวอย่างทิดชมหรือไม่? นางพราวจะกลายเป็นแม่หม้ายพราวเสน่ห์หรือไม่? หรือตาแก้วจะใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการช่วยชีวิตทิดชมได้หรือไม่? โปรดติดตามเรื่องสั้น คนเซราะกราว ตอนต่อไปที่มีทั้งเนื้อหาและสาระสร้างความบันเทิงกับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย

      หากท่านชื่นชอบเรื่องสั้นแนว คนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนมือใหม่ สร้างความบันเทิงและให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจชีวิตของคนเซราะกราว ภายใต้นามปากกาของ Rommyrom  สนใจเรื่องสั้นตอนอื่นๆ และบทความที่มีทั้งเนื้อหาและสาระได้ที่ Healty bestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตยายสาย (เจ้าของฉายา “ปอบสาย”)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตยายสาย (เจ้าของฉายา “ปอบสาย”)

        ผีปอบเป็นผีตามความเชื่อของคนภาคอีสานของประเทศไทยตามแถบชนบท โดยอาหารของผีปอบนั้นมักเป็นของดิบๆ สดๆ และมักจะกินอาหารในปริมาณมากๆและกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม (คนที่กินอาหารคราวละมากๆและกินมูมมามมักได้ฉายาว่า “ปอบ”) ผู้ที่จะกลายเป็นปอบมักเป็นผู้ที่เล่นคาถา อาคม หรือเล่นคุณไสย พอไม่ปฏิบัติตามหรือกระทำผิดข้อห้ามที่เรียกว่า “คะลำ” หรือบางครั้งมักจะเป็นในผู้ที่มีทายาทที่เล่นคุณไสยมาก่อนและมีการคายน้ำลายใส่ปากให้ทายาท

         สำหรับยายสายนั้นเป็นหญิงชรา มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับยายระย้า สมัยสาวๆนั้น เป็นคนที่มีฐิติสูง ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร สามีของยายสายเป็นคนเจ้าชู้มาก และชอบพอกับผู้หญิงหลายคน ยายสายต้องการดึงสามีไว้กับตัวเอง ยายสายจึงไปหาหมอเสน่ห์ที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง หมอเสน่ห์แนะนำให้ปฏิบัติตัวหลายข้อ แต่แล้วยายสายก็ทำไม่ได้ ต่อมาสามีตายจากด้วยโรคชราเพราะยายสายมีสามีที่แก่กว่าตั้งหลายปี คนเกือบทั้งหมู่บ้านจึงตั้งฉายายายสายว่า “ผีปอบยายสาย” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

        เสียงของหมาตาแก้วมีชื่อว่าไอ้ดำ เห่าดังไปทั่วบริเวณบ้าน “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” แสดงให้เห็นว่ามีคนแปลกหน้า หรือศัตรูก้าวก่ายเข้ามาในบริเวณบ้าน ยายสายตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน “ตาแก้ว ยายระย้า” ตาแก้วเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับส่งเสียงเป็นภาษาเขมร “โช๊ปๆ อา คเมา” แปลว่า ให้หมาหยุดเห่าได้แล้ว หลังจากนั้นใอ้ดำก็กระดิกหางไปมา เดินวนรอบๆ ตาแก้ว แสดงว่าผู้ที่มาเยือนบ้านไม่ใช่ศัตรูหากแต่ว่าเป็นมิตรกับเจ้านายของมันนั่นเอง

       “ยายระย้า เอาปลาร้ามาให้ยายสายด้วย” ตาแก้วส่งเสียงเรียกภรรยา  ด้วยน้ำเสียงที่ดังเพราะเริ่มหูตึงกันทั้งคู่แล้วนั่นเอง ยายระย้าหิ้วปี๊บปลาร้าลงมาจากบ้าน พร้อมทักทายยายสาย และนั่งคุยกันสักพักยายสายจึงขอตัวกลับบ้านพร้อมปลาร้าหนึ่งปี๊บขนาดกลางราคาหนึ่งบาท  ยายสายเดินลัดเลาะตามทางเดินเล็กๆ เพื่อลัดกลับบ้าน ผ่านบ้านนั้น บ้านนี้ บ้านโน้น แต่ก็ไม่มีใครกล่าวทักทายยายสายสักคน แถมยังเรียกลูกเล็กเด็กแดงเข้าบ้านเพราะกลัวยายสาย และบอกกับลูกว่าไม่ให้อยู่ใกล้ หรือพูดคุยกับยายสาย เดี่ยวยายสายจะกินตับไตไส้พุงนั่นเอง นี่คือที่มาของยายสายอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร

      ยายสายเดินทางกลับบ้านแบบเงียบๆ หากแต่ในจิตใจของยายสายนั้นมีความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าระคนกัน มีเพียงครอบครัวของตาแก้วและยายระย้าเท่านั้นที่ยังคบหาและไปมาหาสู่กับยายสาย

     ครอบครัวที่กลัวยายสายในเวลานี้ ก็คงหนีไม่พ้นครอบครัวของทิดชมและนังพราวซึ่งกำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นเอง ยายสายทราบดีว่าจะต้องทำอย่างไร ยายสายจะเลือกเดินทางลัดเลาะเพื่อไม่ต้องการพบเจอกับนังพราวหรือหญิงท้องแก่ทั้งหลายเพราะถ้าหากว่า หญิงท้องแก่ หญิงหลังคลอดลูก แล้วแม่หรือลูกเกิดเสียชีวิตขึ้นมา  คนที่จะกลายเป็นจำเลยของสังคมก็คือผีปอบนั่นเอง เพราะว่าคนในสมัยนั้นใช้ชีวิตตามหลักของความเชื่อ เรื่องผีสาง นางไม้ ไม่ต้องถามหรอกว่าหลักวิทยาศาสตร์คืออะไร ประเด็นเรื่องของการพิสูจน์ว่าผีปอบมีอยู่จริงหรือไม่ เคยมีเรื่องเล่าอยู่ว่า

      คืนหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง เป็นช่วงฤดูฝนคนส่วนใหญ่มักออกไปไต้กบ อึ่ง เขียดหรือหาปลาหลังฝนหยุดตกใหม่ๆ  หากทิดจ้อยเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ชาญชัยไม่มีความเชื่อเรื่องผีปอบ มีคนในหมู่บ้านพูดท้าทายพนันกับทิดจ้อยว่า ถ้าไม่เชื่อว่าผีปอบมีอยู่จริง ให้เดินทางไปที่พื้นที่แห่งหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนมืด ณ เวลาค่ำคืนนั้นทิดจ้อยจึงเดินทางออกจากหมู่บ้านไปทางตอนทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เพื่อไปพิสูจน์ว่าผีปอบนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับคำท้าและพนันกันมาแล้ว ที่ตรงนั้นเป็นจอมปลวกขนาดใหญ่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นบนจอมปลวก ทั้งต้นเถาวัลย์ ปกคลุมยุ่งเหยิงเต็มไปหมด แม้เดินผ่านช่วงเวลากลางวันก็ยังดูน่ากลัวว่าจะมีสัตว์ร้าย งูพิษอาศัยอยู่ ในค่ำคืนนั้นทิศจ้อยเดินทางไปคนเดียวไม่มีพยานรู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ณ สถานที่จอมปลูกแห่งนั้น แต่เท่าที่ทราบคือว่า ในวันรุ่งขึ้นมีอาการ จับไข้ หนาวสั่น และกลายเป็นเหมือนคนที่เป็นโรคประสาทเหมือนได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้าย ณ จอมปลวกอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวแห่งนั้น

        ต่อมาอีกไม่กี่เดือนทิดจ้อยเสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคนในหมู่บ้านเกิดความกลัวจอมปลอกที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุม ร่วมกับต้นเถาวัลย์ที่ระเกะระกะและกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อๆ กันมา

       ในเวลาพลบค่ำ นังพราวรีบเก็บผ้าถุงหรือผ้าขาวม้าที่ตากไว้เข้าบ้าน เพราะคนแก่เล่าสืบทอดกันมาว่า หากบ้านใหนมีหญิงท้องแก่หรือหญิงคลอดบุตรใหม่ๆ ห้ามตากผ้าทิ้งไว้ในช่วงเวลากลางคืนเพราะหากผีปอบเดินทางผ่านมาหลังกินอาหารเสร็จ ผีปอบจะใช้ผ้าเช็ดปากที่ตากอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นลางร้ายต่อหญิงท้องแก่และหญิงแม่ลูกอ่อนให้นมบุตร

         “นังพราวรีบเข้าบ้านเถอะ มืดค่ำแล้ว” เสียงพ่อของนังพราวร้องบอกลูกสาว เนื่องจากคนในชนบทและหมูบ้านที่ห่างไกลจากความเจริญไม่มีทีวี อินเตอร์เน็ต เมื่อแสงอาทิตย์ตกดินก็มักจะรีบเข้านอนแล้ว “ทิดชมพรุ่งนี้ไปรับยายระย้ามาที่บ้านด้วยละ” ทิดชมรับปากพ่อตาและรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ  ค่ำคืนนั้นฝนตกหนักและลมแรงเนื่องจากเป็นช่วงฝนตกหลงฤดูกาล และเป็นฝนตกในครั้งแรกของปี หลังฝนหยุดแล้วเป็นเวลาเที่ยงคืนเสียงกบ เขียด และอึ่งอ่างร้องระงมไปทั่วบริเวณ ทิดชมจึงออกไปไต้อึ่ง กบ เขียด ในเวลาค่ำคืนนั้นคนเดียว ท่ามกลางความเป็นห่วงและกังวลของนังพราวที่ทิดชมออกจากบ้านไปหากบ หาเขียด หาอึ่งในเวลากลางค่ำ กลางคืน ติดตามตอนต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในค่ำคืนที่ออกไปหากบ หาเขียด และหาอึ่ง

หากชื่นชอบบทความแนว ชีวิตคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ เพื่อให้เพื่อนได้อ่านกันคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตหมอตำแย (ยายระย้า)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตหมอตำแย (ยายระย้า)

        หมอตำแย หมายถึง หญิงผู้ทำคลอดตามแผนโบราณ ในภาษาไทย คำว่า “ตำแย” มาจากชื่อของภิกษุรูปหนึ่ง คือ “มหาเถรตำแย” ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราว่าด้วยวิชาคลอด 

         ยายระย้าเป็นหญิงชราอายุอานามร่วม 70 ปีเป็นรุ่นน้องตาแก้วประมาณ 1-2 ปี มีผมยาวสีดอกเลา ชอบเกล้าไว้ที่กลางศีรษะ สายตาเริ่มฝ้าฟางบ้างแล้ว ใส่เสื้อลูกไม้สีขาวหม่นที่ผ่านการใช้งานมาหลายสิบปี แต่มีความสะอาดสะอ้าน ผ้าถุงมัดหมี่โจงกระเบน  ริมฝีปากสีแดงแสดงให้เห็นว่าเพิ่งผ่านการเคี้ยวหมากมาไม่นานนี่เอง ถือเชี่ยนหมากหรือภาษาเขมรเรียกว่า  “เฮ๊บ” อุปกรณ์ที่มีอยู่ในเฮ๊บของยายระย้าประกอบด้วย 

1.เต้าปูน เป็นภาชนะที่ใส่ปูนหมาก มาพร้อมกับไม้ควักปูนส่วนใหญ่จะเป็นโลหะหรือสังะสี (ปูนภาษาเขมรเรียกว่ากะม๊อร)
2.ซองพลู เป็นภาชนะสำหรับใส่พลูจีบ และใบพลู (พลูภาษาเขมรเรียกว่ามลู)
3.ที่ใส่หมาก ใช้ใส่ทั้งหมากสดและหมากแห้ง นอกจากนี้ยังมีพวกตลับ ผอบต่างๆ ที่ใส่ยาเส้น กานพลู การบูร สีเสียด มักใช้ในชุดเชี่ยน 3 – 8 ใบ (หมากภาษาเขมรเรียกว่า สลา)
4.มีดเจียนหมาก เป็นมีดขนาดเล็กใช้ผ่าหมากดิบและเจียนพลู บางครั้งอาจมีหรือไม่มีก็ได้
5.กรรไกรหนีบหมาก เป็นกรรไกรที่ใบมีดข้างหนึ่งใหญ่และคมกว่าอีกข้าง ใช้สำหรับผ่าลูกหมากและเนื้อหมาก ทำมาจากเหล็ก อาจตีขึ้นมาเพื่อใช้ในงานการกินหมากโดยเฉพาะ (ประหนาก)
6.ครกตำหมากมีลักษณะทรงกระบอกเรียวเล็กลงด้านปลาย ใช้ตำหมากพลูให้แหลก มาพร้อมกับสากตะบัน(ครกตำหมากภาษาเขมรเรียกว่าตะบัลล และสากตำหมากเรียกว่าอัลเลย์)

