เจาะลึก 5 โรคที่ควรกิน”กระเจี๊ยบเขียว”

แชร์ให้เพื่อน

เจาะลึก 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียว” 

กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อเรียกมากมายตามท้องถิ่นนั้น เช่น okra หรือ แถบอังกฤษเรียกว่า lady’s finger กระเจี๊ยบเขียวคาดว่ามีต้นกำเนิดจากประเทศเอธิโอเบีย ทวีปแอฟริกา ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเขตร้อน บางพื้นที่ในประเทศเอธิโอเปีย นิยมให้หญิงตั้งครรภ์รับประทานกระเจี๊ยบเขียว เพื่อบำรุงครรภ์และลดอาการอ่อนเพลีย ซึ่งผู้หญิงหลายคนก็บอกว่าได้ผลดี วันนี้เราจะชวนคุณผู้อ่านมาดู เจาะลึก 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวโดยเนื้อหาในบทความส่วนใหญ่ ผู้เขียนอ้างอิงจากงานวิจัยของต่างประเทศ เรามาดูกันค่ะว่าโรคอะไรที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวบ้าง ?

5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียว” 

1.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคเบาหวาน

ในกระเจี๊ยบเขียวมีโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccaride) และเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าเส้นกระแสเลือดได้ดี โดยจากการวิจัยกับสัตว์ทดลองที่ประเทศจีน พบว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยลดทั้งน้ำตาลในเลือด และยังช่วยให้ภาวะแทรกซ้อนที่ไตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคกระเพาะอาหาร

เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียว เวลาต้มจะทำให้มีเมือกออกมามาก ซึ่งในเมือกของกระเจี๊ยบเขียวมีฤทธิ์ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ดี จากงานวิจัยพบว่าสารที่อยู่ในเมือกของกระเจี๊ยบเขียวออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยา Omeprazole ที่เป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหารนั่นเองค่ะ

3.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคไขมันในเลือดสูง

เนื่องจากในกระเจี๊ยบเขียวมีปริมาณของเส้นใยอาหารจำนวนมาก โดยในกระเจี๊ยบเขียว 100 กรัม มีเส้นใยอาหารมากถึง 3,2 กรัม หรือประมาณ 13% ทำให้กระเจี๊ยบเขียวช่วยลดไขมันในเลือดได้อย่างดี ประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขมันในเลือดสูงของกระเจี๊ยบเขียวถึงขนาดที่เว็บไซด์มหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกแนะนำให้คนที่มีไขมันในเลือดสูงรับประทานกระเจี๊ยบเขียวเพิ่มขึ้นเลยนะคะ

4.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคอ่อนเพลีย (Fatique)

จากข้อมูลงานวิจัยพบว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย (Fatique) ได้ โดยจากการให้สัตว์ทดลองรับประทานน้ำกระเจี๊ยบเขียวต่อเนื่องพบว่า สัตว์ทดลองมีแรงในการทำกิจกรรมมากขึ้น ลดอาการอ่อนเพลีย และจากการศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ที่ประเทศเอธิโอเปียหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานกระเจี๊ยบเขียวอย่างต่อเนื่องมีอาการอ่อนเพลียน้อยลง สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จึงช่วยลดอาการอ่อนเพลียก็เป็นได้ แต่จากรายงานการทดลอง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสารตัวใดในกระเจี๊ยบเขียวที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย

5.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคท้องผูก

โรคท้องผูกถือเป็นหนึ่งในปัญหาของหลายๆคนในกระเจี๊ยบเขียวมีเมือกและเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงทำให้กระเจี๊ยบเขียวสามารถช่วยรักษาโรคท้องผูกได้ดีทีเดียวค่ะ

และทั้งหมดนี้คือ 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวอย่างที่เรากล่าวตั้งแต่ต้นว่ากระเจี๊ยบเขียวถูกนำไปใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งนอกจากประโยชน์ในการรักษา 5 โรคดังกล่าวแล้ว กระเจี๊ยบเขียวยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูกและจากงานวิจัยยังพบว่าการรับประทานกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยในการควบคุมและลดน้ำหนักได้อย่างดีอีกด้วยใครที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวก็อย่าลืมจัดกระเจี๊ยบเขียวจิ้มน้ำพริกสักเดือนดูนะคะวันนี้ขอลาไปก่อนแล้วพบกันฉบับหน้าค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก

Okra ameliorates hyperglycaemia in pre-diabetic and type 2 diabetic patients: A systematic review and meta-analysis of the clinical evidence – PMC (nih.gov)

Antioxidant and Anti-Fatigue Constituents of Okra – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

รู้หรือยัง ? หว้า (Jambolan ) มีประโยชน์มากตั้งแต่รากยันผล พืชสมุนไพรสรรพคุณล้านแปด

แชร์ให้เพื่อน

รู้หรือยัง ? หว้า (Jambolan ) มีประโยชน์มากตั้งแต่รากยันผล พืชสมุนไพรสรรพคุณล้านแปด

หว้า เป็นต้นไม้ยืนต้นแถบเอเชีย ผลหว้าเป็นสีม่วงออกเป็นพวง   รสชาติมีทั้งแบบหวาน หวานผสมฝาด มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษหลายชื่อตามท้องถิ่นนั้น เช่น jambolan,  jamun, jambul, jambolao, Java plum, Indian blackberry, and black plum หว้าจะออกผลและสุกช่วงเดือน มิถุนายน ถึงเดือน กรกฎาคม หว้ามีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันผล วันนี้เราจะชวนคุณไปดูประโยชน์ของต้นหว้า ลูกหว้า ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง

ในอดีตมีการใช้ส่วนต่างๆของหว้าเป็นสมุนไพรในการรักษาโรคเช่น

  • ใช้น้ำจากผลหว้า ในการรักษาโรคเบาหวาน  แก้อาการท้องเสีย
  • เมล็ดหว้า นำมาบดใช้ในการรักษาแผล และรักษาโรคเบาหวาน
  • ใบหว้า นำมาต้มรักษาโรคเบาหวาน
  • ใบหว้านำมาบดคั้นเอาน้ำ เพื่อใช้บำบัดอาการติดฝิ่น
  • ใบหว้า นำมาเคี้ยวเพื่อรักษาอาการดีซ่านในเด็ก และผู้ใหญ่
  • เปลือกของต้นหว้า นำมาต้มกับน้ำ ใช้รักษาโรคเบาหวาน แก้อาการท้องเสีย ช่วยเจริญอาหาร เป็นยานอนหลับ แก้อาการปวดศีรษะ

คุณค่าทางสารอาหารของผลหว้า

สำหรับผลหว้า อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดตามส่วนต่าง ๆ ของหว้า เช่น ในใบ ต้น ผลหว้า นอกจากนั้นในเมล็ดยังอุดมไปด้วยกรดไขมันไลโนเลอิก จำนวนมาก ในผลหว้า พบสารต้านอนุมูลอิสระ  anthocyanins,  tannins, phenolic acids, gallic acid, ellagic acid, carotenoids, flavonoids, myricetin 

ในอดีตมีการใช้หว้ามารักษาโรคในหลายพื้นที่ เช่น ที่ทิเบต อินเดีย ปากีสถาน ต่อไปเรามาดูผลการวิจัยปัจจุบันเกี่ยวกับหว้า ว่ามีสรรพคุณตามตำรายาแผนโบราณดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ ?

