โทษของเหล้า และกัญชา อันไหนน่าจะหนักกว่ากัน ?

แชร์ให้เพื่อน

โทษของเหล้า และกัญชา อันไหนน่าจะหนักกว่ากัน ?
”ตอนโทษของกัญชา”

กัญชา เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมากอีกครั้งช่วงที่ผ่านมาเมื่อมีการประกาศให้มีกัญชาเสรีในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งกลุ่มคนที่เห็นด้วย และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย โดยหลาย ๆ คนก็เอาประสบการณ์การเสพกัญชามาแชร์และโต้แย้งว่ากัญชาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อย่างที่เราเกริ่นในบทความก่อนหน้าเกี่ยวกับโทษของเหล้า ว่าเราเองก็ไม่ใช่สายดื่มเหล้า หรือ สายเมากัญชา จึงไม่ได้มาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว แค่อยากเอาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา มาเล่าให้ฟังก็เท่านั้นเอง


กัญชา หรือ Cannabis เป็นชื่อรวมที่ใช้เรียกพืชที่มีสาร Delta-9-tetrahydrocannabinol (THC) ซึ่งมีมากมายหลายชนิดทั่วโลก และเมื่อมีการนำมาใช้ หรือ เสพ หลาย ๆ คนเรียกว่า Hasch (แฮช) หรือ Marijuana ( มาริยวนนา ) เท่าที่ได้ข้อมูลมาคือ แฮช จะมีปริมาณสาร THC มากกว่า หรือ เข้มข้นกว่า แต่ในปัจจุบันก็มีการปรับเปลี่ยนขนาดทั้งแฮช และมารียวนนา
ส่วนใหญ่แล้วกัญชาจะนำมาสูดดม มากกว่าการใช้วิธีอื่น ซึ่งสาร THC จะส่งผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงประมาณ 4 ชั่วโมง สาร THC ในกัญชาจะมีมีผลโดยตรงต่อระบบประสาท และสมอง ซึ่ง สาร THC ในกัญชา จะทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์ และรู้สึกโลกสวย แต่ในทางกลับกันก็อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวล สับสน เห็นภาพหลอน หรือ ในบางรายเกิดพฤติกรรมก้าวร้าว เกรี้ยวกราด
ในกรณีที่ใช้ หรือเสพกัญชาในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ติดได้เช่นเดียวกับเหล้า และหากมีการหยุดกะทันหัน ก็จะเกิดอาการอยากยา ซึ่งจะมีผลทางร่างกาย เช่น ปวดท้อง ปากแห้ง มือสั่น เหงื่อออก ไข้ หนาวสั่น ปวดหัว นอกจากนั้นจะมีผลต่อจิตใจ ดังต่อไปนี้

  • หงุดหงิด โมโหง่าย
  • วิตกกังวล กระวนกระวาย
  • ฝันร้าย นอนไม่หลับ หรือ หลับยาก
  • ไม่อยากอาหาร หรือ อาจจะทำให้น้ำหนักลด
  • อาจจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ไม่อยากเข้าสังคม
  • ทำให้เกิดอาการทางจิตเวช เช่น การเห็นภาพหลอน หรือ เป็นโรคจิตเภทชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Schizophrenia
    เนื่องจาก กัญชา ส่งผลโดยตรงกับประสาทและสมอง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในเด็กที่สมองยังพัฒนาไม่สมบูรณ์

หากเราพิจารณาทั้งโทษของเหล้านบทความก่อนหน้า และโทษของกัญชาในบทความนี้ สำหรับเราเองมองว่า ทั้งเหล้า และกัญชา มีผลเสียต่อมนุษย์มากน้อยต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแล และใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งนี้ไม่ว่าเหล้า หรือ กัญชา หากมีการนำมาใช้โดยไม่ควบคุม ดูแลโดยปล่อยให้มีการดื่ม หรือ เสพแบบเสรี ผลเสียจะเกิดทั้งตัวคนที่กินหรือเสพ และยังจะมีผลเสียต่อสภาพสังคมโดยรวมด้วย เราเองก็ได้แต่หวังว่าผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทุกคนจะตระหนักถึงปัญหาสุขภาพ และสังคมที่จะตามมาทั้งจากการดื่มเหล้า และเสพกัญชา หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่าน ไม่มาก ก็น้อย แล้วกลับมาพบกันใหม่นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

วันนี้คุณ​ดื่มน้ำหรือยังคะ?

แชร์ให้เพื่อน

วันนี้คุณ​ดื่มน้ำหรือยังคะ?

     ว่าด้วยเรื่องของน้ำ  เราพูดคุยกันเป็นวันคงไม่จบง่ายๆ ได้แก่ น้ำดื่ม น้ำใช้ น้ำหวานปานน้ำผึ้ง น้ำผลไม้ น้ำผึ้งพระจันทร์ น้ำผึ้งเดือนห้า น้ำเมา ดูแล้วตระกูลน้ำนี่ดีต่อสุขภาพ​เป็นส่วนใหญ่เลยนะ แต่ก็มีน้ำบางอย่างที่มีผลเสียต่อสุขภาพ ดั่งคำกลอนของท่านสุนทร​ภู่ที่เป็นยอดกวีเอกแห่งเมืองสยาม ท่านเป็นนักดื่มตัวยงชนิดที่หาตัวจับยากเลยทีเดียว บทกลอนของท่านบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก  สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน” (นิราศ​ภูเขาทอง)​ ท่านอาจดื่มเพราะอกหักหรือเปล่า(คิดเองนะ 555) แต่การดื่มน้ำเมาของท่านก็ทำให้มีนิราศ​ต่างๅออกมามากมายให้เราได้อ่านกัน
 

  มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่เผยแพร่ในประเด็นแหล่งน้ำจืดทั้งทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ ทั่วโลกลดลงอย่างมหาศาลและรวดเร็ว​เกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์​ได้คาดการณ์​ ในรอบ30ปีที่ผ่านมาโดยสาเหตุ​เกิดจากน้ำมือของมนุษย​์และสภาพอากาศ​ที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง ส่งผลกระทบ​ต่อระบบ​นิเวศน์​ตามมา ทำให้สัตว์​หลากหลาย​สายพันธุ์​ไม่สามารถอาศัยมีชีวิตรอดเกิดการสูญพันธุ์​ไปในที่สุด สำหรับมนุษย์​เองก็ทำให้ขาดแคลนแหล่งน้ำทำการเกษตร​และไม่มีน้ำเพื่ออุปโภค​บริโภค​ที่เพียงพอ เกิดปัญหา​ขาดแคลนอาหารตามมาได้
    เรามาดูกันว่าการดื่มน้ำนั้นมีผลดีต่อสุขภาพ​อย่างไร  น้ำช่วยรักษาความสมดุลย์​ของร่างกาย เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค แล้วเราจะดื่มน้ำเวลาใหนถึงจะดีที่สุดต่อสุขภาพ​ของเรา น้ำที่เราดื่มนั้นควรดื่มน้ำสะอาด ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเกลือแร่อะไร แต่ให้มีอุณหภูมิ​ห้อง ไม่จำเป็นต้องเย็น หรือร้อนนะคะ  เรามาดูเลยว่าในหนึ่งวันเราควรต้องดื่มน้ำตอนไหนบ้างถึงจะมีผลดีและมีประโยชน์​ต่อสุขภาพ​

1.ดื่มน้ำหลังจากตื่นนอนตอนเช้า เพราะอะไร เพราะว่าเรานอนหลับทั้งคืนไม่ได้ดื่มน้ำเลย เราจะรู้สึกคอแห้งหลังตื่นนอนตอนเช้านั่นเอง เป็นการดื่มเพื่อชดเชยและกระตุ้นลำไส้พร้อมที่จะขับถ่ายตอนเช้า

2.ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ​ครึ่งชั่วโมงเป็นการกระตุ้นกระเพาะอาหารให้พร้อมที่จะรับประทานอาหารนั่นเอง แถมช่วยให้เรารับประทานอาหารได้น้อยกว่าเดิมช่วยลดความอ้วนได้ด้วย
3.ดื่มน้ำก่อนอาบน้ำหากว่าท่านอาบน้ำอุ่นทุกครั้งเพราะช่วยปรับอุณหภูมิ​ของร่างกาย

4.ดื่มน้ำช่วงก่อนและหลังการออกกำลังกาย​หรือท่านที่ทำงานที่ต้องสูญเสียเหงื่อ  โดย​เฉพาะหลังจากออกกำลังกายเพราะว่าจะมีเหงื่อออกมาก ดังนั้นร่างกายจึงมีความต้องการน้ำเพื่อชดเชยน้ำในร่างกายที่สูญเสียไป โดยเป็นน้ำเปล่า น้ำเกลือแร่และดื่มในปริมาณ​ให้เพียงพอ

5.ดื่มน้ำหากไม่สบายเจ็บป่วยมีไข้ เพราะว่าหากร่างกายมีไข้เจ็บป่วยนั้นเกิดจากร่างกายเราขาดความสมดุลย์​สูญเสียน้ำเราจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยนั่นเอง

6.ดื่มน้ำช่วงที่มีกิจกรรมร่วมกันกับคนหมู่มากเพราะช่วยให้ร่างกายเราเสริมภูมิคุ้มกันเนื่องจากในปัจจุ​บัน​นี้มีการระบาดของเชื้ิอโรคโควิด19

7.ดื่มน้ำเมื่ิอรู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง​เพื่อช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี่กระเปร่า​

8.ดื่มน้ำก่อนนอน เราควรดื่มน้ำก่อนนอนประมาณ​หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นเราเข้าห้องน้ำแล้วเข้านอนเพื่อป้องกันขาดน้ำขณะนอนหลับ​และการตื่นปัสสาวะ​ช่วงนอนหลับอาจทำให้นอนหลับยากนั่นเอง

    ถามว่าเราควรดื่มน้ำแค่ใหนถึงจะพอเพียง หากเราไม่ได้เจ็บป่วยที่จำเป็นต้องจำกัดน้ำเราสามารถดื่มน้ำสะอาดได้วันละ 2-3 ลิตรเลยคะ ทั้งนี้ให้ค่อยๆดื่มไม่ใช่ว่าจะดื่มครั้งเดียวหนึ่งลิตรอาจทำให้เราจุกได้คะ จะเห็นว่าน้ำดื่มที่สะอาดนั้นมีประโยชน์​ต่อร่างกายจริงๆ แล้ววันนี้คุณดื่มน้ำหรือยังคะ แล้วพบกันบทความต่อไปคะ

ที่มา:ข่าวไทยรัฐ​   Doctor Top 8 เวลาที่ควรดื่มน้ำที่ดีที่สุด

แชร์ให้เพื่อน

โทษของเหล้า และกัญชา อันไหนน่าจะหนักกว่ากัน ? 

แชร์ให้เพื่อน

โทษของเหล้า และกัญชา อันไหนน่าจะหนักกว่ากัน ? 

ตอนโทษของเหล้า

ช่วงนี้เห็นมีนโยบายของภาครัฐยุคก่อนที่สนับสนุนกัญชาเสรี ต่อด้วยรัฐบาลชุดนี้ที่สนับสนุนการผลิตสุราท้องถิ่น ซึ่งงานนี้เหล้าเป็นสิ่งถูกกฎหมาย และได้รับการยอมรับกันมายาวนาน ในขณะที่กัญชาจะเรียกว่าเป็นน้องใหม่ในตลาดโลกก็ว่าได้ เพราะปัจจุบันนี้มีเพียงบางประเทศที่สนับสนุนให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เท่าที่เคยได้ยินมาก็ประเทศฮอลแลนด์ และสหรัฐอเมริกาบางรัฐ โดยส่วนตัวผู้เขียนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในการเสพกัญชา และสายเมา เหล้าเข้าปากแล้วจึงมีความกล้า จึงไม่สามารถมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวได้มากนัก แต่เราจะมาแบ่งปันความรู้ที่ได้รับรู้มาเท่านั้น 

สมัยที่เราเป็นเด็ก สิ่งที่กลัวมากคือเทศกาลสำคัญต่าง ๆ เพราะทุกเทศกาลจะต้องมีคนตายจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ นี่ยังไม่นับรวมปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เห็นจนชินตา แต่จะว่าไปจนถึงตอนนี้ผ่านมาก็หลายสิบปีคนรุ่นเก่าตายไป คนรุ่นใหม่ก็ยังเมานั่นคือโทษของเหล้าที่เราเห็นจนชินตา ต่อไปเรามาดูกันค่ะว่า โทษของเหล้า และกัญชา อันไหนน่าจะหนักกว่ากัน ? 

