สร้างพลังความสุข ด้วยพลังแห่งรอยยิ้ม

แชร์ให้เพื่อน

สร้างพลังความสุข ด้วยพลังแห่งรอยยิ้ม

“วันนี้คุณยิ้มกี่ครั้งแล้ว” หากคุณกำลังมีความสุขคนรอบข้างของคุณก็มีความสุขด้วย แต่เวลาที่คุณกำลังมีความทุกข์ ซึมเศร้า อึดอัด กังวลใจ คนรอบข้างก็มีความทุกข์ไปด้วย อาจเป็นเพราะการแสดงสีหน้าและพฤติกรรม​ของเรานั้น สามารถส่งผลต่อความรู้สึกของคนรอบข้างได้ เพราะว่าอารมณ์​และความรู้สึก​นั้นสามารถส่งผลถึงกัน
พลังแห่งรอยยิ้มหรือการแสดงสีหน้ามีความสุข คือพฤติกรรม​ว่าเรากำลังมีความสุขเป็นการกระตุ้นให้ร่างกาย​หลั่งสารเคมีแห่งความสุข หากเราแสดงพฤติกรรม​หน้านิ่ว คิ้วขมวด แสดงถึงเรากำลังมีความทุกข์​ร่างกายจะกระตุ้นสารเคมีแห่งความทุกข์​ออกมาเช่นกัน การยิ้มออกมา แม้ว่าในเวลานั้นคุณไม่อยากยิ้ม แต่พลังแห่งรอยยิ้มจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ไม่เชื่อออกทำดูคะ

ผู้เขียนสังเกตุจากการเดินทางพบเจอผู้คนต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม​แม้ว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเราส่งรอยยิ้มให้ เราก็มีความรู้สึกเป็นสุขได้อย่างประหลาด ทั้งคนที่เรายิ้มให้เค้าก็ยิ้มตอบกลับเช่นกัน ผู้คนดูเป็นมิตร และอุ่นใจและใส่ใจอยากช่วยเหลือเรามากขึ้นแม้ในต่างถิ่น ต่างแดน สถานที่ที่เราไม่รู้จัก
ฉันเคยมีประสบการณ์​ไปซื้อของในร้านเสื้อผ้า ลูกจ้างบอกว่าจะลดราคาให้ดิฉัน แต่พอจ่ายเงินกลับไม่ลดราคาให้ตามที่คุยกันไว้ ดิฉันจึงขอพบกับเจ้าของร้าน ฉันส่งรอยยิ้มให้เค้า ทุกคนรอบข้างมีความสุข และลดราคาให้ในทันที และเมื่อฉันซื้อหมวกเพิ่ม เค้ากลับลดราคาสินค้าให้โดยไม่ต้องร้องขอเลย เห็นไหมคะ พลังแห่งรอยยิ้ม สร้างความสุข มีแต่ได้กับได้ คุณลองหรือยังคะ
ทุกครั้งที่เราสร้างรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน​ โลกแห่งความสุขจะกลับเข้ามาในชีวิตโดยทันที ลองมองกระจกแล้วยิ้มให้กับตัวเอง คุณ​จะรู้สึกสุขใจขึ้นมาอย่างประหลาดใจ​เลยคะ
ลองทำ 2 อย่างนี้ดูแล้วจะทำให้คุณสร้างนิสัยแห่งความสุข​ได้ในทุกๆวัน

1.รู้จักการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า หน้าผาก ดวงตาและรอบปาก เพื่อแสดงออกถึงความสุขคือการสร้างรอยยิ้มนั่นเอง อีกวิธีหนึ่งคือ การสูดหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ แล้วผ่อนออกทาง
ปากช้าๆ หลังจากนั้นให้คุณยิ้มออกมาจากใจ (การสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดได้อย่างรวดเร็วคะ)

2.หากว่าคุณกำลังเผชิญหน้ากับผู้คนรอบข้างทั้งเพื่อน คนรู้จัก หรือคนแปลกหน้า จงยิ้มออกมาเข้าไว้ แม้คนที่คุณยิ้มให้กำลังหน้านิ่ว คิ้วขมวด ทุกครั้งคุณจะเห็นผลลัพธ์​คือใบหน้าคนอื่นจะยิ้มตอบกลับมาและแสดงความเป็นกันเองขึ้นมาทันที ลองทำดูนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรามาสำรวจว่า คุณเป็นคนเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือไม่

แชร์ให้เพื่อน

เรามาสำรวจว่า คุณเป็นคนเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือไม่