        “ทิดก้อนเป็นอย่างไรบ้าง” ตาแก้วเอ่ยตามถึงลูกชายคนโตที่เป็นพ่อของเจ้าแกละที่เพิ่งเสียชีวิตนั่นเอง ยายระย้าตอบด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า “มันก็เหมือนคนทั่วๆไปที่ต้องมาสูญเสียลูกชายคนเดียวในบ้านที่หวังว่าจะเป็นผู้สืบสกุลในอนาคต” ตาแก้วมีสีหน้าหม่นหมอง โศกเศร้าที่ต้องสูญเสียหลานชายคนโตโดยไม่มีวันกลับ พร้อมกับพูดเพื่อปลอบใจยายระย้าและตนเอง “สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนอนิจังเกิดขึ้น คงอยู่และดับไป ว่าแต่ยายหอบอะไรมาเยอะแยะ” ตาแก้วหันไปชำเลืองมองกระสอบปุ๋ยที่ใส่ข้าวของมาเต็ม2-3 กระสอบที่วางไว้ข้างๆยายระย้า “ออ นังลออมันขุดพันธุ์ข่าป่า มันมือเสือ มันเลือด สาคู มาให้ปลูกนะ” ตาแก้วก้มลงหยิบถุงปุ๋ยแบกขึ้นหลัง พร้อมกับพูดว่า “รีบไปกันเถอะยายเดี่ยวแดดจะร้อน อากะฮอม อาซอคงหิวน้ำแล้ว ต้องแวะเอาปลาร้าที่ร้านซิ้มด้วย” ไม่วายคิดถึงวัวสองตัวที่ช่วยขนสัมภาระและพาเดินทางไปมาและยังไม่ได้ดื่มน้ำเนื่องจากตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้ว ระหว่างเดินทางก็พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบถึงญาติคนนั้น เพื่อนบ้านคนนี้ แต่ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่โศกเศร้า แวะเอาปลาร้าให้ยายสายที่ฝากไว้ “ยายระย้ากลับมาแล้วหรือ”ซิ้มถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงและดีใจที่ได้เจอกัน เนื่องจากยายระย้าเป็นคนทำคลอดให้ลูกชายคนโตของซิ้มนั่นเอง พร้อมกับหยิบปลาแห้งเพื่อเป็นของฝากให้กับยายระย้า “ลองเอาปลาแห้งไปกินดูนะ อร่อยดี ไม่เค็มมาก” (ปลาแห้งภาษาเขมรเรียกว่า ตรัยเงียรคือปลาที่ตากแห้งให้เก็บไว้กินได้นานนั่นเอง) “ขอบใจมากนะซิ้ม” คุยกันต่อสักพักจึงกล่าวคำจากลา เมื่อมาถึงเกวียน ตาแก้วรีบเก็บของใส่เกวียนเรียบร้อย กุลีกุจอพาวัวสองตัวไปดื่มน้ำที่แหล่งน้ำใกล้ๆ และนำมาเทียมเกวียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ตาแก้วสูบบุหรี่เป็นช่วงๆ สลับกับเสียงตำหมากของยายระย้าเป็นระยะ  ตาแก้วร้องกันตรึมมาตลอดทางอย่างมีความสุข บรรยากาศเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย ลืมความเศร้าโศกไปชั่วขณะหนึ่ง ตลอดเส้นทางเดินกลับบ้านก็กล่าวทักทายคนที่ผ่านมาเนื่องจากครอบครัวของตาแก้วและยายระย้านั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในแถบนั้น “นังพราวเมียทิดชมเป็นยังงัยบ้างละ” ยายระย้าไม่ลืมนึกถึงลูกค้าคนใหม่ที่จะต้องทำคลอดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตาแก้วหัวเราะเสียงดังแบบกลั้นไม่อยู่ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันก็อลเวง ทำข้าวุ่นวาย เกือบไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ มันบ่นปวดท้อง แต่ก็ไม่ได้คลอดหรอก พรุ่งนี้ยายต้องไปเยี่ยมนังพราวมันนะ นังพราวมันเป็นเด็กกำพร้าแม่ ไม่มีใครช่วยสั่งสอนและบอกเรื่องตั้งครรภ์และการคลอด” ยายระย้านึกอยู่พักหนึ่ง “เออข้าลืมบอกมันไป แต่ก็เหลือเวลาเกือบเดือนเลยนะตาแก้ว กว่าจะถึงกำหนดคลอด” ยายระย้ายกมือขึ้นมานับเดือนทำปากมุบมิบ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “กำหนดคลอดของมันเดือนหน้านี่แหละคือเดือนเมษายน (เดือนเมษายนนั้นภาษาเขมรเรียกว่า แคแจ๊ศ เป็นเดือนที่คนทั่วไปมักเล่นสงกรานต์สาดน้ำ ตามประเพณีไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากเดือนเมษายนมีอากาศร้อนมากและเป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่ของไทยด้วย) ในเดือนเมษายนนั้นในชนบทจะเป็นประเพณีสาดน้ำ เล่นน้ำ โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว สมัยก่อนนั้นสาวๆมักจะไปหาบน้ำตามบ่อน้ำหรือสระน้ำ และมีหนุ่มๆไปรอสาดน้ำให้คนที่ตนเองแอบชอบหรือแอบรัก แต่ถ้าหากว่าสาวคนใหนไม่ชอบหนุ่มที่มาสาดน้ำก็มักจะใช้คานหาบน้ำตีหนุ่มคนที่สาดน้ำได้ หากดื้อดึงจะสาดน้ำให้ได้ หรือหนุ่มบางคนมีนิสัยไม่ดี จับเนื้อต้องตัวสาวถ้าหากรักใคร่ชอบพอกันก็จัดการแต่งงานให้ไปเลย แต่หากสาวไม่ชอบพอ พ่อแม่ของผู้ชายจะต้องจ่ายเงินค่าสินไหมในฐานะล่วงเกินจับเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิง (ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเขมรตอนล่างในประเทศไทย)

          ระหว่างทางกลับบ้านเจอยายสายกำลังจูงวัวกลับบ้านจึงได้กล่าวทักทายและบอกว่าอย่าลืมแวะไปเอาปลาร้าที่บ้านนะ

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” ไอ้ด่างหมาทิดชมเห่าเสียงดังเมื่อเห็นเกวียนเดินทางผ่านหน้าบ้าน นังพราวได้ยินเสียงไอ้ด่างเห่าระงมหน้าบ้านจึงเดินอุ้ยอ้ายตามสไตล์หญิงตั้งครรภ์ท้องแก่ออกมาหน้าบ้าน แสดงสีหน้าดีใจ ที่เห็นยายระย้ากลับบ้านด้วยความปลอดภัย  ยายระย้าเปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่นังพราวให้ความเคารพและนับถือ “ยาย ฉันคิดถึงยายมากเลย ถ้ายายไปนานกว่านี้ ฉันต้องตายแน่เลย” นังพราวแสดงสีหน้าดีใจอย่างสุดซึ้งที่เจอยายระย้า “มารับของฝากนี่ อีหนู” ยายระย้า ส่งกล้วยน้ำว้าสุกให้นังพราวหนึ่งหวี “ขอบคุณมากจ๊ะ ยาย” นังพราวพูดพร้อมกับยกมือไหว้และรับกล้วยมา “ข้าไปแหละ เดี่ยวยายสายจะรอนาน” เนื่องจากนัดให้ยายสายมารับปลาร้าที่บ้าน

