ชวนดื่ม ชามะขาม น้ำผึ้ง ช่วยดีทอกซ์ลำไส้ ผิวพรรณสดใส

แชร์ให้เพื่อน

ชวนดื่ม ชามะขาม น้ำผึ้ง ช่วยดีทอกซ์ลำไส้ ผิวพรรณสดใส

สวัสดีคะเพื่อนๆ วันนี้เรามีเมนู ชวนดื่ม ชามะขาม น้ำผึ้ง ช่วยดีทอกซ์ลำไส้ ผิวพรรณสดใส แก้อาการท้องผูก ไม่ลองไม่รู้ พอเราเริ่มมีอายุมากขึ้นปัญหาเรื่องท้องผูกเริ่มมีบ่อยขึ้น จากระบบการย่อยอาหารที่ช้าลง ทั้งที่เราเลือกกินอาหารพวกผักใบเขียวบ่อยขึ้น ลดเนื้อสัตว์หันมาบริโภคโปรตีนจากถั่วบ้างบางครั้งก็มีอาการท้องผูก เราไม่อยากพึ่งยาระบาย เราเลือกเข้าครัวมองหาสมุนไพรอย่างมะขามเปียกมาต้มดื่มเป็นชามะขาม น้ำผึ้ง เพื่อช่วยดีทอกซ์ลำไส้แก้อาการท้องผูก หลังจากดื่มประมาณ 2 ชั่วโมงช่วยล้างดีทอกซ์ลำไส้ได้ดีเลยทีเดียว แถมช่วยให้มีผิวพรรณสดใสเพราะขับถ่ายทุกวัน

เรามาดูส่วนผสมกันเลย

  • มะขามเปียกขีดแกะเม็ดออก
  • น้ำตาลทรายแดงช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่าแก้ว
  • ชาสำเร็จรูปห่อ
  • น้ำผึ้ง

วิธีทำ ชามะขาม น้ำผึ้ง แก้ท้องผูก ดีทอกซ์ลำไส้  ผิวพรรณสดใส

  1. ต้มน้ำเดือดใส่มะขามเปียกต้มน้ำเดือดนาน 5 นาที
  2. ใส่น้ำตาลทรายแดงต้มให้น้ำตาลละลายแล้วกรองเอาแต่น้ำไปชงชาสำเร็จรูป
  3. ใส่น้ำผึ้งตามชอบระวังหวานเกินไป หากเป็นเบาหวานเราไม่แนะนำให้ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งอาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้
  4. แค่นี้เราก็ได้ยาระบายอ่อนๆ ดื่มชามะขาม น้ำผึ้ง ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แน่น อึดอัด กินก่อนนอนเป็นยาระบายได้อย่างดีมาก
  5. เราสามารถน้ำไปแช่เย็นไว้ดื่มได้เช่นกัน

ชามะขามน้ำผึ้ง จัดเป็นเครื่องดื่มช่วยดับกระหาย แก้ไอ ละลาย ขับเสมะ มีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันหวัด รักษาและป้องกันโรคโลหิตจางและเลือดออกตามไรฟัน มีผิวพรรณสดใส ลดปัญหาท้องผูก และเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูกบ่อย ชามะขามน้ำผึ้งจัดเป็นยาระบายอย่างอ่อนหากใส่ในปริมาณเหมาะสม ช่วยลดอาการท้องผูก ล้างหรือดีทอดซ์ลำไส้

เราดื่มชามะขามน้ำผึ้ง ช่วงที่มีอาการท้องผูกช่วยระบายท้องได้ดี ลดอาการอึดอัดไม่สบายท้อง เราเคยทำชามะขามน้ำผึ้งให้แม่ที่สูงอายุ ไม่มีฟันบดเคี้ยวอาหารและเกิดอาการท้องผูกบ่อย แต่เราลดปริมาณมะขามเปียกลง ดื่มช่วยลดอาการแน่นอึดอัด แน่นท้อง ท้องผูก หลังดื่มชามะขามน้ำผึ้งประมาณหนึ่งชั่วโมงช่วยขับถ่ายออกได้ สบายท้อง ลดอาการแน่นอึดอัด แต่มีข้อควรระวังสำหรับเด็กหรือคนชราให้ใช้มะขามเปียกลดลงตามส่วนเพราะอาจทำให้ถ่ายท้องมากเกินไปเกิดอันตรายได้

แชร์ให้เพื่อน

เมนู วุ้นเส้นผัดเห็ดหอมเจ อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใส่ผงชูรส

แชร์ให้เพื่อน

เมนู วุ้นเส้นผัดเห็ดหอมเจ อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใส่ผงชูรส