โทษของเหล้า ต่อร่างกาย จิตใจ และสังคม

โทษของสุรา หรือเหล้า เราคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากนัก เพราะในอดีตย่าโมก็เคยใช้เหล้าในการล่อลวงข้าศึก จนได้รับชัยชนะมาแล้ว ดังนั้นเราเองก็คงไม่ต้องสาธยายโทษของเหล้าในระยะสั้นมากมายนัก เหล้าถูกจัดว่าเป็นสิ่งที่มีโทษทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยโทษของเหล้า มีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนถึงระยะติดเหล้า ในระยะเริ่มต้นเช่น ทำให้สมองถูกกด จนทำให้การรับรู้น้อยลง หรือที่เราเรียกว่า เมา และหากกินเหล้าปริมาณมาก ไปนาน ๆ ก็จะมีผลดังนี้ 

เสี่ยงที่จะเป็นโรค WKS ( Wernicke-Korsakoffs syndrom) ซึ่งก็คือร่างกายขาดวิตามินบี 1 ที่จะทำให้เซลล์สมองตาย และเกิดรอยแผลเป็นที่สมอง โดยคนที่เป็นโรคนี้ก็จะมีอาการเช่น อาการสับสน ความจำลดลง การเดินผิดปกติ 

เสี่ยงที่จะเป็นโรคความจำเสื่อม ในบ้านเราอาจจะพบคนเป็นโรคสมองเสื่อมจากเหล้าไม่บ่อยนัก ทั้งนี้คนกินเหล้ามาก ๆ อาจจะชิงเสียชีวิตจากการเมาแล้วขับไปก่อน  แต่หลายประเทศในยุโรปจะพบคนที่มีความจำเสื่อมจากเหล้าได้บ่อยครั้ง ซึ่งเราจะเอามาแชร์ให้อ่านรวมกับโรคความจำเสื่อมในภายหลัง 

เสี่ยงที่จะมีการป่วยทางจิต อาการป่วยทางจิตจากเหล้า เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล 


อาการป่วยทางร่างกาย 

อาการป่วยทางร่างกายจากเหล้า เช่น ตับอ่อนอักเสบ ตับอักเสบ ตับแข็ง และจากงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี ซึ่งเป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับและตับแข็งเป็นลำดับต้น ๆ นอกจากนั้นที่พบได้บ่อย ๆ คือ มีเลือดออกในทางเดินอาหาร อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด 

และนี่เป็นโทษของเหล้าที่เราเอามาฝากที่เกิดกับคนที่กินโดยตรง ต่อไปเรามาดูกันค่ะว่า ต้องกินเหล้ามากขนาดไหนถึงจะเป็นอันตรายต่อชีวิต

กินเหล้าแค่ไหน ถึงจะอันตรายถึงตาย ? 

ปริมาณเหล้าที่กินแล้วเป็นอันตรายถึงตาย ค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละชาติ จากข้อมูลวิจัยในประเทศสวีเดน พบว่าผู้ที่กินเหล้าตั้งแต่อายุ 18 ปีในปริมาณมาก มีโอกาสเสียชีวิตกะทันหันเมื่ออายุประมาณ 33 ปี นั่นหมายความว่า บุคคลนั้นต้องกินเหล้าติดต่อกันนาน 15 ปี โดยกินเหล้ามากกว่า 400 กรัมต่อสัปดาห์ (เทียบกับเหล้าประมาณ 1.5 ขวดต่อสัปดาห์ หรือไวน์ประมาณ 5.5 ขวดต่อสัปดาห์ ) นอกจากนั้นในงานวิจัยยังพบว่า หากกินแอลกอฮอล์ประมาณ 15 กรัมต่อวัน (เทียบเท่าเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 5% ) ก็เสี่ยงที่จะเสียชีวิตเมื่ออายุประมาณ 33 ปีเช่นกัน

และนี่คือโทษของเหล้าที่เราเอามาฝากในวันนี้ แล้ววันหลังจะเอาเรื่องโทษของกัญชามาฝากกันอีกที อย่าลืมติดตามอ่านกันนะคะ 

แชร์ให้เพื่อน

สำรวจตนเอง “คุณแพ้ง่ายหรือไม่? “

แชร์ให้เพื่อน

สำรวจตนเอง “คุณแพ้ง่ายหรือไม่? “

เรื่องของการแพ้นั้นไม่เข้าใครออกใครคุณอาจแพ้สารบางชนิดขณะที่คนอื่นๆทั่วไปไม่แพ้ ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวัง​การใช้ยา อาหารหรือผลิตภัณฑ์​ใหม่ที่ไม่เคยกินมาก่อน
การแพ้ยา​ แพ้อาหารหรือสารเคมีชนิดอื่นๆนั้นเป็นปฏิกิริยา​ที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล​ในระดับของพันธุกรรม​ ดีเอ็นเอ เนื่องจากการผลิตยารักษาโรค​และอาหาร เวชภัณฑ์​ต่างๆ นั้นจะใช้ข้อมูลในการถอดรหัสทางพันธุกรรม​ของมนุษย​ชาติที่มีดีเอ็นเอ​เหมือนกัน​ทั้งหมด 99.6% และเป็นการถอดรหัสพันธุกรรม​ของมนุษย์เพียงไม่กี่คน พันธุกรรม​ส่วนใหญ่ถึง 70% ที่ใช้ในการถอดรหัส​และรวบรวมข้อมูลพันธุกรรม​มนุษย์​เป็นชายชาวอเมริกัน​ที่มีบรรพบุรุษ​เป็นชาวยุโรป​และเชื้อสายแอฟริกันบางส่วน ข้อมูลดังกล่าวนำมาเป็นต้นแบบสำหรับค้นหาวิธีรักษาโรค รวมถึงคิดค้นยา วัคซีน​และเวชภัณฑ์​ต่างๆ แล้วเราซึ่งเป็นเชื้อสายทางเอเชียละ

สำหรับในปัจจุบันนี้โลกมีการพัฒนา​ขึ้นอย่างรวดเร็วดังนั้นการถอดรหัสและรวบรวม​ข้อมูล​พันธุกรรม​มนุษย์​มีความหลากหลาย​ทางชาติพันธุ์​มากขึ้น ที่เรียกว่า “แพนจีโนม” (Pangenome)​ ซึ่งเป็นฐานข้อมูล​สำคัญ​ในการนำไปพัฒนา​เทคนิค​การรักษาโรค​และผลิตยา อาหารและเวชภัณฑ์​ที่มีความจำเพาะกับคนไข้ผู้ที่มีความแตกต่างด้านพันธุกรรมมากขึ้น​นั่นเอง