1.สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในหว้า

จากการนำส่วนต่าง ๆ ของหว้ามาสกัด พบสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญหลายตัว เช่น ส่วนของใบพบ ascorbic acid, total phenolics, และ anthocyanins ซึ่งมีผลยับยั้งแผลในกระเพาะอาหารในสัตว์ทดลอง ส่วนของลำต้น และผลพบสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่รอการวิจัยต่อไป

2.ประโยชน์ของหว้า ในการลดการอักเสบ

สกัดสารในผลของลูกหว้าช่วยลดการอักเสบได้มากถึง 68.9% เมื่อเทียบกับยาไดโคลฟีแนก (Diclofenac) ที่เป็นยาช่วยการอักเสบประมาณ 75,1% สารสกัดจากใบหว้าช่วยลดทั้งการอักเสบซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นข้อมูลทดลองกับสัตว์ทดลองเท่านั้น

3.ประโยชน์ของหว้าในการป้องกันมะเร็ง

สารสกัดในผลหว้า anthocyanins ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่มะเร็งปอดในสัตว์ทดลองได้จริง

4.ประโยชน์ของหว้าในการลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ

สาร ฟลาโวนอยด์ ที่สกัดจากเมล็ด  สามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้นอกจากนั้นสารที่อยู่ในผลหว้ายังสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย

5.ประโยชน์ของหว้าในการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

อัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มมากถึง 80% โดยเฉพาะในเอเชียใต้ และคาดว่าจะเพิ่มมากถึง 150% ตั้งแต่ปี 2000-2035 จากการนำส่วนต่างๆของหว้ามาสกัดเพื่อดูความสามารถในการป้องกันโรคเบาหวานในสัตว์ทดลองผลเป็นดังนี้

  • สารสกัดจากผลหว้า ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านโรคเบาหวาน
  • สารสกัดจากเมล็ด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกับสารสกัดจากผล นอกจากนั้นสารสกัดจากเปลือกต้นก็ให้ผลในการลดน้ำหนักในสัตว์ทดลองเช่นเดียวกัน และมีบางงานวิจัยที่บอกว่า สารสกัดจากเมล็ดหว้าให้ผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
  • สารสกัดจากใบหว้า ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดี ซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นข้อมูลกับสัตว์ทดลองเท่านั้น

6.ประโยชน์ของหว้าในการรักษาอาการท้องเสีย

สารต้านอนุมูลอิสระ tannins ที่พบในหว้า สามารถช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้

จากงานวิจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าหว้ามีประโยชน์ที่ใช้ในการรักษาและป้องกันได้หลายโรคเช่นโรคเบาหวานไขมันในเลือดสูงป้องกันมะเร็งซึ่งนี่เป็นเพียงข้อมูลการวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวประโยชน์ของหว้าเท่านั้นเราคงต้องหันกลับมาให้ความสนใจอาหารใกล้ตัวที่บางอย่างก็สามารถช่วยรักษาและป้องโรคได้ถ้ามีอะไรอัปเดตแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ

ปล. ผู้เขียนเก็บลูกหว้ากินตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าอาหารบ้านๆจะสามารถต้านโรคได้มากมายขนาดนี้

อ้างอิง

Phytochemical Profile, Biological Properties, and Food Applications of the Medicinal Plant Syzygium cumini – PMC (nih.gov)

Syzygium cumini (L.) Skeels: A review of its phytochemical constituents and traditional uses – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

7 ประโยชน์ของใบชะพลู สมุนไพรประจำบ้าน

แชร์ให้เพื่อน

7 ประโยชน์ของใบชะพลู สมุนไพรประจำบ้าน

ต้นชะพลูเป็นต้นพืชเตี้ยๆชอบขึ้นตามดินชื้นแฉะ ขยายพันธ์ได้รวดเร็ว ใบเรียวคล้ายใบพลู มีกลิ่นฉุน  นิยมกินเป็นพืชผักสมุนไพรลดความคาวของอาหาร มีสรรพคุณหลากหลายต่อร่างกาย ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

สรรพคุณ​ประโยชน์ทางสมุนไพรของใบชะพลูมีดังต่อไปนี้คือ
1ใบชะพลูเป็นสมุนไพรช่วยลดอาการแน่น อึดอัดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จากอาการจุกเสียด มีสามารถใช้ใบต้มดื่มเพื่อช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้
2.ใบชะพลูมีฤทธิ์​ทางยาช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยใช้ใบชะพลูต้มน้ำดื่มแทนชา กาแฟ ทั้งนี้ควรควบคุมอาหารด้วยเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
3.ลำต้นหรือดอกช่วยลดเสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง โดยใช้ลำต้นและดอกนำมาต้มในน้ำเดือด ดื่มหลังอาหารวันละ 3 ครั้ง หลังเวลา
4.ใบชะพลูช่วยลดกลิ่นปากได้ดี เก็บใบชะพลูมา3ใบเคี้ยวกลืนช่วยให้ลมหายใจสดชื่น ลดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
5.ใบชะพลูช่วยประคบแผลอักเสบ ปวดบวมจากการกระแทก โดยใช้ใบชะพลูต้มให้ร้อนใช้ผ้าห่อ ประคบตรงแผลฟกช้ำ แถมลดอาการปวดทุเลาลงได้อีกด้วย
6.รากใบชะพลูนำมาผึ่งแดดให้แห้ง ฝนกับหินละลายน้ำ ใช้เช็ดตัวเด็กเวลามีไข้สูง หรืออาบสำหรับผู้ที่มีอาการผื่นคันจากลมพิษ
7.ใบชะพลูมีเส้นใยและกากอาหาร ช่วยระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก

เมนูอาหารของใบชะพลูได้แก่
1.เมี่ยงคำ เป็นเมนูที่ได้รับความนิยม เป็นอาหารทางภาคเหนือ กินอร่อย เคี้ยวเพลิน ลมหายใจ เย็น สดชื่น
2.เมนูเมี่ยงปลาเผา หมู ปลาทู หอยแครง ลาบ น้ำตก ช่วยลดกลิ่นคาวได้ดีมากๆ
3.เมนูไขเจียวใบชะพลู เป็นเมนูที่ทำง่ายๆแต่ดีต่อสุขภาพทั้งได้ประโยชน์จากไข่และสมุนไพรใบชะพลูอีกด้วย
4.เมนูชาใบชะพลู เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

แม้ว่าใบชะพลู​จะมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร เราควรกินแต่พอประมาณ ควรเลือกรับประทานให้หลากหลายครบห้าหมู่คะ

หากชอบบทความอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามเราได้นะคะ จะได้ไม่พลาดบทความใหม่ด้านสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