       ติดตามตอนต่อไป ตอน ตามติดชีวิตยายสายผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “ปอบประจำหมู่บ้าน” ว่าจะเป็นอย่างไร? มีความเป็นมาอย่างไร? ว่าทำไมยายสายถึงได้ฉายาเป็นปอบไปได้

        หากชื่นชอบบทความแนวคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์และกดแชร์เพื่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตหมอยาและหมอดู (ตาแก้ว)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตหมอยาและหมอดู (ตาแก้ว)

         หมอยารักษาโรคในสมัยโบราณด้วยยาสมุนไพร เป็นวิวัฒนาการมาสู่อาชีพการแพทย์แผนปัจจุบัน ตาแก้วเป็นชายชราวัย 70 กว่าปี วันเดือนปีเกิดอย่าถามตาแก้วเพราะแกไม่รู้ รู้แค่ว่าเกิดวันแรม 15 ค่ำ คืนเดือนมืด จัดงานฉลองวันเกิดรึ ตาแก้วไม่รู้จักหรอก หมอดูก็เป็นอีกงานหนึ่งที่ตาแก้วถนัด การทำนายทายทักไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจ็บป่วย ของหาย ก็พึ่งหมอดูทั้งนั้นแหละ 

        “เอ๊ก อี เอ๊ก เอ๊ก” ไก่ขันตอนเวลาเช้าตรู่ เป็นการเริ่มต้นชีวิตของคนเซราะกราว ตาแก้วลืมตาขึ้น ขยี้ตาเบาๆ มองผ่านรูรอยแตกของฝาบ้าน “เช้าแล้วหรือนี่” ลุกขึ้นจากที่นอนที่เป็นฟูกยัดนุ่น มีหมอนหนึ่งใบพร้อมผ้าห่มสีขาวทำจากใยฝ้าย ฝีมือของยายระย้าเมียวัยชราที่อยู่ด้วยกันมาร่วม 50 กว่าปี มีมุ้งเก่าๆ กางไว้เพื่อป้องกันยุงกัด รีบลุกขึ้นจากที่นอนบิดขี้เกียจ บิดซ้ายบิดขวา หยิบกระบวยตักน้ำ ล้างหน้า ใช้ใบข่อยถูฟันไปมาสี่ห้าครั้ง อมน้ำบ้วนปากสองสามที หยิบหมวกปีกกว้างสีหม่นผ่านการใช้งานมาหลายปีแล้ว มีดสั้นสวมในปลอกหนังที่ตีขึ้นมาเองเพื่อใช้ป้องกันตัวในระหว่างเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง แต่ก็ไม่ลืมถุงใส่เส้นยาสูบ ใส่ย่ามสะพายมุ่งหน้าไปที่คอกวัว วัวสองตัวมีชื่อว่า “อากะโฮม หรือไอ้แดง” และ “อาซอ หรือ ไอ้ขาว” เป็นวัวเพศผู้อายุประมาณสี่ปีเต็มได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในการลากเกวียนเพื่อเดินทางขนสัมภาระต่างๆ  คอกข้างๆกันมีม้าตัวผู้คล้ายม้าแคระ ยืนนอนหลับ หางยาวเป็นพวงระย้า มีชื่อว่า “อาเกร็น หรือไอ้แคระ” เนื่องจากวันนี้ตาแก้วต้องไปขนสัมภาระที่ยายระย้านำติดตัวมาจากบ้านเกิดเช่น ฟืมทอผ้า พันธุ์ไม้พื้นบ้านเช่น ต้นสาคูขาว ต้นมันมือเสือ หรือสารพัดพันธุ์ไม้ต่างๆ ตาแก้วจึงเลือกเดินทางโดยใช้เกวียนเทียมไอ้แดงและไอ้ขาว เกวียนของตาแก้วดัดแปลงเป็นร่มที่กันแดดกันฝนได้ (ตาแก้วนี่เป็นคนที่ครีเอทไม่เบาเลยนะนี่) “โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ” ตาแก้วใช้ท่อนไม้ขนาดเหมาะมือเคาะไม้ที่ขัดรั้วเพื่อเปิดให้อากะฮอมและอาซอ ออกมาจากคอกวัว พร้อมกับพูดเปรยกับวัวขึ้นว่า “อากะฮอม อาซอ งัยแนะโตวรับยัยระย้า ล๊อบปะเตี๊ยก แปลว่า ไอ้แดง ไอ้ขาว วันนี้ไปรับยายระย้ากลับบ้านกัน ตาแก้วรีบกุลีกุจอเทียมวัวทั้งสองตัวใส่เกวียน มือซ้ายถือแซ้ เพราะว่าตาแก้วถนัดซ้าย มิน่าละ เป็นคนมีฝีมือครีเอทไม่เบา “ฮุย ฮุย” ตาแก้วใช้มือซ้ายตีลงที่อากะโฮมเบาๆ เพื่อบังคับให้เดินไปตามทาง ถ้าอาซอเดินช้าตาแก้วก็ใช้แซ้ตีที่อาซอเพื่อให้เดินไปพร้อมๆกัน (หากพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกหรือครูที่สั่งสอนเด็กๆโดยใช้ไม้เรียวตีเพื่อสั่งสอน ลองย้อนกลับมามองวิธีการของตาแก้วแล้วจะเข้าใจ ว่าคืออะไร) ตาแก้วหยิบถุงเส้นยาสูบขึ้นมาม้วนด้วยใบไม้ พร้อมจุดไฟสูบยาเส้น เป็นการผ่อนคลายอารมณ์หรือช่วยไล่ยุงในระหว่างการเดินทางนั่นเอง เดินทางต่อไปซักพัก ตะวันส่องแสงแสดงถึงเวลาเช้าของวันใหม่ คนเซราะกราวตื่นออกเดินไปนาบ้าง จูงวัว จูงควายไปนาบ้าง “หมอแก้วออกเดินทางไปใหนแต่เช้า” แหนะฉายาตาแก้วนี่ไม่เบาเป็นทั้งหมอยาและหมอดูเลยขึ้นชื่อว่าหมอซะงั้น ยายสายตะโกนถามมาจากในบ้าน (ยายสายเป็นหญิงชราอายุพอกันกับตาแก้วนั่นแหละ แกเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคม ไม่สุงสิงกับใคร คนอื่นเลยหาว่ายายสายเป็นปอป แหนะสมัยโบราณก็บู่ลี่กันไม่เบา ตามติดชีวิตยายสายในตอนต่อไป) “ข้าไปรับยายระย้าที่สถานีรถไฟ เองจะเอาอะไรไหม” แสดงถึงความมีน้ำใจของคนเซราะกราวเพราะการเดินทางเข้าเมืองนั้นลำบาก กว่าจะได้ไปแต่ละครั้งเป็นเดือน “ฝากซื้อปลาร้าหรือปะเหาะ 1 ปี๊บ” มิน่าละเค้าถึงว่ายายสายเป็นปอบ สั่งปลาร้ามากินเป็นปี๊บเลย “ได้ ได้ เย็นๆ เดินไปรับที่บ้านนะ” พร้อมกับเดินจากไป