1.คุณเป็นเปิดใจกว้าง รับความคิดใหม่ๆ หรือไม่
2.คุณเป็นคนชอบอ่าน อ่าน และอ่านหรือไม่ การอ่านจะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลใหม่ในการเรียนรู้ และได้แนวคิดใหม่ๆ จากการอ่านนั่นเอง
3.คนเป็นคนทำความรู้จักผู้คนที่แตกต่างจากคุณหรือไม่
4.คุณอาสาสมัคร​ที่จะสอนหนังสือในกลุ่มคนที่แตกต่างออกไปและเรียนรู้จากคนเหล่านั้นหรือไม่
5.คุณลงเรียนในเรื่องที่คุณคิดว่าน่าสนใจ ที่ใหนก็ได้ ที่คุณพบแหล่งการเรียนรู้​ใหม่ๆหรือไม่
6.คุณกลัวกับการตั้งคำถามในเรื่องที่คุณไม่เข้าใจหรือไม่เพราะการพยายามเข้าใจให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้นั้นไม่ใช่คนโง่
7.คุณดูรายการพิเศษในหัวข้อที่เป็นประโยชน์หรือไม่
8.คุณเรียนรู้การใช้อินเทอร์เน็ต​เพราะจะช่วยให้สมองของคุณพัฒนาหรือไม่
9.คุณท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ เท่าทีเวลาและมีเงินในกระเป๋าหรือไม่
10.คุณเป็นคนตั้งใจฟังผู้อื่นอย่างใส่ใจ เพราะคุณสามารถเรียนรู้ได้จากทุกคนใช่หรือไม่
11.คุณเป็นคนอยากรู้ อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา ชอบสำรวจ ชอบตั้งคำถาม ค้นหา สำรวจวิธีใหม่ๆ หรือไม่
หากว่าคนตอบใช่เกือบทุกข้อแสดงว่าคุณเป็นนักเรียนรู้และมีพัฒนาการเพราะว่าพัฒนาการคือการเรียนรู้และการเรียนรู้ก็คือพัฒนาการนั่นเอง
ชีวิตคือการเรียนรู้​ที่ไม่จบสิ้น คนที่เรียนรู้ตลอดเวลาจะทำให้ร่างกายและจิตใจเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ นั่นเอง

แชร์ให้เพื่อน

9 ข้อดีของการออกกำลังกายเป็นประจำ

แชร์ให้เพื่อน

9 ข้อดีของการออกกำลังกายเป็นประจำ

   การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความกดดัน ความเครียดและช่วยให้เกิดความสมดุลด้านจิตใจอีกด้วย เพราะว่าการออกกำลังกาย​นั้นเป็นความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ร่างกายต้องการการเคลื่อนไหวและใช้ประโยชน์ จะช่วยให้ร่างกายเสื่อมโทรมช้าลง ยังคงความเป็นหนุ่มสาวยาวนานขึ้นนั่นเองคะ

    เรามาดูกันเลยคะว่า หากเราออกกำลังเป็นประจำมีข้อดีต่อร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง

1.ช่วยลดหรือป้องกันการเสื่อมสภาพของร่างกายและจิตใจ เรามักจะพูดว่าเราอ่อนแอเนื่องจากเราแก่แล้ว ความเป็นจริงแล้วไม่เกี่ยวกับวัยทั้งหมด แต่เกิดจากเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย จึงทำให้ความอ่อนแอมาเยือนนั่นเอง

2.สมองของคนที่ออกกำลังกาย ความจำ ความคิดสร้างสรรค์​  ความยืดหยุ่น​ทางจิตใจ จะทำงานได้ดีขึ้น และร่างกายจะมีความกระฉับกระเฉง​มีแน้วโน้มที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์​น้อยลง

3.การออกกำลังกายช่วยขจัดความเครียดได้เป็นอย่างดี ช่วยสลายความเครียดได้นั่นเอง

4.การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้าและลดความวิตกกังวลได้

5.การออกกำลังกายช่วยให้มีความพึงพอใจต่อตนเองเพิ่มมากขึ้น รู้สึกดีต่อตนเอง รู้สึกมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า​และมีความกระตือรือร้น​มากขึ้นทั้งด้านร่างกาย​และจิตใจ

6.การออกกำลังกาย​อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้น้ำหนักตัวคงที่หรือลดลงเพราะมีการเผาผลาญ​แคลอรี​นั่นเอง

7.การออกกำลังกาย​ช่วยให้กระดูกมีความแข็งแรง​ ลดความผุกร่อน​ของกระดูก ช่วยลดปัญหาโรคกระดูก​พรุนทั้งชายและหญิง

8.การออกกำลังกาย​ช่วยป้องกันโรคต่างๆมากมายเช่นโรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งบางชนิด โรคซึมเศร้า​ โรคข้ออักเสบ หรืออาจเป็นเพราะร่างกาย​และจิตใจที่แข็งแรงสามารถต้านทาน​โรคร้ายได้นั่นเอง

9.คนที่ออกกำลังกายยังคงมีเซ็กซ์ได้มากกว่าและช่วยให้ร่างกายดูดีขึ้นอีกด้วยนะคะ

ดูเหมือนไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะ หากใครที่ไม่ค่อยออกกำลังกายลองกระตุ้นตัวเองให้เริ่มต้นได้แล้ว เพื่อเอาชนะความเฉื่อยชา อย่าลืมตรวจสุขภาพก่อนออกกำลังด้วยนะคะเผื่อมีข้อจำกัด การออกกำลังกายเป็นกลุ่มจะช่วยให้เราได้พบเพื่อนที่น่าสนใจ มีชีวิตชีวา และมีความกระตือรือร้น​ จงทำให้การออกกำลังกาย​เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวัน​เช่นเดียวกับการอาบน้ำ แปรงฟัน​และการรับประทาน​อาหาร​ แค่นี้คุณก็จะได้ประโยชน์​ทั้ง 9 ข้อเลยนะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