เห็ดหอมคืออาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ปราศจากไขมันและเป็นยาช่วยต้านมะเร็งในกระเพาะอาหาร ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ แพทย์แผนจีนโบราณนิยมนำเห็ดหอมมาปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยในด้านบำรุงร่างกายแก้อาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามตัวและต้านการอักเสบติดเชื้อ ช่วยชะลอวัย บำรุงหัวใจ ช่วยรักษาอาการไข้หวัด และต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยแก้พิษงู ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงปอดและหลอดลม ลดอาการหอบหืด ทั้งยังช่วยบำรุงประสาทเป็นยาคลายเครียดช่วยให้นอนหลับง่าย ทั้งยังช่วยบำรุงเลือดทำให้เลือดลมเดินได้ดีขึ้น เรามาดูเมนูอาหารเห็ดหอมกันเลยคะ

ในเห็ดหอมมีกรดกลูตามิคช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร รสชาติดี มีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน เห็ดหอมทำหน้าที่คล้ายผงชูรสนั่นเอง วันนี้เรามาทำเมนูผัดวุ้นเส้นเจเห็ดหอม อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใส่ผงชูรส เรามาดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยคะ

  • เห็ดหอมแห้งแช่น้ำให้พองตัวล้างให้สะอาด
  • วุ้นเส้นแช่น้ำให้นิ่ม
  • สามเกลือบดหรือตำละเอียด กระเทียม รากผักชี พริกไทย
  • น้ำมันมะกอกสำหรับผัด
  • น้ำตาล เกลือ ซอสเห็ดหอม
  • ผักถั่วงอก กะหล่ำปลีหรือตามชอบ

วิธีทำเมนู วุ้นเส้นผัดเห็ดหอมเจ อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใส่ผงชูรส

  1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก เมื่อน้ำมันร้อนใส่สามเกลอลงผัดให้มีกลิ่นหอม
  2. ใส่เห็ดหอม เติมน้ำ ใส่น้ำตาล เกลือ ซอสเห็ดหอม ตามด้วยวุ้นเส้น ผักตามชอบ
  3. ใส่ผักถั่วงอก กะหล่ำปลีตามชอบ
  4. ปิดแก๊ส เสิร์ฟร้อนๆ

เมนู วุ้นเส้นผัดเห็ดหอมเจ อาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ใส่ผงชูรสทำง่าย เหมาะสำหรับอาหารจานเดียวที่อุดมไปด้วยประโยชน์ของเห็ดหอมและผักอย่างกะหล่ำปลีที่ปรุงสุกและถั่วงอก กินเป็นมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นเหมาะสำหรับอาหารผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคไต เพียงแต่เราต้องจำกัดเครื่องปรุงอย่างน้ำตาล เกลือ หรือซอสปรุงรสนั่นเอง

แชร์ให้เพื่อน

9 ประโยชน์ของเห็ดหอม เห็ดผงชูรสตามธรรมชาติ

แชร์ให้เพื่อน

9 ประโยชน์ของเห็ดหอม เห็ดผงชูรสตามธรรมชาติ

สวัสดีคะเพื่อนๆ วันนี้เราดู 9 ประโยชน์ของเห็ดหอม เห็ดผงชูรสตามธรรมชาติ  เห็ดหอมมีสรรพคุณด้านอายุวัฒนะที่คนจีนนิยม เห็ดหอมกินได้ทั้งดอกสดและดอกแห้งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ เรานิยมนำเห็ดหอมมาประกอบอาหารหากเป็นดอกแห้งต้องระวังเรื่องสารปนเปื้อนอ่านได้เพิ่มเติม กินเห็ดหอมแห้ง อย่างไรถึงปลอดภัย จากสารตกค้าง

เรามาดู 9 ประโยชน์ของเห็ดหอม เห็ดผงชูรสตามธรรมชาติ

1.เห็ดหอมทั้งดอกสดและดอกแห้งช่วยลดไขมันมันในเลือดได้เพราะมีเส้นใยและกากอาหารสูง

2.เห็ดหอมสดหรือแห้งช่วยต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ช่วยต้านการอักเสบอีกด้วย

3.เห็ดหอมให้พลังงานแก่ร่างกาย และที่สำคัญคือช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารใช้แทนผงชูรสได้เลยเพราะในเห็ดหอมมีสารผงชูรสตามธรรมชาติ

4.เห็ดหอมมีโซเดียมต่ำจึงเหมาะสำหรับการปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต

5.เห็ดหอมช่วยลดความดันโลหิตจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจตีบ

6.เห็ดหอมช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยบำรุงเส้นผม เล็บให้แข็งแรง

7.เห็ดหอมช่วยบำรุงเลือด รักษาโรคโลหิตจางเนื่องจากอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก

8.เห็ดหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยยับยั้งเซลล์เนื้องอกหรือเซลล์มะเร็งบางชนิดได้

9.เห็ดหอมช่วยป้องกันโรคเหน็บชา คลายเครียด นอนหลับง่ายขึ้น

เมนูอาหารที่นิยมใส่เห็ดหอมเช่น ต้มจับฉ่าย ทำง่ายเราทำกินบ่อยๆเพราะต้มใส่ผักแล้วใส่เห็ดหอมแทนผงชูรสได้เลยเพราะเห็ดหอมช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้มีความอร่อยและกลมกล่อมแถมเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย

ทั้งนี้การเลือกซื้อเห็ดหอมมาบริโภคควรเลือกแบบสด หากจำเป็นต้องรับประทานแบบแห้งต้องล้างทำความสะอาดและเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพราะในเห็ดหอมแห้งจะมีสารกำจัดแมลงเพื่อเก็บไว้ได้นาน

อันตรายจากสารปนเปื้อนในเห็ดหอมแห้งเช่น เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก คลื่นไส้อาเจียนเป็นต้น

แชร์ให้เพื่อน

กินขี้เหล็กอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่มีพิษต่อตับ มีประโยชน์ต่อร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

กินขี้เหล็กอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่มีพิษต่อตับ มีประโยชน์ต่อร่างกาย

สวัสดีคะเพื่อนๆ ช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวอากาศเริ่มหนาวแล้วดอกขี้เหล็กเริ่มเหลืองตามท้องทุ่งสวยงาม เราเก็บขี้เหล็กมากินอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่มีพิษต่อตับ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ขี้เหล็กเรานิยมนำใบและดอกมาแกงใส่กะทิอร่อยนักแล อุดมไปด้วยสารอาหารแร่ธาตุ วิตามินต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งใบและดอกเป็นแหล่งแร่ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัสช่วยบำรุงเลือดช่วยป้องกันรักษาโรคโลหิตจาง ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณอีกด้วย ทั้งยังช่วยบำรุงกำลัง เพิ่มภูมิต้านทานโรคให้ร่างกาย ที่สำคัญเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยคลายเครียด นอนหลับสบายอีกด้วย

ใครจะรู้ว่าขี้เหล็กก่อนนำมากินต้องทำอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่มีพิษต่อตับ มีประโยชน์ต่อร่างกาย ขี้เหล็กเราไม่สามารถเก็บใบหรือดอกมาแกงได้เพราะมีความขมเป็นพิษต่อตับได้เราจึงต้องนำใบหรือดอกมาต้มใส่ใบน้อยหน่า ใบย่านางหรือลูกมะเขือพวงแล้วต้มให้เดือดรินน้ำออกสองน้ำจนไม่ขมแล้วจึงนำมาประกอบอาหารอย่างแกงกะทิขี้เหล็กที่มีรสชาติอร่อย ช่วยเจริญอาหาร เป็นยานอนหลับได้อย่างดีเลยทีเดียว

ประโยชน์ของใบและดอกขี้เหล็กมีอะไรบ้างมาดูกันเลยคะ

1.ช่วยบำรุงเลือดเพราะใบและดอกขี้เหล็กอุดมไปด้วยแร่ธาตุเหล็กและแมกนีเซียมช่วยในกระบวนการสร้างเลือด

2.ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงเพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสเหมาะสำหรับวัยทองที่มีอาการกระดูกพรุน เปราะง่าย

3.ช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็นเพราะในดอกขี้เหล็กอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอ

4.เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยล้างลำไส้หากเรากินแล้วมีอาการท้องเสียให้ระวังเพราะอาจเป็นพิษจากขี้เหล็กได้โดยทั่วไปไม่นิยมเก็บใบขี้เหล็กมาแกงในช่วงหน้าฝน คนโบราณนิยมกินช่วงหน้าร้อนหรือหน้าหนาว

5.ช่วยให้นอนหลับง่าย หลับสบายเป็นยานอนหลับตามธรรมชาติและอาหารที่ช่วยให้หลับสบาย

6.ช่วยบำรุงกำลังและให้พลังงานกับร่างกาย

จะเห็นว่าใบและดอกขี้เหล็กนิยมนำมาปรุงอาหารแต่เราต้องต้มให้เดือดผ่านความร้อนอาจต้มรินน้ำทิ้งสองครั้งจนความขมหายไปจึงค่อยนำมาแกงไม่เช่นนั้นอาจเกิดพิษต่อตับได้ ดังนั้นขี้เหล็กมีประโยชน์แต่หากนำมาปรุงอาหารไม่ถูกวิธีก็เกิดโทษต่อร่างกายได้เช่นกัน

แชร์ให้เพื่อน

5 โรคควรกินน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น ลดอาการของโรค ดีต่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

5 โรคควรกินน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น ลดอาการของโรค ดีต่อสุขภาพ

เราอาจจะชินกับการใช้น้ำมันมะกอกมาบำรุงผิว บำรุงผม มากกว่าการใช้น้ำมันมะกอกมารับประทาน แต่ประเทศแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน ไม่ว่าจะเป็น กรีซ อิตาลี สเปน ส่วนใหญ่จะรับประทานน้ำมันมะกอก ซึ่งน้ำมันมะกอก ได้รับการยอมรับว่าเป็นน้ำมันที่ดี มีประโยชน์ และส่งผลเสียต่อสุขภาพน้อยที่สุด วันนี้ HealthyBestCare ขอแชร์ 5 โรคควรกินน้ำมันมะกอก เรามาดูกันเลยว่ามีโรคอะไรบ้าง