         ตาแก้วขับเกวียนเดินตามทางเกวียนไปเรื่อยๆโดยมี อากะฮอม อาซอ เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไป  ผ่านบ้านนั้น ผ่านบ้านนี้ ผ่านบ้านโน้น ทุกคนส่งเสียงเรียก ถาม ตลอดเส้นทาง แหมตาแก้วนี่เป็นคนป๊อบปุล่าไม่เบาเหมือนกันแหะ (หรือตาแก้วเป็นหมอเสน่ห์ด้วยหรือเปล่า ติดตามตอนต่อไป)

         แดดเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตาแก้วรู้สึกคอแห้งและหิวข้าวจึงหยิบก้อนข้าวที่เหลือจากมื้อเย็นนำติดมือมาด้วย พร้อมกล้วยสุกงอมสองลูก ตาแก้วกินข้าวเปล่ากับกล้วยสุกนั่นเอง เคี้ยวๆ ดื่มน้ำตามที่ใส่ในกระบอกไม้ไผ่ติดตัวมาด้วย พร้อมกับหยิบใบไม้มา 2-3 ใบเคี้ยวแล้วกลืนคงเป็นยารักษาโรคของตาแก้วนั่นแหละ ซึ่งต้องกินหลังอาหาร

         การเดินทางด้วยเกวียนเวลาผ่านมาร่วม 2 ชั่วโมงเริ่มใกล้ตัวเมืองเข้ามาทุกที “ปู๊น ปู๊น ปู๊น ปู๊น ฉึกกะฉัก ฉึกกะฉัก” เสียงรถไฟ พร้อมควันโขมงหน้ารถ เนื่องจากสมัยก่อนหัวรถไฟไม่ใช่หัวจรวดเหมือนปัจจุบัน “จะได้พักกินหญ้ากินน้ำแล้ว อากะฮอม อาซอ” ตาแก้วพูดเปรยๆ กับวัวสองตัวคู่ใจ หากแต่วัวสองตัวก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด “โช๊บๆ” หมายถึงจอด พร้อมดึงเชือก อากะฮอม และอาซอ พร้อมกระโดดลงจากเกวียน ดึงวัวแกะสลักที่คอวัวออกจากเกวียน นำไปผูกไว้กับต้นไม้ให้กินหญ้าเพื่อรอรับยายระย้ากลับบ้าน (เข้าสำนวนรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีหรือ) “เกือบลืมไป ต้องไปแวะซื้อปลาร้าให้ยายสาย” ตาแก้วบ่นพึมพำในลำคอ เป็นการช่วยรื้อฟื้นความจำระยะสั้น ตาแก้วรีบเดินมุ่งหน้าไปทางสถานีรถไฟจึงแวะเข้าร้านขายของชำเล็กๆ ข้างทางเป็นตึกปูนเก่าๆ แสดงถึงก่อสร้างมานานหลายปีแล้ว “ตาแก้ววันนี้จะซื้ออะไรบ้าง” เสียงของผู้หญิงเชื้อสายจีนเอ่ยถามตาแก้ว เนื่องจากตาแก้วเป็นลูกค้าประจำของร้านนั่นเอง “เอาปลาร้าหนึ่งปี๊บ ราคาเท่าไหร่ เอาปี๊บกลางนะ” แหมตาแก้วสั่งปลาร้า ยังกับสั่งกาแฟสตาร์บัคมีขนาดเรียบร้อย ต่างกันบ้างตรงที่สตาร์บัคมีหลายชนิดให้เลือกมากกว่า  “ 1 บาท”  หญิงเชื้อสายจีนตอบพร้อมรับเงินจากตาแก้วห้าบาทและทอนกลับคืนสี่บาท” ตาแก้วมองเงินทอนในมือที่มีทั้งเหรียญบาท เหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึง และเหรียญสตางค์ เมื่อครบสี่บาทแล้วรีบยัดใส่ถุงผ้า หรือถุงกระป๊วด “ฝากของไว้ก่อนนะเดี่ยวขากลับแวะมาเอา” รีบเดินจ้ำเอ้ามุ่งหน้าไปจุดหมายปลายทางคือสถานีรถไฟประจำอำเภอนั่นเอง

“ตาแก้ว มารับยายระย้าหรือ ยายระย้านั่งรอยู่ทางโน้น” โฮ คนรู้จักตาแก้วไปทั่วสารทิศจริงๆ  ถ้าสมัคร ส.ส คงได้รับการเลือกตั้งเลยมั้งนี่ นายสถานีรถไฟกล่าวถามตาแก้ว “ใช่ ใช่” ตาแก้วพูด  “ตาแก้วฉันอยู่นี่” เสียงยายระย้าร้องเรียกตาแก้ว หลังจากลงรถไฟแล้ว ก็นั่งมองว่าตาแก้วมาถึงเมื่อไหร่ เพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องมือติดต่อสื่อสาร ตาแก้วรีบเดินไปหายายระย้า เพื่อรับตัวกลับบ้าน พร้อมกับภาระหน้าที่ของยายระย้าที่รออยู่ที่หมู่บ้าน

        รบกวนติดตามตอนต่อไป หากสนใจบทความชีวิตคนเซราะกราวหรืออยากให้เพื่อนๆได้อ่านฝากกดไลค์ กดแชร์นะคะ เจอกันตอนต่อไป เร็วๆ นี้

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้นเรื่อง  คนเซราะกราว ตอน ชีวิตของอีพราวผู้น่าสงสาร

