ผอมลง ด้วยมีดหมอกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน

แชร์ให้เพื่อน

ผอมลง ด้วยมีดหมอกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน

       ทางเลือกสุดท้าย​สำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนที่พยายามลดน้ำหนัก​ด้วยวิธีการ​ จำกัดอาหาร ออกกำลังกาย​ กินยาเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักแลัวก็ยังไม่ได้ผล  จงตัดสินใจผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนเพื่อให้ร่างกายกลับมามีสุขภาพ​ดี​และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนทั่วไป การตัดสินใจเลือกการผ่าตัดเพื่อรักษา​โรคอ้วนนั้น  มีมานานแล้วในต่างประเทศ​ ที่เจริญ​แล้วอย่างสหรัฐ​อเมริกา​ ออสเตรเลีย​และแถบยุโรป สำหรับประเทศไทย​เองก็มีการผ่าตัดมาแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่แพร่หลาย​มากนัก
โรคอ้วนนั้นเป็นโรคเรื้อรังและรักษา​ยากโรคหนึ่ง หากปล่อยไว้อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อน​ต่างๆ ตามมาถึงขั้นเสียชีวิต​ได้ก่อนวัยอันควร โดยผู้ป่วยโรคอ้วนนั้นมักมีน้ำหนักตัวเป็นสองเท่าของน้ำหนักตัวปกติและมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ 2-3 เท่าเลยทีเดียว หากใครที่เริ่มมีปัญหา​ภาวะอ้วนอย่างนิ่งนอนใจ​ควรมีแผนการลดความอ้วนได้แล้ว ถ้าไม่ต้องการพบทางเลือกสุดท้ายด้วยการผ่าตัดเพื่อลดความอ้วน

 

เพราะอะไรถึงทำให้เป็นโรคอ้วน?
1.โรคอ้วนจากกรรมพันธุ์​ พบได้ถึง 20-30% เลยทีเดียว ซึ่งอยู่ในยีนบางตัวที่ทำให้รับประทาน​อาหาร​มากกว่าปกติ
2.ความเจริญ​ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี​ทำให้คนมีความสะดวก​สบายมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน​ และพฤติกรรม​การบริโภค​อาหารที่มีไขมันสูงและขาดการออกกำลังกาย​เป็นต้น
3.อ้วนจากโรคประจำตัวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ เช่น เบาหวาน

ปัญหา​แทรกซ้อนสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนมีอะไรบ้าง?
1.ปัญหาที่เกิดจากสรีระ​ที่ผิดปกติ เช่น อาการปวดเข่าเรื้อรัง ไส้เลื่อน ทางเดินหายใจอุดกั้นระหว่างนอนหลับ
2.มีโรคแทรกซ้อน​เกี่ยวกับการเผาผลาญ​อาหาร เช่น ไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน​ชนิดที่2 มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึมเศร้า​จิตแปรปรวน​เป็นต้น

วีธีการผ่าตัดเพื่อรักษา​โรคอ้วนมี 2 วิธีคือ
1.การผ่าตัดลำไส้เพื่อลดการดูดซึมสารอาหาร
2.การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของกระเพาะอาหาร ลดปริมาตรในการจุอาหารนั่นเอง ในกรณีนี้ผู้ป่วยโรคอ้วนต้องปรับเปลี่ยน​พฤติกรรม​การรับประทาน​อาหาร​ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน การแยกรับประทานอาหาร​ที่เป็นอาหารแข็งและอาหารเหลว
แม้ว่าการผ่าตัดเพื่อรักษา​โรคอ้วนนั้นมี​วัตถุประสงค์​เพื่อลดปัญหา​ภาวะแทรกซ้อน​ของโรคอ้วนแต่ความสวยงามนั้นเป็นประเด็นรองถัดมา ทั้งนี้หลังผ่าตัดก็อาจมีภาวแทรกซ้อน​ต่างๆ ได้เช่น เกิดรอยรั่วของแผลผ่าตัด ของเสียคั่ง แผลติดเชื้อ ไส้เลื่อน ภาวะขาดสารอาหาร​บางชนิด ดังนั้นหลังผ่าตัดอาจต้องได้รับอาหารเสริมเพื่อชดเชยตลอดชีวิต

 

แชร์ให้เพื่อน

5. สัตว์ร้าย อันตรายในฤดูฝน

แชร์ให้เพื่อน

5. สัตว์ร้าย อันตรายในฤดูฝน

    ฤดูฝนเริ่มใกล้เข้ามาทุกขณะ มักจะมีสัตว์ร้ายแมลง หลบฝนเข้าอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน หากเราไม่จัดเก็บของให้เป็นระเบียบ หรือดูแลตัดต้นไม้รอบๆบ้านไม่ให้รกเป็นที่อยู่ของสัตว์มีพิษที่ก่อให้เกิดอันตราย ช่วงหน้าฝนมักจะมีสัตว์และแมลงร้ายแฝงตัวเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในบ้านเช่น บริเวณข้าวของที่วางกองไว้ ไม่เป็นระเบียบ จึงควรต้องจัดระเบียบและดูแลทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ สัตว์​หรือแมลงร้ายเหล่านั้นพร้อมที่จะทำอันตรายกับเจ้าบ้านได้ตลอดเวลา เรามาดูกันเลยคะว่าสัตว์ร้ายหรือแมลงร้ายที่มาช่วงหน้าฝนนั้นมีอะไรกันบ้าง