ทำไมเวลาเราได้รับยารักษาโรค​โดยเฉพาะกลุ่มยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic) จากโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่เภสัช​กรมักจะต้องถามคุณทุกครั้งว่า”คุณเคยแพ้ยา แพ้อาหารอะไรไหม? ” เพราะว่าในระดับของพันธุกรรม​มนุษย์นั้นยังมีอีก 0.4%ที่มีความแตกต่างออกไปจากข้อมูลของการวิจัยนั่นเอง จากข้อมูลที่มีการตีพิมพ์​บทความ​วิชาการ​ในวารสาร Nature และวารสารวิชาการในเครือเมื่อกลางเดือนพฤษภา​คมนี้ถึงความสำเร็จเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์​สามารถถอดรหัส​พันธุกรรม​ของจีโนมมนุษย์​ได้อย่างสมบูรณ์​ในปี 2022 นับว่าเป็นเรื่องดีต่อมนุษยชาติ​เป็นอย่างมากนั่นเอง

เราลองมาสังเกต​ตนเองว่าเรามีอาการดังต่อไปนี้หรือไม่หลังจากรับประทาน​ยาฆ่าเชื้อ ยาบางชนิด อาหารหรือเวชภัณฑ์​บางอย่างเพื่อเป็นข้อมูลให้กับเจ้าหน้าสาธารณสุข​เพื่อประกอบการพิจารณา​ของเจ้าหน้าเภสัช​กรหรือแพทย์ผู้ทำการรักษาโรค อาการที่พบได้หลักๆมีดังต่อไปนี้

1.อาการที่เกิดขึ้นทางระบบหายใจได้แก่ ไอมาก แน่น คัดจมูก น้ำมูกไหล เสียงแหบแห้งหรือไม่มีเสียง แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หรือหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นที่ลำคอ ระคายเคืองในคอ หลอดลมตีบ

2.อาการทางระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจได้แก่ ใจสั่น หน้ามืด วิงเวียน​ศีรษะ ​เจ็บแน่นหน้าอก ความดันโลหิตตก อาจรุนแรงทำให้หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตตามมาได้

3.อาการทางระบบทางเดินอาหาร​ได้แก่ คลื่นไส้​อาเจียน ปวดมวนท้อง ถ่ายเหลว

4.อาการทางผิวหนัง​ที่สามารถสังเกตได้จาก ผื่นคัน ผื่นลมพิษ​ หรือผิวแดงที่หน้า ทั้งตัว หน้าบวม ปากบวม ตาบวม เป็นต้น

หากพบอาการดังกล่าวที่พูดมาต้องทำอย่างไรบ้าง?
1.ตั้งสติ ขอความช่วยเหลือ​จากบุคคลรอบข้าง
2.ให้นั่งหรือนอนพักในท่าที่สบาย หายใจสะดวก
3.หากมียาแก้แพ้ให้รีบรับประทานยาให้เร็วที่สุดและรีบไปโรงพยาบาลใกล้บ้านให้เร็วที่สุด
4.การรับประทานยาช่วยดูดซับสารพิษ​หากเรารับประทานอาหารดังกล่าวอาจเจือปนสารพิษ​ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง

 

แชร์ให้เพื่อน

”วิธีเลือกซื้อยาแก้ปวด เลือกอย่างไรให้ถูกอาการ”

แชร์ให้เพื่อน

“วิธีเลือกซื้อยาแก้ปวด เลือกอย่างไรให้ถูกอาการ”

การเลือกยาแก้ปวดมากินให้ถูกอาการ จะช่วยลดเจ็บปวดอาการได้ดียิ่งขึ้น วันนี้เราจึงอยากแชร์การเลือกซื้อยาแก้ปวดมากินให้ถูกอาการ เผื่อเป็นประโยชน์ให้คุณผู้อ่าน
ในช่วงชีวิตของทุกคน ต้องเคยรู้สึกปวด ไม่ว่าจะปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง ปวดฟัน ปวดตามข้อ หรือปวดท้องประจำเดือน บางครั้งปวดมาก ซื้อยากินเองก็หาย แต่บางครั้งไม่หาย ก็ต้องวิ่งไปหาหมอ บางครั้งอาการก็ดีขึ้น บางครั้งก็ปวดเป็น ๆ หาย ๆ จนสุดท้ายไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ยาแก้ปวดมีหลายแบบ หลายขนาน แต่ละแบบใช้บรรเทาอาการปวดที่แตกต่างกัน และยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราควรใช้ และกินยาแก้ปวดด้วยความระมัดระวัง เรามาดูวิธีเลือกซื้อยาแก้ปวดกันเลยค่ะ

1. อาการไข้ ไข้เป็นภาวะที่ร่างกายพยายามต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ถ้ามีไข้สูง หรือเรารู้สึกไม่สบายตัว ก็สามารถกินยาลดไข้ได้ เช่น ยาพาราเซ็ตตามอล (paracetamol หรือ tylenol) และยาแก้ปวดลดไข้ที่กินได้อีกชนิดที่กินได้ ก็คือ ยาบรูเฟ็น(Brufen) แต่ถ้าเรามีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ หอบหืด หรือแผลในกระเพาะ ควรเลือกกินยาพาราเป็นลำดับแรก และในกรณีที่ไข้สูงลอยหลาย ๆ วัน ควรกินแค่ยาพาราเซตตามอลแล้วไปพบแพทย์

2. อาการปวดหัว ยาที่ช่วยลดอาการปวดหัว ได้แก่ ยาพารา ยาบรูเฟ็นและ นาพรอกเซน (Naproxen) หรือจะใช้เป็นยาแก้ปวดที่ละลายในน้ำได้ ก็อาจจะได้ผลเร็วกว่ายาแก้ปวดทั่วไป แต่ถ้าปวดหัวจากอาการอยากกาแฟ ก็ไปหากาแฟมาดื่มสักแก้วก็น่าจะพอช่วยได้นะคะ

3. อาการปวดฟัน อาการปวดฟัน ควรใช้ยากลุ่มที่ช่วยลดการอักเสบเช่น ยาบรูเฟ็น หรือนาพรอกเซนเพื่อช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้น และหลังจากนั้นควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการปวดฟัน สมัยก่อนที่ผู้เขียนเริ่มมีอาการปวดฟัน ก็จะกินยาพาราเซ็ตตามอลเพื่อบรรเทาอาการ แต่คืนนั้นทั้งคืนก็หลับ ๆ ตื่น ๆ จนตอนเช้าต้องรีบไปหาหมอฟัน แต่เมื่อย้ายมาอยู่ต่างประเทศปวดฟันวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องรอจนถึงวันจันทร์ เผลอ ๆ วันจันทร์คิวเต็มก็ต้องรอวันถัด ๆ ไป ทำให้ต้องมียาบรูเฟ็นมาติดบ้าน ซึ่งหลังกินเราก็คิดว่าได้ผลดีมากกกว่า การกินแค่ยาพาราเซ็ตตามอล