9 เทคนิคควบคุมน้ำหนักให้อยู่หมัด

แชร์ให้เพื่อน

9 เทคนิคควบคุมน้ำหนักให้อยู่หมัด

หลังจากที่เราสามารถลดน้ำหนักลงมาได้ในระดับที่พอใจแล้ว เรามาใช้เทคนิคการควบคุมน้ำหนักให้คงที่โดยผู้เขียนมีเทคนิคเด็ดๆ ทั้งหมด 9 เทคนิคมาให้นำไปปฏิบัติ เพื่อจะได้ไม่วนกลับมาอ้วน อวบเหมือนเดิมอีก เรามาดูกันเลยคะ ว่าเรามีเทคนิค​อะไรกันบ้าง

1.เทคนิคการใช้คาถาหลอกจิตใจของเราเอง อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะกำหนดคาถาอย่างไรเช่น “ฉันเป็นคนสวย หุ่นดี กินอาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายทุกวัน” ควรท่องทุกวันนะคะเมื่อนึกขึ้นได้ เช่น ก่อนรับประทานอาหาร หรือก่อนนอน หลังตื่นนอนเป็นต้น

2.เทคนิคการคุมระบบการขับถ่าย คุณต้องขับถ่ายทุกวันนะคะ ห้ามท้องผูกเด็ดขาด เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยขับถ่ายง่ายได้แก่ ผัก ผลไม้ที่มีกากใยมากๆ เช่น มะละกอ สับปะรด​ เน้นกินอาหารกลุ่มผักและผลไม้ให้มากกว่าปกติ ดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารหนึ่งแก้ว และดื่มให้เพียงพอต่อวัน วันละ 8-10 แก้ว

3.ชั่งน้ำหนักทุกวัน หรือชั่งอาทิตย์ละหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อจะได้ตรวจสอบไม่ให้เกินจากมาตรฐานที่เรากำหนด


4. รับประทานอาหารให้เป็นเวลา เคี้ยวให้ละเอียด เมื่ออิ่มแล้วให้หยุดกิน ไม่ต้องเสียดายอาหาร ถ้ามัวแต่เสียดายอาหารเหลือก็ทำให้ไม่สามารถคุมน้ำหนักได้ และเปลี่ยนแปลงนิสัยการกินอาหารไป ดูทีวีไป หรือหาอาหารกินมื้อดึกคะ

5. หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยเกลือและน้ำตาลสูง รวมถึงจำกัดการรับประทานอาหารที่มีแคลลอรี่​สูงด้วยเช่น ทุเรียน กล้วย ขนุน ลำใย และกินอาหารมันและทอดให้น้อยลง เน้นปรุงอาหารปิ้ง ย่าง ต้ม หรือนึ่ง

6. งด หรือจำกัดเครื่องดื่มกลุ่มเบียร์​หรือแอลกอฮอล์​ กลุ่มน้ำปั่น น้ำหวานควรจำกัดการกินให้น้อยลง

7.ออกกำลังกายชนิดที่ตนเองชื่นชอบ โดยจัดหารองเท้า และชุดให้เหมาะสมกับกิจกรรม​การออกกำลังกายนั้นๆ จะได้มีแรงจูงใจและมีกำลังใจในการควบคุมน้ำหนักนั่นเอง

8.หากน้ำหนักขึ้นมาให้รีบหาสาเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หากปล่อยปละละเลย​อาจไม่ทันการทำให้ควบคุมน้ำหนักแบบถาวรไม่ได้

9.อย่าซื้อเสื้อผ้าที่ขยายเบอร์ให้ใหญ่ขึ้นโดยเด็ดขาด ต้องควบคุมน้ำหนักเพื่อให้ใส่เสื้อผ้าเบอร์เดิมให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งคุมน้ำหนักยาก แถมประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วยคะ

แชร์ให้เพื่อน

6 เทคนิคการลดน้ำหนัก​ให้ได้ผลดี

แชร์ให้เพื่อน

6 เทคนิคการลดน้ำหนัก​ให้ได้ผลดี

คงไม่มีใครปฏิเสธ​ว่าไม่อยากมี หุ่นเพรียว มีทรวดทรง เอวบาง ร่างน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะรักษาหุ่น บางคนจึงมีน้ำหนักขึ้นพรวดพราด​ในเวลาเพียงเวลาไม่กี่เดือนยังไม่ทันตั้งตัว น้ำหนักก็ขึ้นไปไกลแล้ว เราลองมาใช้ 6 เทคนิค​ในการลดน้ำหนักให้ได้ผลนี้ดูนะคะ

เทคนิค​ที่1. การชะลอในการกินอาหาร เทคนิคนี้ดูๆ แล้วก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนะคะ ขณะที่สาวๆบางคนนั้นพอจะเริ่มลดน้ำหนักก็ชอบลดแบบฮวบฮาบ คือ พอนึกอยากลดน้ำหนักก็อดอาหาร ไม่ยอมกินกลัวน้ำหนักขึ้นว่างั้นเถอะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วควรต้องกินบ้างหากว่ารู้สึกหิว เพียงแต่เราควรกินช้าๆ ในปริมาณน้อย ไม่ใช่กินเผื่อมื้อต่อไปหรือเผื่อวันพรุ่งนี้ อันนี้ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งเลยนะคะสาวๆ และที่สำคัญอย่าตามใจปากเด็ดขาดและต้องงดอาหารที่คุณโปรดปรานให้ได้ ไม่เช่นนั้นน้ำหนักของคุณจะขึ้นแบบไม่หยุด ฉุดไม่อยู่เลยนะคะ