1.ยุงลาย จริงๆแล้วยุงลายมีทุกฤดูกาล หากแต่ว่าช่วงหน้าฝนนั้นมีน้ำขังอยูมาก จึงทำให้ยุงลาย​สามารถ​เจริญเติบโต​และขยายพันธุ์​ได้อย่างรวดเร็ว ยุงลายนั้นเป็นสาเหตุ​ของโรคไข้เลือดออก​และโรคไข้ปวดตามข้อหรือที่เรียกว่า (ชิคุนกุนยา)​เป็นศัตรูที่เกิดขึ้นกับเด็กและผู้ใหญ่บางรายอาจทำให้เสียชีวิตเลยก็มี ดังนั้นช่วงหน้าฝนเราควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์​ยุงลาย นอนกางมุ้งเพื่อป้องกันยุงลายกัด เฝ้าสังเกตุอาการหากเข้าข่ายโรคไข้เลือดออก​หรือชิคุนกุนยาให้รีบไปโรงพยาบาลหรือแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อกำจัดและควบคุมการระบาดของโรคต่อไป


2.ตะขาบ มีลำตัวเป็นข้อปล้อง ขาเป็นข้อ ชอบแอบตัวในที่มืดชื้น เวลากัดจะมีรอยเขี้ยวสองรอยเป็นลักษณะรอยเลือดออก เหยื่อที่ถูกตะขาบกัดจะมีอาการเจ็บปวดและเป็นอัมพาต​ เกิดการอักเสบ​ต่อร่างกาย หากในกลุ่มที่มีอาการแพ้พิษรุนแรง จะมีอาการ กระวนกระวาย คลื่นไส้​อาเจียน มึนงง ปวดศีรษะ​ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เคยมีการรายงานว่าเสียชีวิตได้ การพยาบาลเบื้องต้นให้ล้างแผลด้วยน้ำสบู่และฉีดยาป้องกันบาดทะยัก


3.แมงป่อง มีรูปร่างคล้ายปู ชอบชูหางขึ้นสูง พิษของแมงป่องทำให้เหยื่อเจ็บปวด​ ปวดแสบร้อน และเป็นอัมพาต​ มีไข้ ถ้าพิษ​เข้ากระแสเลือดอาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม ชักเกร็ง น้ำลายไหล ความดันสูง ปัสสาวะ​ออกน้อย หัวใจเต้นเร็ว น้ำคั่งที่ปอด เกิดภาวะหัวใจและหายใจล้มเหลวเสียชีวิตได้ การพยาบาลเบื้องต้นให้ล้างแผลให้สะอาด กินยาแก้ปวด


4.งูพิษ มักเห็นอยู่ในข่าวบ่อยๆ ในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่มักพบเห็นข่าวว่างูพิษ​เช่น งูจงอาง งูเห่า เข้าไปในบ้านมักต้องเรียกเจ้าหน้าที่​ให้จับงูไปช่วย เพราะงูกลุ่มมีพิษเมื่อกัดแล้วมักมีพิษ​ร้ายแรง เราควรสังเกตุรอบบ้านไม่ให้มีโพรงเพราะจะมีงูเข้าไปอาศัยและแพร่พันธุ์​เป็นแหล่งที่อยู่ของงูพิษ​ซึ่งเป็นอันตรายใกล้ตัวในบริเวณบ้าน หากโดนงูพิษ​กัดให้รัดเหนือแผลและรีบนำส่งโรงพยาบาล


5.แมงก้นกระดก​ มักชอบมาเล่นแสงไฟช่วงหน้าฝน พิษ​จากแมงก้นกระดก​มีความเป็นกรดเมื่อโดนพิษ​จะมีอาการระคายเคือง​ปวดแสบปวดร้อน​เป็นรอยไหม้ อาจเป็นผื่นหรือตุ่มน้ำ คล้ายเริมหรืองูสวัด​ คนที่แพ้อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้​อาเจียน มีไข้ การพยาบาลเบื้องต้นให้ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่ ล้างแผล หากอาการรุนแรงขึ้นให้พบแพทย์

แชร์ให้เพื่อน

อันตราย!!! ที่มากับดวงตา ที่ไม่ควรมองข้าม

แชร์ให้เพื่อน

อันตราย!!! ที่มากับดวงตา ที่ไม่ควรมองข้าม

      เคยเป็นใหม ตื่นเช้าขึ้นมามีอาการเลือดออกใต้เยื่อบุตาทั้งที่ไม่ได้รับการกระทบกระเทือน​อะไรมาก่อน  อาการก่อนนอนมีเคืองตาเล็กน้อย ขยี้ตาเบาๆ นอนหลับ​ทั้งคืน ตื่นมาตอนเช้าพบว่ามีเลือดออกใต้เยื่อบุตา เรามาดูกันเลยคะว่ามีสาเหตุ​มาจาก​อะไรได้บ้าง มีวิธีการดูแลสังเกตุตนเองอย่างไร ก่อนตัดสินใจ​ไปพบแพทย์

   ภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา (Subconjuctival Hemorrhage)​ เกิดจากเส้นเลือดฝอยระหว่างเยื่อบุตาและตาขาวฉีกขาด ทำให้เกิดเลือดออกและสังเกต​เห็นได้ชัดเจนบริเวณ​ตาขาวกลายเป็นสีแดง แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอาการนี้ขึ้น เมื่อส่องกระจกถึงได้รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะหายได้เองภายใน1-2สัปดาห์​ และไม่ได้มีผลกระทบ​ต่อการมองเห็นแต่อย่างใด อาจมีอาการเคืองตาหรือมีขี้ตาร่วมด้วยได้บ้าง

 

จะเห็นว่าเลือดออกใต้ตามองดูแล้วน่ากลัวและรุนแรงเพราะดวงตาไม่ได้รับความกระทบกระเทือน​แต่อย่างใด​ หากพบว่ามีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์

1.มีอาการปวดตาร่วมด้วย
2.การมองเห็นเปลี่ยนไปเช่น ตามัวลง มองไม่ชัด เห็นภาพซ้อน
3.อาการไม่ดีขึ้นหรือหายไปภายในสองสัปดาห์
4.เคยมีประวัติ​โรคความดันโลหิตสูง​มีเลือดออกผิดปกติ​หรือดวงตาได้รับบาดเจ็บ
  สาเหตุ​ที่พบได้บ่อยเช่น
1.มีสิ่งแปลกปลอม​เข้าดวงตาแล้วขยี้ตาอย่างรุนแรง
2.ได้รับบาดเจ็บ​ที่ดวงตา อาจโดนจิ้มตา หรือกระแทกตา เป็นต้น
3.มีการยกของหนัก ไอ หรืออาเจียนอย่างรุนแรง หรือออกแรง​เบ่งมากเกินไป
4.ในผู้ป่วยบางกลุ่มอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดขึ้นได้เช่น โรคความดันโลหิตสูง​ โรคเบาหวาน ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ​ มีการใช้ยาบางชนิดร่วมด้วย

การ​รักษา​นั้นสามารถรักษาเองได้โดยไม่ต้องพบแพทย์​คือ
1.หยอดน้ำตาเทียมเมื่อระคายเคือง​ตา
2.หลีกเลี่ยง​การกินยาแก้ปวด แก้อักเสบบางชนิดชั่วคราวจนกว่าจะหายดี

 

การป้องกันการเกิดภาวะเลือดออกใต้เยื่อบุตา
1.ไม่ควรขยี้ตาอย่ารุนแรง
2หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาให้ล้างตาหรือหยอดน้ำตาเทียมเพื่อชำระล้างสิ่งแปลกปลอม​ออกมาได้
3.สวมหน้ากาก แว่นตาป้องเศษฝุ่นละอองเมื่ออยู่ในสถานที่เสี่ยงเช่น ขี่จักรยาน​ยนต์​ ทำงานโรงงาน
4.หากเกิดปัญหาเลือดออกใต้เยื่อบุตาบ่อยๆ ควรพบแพทย์เพื่อค้นหา​สาเหตุที่แท้​จริง​และรีกษาได้ตามความเหมาะสม​

แชร์ให้เพื่อน

คุณกินยาควบคุมไขมันเลือดอยู่หรือไม่?

แชร์ให้เพื่อน

คุณกินยาควบคุมไขมันเลือดอยู่หรือไม่?

โรคไขมันในเลือดสูงนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือดฉะนั้นหากท่าต้องรับประทาน​ยาลดไขมันในเลือดต้องรู้ในประเด็นใดบ้างและปฏิบัติ​ตัวอย่างไรขณะกินยานี้

ยา  Xarator​ เป็นยาควบคุมระดับไขมันในเลือดที่เรียกว่า สแตติน ( Statin)

ข้อบ่งชี้​ในการรับประทานยา
1.ใช้สำหรับลดไขมันในเลือดที่เรียกว่า คอเลสเตอรอล​และไตรกลีเซอร์ไรด์​ในเลือด ขณะใช้ยานี้ ต้องรับประทาน​อาหารที่มีไขมันต่ำ และออกกำลังกาย​เป็นประจำ
2.ยานี้ใช้ป้องกัน​การเกิดโรคแทรกซ้อน​ที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด​เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือด​สมอง การเกิดกล้ามเนื้อ​หัวใจตาย  การเกิดอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจาก​เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ​หัวใจไม่พอ

ข้อห้ามในการใช้ยานี้
1.ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ
2.ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์​หรือวางแผนการตั้งครรภ์​และหญิงให้นมบุตร
   ผลข้างเคียง​ของยาที่ควรระวังเป็นพิเศษ​ หากใช้ยานี้แล้วมีภาวะดังต่อไปนี้​
1.มีความผิดปรกติ​ของกล้ามเนื้อ
2.โรคตับหรือดื่มสุราอย่างหนัก
3.เป็นโรคหลอดเลือด​สมองที่มีเลือดออกในสมอง
4.หากรับประทาน​ยาอื่นร่วมด้วย ควรแจ้งให้เภสัชกรทราบ
5.ยาที่ใช้ปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
6.ยาปฏิชีวนะ​บางชนิดเช่น ยากลุ่มรักษาวัณโรค
7.ยาควบคุมไขมันชนิดอื่นๆ
8.ยาควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ
9.ยารักษาโรค​ติดเชื้อ HIV
10. ยาคุมกำเนิด ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร​
11.ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย​ fusidic acid
12.ยารักษาโรค​เก๊าท์
13.ระหว่างรับประทาน​ยานี้ห้ามดื่มน้ำ grapefruit เกินวันละ 1.2 ลิตร
14.ควรรับประทาน​ยาตามเวลาเดิมอย่างสม่ำเสมอ หากลืมให้กินทันที เมื่อนึกขึ้นได้ ห้ามกินเกินสองเท่า
15.หลีกเลี่ยง​อาหารไขมันสูง งดสูบบุหรี่​ออกกำลังกาย​สม่ำเสมอ