4. อาการปวดไมเกรน เบื้องต้นที่แนะนำคือ นาพรอกเซนแต่ถ้าทราบแน่ชัดว่าเราเป็นไมเกรน ควรกินยาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับไมเกรนจะได้ผลดีกว่า

5. อาการปวดท้องประจำเดือน เบื้องต้นที่แนะนำคือ ยาบรูเฟ็น และยานาพรอกเซนสำหรับยานาพรอกเซนอาจระงับอาการปวดได้ยาวนานกว่า

6. อาการปวดข้อ และกล้ามเนื้อ เลือกใช้ได้ทั้ง 3 ตัว ไม่ว่าจะเป็นพารา บรูเฟ็น หรือ นาพรอกเซนซึ่งช่วยลดอาการอักเสบเบื้องต้น หรือจะใช้ยานวดประเภทครีม หรือเจล ที่ช่วยลดการอักเสบเฉพาะที่ก็ได้ผลดี หรือจะใช้การประคบร้อน ประคบเย็นช่วย เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดแทนการกินยาก็ได้เช่นกัน เมื่อครั้งที่ผู้เขียนล้มและซี่โครงถูกกระแทก ก็จัดยาพาราเซตตามอลไปหนึ่งอาทิตย์ อาการก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น จนสุดท้ายจบลงที่นาพรอกเซนหลังจากนั้นอาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็มีปัญหานอนไม่หลับ ตอนแรกก็คิดว่านอนไม่หลับจากอาการปวด แต่หลัง ๆ ปวดไม่มาก แต่ก็นอนไม่หลับ จึงต้องไปค้นหาฉลากยามาอ่าน สุดท้ายทราบว่าเป็นผลข้างเคียงจากยานาพรอกเซน และเมื่อหยุดยา การนอนหลับก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป

7. อาการปวดท้อง แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดให้แน่ชัด

ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นคำแนะนำสำหรับการดูแล บรรเทาอาการปวดเบื้องต้น เพื่อให้การใช้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นอันตรายกับผู้ใช้น้อยที่สุด และหากเราเคยมีประวัติแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อป้องกันอันตรายจากการแพ้ยา ซึ่งอาจจะมีผลถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกินยาแก้ปวดด้วยความระมัดระวัง

แชร์ให้เพื่อน

5 อาหารป่า ให้โปรตีนสูง ไข่มันต่ำ

แชร์ให้เพื่อน

5 อาหารป่า ให้โปรตีนสูง ไข่มันต่ำ

   พอเริ่มเข้าฤดูฝนนี่อะไรๆก็ดูสดชื่นไปหมด สบายหูสบายตาต้นไม้ ใบหญ้าเขียวขจีต้อนรับน้ำฝนแรกแห่งปีพร้อมกับรัฐบาลใหม่ที่เจริญ​หูเจริญตา นำความเจริญรุ่งเรือง​กลับมาอีกครั้งให้กับประเทศไทย​ พืชสัตว์ป่าได้น้ำ ปลาได้ฝน คนได้อาหารจากแหล่งตามธรรมชาติ​ อาหารจากแหล่งธรรมชาติ​ที่มีความอุดมสมบูรณ์​มักเป็นระบบ​นิเวศน์​ที่สมดุลตามธรรมชาติ​ตามหลักวิชาชีววิทยา​ ที่กล่าวไว้ว่า  ปลาใหญ่กินปลาเล็ก(ระบบนิเวศน์​ในท้องทะเล)​ สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก (ระบบนิเวศน์​ในป่าเขา ลำเนาไพร)​ เจ้ามือหรือรายใหญ่กินรวบรายย่อย 555(ระบบตลาดเงินและตลาดทุน) นอกเรื่องแป็บ

    อาหารป่าที่เป็นแหล่งโปรตีนสูง ไขมันต่ำนั้นมีอยู่ในสัตว์​จำพวกใหนบ้างเรามาดูกันเลยคะ

1.ปลาตามธรรมชาติ ปลาจัดว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่มีประโยชน์​อย่างมากโดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึกซึ่งมีโอเมก้า 5 สูงนั่นเอง และเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้ดี สำหรับปลาน้ำจืดก็มีประโยชน์​ไม่แพ้กัน อย่างเช่น ปลานิล ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาหลด ปลาไหล ปลาเนื้ออ่อน ปลาเล็กปลาน้อย ที่เป็นแหล่งเสริมแคลเซียม​ช่วยบำรุงกระดูก​และฟันนั่นเอง


2.เห็ดตามธรรมชาติหรือเห็ดป่า ประโยชน์​ 9 อย่างของเห็ดสามารถหาอ่านได้เพิ่มเติมในบทความที่แล้ว ข้อมูลแน่นเชียวคะ รวมถึงข้อควรระวังในการเก็บและบริโภค​เห็ดป่า ตลอดจนการปฐมพยาบาล​เบื้องต้น​กรณีกินเห็ดพิษเข้าไปด้วย


3.อึ่งอ่าง กบ เขียด ช่วงฝนแรกต้นปีมักจะมีสัตว์กลุ่มนี้ออกจากการจำศีลช่วงหน้าร้อนและหน้าหนาว ออกมากินอาหารมื้อโต๊ะจีนอย่างแมลงชนิดต่างๆ ที่มีช่วงหน้าฝน และก็กลายมาเป็นอาหารของมนุษย์​ตามห่วงโซ่อาหารกินต่อไปนั่นเอง  อาหารประเภท​นี้มักเป็นที่ชื่นชอบของคนชนบทเพราะไม่ต้องซื้ิอ หาได้ตามธรรมชาติ รสช่วยอร่อยลองดูตามยูทูปที่มีการโชว์​การกินอึ่งอ่างแม่ไข่ต้มส้ม อึ่งช๊อตเป็นต้น อาหารกลุ่มนี้ให้โปรตีนสูง ไขมันต่ำ และแคลเซียม​สูงอีกเช่นกัน


4.ไข่ตามธรรมชาติ หรือแมลงตามธรรมชาติ เช่นไข่มดแดงที่เคยเขียนในบทความก่อนหน้าสามารถอ่านประโยชน์​ของไข่มดแดงได้ ไข่แมงมันเป็นอาหารที่ได้รับความนิยม​ทางภาคเหนือมีรสชาติ​อร่อยราคาขายเป็นหลักพันเลยก็ว่าได้เพราะเป็นสมุนไพร​อีกด้วย