เทคนิค​ที่2.กินอาหารงานเลี้ยง การกินอาหารงานเลี้ยงมื้อใหญ่กับครอบครัวหรือเพื่อนๆที่ทำงาน เป็นช่วงที่ทำให้คุณเจริญอาหารมากที่สุด ฉะนั้นหากเป็นช่วงของการลดน้ำหนักอยู่ คุณควรหลีกเลี่ยงนะคะ หรือหากว่าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จำเป็นต้องไปงานเลี้ยง ดิฉันแนะนำให้คุณตั้งสติก่อนสตาร์ทนะคะ และต้องแน่วแน่ว่าตอนนี้คุณกำลังลดน้ำหนักอยู่นะ ห้ามตามใจปากโดยเด็ดขาด อย่าคิดว่าฉันกินมื้อนี้เดี๋ยวค่อยลดทีหลัง ไม่เช่นนั้นคุณต้องคิดหนักและปวดหัวไปหลายวันกับการกินอาหารมื้อใหญ่ที่คุณกินเพียงมื้อเดียวเลยคะ

เทคนิค​ที่3.ความเร็วในการกิน หากคุณมีความแน่วแน่ในการลดน้ำหนักแบบจริงๆจังๆ คุณต้องเลือกกินอาหารเฉพาะอย่าง โดยเน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ หรืออาหารน้ำๆ แทนการเลือกกินอาหารมันหรือผัดๆทอดๆ และต้องค่อยๆกินในปริมาณน้อย ลดเวลาการนั่งกินอาหารบนโต๊ะให้สั้นที่สุด ไม่เช่นนั้นคุณอาจมีความอยากกินอาหารตรงหน้าจนหยิบอาหารเข้าปากไปเรื่อยๆ คุณต้องคิดไว้เสมอว่า หุ่นเพรียวเท่านั้นที่ฉันต้องการ ห้ามคิดว่าอีกนิดคงไม่เป็นไร นั่นแหละเป็นตัวขัดขวางการลดน้ำหนักเชียวนะคะ

เทคนิคที่4.การรู้จักยับยั้งชั่งใจ ให้กินได้เฉพาะตอนท้องหิวจริงๆเท่านั้นคะ อย่ากินเพราะความอยากไม่เช่นนั้นการลดน้ำหนักของคุณก็ล้มเหลวนะคะ

เทคนิค​ที่ 5.การรู้จักเลือกอาหาร เบื้องต้นคุณต้องมีความรู้เรื่องอาหารก่อนนะคะ แล้วค่อยเลือกว่าจะกินอาหารประเภทใหนและอาหารประเภทใหนไม่ควรกินหรือกินได้ในปริมาณน้อยๆ ผู้ที่จะลดน้ำหนักต้องใจแข็ง และหยุดทำตัวเป็นนักชิมอาหารมือโปรผ่านร้านใหนแวะชิมร้านนั้น ไม่ได้นะคะ

เทคนิค​ที่6.การให้รางวัลตัวเอง ถ้าจะเลี้ยงฉลองความสำเร็จให้กับตัวเองลองลดการฉลองด้วยการกิน หากแต่เลือกฉลองด้วยการไปเที่ยว ปิกนิก​จะดีกว่า เพราะคุณได้ออกกำลังกายบ้าง ดีกว่าหมกมุ่นเรื่องอาหารการกินอย่างเดียวนะคะ

สาวๆ ท่านใด ที่มีความแน่วแน่และตัดสินใจได้แล้วว่าฉันต้องลดน้ำหนัก หุ่นดี สุขภาพ​ดี แล้วละก็ลองเลือก 6 เทคนิค​ในการลดน้ำหนักนี้ไปปฏิบัติดูนะคะ ผู้เขียนขอยืนยันว่าลดได้จริงเพราะทดลองมาแล้วนะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

9 แบบ 9 สไตล์​สำหรับสาวๆ เลือกใส่ชุดว่ายน้ำเที่ยวทะเล

แชร์ให้เพื่อน

9 แบบ 9 สไตล์​สำหรับสาวๆ เลือกใส่ชุดว่ายน้ำเที่ยวทะเล

ช่วงนี้บรรยากาศ​บ้านเราร้อนมากมายเลยนะคะ หน้าเฟสอิฉันนี่เต็มไปด้วยการเที่ยวทะเลเพื่อคลายร้อนกัน แถมน้ำทะเลก็ใสๆ มากเลยทีเดียว หาดทรายบ้านเราก็ขาวใส สำหรับสาวๆ ที่ชอบใส่ชุดว่ายน้ำเพื่ออวดสรีระ​กันเรามาดูกันเลยนะคะว่าเราควรเลือกชุดว่ายน้ำแบบใหนให้เหมาะสมกับสรีระ​ของเราใส่แล้ว ปังมากแม่

9 แบบ 9 สไตล์เหมาะสำหรับสาวๆใส่ชุดว่ายน้ำแล้ว ปัง มากแม่ เรามาดูกันเลยคะ แม้รูปร่างเราอาจจะไม่เนี๊ยบไปทุกกระเบียด​นิ้ว แต่คุณก็สามารถใส่ชุดว่ายน้ำให้สวยได้เหมือนกัน ถ้ารู้จักเลือกให้เหมาะกับสรีระ​ร่างกายของเรานะคะ