ตะลึง  มะระ มีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันใบ

แชร์ให้เพื่อน

ตะลึงมะระ” มีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันใบ

ประโยชน์ของมะระ เราเคยได้ยินมานานว่าสามารถต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ โรคเอดส์ได้ วันก่อนได้ไปอ่านงานวิจัยของต่างประเทศเกี่ยวกับประโยชน์ของมะระถึงกับต้องอยากมาแชร์รัวๆเราไปดูกันค่ะว่ามะระมีประโยชน์อะไรบ้าง

10 ประโยชน์ของมะระ

1.มะระมีฤทธิ์ทางยา ใช้รักษาโรคเบาหวาน

ในหลายประเทศที่มีการใช้มะระเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานและมีการใช้มานานนับพันปีเพราะมะระมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและยังช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายซึ่งก็จะช่วยให้คนที่เป็นเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดียิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามคนที่กำลังกินยารักษาเบาหวานต้องระวังน้ำตาลจะลดลงมากเกินปกติจนอยู่ในระดับน้ำตาลต่ำได้นะคะ

2.มะระอุดมด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ

มะระมีสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับผักและผลไม้ชนิดอื่น แต่ในมะระจะอุดมด้วย ซาโปนิน (Saponins) และฟีโนลิก (Phenolics) ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยปล่อยอนุมูลอิสระ  นอกจากนั้นมะระยังเป็นผักที่ให้พลังงานน้อย เส้นใยมาก และยังอุดมไปด้วยวิตามินซี และโฟเลต หรือ วิตามินบี 9

โดยในมะระ 100 กรัม ให้พลังงาน 37 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยอาหาร 2,8 กรัม มีวิตามินซีมากถึง 84 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 105% ของปริมาณวิตามินซีที่แนะนำต่อวัน และโฟเลต 36%ของปริมาณที่แนะนำต่อวันซึ่งถือว่ามะระให้คุณค่าทางสารอาหารสูงมาก

3.สารสกัดจากมะระสามารถต้านเชื้อไวรัสได้

จากรายงานการวิจัยในห้องทดลองพบว่าสารสกัดจากใบและลำต้นของมะระมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อไวรัสได้หลายชนิด เช่น ไรวัส  SINV ที่ระบาดมากในแอฟริกาใต้และยุโรปเหนือ มะระมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส HSV-1ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเริม  สารสกัดจากรากของมะระมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์

4.สารสกัดในมะระสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้

จากการสกัดสกัดน้ำมันจากเมล็ดมะระพบว่า สารในเมล็ดสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ เช่น เชื้อ S. Aureus ซึ่งเชื้อแบคทีเรียตัวนี้สามารถพบได้ตามผิวหนังของคน แต่ก็อาจจะปล่อยสารพิษออกมาทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ แต่จากการทดลองพบว่า สารสกัดจากเมล็ดมะระให้ผลในการต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ได้น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของมะระ

5.มะระช่วยป้องกันการอักเสบของเซลล์สมอง

มะระช่วยลด Oxidative stress ที่เป็นสาเหตุของการอักเสบของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์สมอง ซึ่งจากการทดลองพบว่ามะระช่วยป้องกันการอักเสบของเซลล์สมองได้ดีซึ่งก็คาดว่าจะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน

6.มะระช่วยต้านมะเร็ง

จากการทดลองสกัดสารที่อยู่ในผลและเมล็ดของมะระพบว่า สามารถต้านมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเมล็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง มะเร็งต่อมลูกหมาก  สารสกัดในใบมะระพบว่าสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของมะเร็งต่อมลูกหมากและสารสกัดจากน้ำมะระช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับอ่อนได้

7.มะระช่วยลดไขมันในเลือด

การรับประทานมะระจะช่วยลดไขมันในเลือดชนิดเลว หรือ LDL และจะช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL มะระถือเป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดไขมันในเลือด

8.มะระช่วยเสริมภูมิต้านทาน

มะระช่วยเสริมภูมิต้านทานโดยในมะระพบวิตามินซีปริมาณมากซึ่งวิตามินซีก็สามารถช่วยเสริมภูมิต้านทานได้เช่นกัน

9.มะระช่วยสมานแผล

จากการทดลองใช้ขี้ผึ้งที่สกัดจากมะระไปทาแผลเบาหวานในหนูทดลองพบว่าแผลเบาหวานในหนูทดลองหายได้เร็วกว่าปกติดังนั้นจึงคาดว่ามะระมีฤทธิ์ช่วยสมานแผลได้ด้วย

10.ประโยชน์อื่น ของมะระ

นอกจากนี้ยังพบว่า มะระยังช่วยควบคุมความดัน ช่วยต้านเชื้อ H.Pyroli ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและเป็นหนึ่งในเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารตามมา

และทั้งหมดนี้คือ ประโยชน์ทั้งหมดของมะระ เรียกได้ว่า มะระมีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันผลก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก รู้แบบนี้แล้วครั้งต่อไปก็อย่าลืมรับประทานต้มจืดมะระ ก๋วยเตี๋ยวไก่ใส่มะระ กุ้งแช่น้ำปลาก็อย่าเขี่ยมะระทิ้งกันนะคะ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้มะระจะมีประโยชน์มาก แต่มะระก็มีโทษเช่นกัน ซึ่งคนที่มีโรคบางชนิดก็ต้องระวังเช่นกัน แล้ววันหลังจะนำมาฝากกันใหม่ ฝากกดไลก์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

อ้างอิงข้อมูล

Recent Advances in Momordica charantia: Functional Components and Biological Activities – PMC (nih.gov)

Bitter Melon (Momordica Charantia), a Nutraceutical Approach for Cancer Prevention and Therapy – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

รู้ก่อนกิน อาหารเสริม วิจัยใหม่ชี้ ”สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเสริม ช่วยเพิ่มเซลล์มะเร็ง”

แชร์ให้เพื่อน

รู้ก่อนกิน วิจัยใหม่ชี้สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเสริม ช่วยเพิ่มเซลล์มะเร็ง

ที่ผ่านมาสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซี ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยต้านโรคมะเร็ง แต่จากงานวิจัยล่าสุด พบว่า สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเสริม ช่วยเพิ่มเซลล์มะเร็ง ทำให้มะเร็งแพร่กระจายเร็วยิ่งขึ้น

สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและเกลือแร่ พบได้ในผักผลไม้ตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าคนปกติก็จะได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอ แต่ในบางคนต้องการกินอาหารเสริม เพราะเข้าใจว่า สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเสริมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรคมะเร็งอีกหลายเท่า แต่จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า  สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารเสริม ช่วยเพิ่มเซลล์มะเร็งและทำให้มะเร็งแพร่กระจายเร็วยิ่งขึ้น

ในงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี และวิตามินเอ ช่วยเร่งการเจริญเติบโต และแพร่กระจายมะเร็งปอด จากการที่เพิ่มการสร้างโปรตีน BACH1  โดยจากรายงานการวิจัยของ นายแพทย์ Martin Bergö มหาวิทยาลัยแคโรลินสก้า ประเทศสวีเดน พบว่า โปรตีน BACH1 จะถูกกระตุ้นเมื่ออนุมูลอิสระมีปริมาณลดลง  ตัวอย่างเช่น การรับประทานอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ไปลดอนุมูลอิสระที่มากเกินไป จะทำให้ร่างกายกระตุ้นการสร้างโปรตีน BACH1 และจะส่งผลให้เกิดการสร้างหลอดเลือดขนาดเล็กเพื่อไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งเพิ่มมากขึ้น

จากงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า เซลล์มะเร็งจะสร้างหลอดเลือดเพิ่มเมื่อเซลล์ได้รับออกซิเจนต่ำ แต่จากรายงานวิจัยฉบับใหม่ พบว่า เซลล์จะสร้างหลอดเลือดเพิ่มแม้เซลล์จะได้รับออกซิเจนในปริมาณปกติ โดยจากการวิจัยเพาะเชื้อมะเร็งในสัตว์ทดลอง พบว่าบริเวณที่เซลล์มะเร็งเจริญได้ดีคือ บริเวณที่ได้รับอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ หรือ บริเวณที่มีการสร้างโปรตีน BACH1 มากเกินไปและพบว่าบริเวณดังกล่าวจะมีการสร้างหลอดเลือดเพิ่มเพื่อมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งมากขึ้น

ในครั้งต่อไปทางทีมวิจัยจะทำการวัดระดับออกซิเจน และปริมาณของอนุมูลอิสระว่าที่ระดับใด ที่ทำให้เซลล์สร้างโปรตีน BACH1 มากขึ้นนอกจากนั้นจะมีการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมมะเร็งที่ไตและมะเร็งผิวหนังต่อไป

อย่างไรก็ตามผู้เขียนเคยอ่านเจอข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระบางชนิด เช่น สารต้านอนุมูลอิสระจากขมิ้นชัน หากผู้ป่วยเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็ง ก็จะไปเร่งปฏิกิริยาให้มีการสร้างเซลล์มะเร็ง และผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง ก็อาจจะไปเร่งให้มะเร็งมีการแพร่กระจายมากขึ้นได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้ อาจจะต้องกินปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษามะเร็งว่าสามารถกินอาหารเสริมเหล่านั้นได้หรือไม่ ? เพราะยา หรือ อาหารเสริมบางอย่างอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก

Antioxidants stimulate blood flow in tumours | Karolinska Institutet Nyheter (ki.se)

แชร์ให้เพื่อน

  10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

แชร์ให้เพื่อน

10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดทั่วโลก วันนี้เราจะมารู้จัก 10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งผลไม้เหล่านี้เป็นผลไม้ที่มีการเก็บข้อมูลและวิจัยว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีเรามาดูกันเลยค่ะ

1.แอปเปิ้ล (Apple)

แอปเปิ้ลมีมากมายหลายสายพันธุ์ เช่น แอปเปิ้ลฟูจิ แอปเปิ้ลกาล่า ซึ่งแต่ละชนิดก็มีแคลอรี่ต่างกันเล็กน้อย เช่น ฟิจิจะให้แคลอรี่มากกว่ากาล่า จากรายงานการวิจัย ระบุว่า การรรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก สามารถช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง อย่างสโตรก  เนื่องจากการรับประทานแอปเปิ้ลช่วยลดระดับไขมันในเลือดโคเลสเตอรอล (Cholesterol) และไขมันชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) นอกจากนั้นยังช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตได้ เนื่องจากในเนื้อและเปลือกแอปเปิ้ลมีโฟลีฟีนอล (polyphenols) และสาร pectin ในเปลือกของแอเปิ้ล ที่ช่วยลดความเสี่ยงไขมันเกาะที่เส้นเลือด  อย่างไรก็ตามจากรายงานพบว่าการดื่มเฉพาะน้ำแอปเปิ้ล ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เช่นการรับประทานแอปเปิ้ลทั้งลูกรวมทั้งเปลือกแอปเปิ้ลของแอปเปิ้ลด้วย


2.อโวคาโด (Avocado)

อโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย และไขมันเชิงเดี่ยวที่จำเป็นต่อร่างกายจำนวนมาก จากรายงานการวิจัยพบว่า การรับประทานอโวคาโด จะช่วยลดไขมันในเลือดอย่างโคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันชนิดเลว LDL และช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL โดยจากรายงานการวิจัยพบว่าสาร quercetin ที่มีประสิทธิภาพช่วยลดไขมันในเลือด และ acetogenin ช่วยป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นอโวคาโดจึงเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ได้ผลดี อโวคาโดมีรสชาติค่อนข้างมัน อาจจะยากต่อการรับประทานเดี่ยว ดังนั้นการนำอโวคาโดมาใส่รวมกับสลัดจะทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น

 

3.องุ่น (Grape)

องุ่น เป็นผลไม้มีรสหวาน องุ่นเป็นผลไม้ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะฟลาวาโนล (flavanols) ที่อยู่ในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์( flavonoids) ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมองได้ดีเช่นเดียวกับ แอปเปิ้ล อโวคาโด ซึ่งจากรายงานการวิจัยให้ผู้ป่วยสโตรกกินองุ่นเป็นประจำพบว่า การบาดเจ็บที่สมองลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ สารต้านอนุมูลอิสระในองุ่นช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือดสูง ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และลดการอักเสบของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจ จากรายงานการวิจัยพบยังพบอีกว่าสารสกัดจากเปลือกองุ่นนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้ป่วยเบาหวานเช่นกัน

4.มะม่วง (Mango)

จากรายงานวิจัยพบว่า มะม่วงเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากมะม่วงประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อย่างวิตามินซี แคโรทินอยด์ (carotenoids) โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน และโฟลิฟีลิก (polyphenolic) ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีนอกจากนั้นในมะม่วงยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแต่มะม่วงจะมีน้ำตาลและพลังงานค่อนข้างมากดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป

5.ส้ม (Oranges)

ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จำนวนมาก และมีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่าส้มเป็นผลไม้ที่สามารถป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากการรับประทานส้มจะช่วยลดสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ช่วยลด Oxidative stress ลดระดับน้ำตาลในเลือดลดไขมันและความดันในเลือดสูงรวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน

จากรายงานวิจัยของต่างประเทศพบว่าการดื่มน้ำส้มที่ผลิตและบรรจุขวด ให้ผลในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีกว่าการรับประทานน้ำส้มคั้นสด ซึ่งคาดว่า ในกระบวนการเก็บรักษาน้ำส้มช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสารต้านอนุมูลอิสระ flavanones, carotenoids และ melatoninในน้ำส้มมากกว่าเดิมแต่ทั้งนี้ในการเลือกรับประทานน้ำส้มสำเร็จรูปอาจจะต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไปด้วย

6.กีวี (Kiwi)

กีวีเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยในกีวีอุดมไปด้วยวิตามินอี เค และวิตามินซี รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง flavonols และ anthocyanidins นอกจากนั้นในบางงานวิจัยยังพบว่าในกีวียังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง flavonoids, carotenoids and phenolic โดยจากงานวิจัยของต่างประเทศที่ทดลองให้คนกินกีวีวันละ 2 ลูกเป็นเวลา 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการที่กีวีสามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้ดี ส่งผลให้กีวี เป็นผลไม้ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากกีวีไปช่วยลดความเสี่ยงไขมันอุดตันตามเส้นเลือด จึงทำให้กีวีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