  • โรคไขมันในเลือดสูง

บางคนอาจจะเข้าใจว่าโรคไขมันในเลือดสูง เกิดได้เฉพาะกับคนอ้วนหรือคนที่น้ำหนักตัวเยอะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งคนอ้วนหรือคนผอมก็มีโอกาสเป็นโรคไขมันในเลือดสูง เหตุผลที่คนมีไขมันในเลือดสูงควรกินน้ำมันมะกอก เพราะน้ำมันมะกอกประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากถึง 77% ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวจะช่วยลดไขมันเลว หรือ LDL และเพิ่มไขมันดี HDL ให้ร่างกาย ดังนั้นคนที่มีปัญหาโรคไขมันในเลือดสูง จึงควรกินน้ำมันมะกอกแทนน้ำมันชนิดอื่น โดยเฉพาะน้ำมันมะกอกเวอร์จิ้น  วิธีการกินน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น เคยแชร์ไปแล้วในบทความ น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้าเวอร์จิ้น นำมาปรุงอาหารร้อนได้มั้ย? กินอย่างไรไม่ให้เกิด ผลเสียต่อสุขภาพ

  • โรคหัวใจ และหลอดเลือด

โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมองตีบ หรือแตก ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากทั่วโลก ปัญหาไขมันในเลือดสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด จึงควรกินน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น หรือ น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น ไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะหรือ  30 มิลลิลิตร หรือไม่เกิน 23 กรัมต่อวันทั้งนี้ควรงดไขมันชนิดอื่นๆด้วย

  • โรคเบาหวาน

มีหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่า การกินน้ำมันมะกอก โดยเฉพาะน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้นจะช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้มากถึง 40% สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ที่กินน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น  จะช่วยควบคุมน้ำหนัก รอบเอว ไขมันในเลือด และช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น นอกจากนี้พบว่าคนท้องที่กินน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น ช่วยลดความเสี่ยงของเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้มากถึง 27% ประโยชน์หลัก ๆ ได้จากสารประกอบฟีนอล ในน้ำมันมะกอก ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความไวของอินซูลิน

  • โรคลำไส้แปรปรวน

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลพบว่าการกินน้ำมันมะกอกรวมทั้งน้ำมันมะกอกเวอร์จิ้นช่วยลดการอักเสบของลำไส้จึงเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน

  • โรคแพ้ภูมิตัวเองอื่น

การกินน้ำมันมะกอก โดยเฉพาะน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น จะดีต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคเอสแอลอีโรครูมาตอยด์โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งโดยคาดว่าในน้ำมันมะกอกมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบทำให้อาการของโรคต่างๆเหล่านี้ไม่แย่ลงวันหลังจะมาแชร์ให้อ่านอย่างละเอียดอีกทีนะคะ

การกินน้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันมะกอก เวอร์จิ้นไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพของผู้ป่วยทั้ง 5 โรคเหล่านี้ แต่การกินน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น ยังช่วยป้องกันได้หลายโรค เช่น โรคอ้วน โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน สำหรับประโยชน์ของน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น
อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ

อ้างอิงข้อมูลจาก

By HealthyBestCare

แชร์ให้เพื่อน

กินเห็ดหอมแห้ง อย่างไรถึงปลอดภัย จากสารตกค้าง

แชร์ให้เพื่อน

กินเห็ดหอมแห้ง อย่างไรถึงปลอดภัย จากสารตกค้าง

เห็ดหอมสดหรือแห้งเป็นอาหารที่รสชาติอร่อย เป็นยาสรรพคุณด้านอายุวัฒนะ กินได้ทั้งดอกสดและดอกแห้งมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ แล้วเราจะกินเห็ดหอมแห้งอย่างไรให้ปลอดภัยและ ลดการเกิดสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เห็ดหอมสดหรือแห้งช่วยลดระดับไขมันมันในเลือดได้เพราะมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อหวัด ทั้งยังช่วยต้านการอักเสบได้ดีอีกด้วย เห็ดหอมยังให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยบำรุงกำลัง และช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารเพราะมีสารผงชูรสตามธรรมชาติในปริมาณมาก ในเห็ดหอมมีโซเดียมต่ำจึงเหมาะสำหรับการปรุงอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดระดับความดันโลหิตจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจตีบ ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง บำรุงเลือดและโรคโลหิตจางอีกด้วย ช่วยยับยั้งเซลล์เนื้องอกหรือเซลล์มะเร็ง

การล้างทำความสะอาดเห็ดหอมแห้ง

เห็ดหอมแห้งก่อนนำมาประกอบอาหารเราจะแช่เห็ดให้นิ่ม น้ำแช่เห็ดหอม ห้ามนำมาประกอบอาหาร และล้างน้ำหลายๆครั้งเพื่อลดสารตกค้างในเห็ดหอม สารที่ตกค้างในเห็ดหอมแห้ง อย่าง คาร์บอนไดซัลไฟด์ เพราะสารชนิดนี้จะกำจัดแมลงไม่ให้รบกวนเห็ดหอมแห้ง สังเกตได้จากหากเราเก็บเห็ดหอมไว้นานๆอาจไม่มีแมลงรบกวนเลย ให้ระวังก่อนนำมาประกอบอาหารควรล้างให้สะอาดและเลือกซื้อเห็ดหอมแห้งจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หากเป็นไปได้ควรเลือกเห็ดหอมสดมาประกอบอาหารแทนการใช้เห็ดหอมแห้งจะปลอดภัยกว่า

อันตรายที่เกิดจากสารปนเปื้อนหรือ คาร์บอนไดซัลไฟด์ ในเห็ดหอมแห้ง เมื่อเข้าสู่ร่างกายหรือสัมผัส

หากได้รับเข้าสู่ร่างกายจะเกิดอาการมึนเมา กระสับกระส่าย ในกรณีที่เกิดพิษเฉียบพลัน หากได้รับพิษเรื้อรังและต่อเนื่องทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก มีอาการปวดตามกล้ามเนื้อ มีสายตาพร่ามัว และเกิดความจำเสื่อมในที่สุด

เมนูอาหารที่นิยมใสเห็ดหอมเช่น ซุปเห็ดหอม ต้มจับฉ่าย ต้มจืด ผัดเห็ดหอม นิยมกินเป็นอาหารคลีนหรือเมนูเจเป็นต้น

แชร์ให้เพื่อน

ผักกาดขาว กินอย่างไร ถึงมีประโยชน์ ไม่เกิดโทษต่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

ผักกาดขาว กินอย่างไรถึงมีประโยชน์ ไม่เกิดโทษต่อสุขภาพ

ผักกาดเป็นผักที่คนนิยมรับประทานมีหลากหลายประเภททั้งผักกาดขาวห่อปลีและไม่ห่อปลี บางคนนิยมกินดิบเพราะมีความหวานกรอบแต่ภายใต้ความหวานกรอบอร่อย หากกินมากเกิดไปก็เกิดโทษต่อสุขภาพได้เช่นกัน แล้วเราควรกินผักกาดขาวอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุข นั่นก็คือการปรุงให้สุกก่อนกินนั่นเองเช่น การผัด การต้ม การนึ่ง อย่างเมนู นึ่งผักกาดขาวใส่ปลา การทำเมนูสุกี้โรลผักกาดขาว อ่านวิธีการทำเพิ่มเติม รีวิว เมนูสุขภาพ สุกี้โรลผักกาดขาว อร่อย รสจัดจ้าน  หรือเมนูต้มจิ้มน้ำพริก และเมนูสุกี้ก็นิยมใส่ผักกาดขาวเช่นกัน

ประโยชน์ของผักกาดขาว หากเรากินสุกมีอะไรบ้างมาดูกันเลยคะ

1.ผักกาดขาวเป็นผักที่มีน้ำเยอะจึงช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง และมีวิตามินซีสูงช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยป้องกันอาการไข้หวัดได้

2.ผักกาดขาวอุดมไปด้วยแร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสจึงช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง

3.ผักกาดขาวอุดมไปด้วยแร่ธาตุสังกะสีจึงช่วยลดการเกิดสิวอักเสบ ช่วยให้ผิวพรรณเนียนเรียบใส

4.ผักกาดขาวช่วยบำรุงหัวใจและปรับสมดุลของร่างกายเนื่องจากอุดมไปด้วยแร่ธาตุโพแทสเซียม

5.ผักกาดขาวช่วยระบบการขับถ่ายดีขึ้นเนื่องจากอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและน้ำ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ ช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด ลดการหมักหมมอาหาร

6.ผักกาดขาวอุดมไปด้วยโฟเลตช่วยบำรุงเลือดในสตรีมีครรภ์

7.ผักกาดขาวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักเพราะมีเส้นใยอาหารสูงทำให้รู้สึกอิ่มนาน

กินผักกาดขาวอย่างไรถึงมีผลเสียต่อสุขภาพ

ผักกาดขาวหากกินดิบใบปริมาณมากทำให้เกิดแก๊ซมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้อง เราสามารถเลือกกินสมุนไพรช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้ออ่านเพิ่มเติมได้ที่ รีวิว 5 พืชสมุนไพร ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อที่หลายคนยังไม่รู้ และผักกาดขาวหากกินมากเกินไปอาจทำให้ความดันต่ำได้เช่นกัน ดังนั้นหากต้องการกินผักกาดขาวให้เกิดประโยชน์สุงสุดต้องปรุงสุกเท่านั้น