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้นเรื่อง  คนเซราะกราว

ตอน ชีวิตของอีพราวผู้น่าสงสาร

         นังพราวเป็นหญิงสาวสวยผู้น่าสงสารประจำหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง มีอายุราว 20 ปี เป็นเด็กสาวผู้ซึ่งกำพร้าแม่มาตั้งแต่แรกเกิดและอาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่แม่ของนังพราวเสียชีวิตลงตอนนังพราวลืมตาดูโลกเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา  นังพราวไม่มีโอกาสเห็นหน้าแม่เลยแม้แต่รูปภาพที่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูป หรือมือถือเพื่อถ่ายรูปบันทึกไว้เหมือนในสมัยปัจจุบัน มีเพียงแค่ภาพวาดใบหน้ารูปไข่ของแม่ ที่เป็นผู้หญิงสาวชาวต่างชาติ บนในลานที่พ่อวาดไว้ให้ดูต่างหน้าเมื่อสมัยที่พ่อแม่ยังคบกันใหม่ๆ พ่อนังพราวเป็นศิลปินชอบวาดรูปบนใบไม้ ใบลานและโขดหิน แม่ของนังพราวเป็นทหารหญิงชาวอเมริกัน มาพบรักกันกับพ่อของนังพราวในพื้นที่ชนบทแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเขตความเจริญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

       นังพราวนั้นเป็นหญิงสาวสวยประจำหมู่บ้าน สูงราว 165 เซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่งได้รูป ปากเล็กเป็นกระจับ หุ่นดี มีทรวดทรงองค์เอว ผมมีสีน้ำตาล ยาวสลวยหยักโศกถึงกลางหลัง ตากลมโต ขนตางอนยาว นัยน์ตาสีฟ้า ผิวสีน้ำผึ้ง เนียนสวย ไร้ร่องรอยปานแดงหรือปานดำ

“นังพราว ข้ากลับมาแล้ว” เสียงร้องเรียกชื่อของเมียอันเป็นสุดที่รักดั่งดวงใจ ของทิดชมดังก้องกังวาลท่ามกลางเวลากลางคืนเดือนมืดมิดที่เงียบสงบ วังเวง ลมพัดหวิวๆ ใบจากปลิวไหวมองดูคล้ายเงาของสัตว์ร้ายข้างผนังบ้าน กระทบแสงไฟตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะเก่าๆกลางบ้าน และเป็นวันราหูอมจันทร์ ทิดชมกวาดสายตามองหาร่างของเมียสาววัยแรกรุ่นท้องแก่ใกล้คลอด แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเมียรัก “นังพราวเมียรักของข้า เองอยู่ที่ไหนกัน” ทิดชมรีบก้าวลงจากบ้านพร้อมถือตะเกียงเป็นไฟส่องทางตามหาเมียรักรอบๆ บ้าน ท่ามกลางความมืดมิดของคืนเดือนมืด “ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที” เสียงร้องเรียกเบาๆ ไร้เรี่ยวแรง ดังมาตามสายลม ท่ามกลางความมืดในเวลาเที่ยงคืนอันดึกสงัด “เองลงมาทำอะไรที่นี่” ทิดชมร้องถามเมียสาวท้องแก่ ที่เดินเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างยากลำบาก พร้อมในมือถือตะเกียง คล้ายตะเกียงของอาลาดินก็ไม่ปาน เพราะเป็นมรดกของแม่ที่เก็บไว้ให้ดูต่างหน้าไร้ซึ่งแสงไฟส่องแสงสว่าง เนื่องจากลมพัดดับเมื่อไม่นานมานี้ “ข้าปวดท้อง เลยลงมาขี้ ” นังพราวตอบกลับด้วยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นหากปวดขี้ต้องเข้าป่า ใช้เสียมขุดดิน เมื่อทำธุระเสร็จใช้ดินกลบให้เป็นปุ๋ยกับพืชต่อไป ทิดชมรีบเข้าไปประคองเมียรักพร้อมลูกน้อยในครรภ์ด้วยความถนุถนอมพร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน “เดินช้าๆนะ ระวังเวลาข้ามขึ้นขั้นบันได” เนื่องจากในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า ห้ามหญิงท้องแก่นั่งราวบันไดบ้าน เพราะอาจเป็นลม เป็นแล้ง หรือตกบันไดทำให้ได้รับอันตรายทั้งแม่และลูกได้

“เองนั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะจุดไฟต้มน้ำร้อน” ทิดชมเดินเข้าไปในครัวเล็กๆใช้เศษยาง และฟืน จุดไฟในเตาที่ทำขึ้นแบบง่ายๆ มีก้อนหินสามก้อนวางไว้เป็นสามเหลี่ยม พร้อมหยิบกระบวยตักน้ำออกมาจากโอ่งใบเล็กใส่ลงในหม้อดิน ลักษณะคล้ายหม้อใส่อัฐกระดูกของแม่นาคพระโขนง หรือหม้อต้มจิ้มจุ่มในปัจจุบัน

“ทิดชม ข้ามาถึงแล้ว” เสียงร้องเรียกเจ้าของบ้าน ดังก้องกังวาน พร้อมเสียงไอ้ด่าง เห่าโฮ่งๆ เป็นสัญญาณเตือนแจ้งให้เจ้าของบ้านรู้ว่ามีศัตรูเข้ามาบุกรุกในเขตพื้อนที่รโหฐาน (Private) “ ขึ้นมาข้างบนบ้านเลยตาแก้ว” เสียงเรียกของทิดชมตะโกนดังมาจากหลังบ้านที่เป็นครัวเล็กๆ พร้อมเสียงปรามไอ้ด่างให้หยุดเห่าแขกวัยชราผู้มาเยือนในเวลากลางคืนอันดึกสงัดของวันราหูอมจันทร์ “ตาแก้วสวัสดีคะ” เสียงของนังพราวกล่าวทักทายแขกผู้มาเยือนด้วยใบหน้าเป็นมิตร พร้อมกับจับโต๊ะไม้ที่วางตะเกียงเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน ตาแก้วทำหน้าเลอะลัก พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาถามว่า “เองปวดท้องจะคลอดไอ้ตัวเล็กในครรภ์ ไม่ใช่หรือ” นังพราวยิ้มมุมปากให้ชายชราอย่างเอียงอาย พร้อมกับเอ่ยวาจาว่า “ข้าดีขึ้นแล้ว ไม่ได้ปวดมาก ปวดเป็นพักๆ แล้วก็หายไป” ด้วยความที่นังพราวเป็นหญิงสาวกำพร้าแม่ มาตั้งแต่แรกเกิด จึงไม่มีใครสอนหรือเล่าประสบการณ์เรื่องอาการเจ็บท้องเตือน และเจ็บท้องใกล้คลอด การเจ็บครรภ์เตือนนั้นเกิดจากมดลูกขยายตัวเต็มที่และเคลื่อนตัวลงต่ำ จึงทำให้มีความรู้สึกว่ามดลูกแข็งตัวบ่อยครั้งขึ้น จนสามารถคลำและรู้สึกถึงอาการท้องแข็งบริเวณหน้าท้อง รวมทั้งมดลูกจะเริ่มบีบตัวทำให้ท้องแข็งเกร็ง แต่ยังไม่เป็นจังหวะที่แน่นอน การเจ็บท้องเตือนเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ได้ 8 เดือนเพื่อเตรียมให้ปากมดลูกบางลงพร้อมที่จะเปิดออกให้ลูกน้อยลืมตาดูโลกนั่นเอง แท้จริงแล้วนังพราวแค่มีอาการปวดท้องเตือนก่อนคลอด ยังไม่มีน้ำเดินหรือถุงน้ำคร่ำแตก ซึ่งลักษณะของน้ำคร่ำนั้นใส คล้ายน้ำปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีมูกเลือดออกจากช่องคลอดแต่อย่างใด แสดงว่าอาการของนังพราวนั้นแค่เจ็บครรภ์เตือน ไม่ได้จะคลอดภายใน 12 ชั่วโมงอย่างแน่นอน ตาแก้วหันไปสบตาและยิ้มกับทิดชมแสดงสีหน้าหมดความวิตกกังวลเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็ไม่ปาน พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจากับผู้ชายวัยหนุ่มที่จะกลายเป็นพ่อคนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  “พวกเองกลับไปนอนพักกันต่อได้แล้ว ข้าจะรีบกลับบ้านไปนอนพักเอาแรงเช่นกัน เพราะพรุ่งนี้ตอนสายๆข้าจะต้องรีบขับเกวียนออกไปรับยายระย้าที่สถานีรถไฟแต่เช้า” ทิดชมและนังพราวกล่าวขอบคุณตาแก้วในความมีน้ำใจช่วยเหลือของคนในชนบทอันห่างไกลจากความเจริญ ทิดชมและนังพราวนอนหลับสนิททั้งคืนด้วยความอ่อนเพลียกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา สร้างความอลเวงแก่หมอยารักษาโรค ด้วยยาสมุนไพรพื้นบ้านและทำนายทายทักดวงชะตาตามหลักโหราศาสตร์อย่างตาแก้วผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วมอายุล่วงเลย 70 กว่าฤดูกาล ติดตามตอนต่อไปว่ายายระย้า จะกลับมาบ้านทันช่วยทำคลอดนังพราวหรือไม่ นังพราวและทิดชมจะได้ลูกชายหัวปีตามที่คาดหวังไว้หรือไม่