อีกหนึ่งงานวิจัยที่สนับสนุนว่า กีวีเป็นผลไม้ป้องกันโรคไขมันและหลอดเลือด คือการทดลองให้คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงในระดับปานกลาง กินกีวีวันละ 3 ลูกพบว่าความดันโลหิตลดลง

ซึ่งจากหลายงานวิจัยสรุปว่า กีวีอุดมไปด้วยวิตามิน เส้นใย และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดระดับไขมันในเลือดโดยเฉพาะไตรกลีเซอรไรด์ เพิ่มไขมันดี HDL ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และช่วยลดความดันโลหิตสูง ทำให้กีวีเป็นผลไม้ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ดี

7.ทับทิม ( Pomegranate)

ทับทิมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ป้องโรคหลอดเลือดและหัวใจ โดยจากการทดลองในหนูทดลองพบว่า ทับทิมช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากทับทิมช่วยลดการอักเสบ และ Oxidative stress ในผนังเส้นเลือดได้ดี โดยสารต้านอนุมูลอิสระตัวหลักที่พบในทับทิม คือ Punicalagina ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจโดยเฉพาะโรคหัวใจขาดเลือดช่วยลดความดันโลหิตและยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณส่วนปลายได้ดีอีกด้วย

8.มะละกอ (Papaya)

มะละกอเป็นอีกหนึ่งผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่มีงานวิจัยรองรับ โดยในเนื้อมะละกอพบทั้งวิตามิน เอ บีรวม ซี และอี  pantothenic acid, folic acid และเกลือแร่อย่างแมกนีเซียม และโพแทสเซียม ที่ทำให้มะละกอเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี โดยเฉพาะโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมองอย่าง สโตรก สิ่งที่น่าสนใจคือการกินมะละกอดิบจะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดีกว่าการกินมะละกอสุก ซึ่งความดันโลหิตสูงก็เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นการกินมะละกอจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีเช่นเดียวกัน


9.สับปะรด (Pineapple)

สับปะรดเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด สับปะรดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร phytochemicals อย่าง bromelain, gallic acid, catechin, epicatechin และ ferulic acid ซึ่งจากหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่า การกินสับปะรดจะช่วยลดระดับไขมันในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงการถูกทำลายผนังหัวใจ ซึ่งก็ทำให้สับปะรดเป็นผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อย่างดี โดยเฉพาะสาร bromelain ที่พบมากในสับปะรด เป็นตัวที่ช่วยป้องกันการเกาะตัวของไขมัน และเกร็ดเลือด ซึ่งจากประโยชน์ดังกล่าวทำให้สับปะรดเป็นผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี โดยข้อมูลจากรายงานวิจัยพบว่า การกินสับปะรดทุกวัน ได้ผลในการลดไขมันในเลือด เช่นเดียวกับการกินยาลดไขมัน Simvastatin

10.แตงโม (Watermelon)

แตงโมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยแตงโมอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ อย่าง  L- citrulline, lycopene และ alpha ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้แตงโมเป็นผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี  มีหลายงานวิจัยที่ระบุว่า การกินแตงโมช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคอ้วน ซึ่งการกินแตงโมจะช่วยให้

  • การลดน้ำหนักได้ผลดี
  • ช่วยลดพุงและรอบเอว
  • ช่วยควบคุมความดันโลหิต
  • ช่วยลดไขมันในเลือด

โดยจากรายงานพบว่าประโยชน์ที่ได้ดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้แตงโมเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี

ทั้งหมดนี้คือ 10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจ ที่เราเอามาฝากวันนี้ อย่างไรก็ตามผลไม้บางชนิดอย่างส้ม หรือ กีวี เป็นผลไม้ที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ อ่านต่อใน 12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!! ใครที่เป็นภูมิแพ้ และเพิ่งเริ่มกิน อาจจะจำเป็นกินอย่างระมัดระวัง และสังเกตอาการตัวเองด้วย วันนี้ลาไปก่อน แล้วจะนำเนื้อหาน่าสนใจมาฝากครั้งต่อไป

อ้างอิงข้อมูล

Promising Nutritional Fruits Against Cardiovascular Diseases: An Overview of Experimental Evidence and Understanding Their Mechanisms of Action – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

7 อาหารป้องกันโรคสมองเสื่อม ป้องกันไว้จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน

แชร์ให้เพื่อน

7 อาหารป้องกันโรคสมองเสื่อม ป้องกันไว้จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน

โรคความจำเสื่อม (Dementia)เป็นโรคที่มีผู้ป่วยประมาณ 57 ล้านคนทั่วโลกในปี 2019 และคาดว่าตั้งแต่ปี 2019-2050 จะมีผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมเพิ่มขึ้นเป็น 152,8 ล้านคน โดยมีสาเหตุหลักจากโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease) ประมาณ 60-80% หากใครอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะกำลังตั้งคำถามว่า แล้วโรคความจำเสื่อมกับโรคอัลไซเมอร์ไม่ใช่โรคเดียวกันเหรอ ? ผู้เขียนขออธิบายแบบนี้ว่าโรคความจำเสื่อมเป็นชื่อเรียกรวมของผู้ป่วยที่มีอาการความจำเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ก็เป็นหนึ่งในหลายส่วนของโรคความจำเสื่อมจะเรียกว่าโรคอัลไซเมอร์เป็นสับเซ็ทของโรคความจำเสื่อมก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก

และถ้าเราดูจากตัวเลขที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้ ภายในระยะเวลาประมาณ 30 ปีมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เท่าที่ผู้เขียนทำงานกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมาหลายปี เจอคนป่วยด้วยโรคความจำเสื่อมอายุน้อยที่สุด 50 ปี และดูเหมือนว่าจะเจอคนป่วยด้วยโรคนี้อายุน้อยลงเรื่อย ๆ

ปัญหาที่ทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมอัลไซเมอร์ ก็คือเซลล์สมองเกิดการเสื่อม โดยมีสาเหตุทั้งจากความเสื่อมตามวัยโดยกรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนดให้เกิดโรคความจำเสื่อม หรือ มีปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังพบว่าอาหาร และพฤติกรรมการดำรงชีวิตก็มีส่วนทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม และนี่คือ 7 อาหารป้องกันโรคความจำเสื่อม

  • อาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันโอเมก้า 3: ถั่ว น้ำมันมะกอก

อาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันโอเมก้า 3  เช่น ถั่ว น้ำมันมะกอก ซึ่งจากรายงานการวิจัยของต่างประเทศพบว่า การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ความจำดีขึ้น  ลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้มากถึง 21%


  • ปลา

ปลาเป็นอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงเช่นเดียวกับถั่วและน้ำมันมะกอก ซึ่งจากการเก็บข้อมูลพบว่าการรับประทานปลา (ไม่ใช่ปลาทอด) ช่วยลดความเสี่ยงไขมันในเลือดสูง ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน นอกจากนั้นในบางงานวิจัยพบว่า การรับประทานปลาอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ดี เนื่องจากปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงเช่นเดียวกับถั่วและน้ำมันมะกอก

  • ผักผลไม้สด

จากงานวิจัยในประเทศฮ่องกง พบว่า การรับประทานผักผลไม้สด โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอรี่ เช่น ลูกหม่อน บลูเบอรี่ ราสเบอรี่ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้ดี นอกจากนั้นในผักใบเขียว ประกอบด้วยเส้นใยอาหาร (fiber),  วิตามินบี 9 (folate), phylloquinone, และ lutein  ที่ช่วยเรื่องความจำ ดังนั้นการรับประทานผักและผลไม้สดอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นการป้องกันโรคความจำเสื่อมเช่นกัน


  • ไวน์แดง

เนื่องจากในไวน์แดงมีสารประกอบฟีโนลิก (Phenolic) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ จากรายงานการวิจัยพบว่าการดื่มไวน์แดงในปริมาณที่เหมาะสมจะสามารถป้องโรคสมองเสื่อมได้แต่หากดื่มมากเกินไปก็จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมเช่นกัน

  • เครื่องปรุงรสต่าง

เครื่องปรุงรสต่าง เช่น พริก อบเชย ขมิ้นชัน มีส่วนช่วยในการบำรุงความจำ และลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ ซึ่งจากการทดลองพบว่าสาร curcumin ในขมิ้นชัน ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม แต่ทั้งนี้ขมิ้นชัน ก็มีผลเสียเช่นกันเดี๋ยววันหลังจะมาแชร์ให้ฟังค่ะ หรือ พริกที่เป็นอาหารคู่ครัวไทยก็มีสาร Capsaicin  ก็ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามพริกมีประโยชน์มากมาย ซึ่งเราเคยเขียนไปแล้วในบทความ 8 ประโยชน์ของพริก ที่ไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ช!

  • โกโก้ หรือ ช็อกโกแลต

สำหรับโก้โก้ หรือช็อกโกแลตก็ช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม เนื่องจากในโก้โก้อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) โดยเฉพาะ epicatechin และ catechin ที่ทำให้โก้โก้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และมีประโยชน์กับร่างกายหลายอย่าง รายละเอียดอ่านต่อได้ใน  8 ประโยชน์ของโกโก้

  • อาหารคีโต

อาหารคีโต ( Keto) ซึ่งเป็นการรับประทานอาหารที่คาร์โบไฮเดรตต่ำ ไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไขมันจากถั่ว น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ซึ่งจากเก็บข้อมูลพบว่า อาหารคีโตช่วยลดการอักเสบของเซลล์สมอง และป้องกันอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังพบว่าอาหารคีโตนอกจากช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมแล้ว ยังลดความเสี่ยงโรคจิตเภทอีกด้วย

และทั้งหมดนี้คือ 7 อาหารป้องกันโรคความจำเสื่อมที่เอามาฝากวันนี้ อย่างไรก็ตามโรคสมองเสื่อมปัจจุบันก็ยังไม่มียารักษา หากใครที่เคยมีญาติเป็นโรคนี้จะรู้ว่า ผู้ป่วยจะเดิน ไม่หลับไม่นอน หรือ บางคนนอนกลางวัน แต่ไม่ยอมนอนกลางคืน บางครั้งก็เดินหายไปจากบ้านเฉย ๆ และเมื่ออาการเป็นมาก ๆ ผู้ป่วยจะลืมแม้กระทั่งการกลืนอาหาร โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า การหันมาสนใจดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคสมองเสื่อมแต่เนิ่น ๆ น่าจะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง และครอบครัว แล้วพบกันฉบับหน้านะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Diet and lifestyle impact the development and progression of Alzheimer’s dementia – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ได้แค่แก้ง่วง

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ได้แค่แก้ง่วง

กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมทั่วโลก เพราะกาแฟแก้ง่วงได้ดี แต่วันนี้เราจะพาคุณมาดูประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ได้แค่แก้ง่วง และเมื่อคุณอ่านจบแล้วคุณจะหลงรักกาแฟไปเลยค่ะ อย่างที่บอกค่ะว่าเรามักจะดื่มกาแฟ เพื่อช่วยแก้อาการง่วงซึม ซึ่งกาแฟทำให้เราตื่นตัว มีแรงทำงาน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงประโยชน์ข้อหนึ่งของกาแฟ แต่กาแฟมีประโยชน์มากกว่านั้นไม่ว่าจะเป็น ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดในสมองตีบ ลดอาการซึมเศร้า ช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นนี่คือประโยชน์แค่บางส่วนเรามาดูกันค่ะว่าอะไรที่ทำให้กาแฟมีประโยชน์มากมายขนาดนี้

กาแฟ ผลิตจากเมล็ดกาแฟ ซึ่งมาจากแหล่งปลูกมากมายหลายที่ แต่ละที่ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยกาแฟมีสารคาเฟอีนที่เรารู้จักกันดี ว่ามีฤทธิ์แก้ง่วง นอกจากนั้นในกาแฟยังอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรือ ที่เราเข้าใจว่าเป็นสารต้านความแก่ ช่วยให้แลดูอ่อนเยาว์ แต่สารแอนตี้ออกซิแดนซ์มีประโยชน์มากกว่าแค่ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ เพราะสารตัวนี้ออกฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคหลายอย่าง และที่สำคัญในกาแฟมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งจากรายงานการวิจัยระบุว่า กาแฟคั่วมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์มากกว่าเครื่องดื่มชนิดใด ๆ บนโลกใบนี้ สารประกอบ และแอนตี้ออกซิแดนซ์หลักที่พบในกาแฟ เช่น กรดคลอโรเจนิก (Chlorogenic acid) สารคาเฟอีน  สาร Cafestol สาร Kahweol ที่ช่วยให้กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ทรงพลังเรามาดูประโยชน์ที่ได้จากสารเหล่านี้กันเลยค่ะ

1.กาแฟช่วยเพิ่มพลัง ทำให้ไม่ง่วง

การดื่มกาแฟช่วยเพิ่มพลัง ทำให้ไม่ง่วงสังเกตเวลาที่เราตื่นขึ้นมาตอนเช้าแบบงัวเงียแต่เมื่อได้กาแฟสักแก้วเราก็มีแรงมีพลังที่จะไปเรียนทำงานหรือไปทำกิจกรรมอื่นๆเพราะสารคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟเข้าไปทำหน้าที่กระตุ้นสมองทำให้เรารู้สึกตื่นตัวนั่นเองการดื่มกาแฟนานๆก็สามารถติดได้เมื่อไรที่เราไม่ได้กินกาแฟเราก็แทบจะไม่มีแรงทำอะไรจริงมั้ยค่ะ

2.กาแฟช่วยบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

จากรายงานการวิจัยพบว่า สารที่อยู่ในกาแฟ ช่วยลดการอักเสบ และเสื่อมของเซลล์สมองทำให้ลดความเสี่ยงจากโรคความจำเสื่อมอัลไซเมอร์และโรคพาร์คินสัน