ผลข้างเคียง​ของยาที่พบได้บ่อย
1.คอหอยหลังโพรงจมูก​เกิดการอักเสบ
2.ระดับน้ำ​ตาล​ในเลือดสูงขึ้น
3.เจ็บคอหอยและกล่องเสียง
4.เลือดกำเดา​ไหล ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย คลื้นไส้ ท้องอืด ปวดข้อ ปวดตามแขนขา ปวดกล้ามเนื้อ​และกระดูก​กล้ามเนื้อหดเกร็ง​  ข้อบวม ตับทำงานผิดปกติ ระดับเครตินีในเลือดสูงขึ้น
หากพบอาการเหล่านี้รุนแรงขึ้นให้หยุดยา
1.ผื่นขึ้นใบหน้า หนังตา ริมฝีปากบวม หายใจลำบาก
2.ปวด กดเจ็บกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ​อ่อนแรง ​รู้สึกไม่สบายกายมีไข้ร่วมด้วย

การเก็บรักษายา
1.เก็บให้พ้นจากมือเด็ก
2.เก็บไว้ในอุณหภูมิ​ต่ำกว่า 30 องศา

แชร์ให้เพื่อน

9 อันตราย!!! ที่มากับต้นฤดูฝน

แชร์ให้เพื่อน

9 อันตราย!!! ที่มากับต้นฤดูฝน

ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนอยู่ในช่วงเดือนพฤษภา​คม ช่วงต้นฤดูฝนอากาศ​มักจะแปรปรวน เกิดพายุ ลมแรง ฟ้าร้อง ฟ้าแล้บ ฟ้าผ่า พายุโซนร้อน​ พายุหมุน ทำให้เกิดอันตรายทั้งชีวิตและทรัพยสิน​ จากข่าวที่พบเห็นทางสื่อออนไลน์​บ่อยๆ เช่น เกิดฟ้าผ่าสัตว์เลี้ยง​ที่ปล่อยไว้ตามทุ่งนา หรือที่โล่งแจ้ง เช่น วัว ควาย แพะ บางครั้งก็เกิดฟ้าผ่าคนขับรถไถนากลางแจ้งเป็นต้น

เรามาดูกันเลยว่าอันตรายในช่วงต้นฤดูฝนนั้นมีอะไรบ้าง และเราสามารถป้องกันอันตรายอย่างไรได้บ้าง

1.อันตรายจากโดนฟ้าผ่า ช่วงต้นฤดูฝนมักจะเกิดฟ้าผ่าได้ง่าย ดังนั้นหากเกิดฝนตก ฟ้าร้องให้รีบปิดเครื่องมือสื่อสารทันที ถอดเครื่องประดับที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า หรือไม่ควรใส่ในช่วงฝนตก ฟ้าร้อง เข้าหลบฝนในบ้านเรือนไม่แนะนำให้หลบฝนใต้ต้นไม้เพราะมีโอกาสฟ้าผ่าและต้นไม้ล้มทับเสียชีวิตได้

2.อันตรายกับสัตว์เลี้ยงเช่น วัว ควายได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตจากฟ้าผ่า หากมีฝนตกให้รีบนำสัตว์เลี้ยงเข้าคอกให้เร็วที่สุดเพราะจากปัญหาฟ้าผ่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่กลางแจ้งนั้นมักพบว่าตายเกือบทั้งฝูง

3.อันตรายจากต้นไม้ล้มทับบ้านเรือนหรือทรัพย์สินเช่น ​รถยนต์​ช่วงหน้าฝนไม่แนะนำให้จอดรถทิ้งไว้บริเวณต้นไม้ใหญ่เพราะเมื่อเกิดพายุ ลมแรงไม่สามารถเคลื่อนรถออกทัน ทำให้เกิดความเสียหายได้

4.สำรวจบ้านเรือนช่วงก่อนหน้าฝน ซ่อมแซมบ้านเรือนให้มีความแข็งแรงเพราะมีพายุลมแรงอาจทำให้บ้านเรือนเสียหายและได้รับอันตรายได้

5.อันตรายที่เกิดกับเด็กเล็ก ดูแลเด็กเล็ก ห้ามเล่นน้ำฝนช่วงต้นฤดูฝน อาจทำให้เกิดฟ้าผ่าได้เช่นกัน รวมถึงเกิดเจ็บป่วยไข้หวัดได้ง่ายเนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงง่าย และเด็กยังมีภูมิคุ้มกันน้อยกว่าผู้ใหญ่

6.หากเกิดความเสียหายกับชีวิต ทรัพย์สิน​สามารถแจ้งหน่วยงานของรัฐเพื่อขอความช่วยเหลือเพื่อบรรเทา​สาธารณภัย​ได้ตามความจำเป็น

7.การขับรถบนถนนขณะฝนตกให้มีความระมัดระวังเพราะพื้นถนนลื่นให้ลดความเร็ว และเปิดไฟเพื่อเป็นสัญญานเตือนให้รถที่ขับสวนทางมาท่ามกลางสายฝน และระมัดระวังเรื่องต้นไม้หรือเสาไฟฟ้าล้มทับ

8.การเดินทางไปใหนมาใหนช่วงหน้าฝนให้เตรียมเสื้อกันฝนหรือร่มกันฝนติดตัวไว้เพราะฝนอาจตกลงมาเวลาไหนก็ได้อาจไม่ตรงตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา​พยากรณ์​อากาศและลมฝนไว้

9.ดูแลรักษาสุขภาพ​ให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ออกกำลังกาย​เป็นประจำ​เพราะหากเคยเกิดติดเชื้อโควิดมาก่อนอาจทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติได้

 

แชร์ให้เพื่อน

ระวัง อันตรายที่มากับเห็ดพิษช่วงต้นฝน

แชร์ให้เพื่อน

ระวัง อันตรายที่มากับเห็ดพิษช่วงต้นฝน

เห็ดตามธรรมชาติถึอว่าเป็นของขวัญจากดินในช่วงหน้าฝน ทุกคนสามารถหาเก็บเห็ดมากินได้ ยกเว้นบางที่จะไม่อนุญาต​ให้ประชาชน​เข้าไปเก็บเห็ดซึ่งพบเห็นในข่าวเรื่องถูกจับดำเนินคดีกรณีเก็บเห็ดให้เห็นอยู่บ่อยๆนั่นเอง
เห็ดส่วนมากที่นำมาบริโภคนั้นมีทั้งเห็ดที่เพาะขึ้นมาเช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม เห็ดฟาง เห็ดหูหนู และเห็ดที่ขึ้นเองตามป่าในธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์​อากาศ​ร้อนชื้นทำให้เห็ดงอกได้ดี จึงมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยเข้าไปเก็บเห็ดมาบริโภค เนื่องจากเห็ดเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต​ไขมัน แร่ธาตุ​และวิตามินต่างๆ

เห็ดโดยหลักๆแล้วแยกออกได้เป็นสามกลุ่มคือ

1.เห็ดที่นำมาใช้ในทางยา พวกกลุ่มยาสมุนไพร​จีน เช่น เห็ดหลินจือ​ เห็ดหอม
2.เห็ดที่นำมาบริโภค​เช่น เห็ดฟาง เห็ดละโงก เห็ดเผาะ
3.เห็ดพิษ​ ส่วนใหญ่เห็ดกลุ่มนี้จะขึ้นเองตามธรรมชาติในช่วงหน้าฝน ปะปนอยู่กับกลุ่มเห็ดที่สามารถนำมากินได้ จึงมักเกิดกับกลุ่มที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์​เก็บเห็ดพิษมากินแล้วทำให้เสียชีวิตที่เห็นตามข่าวอยู่บ่อยๆ หรือจากหนังเรื่องหนึ่งที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกินเห็ดพิษหรือเห็ดเมา
จากหนังเรื่อง “มัน… ผุดจากนรก” ( Shroom)​ เป็นหนังเกี่ยวกับอาการเมาเห็ดพร้อมกับความหลอนจนเกิดสยองขวัญ เห็ดเมาจัดว่าเป็นสารเสพติดตามธรรมชาติ เพราะทำให้เกิดภาพหลอนที่ทำให้คนเสพมีอาการเคลิบเคลิ้ม​ ในต่างประเทศ​นั้นได้รับความนิยม
เห็ดพิษ มีข้อสังเกต​ุอย่างไรบ้าง เราสามารถสังเกต​ุจากสี รูปร่าง หรือแมลงกัดกิน แยกได้ว่าสามารถ​กินได้หรือไม่ ขอตอบว่าไม่ได้นะคะ
เรามาดูวิธีการ​สังเกต​ุว่าเห็ดลักษณะ​แบบใหนเป็นเห็ดพิษโดยทั่วไป​จะมีก้านสูง ลำต้นโป่งพองออกและที่ฐานมีวงแหวนชัดเจน สีผิวของหมวกเห็ดมีหลากหลายสี หากไม่แน่ใจไม่ควรนำมารีบประทานเด็ดขาด
เห็ดพิษ​นั้นสามารถ​ออกฤทธิ์​ทำลายเซลล์​ตับ ไต ทางเดินอาหาร ระบบเลือด ระบบหายใจและสมอง หรือประสาทส่วนกลาง​ขึ้นอยู่กับว่ากินเห็ดพิษชนิดใดเข้าไป สามารถทำให้อันตรายถึงชีวิต อาการที่เกิดจากการกินเห็ดพิษ​ได้แก่ คลื่นไส้​อาเจียน ท้องเสีย เวียนศีรษะ​ ปวดหัว ​เป็นตะกริว ชัก หมดสติ ถึงขั้นเสียชีวิต
ในการปฐมพยาบาล​เบื้องต้นนั้นกระตุ้นให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด แล้วให้รับประทานผงถ่านช่วยในการดูดพิษ​ร่วมกับการให้ยาระบายกระตุ้นการขับถ่าย หรือกินน้ำใบรางจืดหรือใบย่านาง เพื่อถอนพิษ​ตามภูปัญญา​ท้องถิ่น หลังจากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

แชร์ให้เพื่อน

ผื่นคัน ลมพิษ (Urticaria) อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

แชร์ให้เพื่อน

ผื่นคัน ลมพิษ (Urticaria) อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

ผื่นลมพิษเป็นผื่นคันที่มีลักษณะ​สำคัญคือ เป็นผื่นแดง นูน สีของผิวหนังเมื่อกดแล้วจะซีดแล้วกลับมาเป็นสีชมพู​เหมือนเดิม ผื่นลมพิษสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย โดยทั่วไปนั้นมักพบบริเวณ​ที่หน้า ลิ้น แขนขา หรืออวัยวะ​เพศ
ลมพิษ​เป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลัน มีระยะเวลาน้อยกว่า 6 สัปดาห์​และลมพิษ​เรื้อรัง ในรายที่เป็นนานกว่า 6 สัปดาห์

สาเหตุของลมพิษนั้นมีมากมายหลายสาเหตุ​ได้แก่

1.ลมพิษ​จากปฎิกิริยา​ของยาบางชนิด
2.ลมพิษ​จากปฏิกิริยา​ของอาหารบางชนิด
3.ลมพิษจากการสัมผัส​สารบางอย่างจากการหายใจ การกิน หรือสัมผัส​ทางผิวหนังโดยตรง
4.ลมพิษ​ที่เกิดจากการติด​เชื้อไวรัส​ แบคทีเรีย​ เชื้อรา หรือเกิดจากละอองเกสร​ของดอกไม้บางชนิดเป็นต้น
5.ลมพิษ​ที่เกิดจากการสัมผัส​แมลงบางชนิด
6.ลมพิษ​ในโรคมะเร็ง
7.ลมพิษ​ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง​ของภูมิอากาศ​เช่น อากาศ​เย็น อากาศ​ร้อน
ผู้ป่วยที่มีปัญหา​ลมพิษ​เรื้อรัง ต้องให้ข้อมูลแก่ผู้รักษาเกี่ยวกับการเกิดอย่างละเอียดและตามความเป็นจริงเพราะข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยหาสาเหตุ​ของการเกิดลมพิษ​แบบเรื้อรังและ สามารถวินิจฉัยโรคและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ บางครั้งต้องใช้ข้อมูลร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ​เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค​ที่ถูกต้อง

แนวทางการรักษาผู้ป่วยลมพิษ​เรื้อรังมีดังนี้

1.อธิบายเรื่องการดำเนินของโรคลมพิษ​เรื้อรังให้ผู้ป่วยทราบ รวมถึงผลข้างเคียงของยาหากต้องใช้เป็นเวลานาน

2.แนะนำให้ป่วยสังเกตุ​ว่าอะไรทำให้เกิดอาการและหลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นทั้งหลาย เช่น ความเครียด ความร้อน การดื่ม​แอลกอฮอล์​ การใส่เสื้อผ้าแน่น กดรัดเกินไป การรับประทานอาหารที่ใส่วัตถุ​กันเสีย หรือใส่สีผสมอาหาร

3.แนะนำเรื่องการรับประทานยา ส่วนใหญ่มักเป็น
กลุ่มยาแก้แพ้นั่นเอง

จะเห็นว่าลมพิษ​เรื้อรังนั้น เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความไม่สุขสบายและก่อความรำคาญ​ให้กับผู้ป่วยในการดำเนินชีวิตประจำวัน​

แชร์ให้เพื่อน

ภาวะเบาหวานขึ้นตา ใครว่าไม่สำคัญ

แชร์ให้เพื่อน

ภาวะเบาหวานขึ้นตา ใครว่าไม่สำคัญ

เบาหวานขึ้นตาเป็นความผิดปกติของจอประสาทตา​พบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โดยหลอดเลือดในจอประสาทตามีความผิดปกติ และมีเลือดออกในจอประสาทตา หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาทำให้เกิดปัญหาด้านการมองเห็น​ลดลง จนถึงขั้นมีโอกาสสูญเสีย​การมองเห็นแบบถาวร ซึ่งเป็นภาวะสำคัญ​ทำให้เกิดตาบอดได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน​นั่นเอง

 

ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ รักษาด้านโรคเบาหวานและได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์​เป็นประจำเพื่อจะได้ตรวจหาและรักษาได้ทันท่วงที
แนวทางการป้องกันภาวะเบาหวานขึ้นตา
1.การ​ควบคุม​น้ำหนักและการออกกำลังกาย​เป็นประจำ สามารถช่วยลดความเสี่ยงภาวะเบาหวานขึ้นตาได้ในบางคน

2.การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต  และระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์​มาตรฐาน


แนวทางการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นตาได้แก่

1.การรักษาโดยการยิงแสงเลเซอร์​เข้าจอประสาทตา​เพื่อป้องกันการสูญเสีย​การมองเห็น

2.การฉีดยาเข้าในน้ำวุ้นตา เป็นการฉีดเพื่อช่วยลดการบวมของจอประสาทตา​หรือลดการเกิดหลอดเลือดผิดปกติ

3.การผ่าตัดน้ำวุ้นตา เพื่อตัดและดูดเลือดที่ค้างในวุ้นตาออก

 

ผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มใหนบ้างที่ควรรับการตรวจจอประสาทตา

1.ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 อายุมากกว่า 10 ปีและได้รับการวินิจฉัยโรค​มานาน 5 ปีขึ้นไป