แชร์ให้เพื่อน

น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้าเวอร์จิ้น นำมาปรุงอาหารร้อนได้มั้ย? กินอย่างไรไม่ให้เกิด ผลเสียต่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

น้ำมันมะกอกเอกซ์ตร้าเวอร์จิ้น นำมาปรุงอาหารร้อนได้มั้ย? กินอย่างไรไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง จึงเป็นไขมันที่ดี และมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า สารอาหารและวิตามินในผักผลไม้ รวมทั้งน้ำมันมะกอก จะถูกทำลายด้วยความร้อนได้เช่นกัน วันนี้ HealthyBestCare จะชวนคุณผู้อ่านมาดูว่า น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น นำมาปรุงอาหารร้อนได้มั้ย? กินอย่างไรไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

มีหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่า น้ำมันมะกอกมีประโยชน์ เช่น น้ำมันมะกอกช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคสมองเสื่อม ป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดความรุนแรงของโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือที่เรารู้จักกันดีในนามโรคพุ่มพวงซึ่งประโยชน์ของน้ำมันมะกอก เวอร์จิ้น เราจะมาแชร์ให้อ่านกันในบทความต่อไป วันนี้เราจะมาแชร์แค่ประเด็น น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น นำมาปรุงอาหารร้อนได้มั้ย?  เรามาดูกันเลยค่ะ

สำหรับน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น สามารถนำมาทำอาหารร้อนได้บ้างแต่ไม่ทั้งหมดทั้งนี้ขึ้นกับวิธีการและความร้อนที่ใช้ในการทำอาหารด้วยเพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการถูกทำลายคุณค่าทางสารอาหารของน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น

น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้าเวอร์จิ้นใช้ทำอาหารแบบไหน จึงเสียคุณค่าทางสารอาหาร ?

  • วิธีทำอาหารที่ใช้น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้า เวอร์จิ้นเช่นการผัดการนึ่งประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระจะไม่ถูกทำลายมากนักแต่ยังต้องคำนึงถึงอุณหภูมิและเวลาในการทำอาหารด้วยนะคะ
  • วิธีทำอาหารที่ใช้น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้า เวอร์จิ้น เช่นการผัดไฟแรงการต้มการทำอาหารด้วยไมโครเวฟหรือการทำอาหารที่ใช้เครื่องครัวแบบแรงดันจะลดประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น
  • สำหรับการการต้มหากเราใส่น้ำมันมะกอกเอกซ์ตร้าเวอร์จินลงไปขณะต้มอาจจะทำให้สารประกอบฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญละลายทิ้งไปในน้ำที่ต้ม
  • การใช้น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้าเวอร์จิน สำหรับการทอด หรือ ผัด ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจะถูกทำลายจากความร้อนมากกว่าเวลาที่ใช้ทำอาหาร ดังนี้
  • หากใช้อุณหภูมิ 120 °C สารฟีนอลในน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น ลดลง 40%
  • ถ้าใช้อุณหภูมิ 175 °C และระยะเวลาในการทำอาหาร 15-60 นาที สารประกอบฟีนอลลดลงไปถึง 75%
  • หากใช้อุณหภูมิ 180 °C ภายในเวลา 15 นาทีสารประกอบฟีนอลลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่ง
  • หากใช้อุณภูมิแรงที่ 180-220 °C ใช้เวลาในการทำอาหารประมาณ 30-120 นาทีพบว่านอกจากสารประกอบฟีนอลจากน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นจะลดลงแล้วคุณค่าของสารอาหารในน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้นจะลดลงมากกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นเช่นน้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันปาล์ม
  • สำหรับการใช้ไมโครเวฟที่กำลังไฟ 500 วัตต์ เป็นเวลา 5 นาทีจะไม่ส่งผลต่อสารฟีนอลในน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น
  • สำหรับการอบที่อุณหภูมิ 180 °C   เป็นเวลา 45 นาที พบว่าสารประกอบฟีนอลลดลงประมาณ 11%

อย่างไรก็ตามสำหรับความร้อนจากไมโครเวฟ และความร้อนจากการอบ ส่งผลต่อสารประกอบฟีนอล ในน้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้า เวอร์จิ้น น้อยกว่าการต้มที่อุณหภูมิ 100 °C ประมาณ 40-80 นาที หรือการทอด 180 °C เป็นเวลา 1-5 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้การทำอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้นด้วยไมโครเวฟที่ไม่เหมาะสมก็ไม่แนะนำเช่นกันค่ะ และทั้งหมดนี้คือสาระเกี่ยวกับ น้ำมันมะกอก เอกซ์ตร้าเวอร์จิ้น นำมาปรุงอาหารร้อนได้มั้ย? กินอย่างไรไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ที่ HealthyBestCare นำมาฝากวันนี้ ครั้งหน้าจะมาแชร์ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก และวิธีเลือกซื้อน้ำมันมะกอกกันค่ะ แล้วพบกันฉบับหน้านะคะ 