สไตล์ที่1. สาวสะโพกไหญ่ แต่ไหล่เล็ก จริงๆแล้วคุณสะโพก​ใหญ่นี่เป็นจุดสนใจของหนุ่มๆ เลยก็ว่าได้ หากคนมีสรีระ​แบบนี้ อย่าใส่ชุดว่ายน้ำสีเรียบๆเด็ด​ขาดเลยนะคะ โดยเฉพาะชุดกระโจมอกและขาไม่เว้านี่ห้ามโดยเด็ดขาดเลยนะคะ เดี๋ยวจะไม่ปังนะคะ ควรเลือกชุดที่มีลายทะแยงจากไหล่มาสะโพก บริเวณขาก็เลือกที่เว้าขึ้นบนสะโพกมากๆ จะได้ช่วยหลบตาคนมองก้อนเนื้อบริเวณ​ต้นขาเราได้คะ

สไตล์​ที่ 2.สาวซี่โครงบาน ห้ามใส่ชุดว่ายน้ำแบบบิกินี่โชว์ซี่โครงเด็ดขาดเลยนะคะ ควรเลือกชุดลายพรางเลขาคณิตใหญ่ๆ สีสดใส เพราะลายขวางและเส้นตัดจะทำให้ดูมีเนื้อหนังมังสาน่ามองกว่าคะ

สไตล์ที่ 3.สาวเอวหาย นี่ผู้เขียนไม่ได้บูลลี่นะคะ​อย่าเลือกชุดว่ายน้ำแบบหรือสีเรียบเชียวนะคะ เพราะจะมองเป็นท่อนซุงไปเลยคะ ควรเลือกสีสดและมีลายเส้นทแยงใหญ่ๆ จากไหล่สู่เอวและจากเอวผายออกสะโพก พร้อมกับมีสายรัดขวางจะทำให้ดูน่ามองมากกว่าคะ

สไตล์ที่4.สาวพุงยื่น โอ้ยโอ้ย ก็เราเป็นสาวสไตล์ผู้มีอันจะกินน้อ หากสาวพุงยื่นต้องเลือกชุดว่ายน้ำที่มีซับในรัดพุงช่วยอีกแรงคะ

สไตล์ที่5.สาวต้นขาอวบ แบบต้นกล้วยได้ปุ๋ยเกินอัตรา ควรเลือกชุดว่ายน้ำที่เว้าขาสูงๆคะหรือแบบที่ด้านข้างสามารถเลื่อนขึ้นหรือลงได้คะ

สไตล์ที่6. สาวต้นขาผอมเกินไป แบบนี้ต้องเลือกที่มีกระโปรง​คลุมทับไว้เลยจะเหมาะสม​กว่าคะ

สไตล์ที่7.สาวก้นใหญ่ อย่าเลือกชุดที่ขายาวๆ และดึงมาปิดก้นเชียว เพราะมันปิดไม่มิด แถมดันส่วนเกินออกมาโชว์อีกคะ เราควรเลือกผ้าหนาๆ เพื่อช่วยบังคับเนื้อหนังให้เข้าที่และเลือกแบบขาเว้าสูง เพราะจะช่วยให้ขาเรียวยาว และเปลือยหลังเพื่อเปลี่ยนจุดสนใจคะ

สไตล์ที่8.สาวหลังอวบ อูม เลือกชุดที่ปิดหลังสูงไว้เลยคะ อย่าโชว์จุดอ่อนเชียวนะคะ

สไตล์ที่9.สาวอกคล้อย ให้เลือกชุดที่มีสายช่วยพยุงอกไว้คะ หรือแบบที่มีสายบ่าไขว้หลังจะช่วยดึงอกขึ้นมาได้มากขึ้น

จบลงด้วย9 แบบ 9สไตล์สำหรับเลือกชุดว่ายน้ำ สำหรับเที่ยวทะเล หรือว่ายน้ำออกกำลังกายโชว์รูปร่างสำหรับสาวๆ กันไปแล้ว อย่าลืมเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยนะคะ สามารถหาอ่านได้ในบทความก่อนหน้านี้ได้เลยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

3 แบบ 3 สไตล์​แต่งหน้าให้ดูสวยที่แตกต่าง

แชร์ให้เพื่อน

3 แบบ 3 สไตล์​แต่งหน้าให้ดูสวยที่แตกต่าง

    ในการแต่งหน้าเพื่อให้ดูสวย 3แบบ 3 สไตล์สำหรับสาวๆ ที่ชอบการแต่งหน้า เรามาดูกันเลยคะว่ามีสไตล์​ในบ้าง ต่อจากบทความก่อนหน้านี้คะ

3.แต่งหน้าสไตล์​สาวเปรี้ยว กระฉับกระเฉงสำหรับการเล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย​

    ก่อนอื่นเป็นอันดับแรกเลยนะคะ เราต้องทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดก่อนคะ การเลือกสีในการแต่งหน้าเน้นโทนให้เป็นธรรมชาติ​มากที่สุด จะช่วยลดความแข็งกระด้าง เพราะความกระฉับกระเฉง มองดูเหมือนสาวทอมบอยไปนิดนะคะ เราควรเน้นความน่ารัก สดใสมากกว่าคะ