 

หากชื่นชอบเรื่องสั้นของ คนเซราะกราว และบทความที่มีทั้งเนื้อหาและสาระสร้างความบันเทิง สามารถติดตามอ่านได้ที่ Healthybestcare.com จากนามปากกาของ Rommyrom เจอกันตอนต่อไปคะ ขอให้ทุกคนโชคดีในวันหวยออกกันนะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว ตอน การเริ่มต้นชีวิตใหม่

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว

ตอน การเริ่มต้นชีวิตใหม่

        ณ.เวลากลางค่ำคืนแรมแปดค่ำเดือนสี่ ปีวอก เป็นวันเกิดราหูอมจันทร์ มีครอบครัวของหญิงชายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชนบทอันห่างไกลจากความเจริญของสังคมคนเมือง มีประชากรอาศัยอยู่เพียงแค่สิบครัวเรือน ลักษณะของบ้านพักอาศัยมีเสาไม้สี่ต้น หลังคามุงด้วยใบจาก ฝาบ้านปกคลุมด้วยไม้ไผ่ บันไดขึ้นบ้านทำด้วยแผ่นไม้มีเพียงสามขั้น ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีรถขับ มีเพียงเกวียนเทียมควายเพื่อเดินทางเท่านั้น เสียงลมพัดหวิวๆ ใบจากปลิวว่อน  ในสถานที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง มีคู่สามีภรรยาหลังจากแต่งงานครบเก้าเดือนเต็ม หญิงวัยตั้งครรภ์ท้องแก่ส่งเสียงเรียกเบาๆ น้ำเสียงแหบแห้ง เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงก็ไม่ปาน “ พ่อมึงข้าปวดท้อง ช่วยไปตามหมอตำแยมาให้ที” ฝ่ายชายได้ยินดังนั้นรีบลุกขึ้น ขยี้ตาเบาๆ พร้อมกุมมือภรรยาและพูดให้กำลังใจ “อดทนไว้นะ แม่มึง” เค้ากำลังจะมีลูกน้อยเพิ่มเข้ามาในครอบครัวทั้งที่ไม่อาจทราบได้ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ 32 เหมือนคนทั่วไปหรือไม่ แต่คนทั้งสองก็ได้แต่หวังว่าเด็กที่เกิดมามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีเทวดาปกปักอารักษ์ขา  ฝ่ายชายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีพลังอันล้นเหลือ “ ข้าจะรีบไปและรีบกลับนะ” หญิงสาวยิ้มมุมปาก น้ำตาคลอเบ้าเหมือนเป็นสัญญาณของการจากลาแบบไม่มีวันกลับพร้อมกับส่งเสียงอันแหบแห้ง “รีบไปรับกลับนะพ่อมึง” ฝ่ายชายก้มลงจูบที่หน้าผากเบาๆ พร้อมกับกุมมือเพื่อสร้างกำลังใจให้หญิงวัยรุ่นท้องแก่ พร้อมกับรีบคว้าถุงยาสูบพร้อมมีขีดไฟ รีบก้าวลงจากบันไดบ้าน เดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านหญิงชราที่มีนามว่า ระย้า คุณยายระย้าเป็นหญิงชราอายุอานามล่วงเลยเจ็ดสิบปีแล้ว หากบ้านใหนมีหญิงท้องแก่ เมื่อมีอาการปวดท้อง น้ำเดิน จะต้องมาใช้บริการยายระย้าทุกรายไป เพราะว่ายายระย้าเป็นหญิงชรามีหน้าที่ช่วยทำคลอดหรือที่เรียกว่าหมอตำแย หากแต่ในปัจจุบันก็คือพยาบาลผดุงครรภ์นั่นเอง ฝ่ายชายรีบเดินก้าวท้าวยาวๆ ผ่านตามถนนอันลดเลี้ยว ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมน  มีแค่แสงไฟระยิบระยับจากดวงดาวที่ช่วยส่องแสงให้เดินก้าวเท้าด้วยความมุ่งมัน อันเปลือยเปล่าเนื่องจากในสมัยนั้นไม่มีร้องเท้าใส่

        หลังจากเดินทางมาได้ระยะหนึ่งไกล้ถึงบ้านของยายระย้า ได้ยินเสียงนกแสกร้อง “แซ๊ก แซ๊ก แซ๊ก แซ๊ก” ก่อนจะเงียบเสียงไป ชายหนุ่มคนที่กำลังจะกลายเป็นพ่อคนใหม่ รู้สึกใจหาย ตกลงว่าที่ตาตุ่ม มองเห็นไฟตะเกียงที่บ้านยายระย้าส่องแสงวิบๆวับๆ เนื่องจากลมแรง ฟ้ามืดมิด ดวงดาวที่ส่องระยิบระยับกลับกลายหายไป ท้องฟ้าปกคลุมด้วยความมืดมิด ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียกด้วยการตะโกน “ยายระย้า ยายระย้า” มีอะไรรึพ่อหนุ่ม เสียงตอบกลับมากลับกลายเป็นตาแก่อายุอานามใกล้เคียงกับวัยของยายระย้า พ่อหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “ยายระย้าอยู่ไหม ตาแก้ว” ตาแก้วนั้นเป็นคนแก่ในหมู่บ้าน เป็นคนที่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร หากคนในหมู่บ้านเจ็บไข้ได้ป่วยมักจะมาขอความช่วยเหลือจากตาแก้วทุกครั้งไป นับเป็นครอบครัวหมอรักษาคนไข้และพยาบาลทำคลอดเลยก็ว่าได้ ในสมัยนั้น “ยายระย้าไปต่างจังหวัดกลับไปบ้านเกิด” ตาแก้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันดัง เนื่องจากญาติผู้น้อยเสียชีวิตด้วยอาการปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ ทำการรักษาด้วยยาสมุนไพรแต่อาการไม่ดีขึ้น กลับมีไข้สูง ติดเชื้อในกระแสเลือดและตายในที่สุด สาเหตอาจเกิดจากไส้ติ่งแตกก็ได้(ผู้เขียนคิดเอาเอง เนื่องจากในสมัยนั้นไม่มีการตรวจเจาะเลือด หรือการทำอัลตราซาวด์จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร)

“มีอะไรหรือปล่าวทิดชม” ทิดชมนั้นเป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณดำขลับ รูปร่างสูงโปร่ง ร่างกายกำยำ นัยน์ตาสีน้ำตาล ผมหยิกติดหนังศีรษะ สวมใส่ผ้าขาวม้า ท่อนบนเปลือยเปล่า มองเห็นกล้ามเนื้อซิกแพค เป็นที่หลงใหลของสาวๆในยุคปัจจุบัน ทิดชมตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว หมดพละกำลัง “นังพราวเมียของข้าปวดท้องใกล้คลอด”  “ว่าอะไรนะ”ตาแก้วส่งเสียงสูงถามออกมา “นังพราวเมียของข้าปวดท้องใกล้คลอด ตอนนี้นอนรออยู่ที่บ้าน” ตาแก้วคิดในใจ และคิด คิด คิด แบบอิคิวซัง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ เอาแบบนี้นะ ไอ้ทิด รีบกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนนังพราวก่อนเดี่ยวข้าจะรีบตามไป เองจุดไฟ ต้มน้ำร้อนรอข้าก่อนเลยนะ” ทิดชมพยักหน้า พร้อมก้าวท้าวกึ่งเดินและวิ่งมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย และโดดเดี่ยวท่ามกลางคืนเดือนมืด วันราหูอมจันทร์ เสียงนกแสกส่งเสียงร้องเป็นระยะ แหล่งที่มาของเสียงได้ยินแว่วมาจากที่ห่างไกลออกไป ทิดชมนึกในใจ ภาวนาให้ผีสางนางไม้ช่วยปกปักรักษาให้ลูกน้อยในครรภ์และเมียท้องแก่ใกล้คลอดปลอดภัยทั้งแม่และลูก

     ตาแก้วรีบคว้าเครื่องมืออุปกรณ์ทำคลอดของยายระย้าที่ห่อไว้ในผ้าขาวที่เก็บไว้ใกล้หิ้งพระ พร้อมกับรีบก้าวเท้าซ้ายก่อนลงบันไดเพราะว่า ตาแก้วมีความเชื่อว่าหากก้าวเท้าซ้ายก่อนเดินออกจากบ้านจะช่วยให้โชคดี ผีสางนางไม้จะช่วยคุ้มครอง ปกปักรักษา รีบเดินลงจากบันไดบ้านซึ่งมีเพียงบันไดแค่สามขั้น รีบเดินกึ่งวิ่งตามเส้นทางของของทิดชม “ทำไมมันถึงวุ่นวายและอลเวงกันขนาดนี้ ในวันที่ยายระย้าไม่อยู่บ้าน” ตาแก้วส่งเสียงบ่นงึมงำในลำคอเบาๆ

   ฝ่ายทิดชมเมื่อเดินกึ่งวิ่งมาถึงประตูหน้าบ้านพร้อมส่งเสียงเรียกเมียรักวัยสาว ด้วยน้ำเสียงอันดัง “นังพราว เมียรักของข้า” ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณบ้านท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิดและกลางคืนอันเงียบสงัดและวังเวง  มีหมาน้อยเห่าโฮ่งๆ นามว่าไอ้ด่าง วิ่งตามทิดชม พร้อมกับกระดิกหางไปมาแสดงถึงความรักและทักทายเจ้านาย เสียงควายตัวผู้สองตัวที่อยู่ในคอกชื่อไอ้ดำและไอ้ด่อน ซึ่งอยู่ไม่ใกลจากตัวบ้าน หายใจเสียงดังฟืดฟัดแสดงถึงความรำคาญแมลงที่มาเกาะตามตัว และใช้หางปัดไล่ยุง และแมลงไปมาดัง ผับ ผับ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีหลอดไฟที่ใช้เปิดไล่แมลงเหมือนในสมัยปัจจุบัน (อย่าว่าแต่หลอดไฟเลยขนาดไฟฟ้ายังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้าน)

     เสียงไก่แจ้ตัวผู้สีเขียว สลับขาวส่งเสียงขันดังเจื้อยแจ้ว เป็นระยะ “เอ๊กอีเอ๊ก เอ๊ก” แสดงถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ท่ามกลางกลางคืนอันเงียบสงัด วังเวง และเป็นวันราหูอมจันทร์

 เหตุการณ์และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป นังพราวเมียสาวของทิดชมและลูกน้อยในครรภ์จะได้ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยหรือไม่ ท่ามกลางคนทำคลอดจำเป็นอย่างตาแก้วซึ่งไม่เคยทำคลอดเลยตั้งแต่เกิดมา ทำเพียงแค่รักษาคนป่วยด้วยยาสมุนไพรและทำนายทายทักดูดวงตามหลักโหราศาสตร์ กลับกลายต้องมาเป็นบุรุษพยาบาลทำคลอดจำเป็นในวันที่ย้ายระย้าไม่อยู่บ้านหากชื่นชอบเรื่องสั้น แนวการดำเนินชีวิตของคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ และกดแชร์เพื่อให้คนเซราะกราวได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ขอบคุณที่ติดตามเรื่องสั้นคนเซราะกราว ติดตามตอนต่อไปกันคะ

 

แชร์ให้เพื่อน