บทความที่เกี่ยวข้อง

น้ำมันมะกอกช่วยลดน้ำหนักและป้องกันโรคเบาหวาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9003415/

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6770785/

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8178302/

By HealthyBestCare

แชร์ให้เพื่อน

9 ประโยชน์ของชามะรุม มะนาว น้ำผึ้ง ที่หลายคนยังไม่เคยรู้

แชร์ให้เพื่อน

9 ประโยชน์ของชามะรุม มะนาว น้ำผึ้ง ที่หลายคนยังไม่เคยรู้

วันนี้เราชวนดื่มชามะรุมน้ำผึ้ง มะนาว ที่หลายคนยังไม่เคยรู้ในสรรพคุณของมะรุม  ชามะรุมมะนาว น้ำผึ้งเป็นสมุนไพรแต่ไม่ใช่ยารักษาโรค หลายๆคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า ชามะรุมที่เรานำมาชงเป็นชาบรรจุซองสำเร็จแค่เรานำซองใส่แก้วเติมน้ำร้อนลงไป ต่อด้วยน้ำผึ้ง มะนาว ช่วยให้รสชาติกลมกล่อมมากขึ้น แค่นี้เราก็ได้ชามะรุมพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพแล้ว หากใครที่เป็นโรคเบาหวานอาจต้องงดน้ำผึ้ง ใส่น้ำมะนาวลงไปแทนได้เช่นกัน

ต้นมะรุมนิยมปลูกริมรั้ว  ต้นสูงแต่ไม่มีรากแก้ว จัดเป็นผักพื้นบ้านกินได้มีประโยชน์ตั้งแต่รายันใบอ่อน บางตำราบอกว่าห้ามปลูกต้นมะรุมในบริเวณบ้านเพราะจะทำให้มีปัญหามะรุมมะตุ้มตามมาแก้ไขยาก แต่เท่าที่เราสังเกตได้ต้นมะรุมไม่มีรากแก้วจึงล้มง่ายอาจทับบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเสียหายได้ จึงมีความเชื่อว่าห้ามปลูกไว้ในบริเวณบ้านนั่นเอง มะรุมกินได้ทั้งใบอ่อนนำมาต้มจิ้มน้ำพริก ฝักอ่อนนำมาต้มจิ้มน้ำพริกรสชาติคล้ายถั่วฝักยาว ฝักแก่น้ำมาแกงส้ม แกงกะทิอร่อยนักแล

 

เรามาดู 9 ปประโยชน์ชองชามะรุม มะนาวน้ำผึ้ง

  1. ดื่มชามะรุมช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงเนื่องจากในมะรุมมีสารแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง
  2. ดื่มชามะรุมช่วยชะลอวัย ชะลอแก่เนื่องจากมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ
  3. ดื่มชามะรุมช่วยลดและปรับระดับน้ำตาลในเลือดลดการใช้ยาคุมน้ำตาลลงได้
  4. ดื่มชามะรุมช่วยปรับสมดุลร่างกายเนื่องจากมีแร่ธาตุโพแทสเซียมทั้งยังช่วยควบคุมความดันโลหิตอีกด้วย
  5. ดื่มชามะรุมช่วยลดระดับไขมันในเลือด
  6. ดื่มชามะรุมช่วยบำรุงสายตาเนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินเอสูง
  7. ดื่มชามะรุมช่วยระบบขับถ่ายเนื่องจากออกฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆป้องกันโรคมะเร็งลำไส้
  8. ดื่มชามะรุมช่วยบำรุงปอดและตับให้แข็งแรงและบางตำราช่วยรักษาอาการหอบหืดได้
  9. ดื่มชามะรุมช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงจึงถูกนำไปใช้สำหรับผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์นั่นเอง

มะรุมนอกชานำมาทำชาชงดื่มแล้วยังนิยมนำใบมาต้มจิ้มน้ำพริกและผักอ่อนก็ต้มจิ้มน้ำพริกเช่นกัน ฝักแก่สามารถนำมาทำแกงส้มมะรุม แกงกะทิมะรุมอีกด้วย

อ่านบทความด้านสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ HealthyBestCare

แชร์ให้เพื่อน

5 ผลไม้ไม่ควรกินก่อนนอน เสี่ยงปวดท้อง นอนไม่หลับ

แชร์ให้เพื่อน

5 ผลไม้ไม่ควรกินก่อนนอน เสี่ยงปวดท้อง นอนไม่หลับ

ผลไม้เป็นอาหารที่วิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายหลาย แต่ผลไม้บางชนิด เหมาะกับการรับประทานตอนเช้า ผลไม้บางอย่างก็เหมาะกับการกินก่อนนอน เพราะอาจจะมีวิตามินเกลือแร่ที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับง่าย และผลไม้บางอย่างก็ไม่ควรกินก่อนนอน วันนี้ HealthyBestCare จะชวนคุณผู้อ่านมาดู 5 ผลไม้ไม่ควรกินก่อนนอนเรามาดูกันเลยค่ะ

  • ส้ม (Orange)

ส้มเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิต้านทาน และเสริมสร้างคอลลาเจนให้ร่างกาย อ่านต่อได้ใน10 ผลไม้วิตามินซีสูง เสริมภูมิต้านทาน เสริมสร้างคอลลาเจน แคลอรี่ต่ำ กินได้ไม่อ้วน (trueid.net) แต่ส้มเป็นผลไม้ที่มีความเป็นกรดซึ่งจะไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร จึงเสี่ยงที่จะทำให้มีอาการปวด จุก เสียดท้อง ระหว่างการนอนหลับ นอกจากนั้นส้มบางชนิดยังมีรสหวาน และน้ำตาลมาก จึงอาจจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลก่อนนอนมากเกินไปดังนั้นส้มจึงเป็นผลไม้ที่ไม่ควรกินก่อนนอน


  • สับปะรด (Pineapple)

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์บรอเมเลน (Bromelain) ที่มีฤทธิ์ทางยา ดีต่อสุขภาพ อ่านต่อได้ใน อย่าพลาด! 5 สรรพคุณทางยาของสับปะรด แต่อย่างไรก็ตาม สับปะรดมีฤทธิ์เป็นกรดเช่นเดียวกับส้ม ดังนั้นการกินสับปะรดก่อนนอน จึงเป็นการกระตุ้นระบบย่อยอาหาร จึงเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวด จุก เสียดท้อง ระหว่างการนอน ดังนั้น จึงไม่ควรกินสับปะรดก่อนนอน แต่ถึงแม้สับปะรดจะไม่ควรกินก่อนนอน แต่สับปะรดก็เหมาะกับหลายโรค เช่น โรคไซนัสอักเสบ ข้อเข่าอักเสบ อ่านต่อได้ใน 7 โรคที่ควรกินสับปะรด ประโยชน์เยอะจนต้องทึ่ง


 

  • เกรปฟรุ้ต (Grapefruit)

เกรปฟรุ้ต เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก คนส่วนใหญ่นิยมกินเกรปฟรุ้ตตอนเช้า ซึ่งจะดีต่อระบบขับถ่าย และทำให้รู้สึกสดชื่นอีกด้วย แต่เกรปฟรุ้ต เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรกินก่อนนอน เนื่องจากเกรปฟรุ้ตเป็นผลไม้มีรสเปรี้ยว มีกรดมาก จึงอาจจะไปกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก จนอาจจะส่งผลให้เกิดอาการ ปวด จุก เสียดท้องได้เช่นเดียวกับ ส้ม และสับประรด สำหรับประโยชน์ของเกรปฟรุ้ต HealthyBestCare เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนะคะ 


  • แตงโม (Watermelon)

สำหรับแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเป็นหลัก มีแคลอรี่น้อย จึงดีสำหรับคนที่ต้องการควบคุม หรือ ลดน้ำหนัก แต่เพราะแตงโมมีน้ำเยอะ การกินแตงโม จึงต้องปัสสาวะบ่อย ดังนั้นใครที่ไม่อยากลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ก็ไม่ควรกินแตงโมก่อนเข้านอน โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจจะทำให้ปัสสาวะรดที่นอนได้


  • ทุเรียน (Durian)

ทุเรียนเป็นราชาผลไม้ที่มีรสชาติหวาน มันอร่อย  แต่ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน แถมยังมีพลังงานมหาศาล ซึ่งหากกินทุเรียนปริมาณมากก่อนนอน อาจจะทำให้รู้สึกอึดอัด ร้อนตามตัว สำหรับคนที่เป็นเบาหวาน อาจจะเสี่ยงที่จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และช็อกได้ อ่านต่อ 5 โรคไม่ควรกินทุเรียน กินเยอะต้องระวัง! (trueid.net)

ทั้งหมดนี้คือ 5 ผลไม้ไม่ควรกินก่อนนอน ที่ HealthyBestCare มาฝากวันนี้ ยังมีผลไม้รสเปรี้ยวบางชนิดเช่นมะนาวมะนาวเหลืองซึ่งไม่ควรกินก่อนนอนเช่นกันแต่ที่ไม่ได้รวมเข้าไปเพราะส่วนใหญ่เราก็ไม่ได้กินมะนาวหรือมะนาวเหลืองในปริมาณมากเราเพียงนำมาปรุงอาหารเล็กๆน้อยๆซึ่งก็อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายเท่าไรนักถ้าชอบบทความของเราฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะแล้วพบกันใหม่ค่ะ

By HealthyBestCare

แชร์ให้เพื่อน