5.แมลงชนิดต่างๆที่เป็นแหล่งโปรตีนสูงไขมันต่ำสามารถหารับประทานได้ตามร้านขายแมลงทอดอย่างเช่น ดักแด้ทอด ตักแตนทอด เขียดไชโย กบทอด จิ้งหรีดทอดกรอบ แมงกะชอน แมงแคง สารพัดแมลงเลยก็ว่าได้

จะเห็นได้ว่าพอเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนแหล่งอาหารเริ่มอุดมสมบูรณ์​อีกครั้งเหมาะสำหรับประเทศไทย​ที่มีพื้นที่ทำการเกษตร​เป็นหลัก แต่ในอีกสี่ปีข้างอาจเกิดปัญหา​แห้งแล้ง​ น้ำท่วม ไฟป่า ดังนั้นเราจึงเตรียมแหล่งอาหารไว้เองหากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ​ถูกทำลายลงไป

 

แชร์ให้เพื่อน

6 ประโยชน์ของการไว้ผมยาว ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

แชร์ให้เพื่อน

6 ประโยชน์ของการไว้ผมยาว ที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

     สาวๆที่ไว้ผมยาวนั้นเป็นเทรนสำหรับการประกวดนางงาม​ในเวทีสำหรับการประกวดความงามในระดับอนุบาล โรงเรียนประถม มัธยม​ มหาวิทยาลัย​ เทศกาล​งานประจำปี (นางนพมาศ นางสงกรานต์​ นางเทียน แม้แต่นางตานี นางไม้เองก็ยังผมยาว)​  นางสาวไทย นางงามจักรวาล​และอีกหลายๆเวที อย่างนางงามทิฟฟานี่​ของสาวประเภทสอง เราคงไม่เถียงว่าผู้ที่เข้ารับการคัดเลือกเข้ากองประกวดนั้นล้วนมีผมยาวสลวยเกือบ 99.99%ทั้งสิ้น ผมยาวช่วยเรื่องความงามได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อ เพราะในเวทีความงามยืนยันแล้วนั่นเอง

    เราลองมาดูกันเลยคะว่าการไว้ผมยาวนั้นมีข้อดีต่อภาวะสุขภาพและความงามอย่างไรบ้าง?

1.การไว้ผมยาวจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะ​รวมถึงใบหน้าได้ดีขึ้นนั่นเอง ช่วยได้ยังงัย ลองคิดดูกิจกรรม​สำหรับผู้หญิงผมยาวนั้นมีอะไรกันบ้างที่ช่วยกระตุ้นนวดผ่อนคลายหนังศีรษะ​ได้บ่อยๆเช่น การหวีผม การเกานวดหนังศีรษะ​ขณะสระ หรือนวดด้วยครีมบำรุงผม กิจกรรมพวกนี้ช่วยกระตุ้นให้เลือดลมสามารถเลี้ยงที่ศีรษะ​และใบหน้าได้เป็นอย่างดีมากเลยทีเดียว จึงช่วยให้ใบหน้ามีความอ่อนเยาว์​และชลอวัยได้นั่นเอง
2.การมัดผม การเปียกผม การม้วนผม ช่วยให้ดึงหนังศีรษะ​ตึง รวมมาถึงการดีงผิวหน้าให้ตึงขึ้นนั่นเอง เรามาลองสะเกตการผ่าตัดด้านความงามกันนะคะ มักจะผ่าตัดและดึงใบหน้าบริเวณ​ไรผมนั่นเอง
วิธีการกระตุ้นเลือดไปเลี้ยงและดึงหน้าให้ดูเต่งตึงด้วยการมัดผมทำได้ง่ายมาก แค่คุณ​หวีผมให้เรียบแล้วก้มหน้าโน้มตัวลงแล้วรวบผมขึ้นที่กลางหัวคล้ายกุมารทองเท่านี้คุณ​ก็ใช้ประโยชน์​จากผมยาวในการช่วยให้ดึงผิวหน้าให้เต่งตึงโดยไม่ต้องเสียเงินและเจ็บตัวแต่อย่างใดแถมช่วยคลายร้อนได้อีกด้วย

3.ผู้หญิงผมยาวนั้นเป็นจุดสนใจสำหรับผู้คน ทำไมถึงว่าผมยาวเป็นจุดสนใจละ เพราะผมยาวคุณสามารถตกแต่งที่เส้นผมได้เยอะกว่าคนผมสั้น เช่น การรวบผมแบบผมแกะ การเปียผมที่เป็นลวดลายต่างๆ ลองสังเกตชาวต่างชาติ​ที่มีผมหยิกหยองเค้ามักจะเปียผมเล็กๆซึ่งจะช่วยดึงให้หนังศีรษะ​ตึง ผลพลอยได้ที่ตามมาคือผิวหน้าตึง ช่วยชลอวัยในตัวนั่นเอง

4.คนผมยาวมักมีคนมาคอยนวดหนังศีรษะ​ให้ในรูปแบบการช่วยหาเหา กรณีที่มีเหา  การถักผมเปีย รวมถึงลูกๆในบ้านที่ช่วยดึงเส้นผมขณะอุ้มหรือให้กินนมอีกด้วย

5.การไว้ผมยาวเป็นจิตวิทยา​ช่วยกระตุ้นในการดูแลตนเองด้านความสวยความงาม ลองสังเกต​ตามร้านทำผมที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย  กิจกรรมตามร้านทำผมนั้นช่วยกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณ​ศีรษะ​และใบหน้าทั้งสิ้นเช่น การสระไดผม การม้วนดัดผม การเปียผม การเปลี่ยนสีผม รวมถึงการตัดเล็มปลายผมอีกด้วย

6.การไว้ผมยาวเปรียบเสมือนการใช้น้ำหนักของผมช่วยดึงถ่วงหนังศรีษะ​ของคุณไว้ตลอดเวลา ยิ่งคุณมีผมยาวและหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งช่วยดึงถ่วงหนังศีรษะ​ไว้เท่านั้น รวมถึงขณะเดินหรือสะบัดผมก็ช่วยนวดหนังศีรษะ​ได้เช่นกัน จึงทำให้ดูอ่อนวัยกว่า ผิวหนังบริเวณ​ใบหน้าเต่งตึงขึ้นได้อีกด้วย