2.ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยโรค

3.ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์​หรือวางแผนจะตั้งครรภ์
4.ผู้ป่วยโรคเบาหวาน​ที่เริ่มมีอาการตามัว หรือการมองเห็นผิดปกติ
5.ผู้ป่วยที่เคยรับการตรวจจอประสาทตามาก่อน ควรรับการตรวจซ้ำทุก 1-2 ปี

 

ข้อมูลที่ผู้ป่วยและญาติควรรู้เกี่ยวกับภาวะเบาหวานขึ้นตาคือ

1.ความรู้เรื่องโรคเบาหวานทั่วไปและภาวะเบาหวานขึ้นตา
2.โรคเบาหวาน​เป็นแล้วรักษาไม่หายขาด ต้องควบคุม​ตลอดชีวิต
3.ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสตาบอดมากกว่าคนปกติหากไม่ได้รักษาหรือควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ
4.การควบคุมน้ำตาลต้องควบคุมร่วมกับ ความดัน​โลหิต และไขมันในเลือด

หากใครที่เป็นโรคเบาหวานหรือเพิ่งได้รับการวินิจฉัยโรค​อย่านิ่งนอนใจเพราะปัญหาเบาหวานขึ้นตามีโกาสทำให้การมองเห็นลดลงและส่งผลให้ตาบอดในที่สุด หากใครที่มีคนใกล้ชิดเป็นเบาหวานต้องติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากพบปัญหาภาวะเบาหวานขึ้นตา จะได้รับการรักษาทันท่วงทีเช่นกัน
ข้อมูล การประชุมวิชาการประจำปีสมิติเวช 2550

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ดลับ : หน้ากระจ่างใส ผิวสวย เปล่งปลั่ง ด้วยมะม่วงสุก

แชร์ให้เพื่อน

เคล็ดลับ : หน้ากระจ่างใส ผิวสวย เปล่งปลั่ง ด้วยมะม่วงสุก

มะม่วงเป็นผลไม้เมืองร้อน กินได้ทั้งผลดิบและสุก รสชาติ​อมเปรี้ยวอมหวานสำหรับบางสายพันธุ์​ ช่วงปลายฤดู​หนาวเข้าหน้าร้อนถึงต้นฤดูฝน​จะมีมะม่วงสุกให้รับประทานหรือมีตลอดทั้งปีแต่ช่วงเวลาอื่นอาจราคาแพงกว่า ใครจะรู้ว่ามะม่วงสุกแม้จะเป็นผลไม้ธรรมดาๆ แต่กลับมีประโยชน์เหลือหลาย อุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆและสารต้าน​อนุมูล​อิสระ​ ให้พลังงานต่อร่างกาย ช่วยลดความอ่อนเพลีย ชลอวัยได้อีกด้วย ป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด เพิ่มภูมิคุ้มกัน​ให้กับร่างกาย

เรามาดูกันเลยว่ามะม่วงสุกมีประโยชน์ต่อสุขภาพอะไรบ้าง?

1.มะม่วงสุกหนึ่งผลกลางให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี่​ จะเห็นได้ว่าคุณทานมะม่วงสุกหนึ่งผลมีพลังงานเพียงพอในการทำกิจกรรมเบาๆภายในหนึ่งชั่วโมงเลย สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว​เบาหวานควรจำกัดในการรับประทาน

2.มะม่วงสุกอุดมไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆ เช่น วิตามินเอ เค ซี โฟเลต ช่วยบำรุงสายตาและบำรุง​ผิวพรรณ​ สร้างภูมิต้านทานโรค แถมช่วยให้เส้นผมมีความแข็งแรง ช่วยชลอวัยได้เนื่องจากมีสารต้านอนุมูล​อิสระ​อีกด้วย

3.มะม่วงสุกช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิดเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่เนื่องจากมีกากใยมาก ช่วยระบาย ลดปัญหาท้องผูก สามารถกินได้แทนการกินยาระบายหรืออาหารเสริมแถมราคาถูกอีกด้วย

4.มะม่วงสุกช่วยลดความเครียด มีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมช่วยลดคอเลสเตอรอล​ในเลือดได้ด้วย

5.มะม่วงสุกช่วยลดน้ำหนัก​ได้ หากเลือกรับทานวันละหนึ่งลูกช่วยให้อิ่มท้องได้นานขึ้นแถมไม่มีไขมันเหมือนขนมขบเคี้ยว​อีกด้วย

เราจะรับประทานมะม่วงสุกหนึ่งผลให้ได้ประโยชน์​สูงสุดอย่างไร?

1.ล้างมะม่วงสุกให้สะอาด ผ่าออกเป็นสองซีก ใช้ช้อนตักเนื้อมะม่วงกิน ประโยชน์ที่ได้จากการกินเนื้อมะม่วงสามารถ​อ่านได้ข้างบน

2.เนื้อมะม่วงที่ติดเม็ด ล้างยางมะม่วงออกให้หมด ล้างหน้าให้สะอาด ใช้เม็ดมะม่วงด้านข้างที่มีเส้นใย ขัดผิวหน้าเบาๆ ทิ้งไว้ห้านาที แล้วล้างหน้าออกให้สะอาดซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงตามปกติ

3.เนื้อมะม่วงที่ติดอยู่กับเปลือกมะม่วง สามารถ​นำมาขัดผิวกายเบาๆ ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออกให้สะอาด

4.ผิวหน้าและผิวกายจะมีกระจ่างความกระจ่างใส ขาวเนียน เปล่งปลั่ง​อย่างเห็นได้ชัด

5.ลองทำติดต่อกันอาทิตย์​ละสามครั้งแล้วจะเห็นความแตกต่างของผิวกายและผิวหน้า ทั้งนี้ต้องใช้ครีมกันแดด​หรือปกป้องผิวจากแสงแดดหลังทำด้วยคะ

แชร์ให้เพื่อน

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะดีขึ้นจริงหรือ หลังการเลือกตั้งปี 2566

แชร์ให้เพื่อน

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะดีขึ้นจริงหรือ หลังการเลือกตั้งปี 2566

       ปัญหา​ฝุ่น PM 2.5 นี่เป็นปัญหา​ใหญ่รองลงมาจากปัญหาโควิด19 เลยทีเดียว เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่ามีผลกระทบ​ต่อระบบทางเดินหายใจเหมือนกัน หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม​ 2566 เราต่างคาดหวังว่าปัญหา​ฝุ่น PM 2.5 คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะแต่ละพรรคการเมือง​ก็ชูประเด็นนโยบายแก้ปัญหา​ฝุ่น PM 2.5 อย่างเช่น ป้องกันการเผา เปลี่ยนแก๊ซเรือนกระจกเป็นรายได้ การปรับปรุงระบบขนส่งสะอาด รถเมล์ไฟฟ้า วินมอเตอร์ไซด์​ไฟฟ้า อีกมากมายที่ช่วยลดปัญหา​ฝุ่น PM 2.5

 

    ปัญหาฝุ่น PM 2.5 (ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5ไมครอน) มาจากใหนกันบ้าง มาดูกันเลย

1.ปัญหาสิ่งแวดล้อมและอากาศ​เป็นพิษจากปล่องของโรงงานอุตสาหกรรม​และโรงไฟฟ้า เกิดจากการเผาปิโตรเลียมและถ่านหิน ทำให้เกิดแก๊ซ​พิษออกมาสู่สิ่งแวดล้อม​มากมาย

2.ปัญหา​สิ่งแวดล้อมเป็นพิษจากระบบการขนส่ง การเผาไหม้น้ำมันดีเซล​ร่วมกับการจราจร จะเห็นว่ารถเมล์​และรถยนต์ส่วนบุคคล​ตามถนนยังมีควันดำอยู่

3.ปัญหาการเผาป่า ไฟป่า การเผาของภาคการเกษตร​ เป็นปัญหาที่ควบคุมยากเนื่องจากเกิดจากภัยธรรมชาติ​และการเผาของมนุษย​์นั้นพอจะมีแนวทางการแก้ปัญหา

4.การก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา​จึงมีการขุดเจาะ เพื่อก่อสร้างถนน รถไฟฟ้า อาคาร ตึกราม บ้านช่อง เพื่อขยายเมืองเนื่องจากมีประชากรที่มากขึ้น รวมถึงการย้ายถิ่นฐานของคนต่างชาติ​เข้าสู่ประเทศไทย​อีกด้วย

5.ปัญหาจากเหตุการณ์​อื่นเช่น ปัญหาไฟไหม้โรงงานอุตสาหกรรม​ที่เกิดขึ้น การเผาขยะ การสูบบุหรี่​ ร้านอาหารปิ้งย่าง


  
  ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อสุขภาพ​มีอะไรกันบ้าง

1.โรคของระบบทางเดินหายใจต่างๆ เช่นการอักเสบของหลอดลม  แน่นหน้าอก​ หายใจลำบาก ถุงลมแฟบ แสบตาแสบจมูก ไอมีเสมหะ สมรรถนะ​ของปอดทำงานได้ลดลง

2.เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายเช่น ไข้หวัดใหญ่​ โควิด 19 เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง

3.หากอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาวเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ง่ายกว่า

4.เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดลมโป่งพอง หรือหลอดลมอุดกั้น

5.ปัญหาด้านผิวหนัง เกิดอาการผื่นแพ้ คัน ลมพิษ​ได้ง่าย

6.การสูดดมอากาศ​มลพิษทางอากาศ​ PM 2.5 ในระยะเวลานานส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องแก่ก่อนวัย เกิดรอยย่น จุดด่างดำ ฝ้า กระ ตามมาได้ง่าย

7.ปัญหาด้านสุขภาพ​จิตและซึมเศร้า

8.ปัญหา​ต่อระบบสาธารณะ​สุขเนื่องจากต้องใช้ทรัพยากร​ในการดูแลผู้ป่วย​มากขึ้น สูญเสียงบประมาณ​ไปเป็นจำนวนมาก

     จะเห็นว่าฝุ่นละออง​ PM 2.5  ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย​ชาติ เราก็หวังว่าหากการเลือกตั้งครั้งนี้ผ่านไปจะช่วยแก้ปัญหา​ฝุ่นละอองให้ดีขึ้นกว่าในปัจจุบั​นนี้ คงไม่ทำให้ประชาชนต้องรับกรรมจากปัญหาฝุ่นละออง​นี้ไปจนชั่วอายุขัย

แชร์ให้เพื่อน