3.กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้า

จากรายงานการวิจัยระบุว่า การดื่มกาแฟอย่างสม่ำเสมอช่วยลดอาการซึมเศร้า และลดความเสี่ยงจากการฆ่าตัวตาย

4.กาแฟช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และหลอดเลือด

จากงานวิจัยพบว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากถึง 19% โดย

  • ลดความเสี่ยงจากการตายจากโรคหลอดเลือดหัวได้ 16%
  • ลดความเสี่ยงจากการตายจากโรคอัมพาต หรือ สโตรก ได้ถึง 30%

5.กาแฟช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง

จากการวิจัยของต่างประเทศพบว่าการดื่มกาแฟอย่างสม่ำเสมอวันละ 3 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งได้ถึง 21% โดยสารโพลิฟีนอล (Polyphenols) และ Diterpenes ที่อยู่ในกาแฟ ออกฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจากรายงานพบว่า การดื่มกาแฟอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนังได้

6.กาแฟช่วยปกป้องและบำรุงรักษาตับ

จากรายงานการวิจัยยังพบว่าคนที่ดื่มกาแฟอย่างสม่ำเสมอประมาณ 2 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงไขมันเกาะตับ ลดความเสี่ยงตับอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับนอกจากนั้นการดื่มกาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นนิ่วในถุงน้ำดีอีกด้วยเรียกง่ายๆว่าการดื่มกาแฟช่วยบำรุงทั้งตับและถุงน้ำดี

7.กาแฟช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงเบาหวาน

จากการศึกษาข้อมูลของต่างประเทศพบว่าการดื่มกาแฟ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันตามร่างกายโดยทั้งหญิงและชายได้ผลไม่แตกต่างกัน นอกจากนั้นในกาแฟยังมีสารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน กาแฟดำให้พลังงานน้อยมากโดยในกาแฟ 100 กรัมให้พลังงานเพียงแค่ 2 กิโลแคลอรี่ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานน้อยมาก ดังนั้นการดื่มกาแฟช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้

8.กาแฟช่วยให้อายุยืนยาว

จากข้อมูลงานวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ ซึ่งจากรายงานคาดว่าสารคาเฟอีนเป็นตัวช่วยยืดอายุของคน อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้ยังต้องรอการพิสูจน์และยืนยันอีกครั้งว่าสารตัวไหนในกาแฟที่ช่วยทำให้อายุยืนยาวขึ้น เพราะในกาแฟมีสารประกอบมากมายที่ยังต้องรอการศึกษาวิจัยต่อไป

อย่างไรก็ตามแม้เครื่องดื่มกาแฟจะมีประโยชน์มากมาย อย่างที่เรากล่าวมาข้างต้น การดื่มกาแฟก็มีข้อเสียเช่นกัน ตัวอย่าง สารคาเฟอีนที่ทำให้ติดได้ หรือบางคนดื่มกาแฟแล้วมีอาการใจสั่น และจากการศึกษาวิจัยในหญิงมีครรภ์พบว่า การดื่มกาแฟขณะตั้งครรภ์ทำให้เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด และเด็กมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ควรต้องงดกาแฟ

อย่างไรก็ตามการดื่มกาแฟควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งมีหลายงานวิจัยที่ระบุว่า การดื่มกาแฟประมาณ 3-5 แก้วต่อวันเป็นปริมาณที่เหมาะสม และการดื่มกาแฟดำจะส่งผลดีต่อร่างกายมากที่สุด ทั้งหมดนี้คือ 8 ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ได้แค่แก้ง่วง ที่เราเอามาฝากในวันนี้ครั้งต่อไปจะชวนมาไปดูปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนซ์และสารต่างๆในกาแฟว่ากาแฟที่ไหนกินแล้วได้ประโยชน์สูงสุดวันนี้ขอลาไปก่อนแล้วกลับมาพบกันใหม่นะคะ

อ้างอิงข้อมูลจาก

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของโกโก้

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของโกโก้

บทความก่อนหน้าเราได้รู้ประโยชน์ของชาเขียว และชาเขียวมัทฉะกันไปแล้ว วันนี้ถึงคิวของเครื่องดื่มโกโก้โกโก้เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์โพลีฟีนอล (Polyphenals) สูงมาก โกโก้มีต้นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ โดยชาวมายาโบราณรู้จักการใช้ประโยชน์จากโกโก้มาช้านาน ในปัจจุบันมีการนำผงโกโก้มาดัดแปลงเป็นช็อกโกแลตซึ่งก็เป็นที่นิยมไปทั่วโลกเช่นเดียวกับผงโกโก้ เรามาดูกันค่ะว่าสารอาหารในโกโก้มีอะไรบ้าง

ในผงโกโก้ 100 กรัม ให้คุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นมากถึง 25% ประกอบด้วย

  • พลังงาน 370 กิโลแคลอรี
  • โปรตีน 19,8%
  • คาร์โบไฮเดรต 28% (เป็นเส้นใยอาหาร 30,4 กรัม หรือคิดเป็น 73,4% ของคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด ไม่มีน้ำตาล )
  • ไขมัน 52,2%

 วิตามินและเกลือแร่ที่พบในโก้โก้ (100 กรัม) แนบตาราง

จากตารางจะพบว่าผงโกโก้มีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยในการซ่อมแซม และเสริมสร้างเนื้อเยื่อ นอกจากนั้นในผงโกโก้ 100 กรัมยังพบธาตุเหล็กสูงถึง 78,60% ซึ่งมากกว่าปริมาณธาตุเหล็กที่พบในผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง อ่านต่อได้ใน 7 ผลไม้บำรุงเลือด มีธาตุเหล็กสูง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือน นอกจากประโยชน์ที่ได้จากวิตามินและเกลือแร่แล้ว โกโก้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย


8 ประโยชน์ของผงโกโก้

อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า โกโก้ มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ โพลีฟีนอล (Polyphenals) สูงมากซึ่งสารนี้มีผลดีกับสุขภาพหลายอย่างเช่นช่วยลดการอักเสบของเซลล์ช่วยเรื่องระบบไหลเวียนเลือดช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและนี่คือประโยชน์ของผงโกโก้

  • ช่วยลดความดัน จากรายงานพบว่าคนที่ดื่มผงโกโก้มีความดันต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กินโกโก้
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ช่วยปกป้องเซลล์จาการอักเสบและถูกทำลาย รวมถึงเซลล์หัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลเลือด ลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก ถึงแม้โกโก้จะมีพลังงานค่อนข้างมาก แต่จากรายงานการวิจัยพบว่า คนที่กินช็อกโกแลตจะควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่คุมน้ำหนักด้วยวิธีอื่น นอกจากนั้นการรับประทานโกโก้ทำให้รู้สึกอิ่ม จึงทำให้ความรู้สึกหิวน้อยลง
  • ช่วยบำรุงสมอง มีหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการกินช็อกโกแลต หรือ โกโก้ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองเสื่อม
  • ทำให้อารมณ์ดี  จากการที่ผงโกโก้มีสารทริปโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างสารเซโรโทนิน ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยให้อาการหอบหืดดีขึ้น ในงานวิจัยใหม่บอกว่า โกโก้มีสาร Theobromine และ theophylline ที่ช่วยให้อาการหอบหืดดีขึ้น เท่าที่อ่านเจอในงานวิจัยของต่างประเทศคือโกโก้จากแถบอเมซอน ประเทศเปรูมีสารตัวนี้เยอะกว่าโกโก้ที่ปลูกในพื้นที่อื่น