   สาวๆท่านใหนที่ไว้ผมสั้นมานานแล้วลองเปลี่ยน ลุคมาไว้ผมยาวดูนะคะแล้วคุณ​ลองสังเกต​ดู​ความเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าว่าเต่งตึงขึ้นจริงไม่ ตามที่เขียนมาไหม เผื่อมีหนุ่มๆหรือมีแมวมองคุณมากขึ้นนั่นเองคะ หรือสำหรับหนุ่มๆที่อ่านบทความนี้ลองไปเล่าบอกต่อแฟนสาวให้นำเทคนี้ไปใช้ดู คุณอาจมีน้องสาวหรือลูกสาวคนโตแทนภรรยาคนเก่าก็ได้นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

อะไรจะเกิดขึ้น  หากอุณหภูมิ​โลกเพิ่มสูงขึ้น 1.5 องศาภายในปี 2027

แชร์ให้เพื่อน

อะไรจะเกิดขึ้น  หากอุณหภูมิ​โลกเพิ่มสูงขึ้น 1.5 องศาภายในปี 2027

    “น้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตาย” เป็นสำนวนไทยที่ใช้เปรียบเปรย​เกี่ยวกับคำพูดคำจา หมายความว่า คำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน ซึ่งถูกใจผู้ฟัง แต่กลับเป็นโทษ​เป็นภัย ขณะที่คำพูดที่ตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก อาจไม่ถูกใจผู้ฟัง แต่ไม่เป็นพิษ​เป็นภัย อันนี้ขึ้นอยู่กับผู้ฟังในการพินิจพิจารณา​ว่าชอบแบบใหน ไม่เกี่ยวข้องกับปลาแต่อย่างใดนะคะ
    เรามาเข้าเรื่องเลยดีกว่า อะไรจะเกิดขึ้นหากโลกมีอุณหภูมิ​เพิ่มสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส​  ก็นักวิทยาศาสตร์​จากองค์การอุตุนิยมวิทยา​โลกเค้าคาดการณ์​ไว้ในปี 2027 ก็เหลือเวลาอีกสี่ปี่ข้างหน้า ปัจจัยที่ทำให้เกิดโลกร้อนก็มาจากการปล่อยก๊าซ​เรือนกระจก​จากการทำกิจกรรม​ต่างๆของมนุษย​์ร่วมกับปรากฏการณ์​เอลนีโญ เอลนีโญเป็นรูปแบบสภาพภูมิอากาศที่มักจะเกี่ยวข้องกับการที่อุณหภูมิ​ทั่วโลกปรับ​ตัวสูงขึ้น รวมถึงความแห้งแล้งที่จะเกิดขึ้นบางพื้นที่ขณะที่เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ในส่วนอื่นๆของโลกนั่นเอง


    ผลกระทบเกิดอะไรขึ้นได้เช่น แนวปะการังอาจตายลง แผ่นน้ำแข็งทั่วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น เกิดปัญหาสภาวะอากาศ​สุดขั่วต่างๆได้แก่ ภัยแล้ง ไฟป่า น้ำท่วมรุนแรง รวมถึงปัญหา​ขาดแคลนอาหารตามมาจากภัยพิบัติ​ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดอุณหภูมิ​ร้อนขึ้นรวมถึงไทยด้วยที่ทำสถิติ​พุ่งสูง 45 องศาเซลเซียส​ด้วยเช่นกัน
     ปัญหา​อุณหภูมิ​ที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน​เช่นการขาดแคลนพลังงานและสร้างความเสียหาย​แก่ระบบสาธารณูปโภค​และเกิดโรคลมแดดทำให้เสียชีวิตนั่นเอง
       โรคลมแดดหรือฮีทสโตรค( Heat Stroke) เป็นภาวะวิกฤติ​ที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมความร้อนภายในร่างกาย​ได้ เกิดอุณหภูมิ​ของร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ มีอาการปวดศีรษะ​หน้ามืด เพ้อ ชัก ไม่รู้สึกตัว หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หากไม่ได้รับการแก้ไขอาจทำให้เสียชีวิตตามมาได้
    อันตรายของโรคลมแดดมักเกิดกับเด็กเล็ก คนชรา กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อ้วนหรือผอมเกินไป  พักผ่อน​ไม่เพียงพอ  กลุ่มที่ทำกิจกรรม​กลางแดด กลุ่มที่อยู่ในห้องเย็น​แล้วเผชิญกับแดดร้อนจัด และกลุ่มที่กินแอลกอฮอล์​เป็นต้น
    แล้วเราจะปฐมพยาบาลอย่างไรดีละ เบื้องต้นให้รีบเข้าร่ม อากาศ​ถ่ายเทสะดวก คลายเสื้อผ้าให้หลวม นอนราบยกขาสูง ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัว ดื่มน้ำเปล่ามากๆ และรีบนำส่งโรงพยาบาล
  เราป้องกันโดยหลีกเลี่ยงอยู่กลางแดดจัด ใส่เสื้อผ้าโปร่ง เบาสบาย จิบน้ำบ่อยๆ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม​แอลกอฮอล์​และชากาแฟ และมีน้ำตาลสูง ระวังเรื่องการจอดรถทิ้งกลางแดดขณะมีผู้โดยสารโดยเฉพาะเด็กและคนชรา ใช้ร่มกันแดด แว่นตา หมวกปีกกว้าง เพิ่มความระมัดระวังในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว​

นี่ขนาดเพิ่งซ้อมเผชิญกับความร้อนในเดือนเมษา​ยนมาหยกๆ แล้ว ถ้าเกิดร้อนขึ้นอีกเราคงต้องเตรียมรับมือเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์​ของมนุษ

แชร์ให้เพื่อน

อย่าหาทำ ถ้าไม่อยากป่วยจิตเภท

แชร์ให้เพื่อน

อย่าหาทำ ถ้าไม่อยากป่วยจิตเภท

จาก​สถานการณ์​ใน​ปัจจุบัน​นี้ เด็กรุ่นใหม่มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น อยากลองในสิ่งที่ไม่รู้ หากไม่มีผู้ใหญ่ควรให้คำแนะอาจพบปัญหาจิตเภท​ตามมาได้ จากกรณีเปิดกัญชาเสรีทำให้ประชาชน วัยรุ่น คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่มีพฤติกรรม​ด้านความอยากรู้​ อยากเห็นและทดลองสิ่งใหม่ๆ จึงเป็นดาบสองคม แม้ว่าประเทศเราเพิ่งเปิดเสรีด้านกัญชามาเมื่อไม่นาน ฉะนั้นผลกระทบ​จึงอาจยังไม่ปรากฎ​ให้เห็นชัดเจน ต้องใช้เวลาอีกสักพัก
หากเราย้อนกลับไปดูกลุ่มประเทศที่เปิดเสรีด้านกัญชามานานแล้วก็พบว่าปัญหาการเสพกัญชานั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคด้านจิตเภท​โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวนั่นเอง

โรคจิตเภท​(Schizophrenia) เป็นกลุ่มอาการทางจิตที่มีความผิดปกติด้านความคิด การรับรู้ที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงส่งผลกระทบ​ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน​ เช่น การดูแลตัวเอง มักพบในช่วงวัย14-16ปี สาเหตุเกิดได้จากหลายสาเหตุ​ได้แก่ จากพันธุกรรม​หากมีประวัติ​ทางครอบครัว​เป็นโรคจิตเภท​มักมีโอกาสเกิดได้สูง และจากภาวะความเครียดในการดำเนินชีวิต​ก็เป็นตัวกระตุ้น​ให้เกิดโรคจิตเภท​ได้เช่นเดียวกัน การแสดงอารมณ์​ทางลบ การตำหนิ แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรหรือจู้จี้​มากเกินไป​ทำให้มีอาการกำเริบได้ และจากข้อมูลทางการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการเสพกัญชาทำให้เกิดโรคทางจิตเภท​ได้เช่นกัน

อาการของโรคทางจิตเภทนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ

1.กลุ่มที่เกินคนปกติธรรมดา​มักมีอาการหลงผิดคิดว่าคนจะมาทำร้าย คิดว่าตนเองนั้นมีพลังวิเศษ​ในตัว
มีประสาทหลอน หูแว่ว เห็นภาพหลอน​พูดคนเดียว ยิ้มคนเดียวหัวเราะคนเดียว

2.กลุ่มที่บกพร่องกว่าคนธรรมดา​มักมีอาการเก็บตัว ซึม ไม่อยากพบปะสนทนา​ ไม่สนใจดูแลตนเอง เฉื่อยชา ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์​พูดน้อย พูดช้า ขาดการปะติดปะต่อ ไร้อารมณ์​ สีหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย​ ไม่ทำงานทำการนั่งเฉยๆ ผลการเรียนหรือผลการทำงานตกต่ำ

การดูแลรักษา​ผู้ป่วยจิตเภท​เน้น เข้าใจโรคที่ผู้ป่วยเป็น ให้อภัย ไม่โต้เถียงด้านอาการเจ็บป่วย ใช้ความอดทน เสนอการช่วยเหลือ กระตุ้นแต่ไม่บังคับเพราะอาจทำให้อาการกำเริบขึ้นได้ ไม่ควรตำหนิหากไม่จำเป็น

จะเห็นได้ว่าโรคทางจิตเภท​นั้นมีผลกระทบต่อผู้ป่วยและครอบครัว สังคมตามมาอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการเสพกัญชามีโอกาสเสี่ยงต่อการป่วยทางจิตเภท​ได้มากกว่าคนปกติ เราจึงควรหลีกเลี่ยง​หากไม่จำเป็น รวมถึงการให้ข้อมูลกับลูกหลานหรือวัยรุ่นเกี่ยวกับผลกระทบจากการเสพกัญชาเนื่องจากเป็นกลุ่มสารเสพติด​ชนิดหนึ่งนั่นเอง

 

แชร์ให้เพื่อน

ชาใบหม่อน  ประโยชน์​ที่บางคนยังไม่รู้

แชร์ให้เพื่อน

ชาใบหม่อน  ประโยชน์​ที่บางคนยังไม่รู้

    หลังจากเราได้รู้ประโยชน์​ 7 ข้อของไหมดักแด้แล้วในบทความที่แล้ว วันนี้เรามาดูประโยชน์ของใบหม่อนกันบ้าง ว่ามีประโยชน์​ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง
ใบหม่อนนั้นนอกจากจะเป็นอาหารของตัวหนอนไหมแล้วเรายังสามารถนำใบหม่อนมาตากแห้ง ชงดื่มเป็นชาใบหม่อนมีรสชาติดี หอมใบหม่อน มีรสฝาดเล็กน้อย ในปัจจุบันนี้มีการพัฒนา​เป็นชาใบหม่อนพร้อมชงดื่มได้เลย นับว่าเป็นเครื่อง​ดื่มที่มีฤทธิ์​ต่อต้้านอนุมูล​อิสระที่มีประโยชน์​หลายอย่างในด้านการป้องกันปัจจัย​เสี่ยงของการเกิดโรคบางชนิด
    นอกจากเราใช้ใบหม่อนชงเป็นเครื่องดื่ม​แล้วเราสามารถ​เก็บลูกหม่อนมารับประทานมีรสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน มีสารต้าน​อนุมูล​อิสระสูงช่วยป้องกันโรคมะเร็ง​ โรคหัวใจ และวิตามินบี 6 ช่วยลดการอีกเสบของสิว บำรุงเลือด ตับและไต ช่วยให้เส้นเลือดมีความแข็ง​แรง  ช่วยบำรุงสายตา ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและช่วยในการลดน้ำหนัก​สำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย หากใครที่มีประวัติแพ้ลูกฟิกให้ระมัดระวังในการรับประทานเพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
  เดี่ยวนี้เราสามารถหาซื้อชาใบหม่อนตามท้องตลาดมาเป็นชาพร้อมดื่ม หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพงมีสรรพคุณ​ด้านต่อต้าน​อนุมูล​อิสระ​เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรักษาสุขภาพ​มีประโยชน์​ดังต่อไปนี้คือ
1.การดื่มชาใบหม่อนเป็นประจำ​จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
2.ช่วยป้องการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเนื่องจากไม่มีไขมัน
3.ช่วยควบคุม​ระดับน้ำ​ตาลในเลือดเนื่องจากเป็นชาที่ไม่มีความหวาน
4.ช่วยให้เกิดอัลไซเมอร์​ช้าลงได้
5.ช่วยให้นอนหลับ​ได้ดีขึ้น และเป็นยาช่วยระงับประสาท
6.ช่วยขับเหงื่อ ลดไข้ แก้ตัวร้อน แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ และเป็นยาระบายอ่อนๆ
    ถึงแม้ว่าชาใบหม่อนหรือลูกหม่อนมีประโยชน์​มากมายแต่การรับประทานอาหารให้มีความหลากหลายและครบหลักห้าหมู่และจำกัดอาหารเฉพาะโรคก็ช่วยให้มีสุขภาพ​ดีและแข็งแรงขึ้นได้

แชร์ให้เพื่อน