สำหรับใครที่หน้าใสอยู่แล้ว ให้เลือกลงแป้งฝุ่นได้เลยคะ เพราะการลงรองพื้นนั้นไม่เหมาะสำหรับการแต่งหน้าสไตล์​นี้นะคะ เพราะเวลาเราออกกำลังมากๆ อาจทำให้เหงื่อ​ไหล ครีมรองพื้นจะเป็นคราบได้นะคะ  การวาดคิ้วและขอบตาเน้นให้ได้รูปที่สุดนะคะ ให้งดเขียนอายไบเนอร์เด็ดขาดเลยนะคะ เพราะจะทำให้เลอะง่ายมาก สำหรับขอบตาควรเน้นสีเหลืองทาบริเวณเปลือกตาเพื่อให้แลดูสว่าง สดใส แต่ต้องระวังอย่างให้จ้าจนเกินไปคะ เดี่ยวจะมองดูแล้วหน้าเหลือง ตาเหลืองไปคะ น่าเกลียด ควรทาแค่บางๆ ก็พอแล้วคะ หลังจากนั้นใช้สีน้ำตาลทาที่เปลือกตาเน้นความลึกโดยทาให้ชิดกับขอบตาให้มากที่สุดนะคะ

    ปัดบรัชออนด้วยสีน้ำตาลบางเบา บริเวณโหนกแก้มให้สีสันดูธรรมชาติ​มากที่สุด เพราะเล่นออกกำลังกายไปเดี๋ยวแก้มก็แดงเองตามธรรมชาติอยู่แล้วหลังเลือดสูบฉีดดี ท้ายสุดลงสีปากด้วยสีส้มอ่อนทาทับด้วยลิปมัน   แค่นี้สาวๆก็ดูปราดเปรียว พร้อมที่จะเข้าสนามออกกำลังกายที่มีหนุ่มจ้องมองความเปรี้ยว กระฉับกระเฉง​เลยคะ

     หากใครที่ผมยาว ให้รวบเก็บไว้ด้านหลังหรือเปียผมแบบสวยๆ เก็บผมให้เรียบร้อยด้วยโบว์หรือยางรัดผมสีสดใส เพราะหากเราปล่อยผมยาวรุงรังจะดูน่าเกลียด ไม่น่ามองนะคะ

การแต่งหน้าสไตล์เปรี้ยว กระฉับกระเฉง จะทำให้เรามองดูเป็นสาวรักสุขภาพ รักการออกกำลังกาย ดูแล้วเป็นที่น่าสนใจสำหรับหนุ่มๆ ที่ชอบสไตล์​คนดูแลสุขภาพ​นะคะ
อย่าลืมเลือกชุดออกกำลังกายให้ดูทะมัดทะแมง มีสไตล์​และรองเท้าผ้าใบให้เหมาะสมกับการออกกำลังกายด้วยนะคะ สำหรับการเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับชุดออกกำลังกายสามารถหาอ่านได้ในบทความก่อนหน้านี้ได้นะคะ แค่นี้เราก็ดูดีในแบบสไตล์ของเราเองได้แล้วคะ

แชร์ให้เพื่อน

3 แบบ 3 สไตล์​แต่งหน้าให้ดูสวยที่แตกต่าง

แชร์ให้เพื่อน

3 แบบ 3 สไตล์​แต่งหน้าให้ดูสวยที่แตกต่าง

ในการแต่งหน้าเพื่อให้ดูสวย 3แบบ 3 สไตล์สำหรับสาวๆ ที่ชอบการแต่งหน้า เรามาดูกันเลยคะว่ามีสไตล์​ในบ้าง ต่อจากบทความก่อนหน้าคะ

2.แต่งหน้าสไตล์​สาวหวานแบบโรแมนติก

ก่อนอื่นเราต้องทำความสะอาดใบหน้าก่อนคะ การเลือกสีแต่งหน้าโทนอ่อนจะช่วยให้ดูอ่อนหวานโรแมนติก​ได้ไม่ยากเลย ส่วนริ้วรอยลบได้ด้วยรองพื้นได้เลยคะ สำหรับใครที่หน้าใส ใช้สำลีชุบรองพื้นแต้มตรงริ้วรอยแล้วเกลี่ยเบาๆให้กลมกลืนกับผิวก็พอคะ จากนั้นลงแป้งฝุ่นให้ทั่วบนใบหน้าจะเพิ่มความนวลเนียน อยากแต่งแบบหวานโรแมนติก​อย่าแต่งให้เวอร์นะคะ เพราะเราเน้นความนุ่มนวล อ่อนหวานแบบผู้หญิ๊งผู้หญิง การวาดคิ้วและขอบตาเน้นให้เบาบางที่สุดนะคะ ไม่จำเป็นต้องใช้ดินสอเขียน แล้วใช้ไม้พันสำลีเกลี่ยให้ดูเป็นธรรมชาติ สำหรับขอบตาเน้นสีชมพูอมส้มคะเหมาะกับคนผิวขาว หากคนผิวคล้ำหน่อย เน้นใช้สีน้ำตาลเข้มคะ ทั้งนี้ต้องเน้นให้เข้าชุดกับเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ด้วยนะคะ

การลงอายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มบริเวณ​เปลือกตาเกลี่ยอย่างเบามือบางๆนะคะ จากนั้นลงอายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มทาหางตาให้ดวงตาดูลึกและคม อย่าลืมเน้นความธรรมชาติเข้าไว้นะคะ ​ เกลี่ยให้เรียบเนียน ด้วยไม้พันสำลี และดัดขนตาเล็กน้อย เพิ่มสีน้ำตาลให้ขนตาดูหนาขึ้นด้วยมาสค่าร่าคะ ระวังอย่าให้จับกันเป็นก้อนนะคะ

ปัดบรัชออนด้วยสีส้มอ่อน บริเวณโหนกแก้มให้สีสันดูธรรมชาติ​ ท้ายสุดลงสีปากด้วยสีส้มอ่อนแต่งแต้มริมฝีปาก สาวๆควรใช้สีส้มอ่อนๆ จะเหมาะกว่า หากใครที่รูปปากเล็กให้เขียนขอบปากก่อน จะช่วยให้ดูปากอิ่มเอิ่บเพิ่มความอ่อนหวานได้คะ

หากใครที่ผมยาว ให้รวบเก็บไว้ด้านหลังหรือเปียผมแบบสวยๆ อย่าลืมปล่อยไรผมออกมาเคลียแก้มสักหน่อยก็พอคะ เพราะจะมองดูเรียบร้อย อ่อนหวานตามสไตล์แบบหวานโรแมนติก​ ผมยาวจะเพิ่มความดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม​ได้ง่ายกว่าสาวผมสั้น สำหรับเสื้อผ้าเน้นสีอ่อนนะคะ จะยิ่งมองดูสวยหวานโรแมนติก​ แต่งตัวสวยแล้วอย่าลืมกริยามารยาท​ด้วยคะ การเดินเหินให้ดูสง่างาม นั่งหลังตรง ทำตัวให้น่าทะนุถนอมเข้าไว้ เพราะเรามาในสไตล์สาวหวานนะคะ ความมั่นใจจะช่วยให้เรามีชัยกว่าครึ่งคะ จำไว้นะคะสาวหวานโรแมนติก​

แชร์ให้เพื่อน

3 แบบ 3 สไตล์​แต่งหน้าให้ดูสวยแตกต่าง

แชร์ให้เพื่อน

3 แบบ 3 สไตล์​แต่งหน้าให้ดูสวยแตกต่าง

ในการแต่งหน้าเพื่อให้ดูสวย3แบบสำหรับสาวๆ ที่ชอบการแต่งหน้า เรามาดูกันเลยคะว่ามีสไตล์​ในบ้าง

1.แต่งหน้าสไตล์​ดูเปรี้ยวและเซ็กซี่
ก่อนอื่นทำความสะอาดใบหน้าก่อน การเลือกโทนสีดำและแดงจะช่วยให้ดูเซ็กซี่​ได้ไม่ยากเลย ส่วนริ้วรอยลบได้ด้วยรองพื้นได้เลยคะ สำหรับใครที่หน้าใส ใช้สำลีชุบรองพื้นแต้มตรงริ้วรอยแล้วเกลี่ยเบาๆให้กลมกลืนกับผิวก็พอคะ จากนั้นเขียนคิ้วด้วยดินสอสีดำ แล้วใช้ไม้พันสำลีเกลี่ยให้ดูเป็นธรรมชาติ ใช้ดินสอสีดำเขียนขอบตาล่างและบนให้ดวงตาดูกลมโต ตามด้วยลงแป้งบนใบหน้า วิธีให้ดูบทความก่อนหน้าประกอบนะคะ
การลงอายแชโดว์สีเหลืองบริเวณ​เปลือกตาบริเวณ​หางคิ้วช่วยให้สว่างขึ้นนะคะ จากนั้นลงอายแชโดว์สีน้ำตาลแดง ทาหัวคิ้วและเปลือกตา เกลี่ยให้เรียบเนียน ด้วยไม้พันสำลี ลงสีน้ำตาลเข้มเกือบดำที่บริเวณ​หางตา ช่วยให้ใบหน้าคมเฉี่ยวมากขึ้นคะ โดยเน้นระดับสี่อ่อนแก่ และดัดขนตาเล็กน้อย เพิ่มความดกหนาด้วยมาสค่าร่าสีดำคะ
ปัดบรัชออนสีน้ำตาลแดงบริเวณโหนกแก้มให้สีดูธรรมชาติ​ ท้ายสุดลงสีปากด้วยสีแดง ความแดงขึ้นอยู่กับเรานะคะ แต่สาวๆควรใช้สีแดงอ่อนๆ จะเหมาะกว่า หากใครที่รูปปากเล็กให้เขียนขอบปากก่อน จะช่วยให้ดูปากอิ่มเอิ่มเพิ่มความเซ็กซี่​ได้คะ
หากใครที่ผมยาวสลวยอย่าลืมปล่อยผมด้วยนะคะ เพราะผมยาวจะเพิ่มความดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม​ได้ง่ายกว่าสาวผมสั้น สำหรับเสื้อควรเป็นสีแดงช่วยเพิ่มความเปรี้ยวให้สุดไปเลยนะคะ รองเท้าสีแดงมีส้นเล็กน้อย เท่านี้คุณก็เดินไปส่องกระจกซะหน่อย คุณจะมองดูแปลกตา วันนี้คุณก็ดูเป็นสาวเปรี้ยวและเซ็กซี่​พร้อมที่จะเดินเฉิดฉาย​ในงานได้อย่างไม่อายใครเลยคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