เมนูที่เราชอบคือ การชงโกโก้กับนมอุ่น ซึ่งช่วยเพิ่มพลังในวันที่อ่อนล้า และทั้งหมดนี้คือ 8 ประโยชน์ของโกโก้ที่เราอยากแชร์ให้อ่านวันนี้ถึงแม้โกโก้จะมีประโยชน์มากมายแต่เราก็ยังจำเป็นต้องรับประทานอาหารชนิดอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนครั้งต่อไปจะมาแชร์เรื่องประโยชน์ของกาแฟให้อ่านกันแล้วพบกันเร็วๆนี้นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

7 ผักดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้

แชร์ให้เพื่อน

7 ผักดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้

ครั้งที่แล้วเราเขียนถึงอาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ต้องระวัง เพราะอาหารบางอย่างมีสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ หรือ อาจจะเพราะร่างกายคนที่เป็นภูมิแพ้ไม่สามารถผลิตเอนไซม์มาทำลายสารฮีสตามีน จึงทำให้ร่างกายมีสารฮีสตามีนมากเกินไป จนทำให้แสดงอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ ออกมา เช่น อาการผื่น คัน ปวดศีรษะ ท้องเสีย วันนี้เราจะแชร์ 7 ผักดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้เพราะผักเหล่านี้นอกจากมีสารฮีสตามีนต่ำแล้วบางชนิดยังไปช่วยทำลายสารฮีสตามีนที่ทำให้ร่างกายแสดงอาการภูมิแพ้ออกมาเรามาดูกันเลยค่ะ

  • แตงกวา

แตงกวาเป็นผักที่คนนิยมนำมารับประทาน เพราะทำได้หลายเมนู จะต้ม หรือ ผัด หรือ กินกับน้ำพริกก็ดีงาม สำหรับแตงกวาเป็นผักที่ค่อนข้างปลอดสารฮีสตามีน ดังนั้นแตงกวาจึงดีต่อต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้


  • หัวหอม หรือ ต้นหอม

สำหรับหัวหอม หรือ ต้นหอม มีสารที่ช่วยต้านฮีสตามีน ทำให้หากเรากินอาหารที่ปนเปื้อนฮีสตามีนเข้าไป ก็ทำให้อาการภูมิแพ้ลดลงได้ ง่าย ๆ ก็ทำหน้าที่เหมือนยาแก้แพ้นั่นเองค่ะ ครั้งต่อไปถ้าเราจะกินอาหารที่เสี่ยงจะเกิดอาการแพ้ อ่านต่อ 12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!! ก็ลองจัดหัวหอม หรือ ต้นหอมเข้าไปในเมนูด้วยนะคะ

  • ถั่วงอก

ถั่วงอก เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีสารที่ออกฤทธิ์เหมือนเอนไซม์ DAO (Diamine oxidase) ที่ผลิตที่ลำไส้ และช่วยทำลายฮีสตามีนบางคนที่เป็นภูมิแพ้ก็อาจจะเกิดจากการขาดเอนไซม์ตัวนี้ดังนั้นการกินถั่วงอกก็จะเป็นผลดีกับคนที่เป็นภูมิแพ้เพราะเครื่องปรุงต่างๆส่วนใหญ่จะมีสารฮีสตามีนสูงดังนั้นการผัดถั่วงอกใส่กะหล่ำปลีก็เป็นผลดีกับคนเป็นภูมิแพ้เพราะถั่วงอกทำหน้าที่ทำลายสารที่ฮีสตามีนนั่นเองค่ะ

  • ผักตระกูลกะหล่ำ

ผักตระกูลกะหล่ำ ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ก็เป็นผลดีสำหรับคนเป็นภูมิแพ้ เพราะผักเหล่านี้มีสารฮีสตามีนต่ำ คุณชอบอะไร ก็เลือกเอานะคะ เปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหาร กะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี อะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน ?

  • บรอกโคลี

สำหรับบรอกโคลี เป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่มีเส้นใยอาหารสูงมาก นอกจากนั้นในบรอกโคลียังมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณที่สูง เช่น วิตามินเคที่ช่วยในการห้ามเลือด บำรุงกระดูก วิตามินซี วิตามินบี 9 หรือ โฟเลต และสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงมาก เนื่องจากบรอกโคลีมีสารอาหารที่สูงมาก จึงเป็นผักที่ดีสำหรับคนท้อง แต่บรอกโคลีไม่ได้แค่ดีกับสุขภาพของคนท้อง แต่ยังดีสำหรับสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้ด้วย เพราะในบรอกโคลีก็มีสารช่วยต้านการแพ้นั่นเองค่ะ

  • ผักตระกูลน้ำเต้า

ผักตระกูลน้ำเต้า เช่น บวบ ฟัก ฟักทอง ผักเหล่านี้ก็เป็นผักที่มีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้น้อย ดังนั้นการรับประทานผักตระกูลน้ำเต้าก็เป็นผลดีกับสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้ สำหรับฟักทอง นอกจากช่วยลดอาการแพ้แล้ว ยังมีสารเบต้าแคโรทีนสูง ใครยังไม่รู้จักสารเบต้าแคโรทีนว่ามีผลดียังไงก็อ่านต่อ 4 ประโยชน์เน้น  ของเบต้า แคโรทีน Beta Carotene

สำหรับใครที่มีปัญหาภูมิแพ้บ่อย ๆ และชอบกินผักเหล่านี้ จะลองเมนูผัดบวบใส่ไข่ หรือ ผัดฟักทองใส่ไข่ ก็ดีต่อสุขภาพของคุณ เพราะไข่ก็เป็นอาหารที่มีสารฮีสตามีนต่ำ จึงดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้


  • ข้าวโพด

ข้าวโพดก็ดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้ เนื่องจากข้าวโพดจัดเป็นอาหารที่มีสารฮีสตามีนต่ำ ดังนั้นจึงเป็นผลดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้เช่นเดียวกับผักตระกูลน้ำเต้า แต่แนะนำให้กินข้าวโพดต้มมากกว่าข้าวโพดย่าง เพราะขั้นตอนการย่างอาจจะทำให้เกิดสารฮีสตามีนได้ ดังนั้นเลือกรับประทานข้าวโพดต้มจะดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้มากกว่าค่ะ

และนี่คือ 7 ผักดีต่อสุขภาพของคนเป็นภูมิแพ้ ที่เอามาฝากวันนี้ ถ้าชอบฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ แล้วจะนำเนื้อหาดี ๆ เกี่ยวกับอาหารการกินมาฝากกันใหม่การเลือกกินอาหารที่ดีก็ทำให้สุขภาพดีห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆดูแลสุขภาพดีก็ไม่ต้องเปลืองเงินค่ารักษาพยาบาลค่ะ

แชร์ให้เพื่อน