6 ขั้นตอนในการแต่งหน้า เสริมความมั่นใจ สำหรับผู้หญิง

แชร์ให้เพื่อน

6 ขั้นตอนในการแต่งหน้า เสริมความมั่นใจ สำหรับผู้หญิง

“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” สำนวนนี้ช่างเหมาะกับผู้หญิงจริงๆนะคะ ผู้หญิงบางคนอาจแต่งเติมเสริมนิดหน่อยก็สวยแล้วถือว่ามีความงดงามติดตัวมาแต่กำเนิด หากเราเป็นคนไม่มีสิ่งนี้มาแต่กำเนิด เราก็ไม่ต้องเสียใจนะคะ เรามาลองทำตาม 6 ขั้นตอนนี้แล้วคนที่พบเห็นจะต้องกล่าวทักทายถึงความงามกันเลยทีเดียว เพียงเรามีอุปกรณ์​แค่ 7 อย่างเราก็พร้อมที่จะสวยได้คะ

อุปกรณ์​สำหรับการแต่งหน้าได้แก่ :แป้งตลับ ลิปสติก พู่กันเขียนขอบปาก ที่ปัดแก้ม รองพื้น ดินสอเขียนคิว แปรงปัดคิ้ว

ขั้นตอนที่1.ทำความสะอาดใบหน้า โดยใช้ครีมล้างหน้าเช็ดทำความสะอาดด้วยสำลีเบาๆ จนสะอาด หลังจากนั้นทาครีมบำรุงผิว อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยนะคะเพราะแดดแรงเหลือเกิน ต้องปกป้องผิวหน้าจากแสงแดด ขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมผิวหน้าให้พร้อมก่อนแต่งหน้าคะ

ขั้นตอนที่2.การทาครีมรองพื้น สำหรับขั้นตอนนี้ ขึ้นอยู่กับใครชอบหรือไม่ชอบการทารองพื้นก็ผ่านได้เลยนะคะ การทารองพื้นโดยแตะรองพื้น 5จุดบนใบหน้า คือ กลางหน้าผาก ปลายจมูก กลางแก้มสองข้าง และคาง แล้วใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ที่หน้าผากให้เกลี่ยขึ้นบน ส่วนจมูกให้เกลี่ยหาแก้มสองข้างและลงมาหามุมปาก ที่สำคัญต้องเบามือนะคะ

ขั้นตอนที่3.การเขียนคิ้ว หรือวาดคิ้ว สำหรับขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความแม่นยำและความสามารถในการวาดตามรูปคิ้วของเรานะคะ หรือตามความชอบส่วนตัวนะคะ เพื่อช่วยเสริมความโชคดี​ก็แล้วแต่ความเชื่อเลยนะคะ โดยใช้ดินสอเขียนคิ้วถูกับแปรงปัดคิ้ว แล้วนำมาปัดที่คิ้วให้พอประมาณไม่หนาจนเกินไป สีของคิ้วควรใล้เคียงสีผมนะคะ

ขั้นตอนที่4.การทาสีตา ควรเน้นสีอ่อนๆ เช่น ส้ม ชมพู การปัดสีตาทำได้สองแบบคือปัดจากหัวตาไปหางตา หรือหางตามมาหัวตา ไม่ควรปัดกลับไปมาเพราะทำให้เลอะไม่สวยนะคะ

ขั้นตอนที่5.การปัดสีแก้ม ควรเลือกใช้สีอ่อนให้สัมพันธ์กัน​กับสีตา โดยปัดตามรูปหน้าเช่น คนหน้าสั้นให้ใช้พู่กันปัดจากแก้มขึ้นไปหาขมับหรือหางคิ้ว แต่สำหรับคนหน้ายาวให้ปัดจากแก้มไปยังใบหู หากใครหน้าใหญ่ให้ลบส่วนหน้าที่กว้างด้วยสีน้ำตาลปัดตรงขอบหน้าผากลงมาบริเวณ​ใบหู ลงมาถึงคาง เป็นการใช้เงาช่วยให้หน้าเรียวเล็กลงคะ

ขั้นตอนที่6.การทาปาก เราเลือกทาสุดท้ายเพราะเลอะง่าย ให้ใช้พู่กันวาดขอบปากก่อน ใครริมฝีปากหนาก็วาดขอบปากให้เล็กกว่าขอบปากจริงช่วยให้ปากบางลง หากใครปากสวยเป็นกระจับอยู่แล้วก็วาดตามขอบจริงได้เลย หลังจากนั้นเลือกสีลิปสติก​สีอ่อนๆหรือลิปมันทาตามขอบปากจนเต็มส่วนที่ต้องการ กรณีทาลิปมันไม่ต้องวาดขอบปากนะคะ

จะเห็นได้ว่าแค่ 6 ขั้นตอนง่ายๆ อุปกรณ์​ก็ไม่ได้เยอะอะไร แค่นี้เราก็ก้าวเดินออกจากบ้านได้ด้วยความมั่นใจเลยทีเดียวนะคะ ที่สำคัญเราควรต้องเช็คความร้อนของอากาศบ้านเราด้วยนะคะอาจทำให้เลอะเทอะเวลาเหงื่อออกนะคะ ที่สำคัญควรหยิบร่มกันแดด​ติดมือไปด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน