10 อาหารว่างยามบ่ายอะไรเวิร์คที่สุด

แชร์ให้เพื่อน

10 อาหารว่างยามบ่ายอะไรเวิร์คที่สุด

อาหารว่างยามบ่ายประมาณบ่ายสามแบบใหนช่วยให้เราชนะความหิวและทำงานต่อไปได้อย่างกระปรี่กระเปร่า เราลองมาดูกันเลยคะ

1.ช็อกโกแลต​ซักชิ้นสองชิ้น การกินช็อกโกแลต​ในยามบ่ายนอกจากจะให้พลังงานแล้วยังช่วยให้มีความสุข กระปรี่กระเปร่า มีพลังงานเพียงพอจนถึงเวลาเลิกงานเลยทีเดียวคะ


2.ผลไม้ซักลูกอย่างเช่นมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นผลไม้เขตร้อนนอกจากจะมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานกลมกล่อมแล้วยังให้พลังงานและอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ แถมมีราคาถูกหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดอีกด้วยคะ


3.สับปะรด​ซักชิ้น สับปะรดเป็นผลไม้ที่รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานนอกจากจะช่วยย่อยสารอาหารโปรตีนแล้ว ยังมีเส้นใยเป็นจำนวนมากช่วยระบายลดอาการท้องผูกสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบการขับถ่าย ใครที่มีปัญหาท้องผูกบ่อยๆ ลองเลือกรับประทานสับปะรด​เป็นอาหารว่างยามบ่ายดูนะคะ


4.มะละกอสุก มะละกอสุกเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ มีเส้นใยอาหารสูง เป็นยาระบายเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกบ่อย ลองเลือกรับประทานมะละกอสุกซักครึ่งลูกเล็กเป็นอาหารมื้อว่างยามบ่ายดูนะคะ จะเห็นผลที่น่าพอใจเลยทีเดียวคะ


5.โยเกิร์ต​ไขมันต่ำ สำหรับคนที่ชอบกินนมแปรรูปอย่าง โยเกิร์ต​ไขมันต่ำก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะหยิบมากินเป็นอาหารว่างยามบ่ายนอกจากจะมีรสชาติ​อร่อยแล้วยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุเช่น แคลเซียม​ช่วยให้ผิวพรรณ​กระจ่างใส แถมยังให้พลังงานอีกด้วยคะ


7.มันฝรั่งทอด อย่างโปเตโต้คอนเนอร์​ นอกจากมันฝรั่งทอดจะให้สารอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต​สูงแลัวยังแบ่งกันกินในที่ทำงานอย่างเอร็ดอร่อย​อีกด้วยคะ


8.มะม่วงน้ำปลาหวาน เมืองไทยนั้นอุดมไปด้วยผลไม้หลากหลายชนิดอย่างเช่นมะม่วงนอกจากจะกินแบบสุกแล้วยังดัดแปลงกินกับน้ำปลาหวานซึ่งช่วยให้ตื่นตัวหายง่วงกันเลยทีเดียวคะ แถมหาซื้อรับประทานได้ง่ายราคาไม่แพงคะ

9.ขนมปังลูกเกต ขนมปังลูกเกตสองแผ่นรับประทานยามบ่ายกับกาแฟร้อน​ซักถ้วยนอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องแล้วยังทำให้มีความกระปรี่กระเปร่าจากกาแฟอีกด้วยคะ

10.สมูธตี้ส์​ไขมันต่ำกับกล้วยหอม การรับประทานกล้วยหอมนอกจากจะให้พลังงานแล้วยังช่วยให้อิ่มท้อง รู้สึกกระปรี่กระเปร่า​จนถึงเย็นก่อนเลิกงานอีกด้วยคะ สมูธตี้ส์​ไขมันต่ำช่วยดับกระหายเย็นชื่นใจเหมาะสำหรับอากาศ​ร้อนช่วงเดือนเมษายนพฤษภาคม​อีกด้วยคะ

ใครที่กำลังมองหาอาหารว่างยามบ่ายก่อนเลิกงานลองเลือกรายการอาหารว่างทั้ง10 อย่างนี้รับประทานกันดูนะคะ แล้วจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าได้จริงๆคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ที่มีในพืชผักตามธรรมชาติ

แชร์ให้เพื่อน

กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ที่มีในพืชผักตามธรรมชาติ

ในช่วงที่ผ่านมาข่าวเรื่องไซยาไนด์ทำให้หลาย ๆ คนถึงกับหวาดระแวงเพื่อน และคนใกล้ตัว แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาหารบางชนิดที่เรากินในทุกวัน หลายอย่างก็อุดมไปด้วยสารบางชนิดที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ จนอาจจะทำให้เราเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ วันนี้เราจึงอยากมาแชร์ กินอย่างไร ให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ตามธรรมชาติ เรามาดูกันเลยค่ะ

1. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากพืช ผัก ผลไม้ที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์
พืชที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์ตามธรรมชาติ มีมากกว่า 2500 ชนิดทั่วโลก ที่เรารู้จักกันดี เช่น มันสำปะหลัง มีไซยาไนด์ทั้งในหัว และใบ โดยมันสำปะหลังมีสารบางชนิด ที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคนเรา โดยปริมาณสารไซยาไนด์ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของมันสำปะหลัง หากเป็นมันสำปะหลังชนิดขมจะมีปริมาณไซยาไนด์มากกว่ามันสำปะหลังชนิดหวาน ดังนั้นหากเราไม่รู้ว่าจะกินมันสำปะหลังอย่างไรให้ปลอดภัยจากไซยาไนด์ เราก็ควรเลี่ยงไปเลยดีกว่าค่ะ สำหรับแป้งมันสำปะหลังเอง ถ้ามีการผลิตที่ได้มาตรฐาน ก็ยังมีสารไซยาไนด์อยู่บ้าง แต่ถือว่าปลอดภัยค่อนข้างสูง

2. ต้องปรุงอาหารให้ถูกวิธี เพื่อลดอันตรายจากไซยาไนด์
หน่อไม้ โดยเฉพาะหน่อไม้สด อันตรายจากไซยาไนด์ถ้าปรุงไม่ถูกวิธี หน่อไม้ ก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่คนนิยมรับประทาน ไม่ว่าจะเมนูผัด แกง หรือ แม้แต่ซุปหน่อไม้ที่เป็นเมนูสุดฮิตของชาวอิสาน หน่อไม้สดนับว่าเป็นพืชที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์สูงเช่นเดียวกับมันสำปะหลัง ซึ่งหากปรุงไม่ถูกวิธีก็เสี่ยงที่ร่างกายจะได้รับสารไซยาไนด์จนทำให้เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตได้ สำหรับเราจะทำการต้มน้ำทิ้งหน่อไม้สดอย่างน้อย 2 ครั้ง และหน่อไม้ที่ซื้อจากตลาดไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้กระป๋อง หรือ หน่อไม้บรรจุถุง ก็ควรนำมาต้มน้ำทิ้งก่อนรับประทานเช่นกัน เพราะเราไม่อาจจะทราบได้ว่า หน่อไม้ที่เราซื้อมาปลอดภัยจากสารไซยาไนด์แค่ไหน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เราจึงต้องต้มน้ำทิ้ง เพื่อจำกัดสารไซยาไนด์ในอาหารให้เหลือน้อยที่สุด

3. หลีกเลี่ยงการกัด หรือเคี้ยวเมล็ดของผลไม้บางชนิด เพราะในเมล็ดอุดมด้วยไซยาไนด์!!
เมล็ดผลไม้มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ จะเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดแข็ง ที่เรียกว่า ”Stone Fruit” เช่น แอปเปิ้ล แอปริคอต เชอรี่ พลัม ลูกแพร์ โดยหากเรารับประทานผลไม้เหล่านี้ ต้องระวังการกัด หรือเคี้ยวโดนเมล็ด แต่หากเราเผลอกลืนเข้าไปแค่หนึ่งเม็ด ก็อาจจะไม่เป็นอันตราย แต่หากในเด็กเล็ก อาจจะทำให้ร่างกายได้รับสารไซยาไนด์เกินขนาดได้ง่าย เนื่องจากความเป็นพิษของไซยาไนด์ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวเป็นหลัก
ตัวอย่างที่เราอาจจะไม่ได้ระวัง เช่นการทำน้ำเชอรี่ดื่มเองที่บ้าน โดยอาจจะทำการบดคั้นเชอรี่โดยไม่ได้เอาเมล็ดออก ก็เสี่ยงที่สารไซยาไนด์จากเมล็ดจะออกมาเจือปนกับน้ำเชอรี่ กรณีนี้เคยมีคนที่ช็อกหมดสติจากการดื่มน้ำเชอรี่ทำเองแบบไม่ระวังมาแล้ว หากเราทำน้ำเชอรี่ดื่มกันในครอบครัว และทุกคนดื่มน้ำเชอรี่คนละหนึ่งแก้วเท่า ๆ กัน เด็กที่ตัวเล็กกว่าจะมีอาการมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นหากต้องการรับประทานผลไม้เหล่านี้ ต้องระวังการกัด เคี้ยว และกลืนเมล็ดให้ดี โดยเฉพาะเด็กตัวเล็ก ๆ

4. ถั่วบางชนิด ต้องรับประทานให้ถูกวิธี ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ไซยาไนด์ไปเต็ม ๆ
ถั่วที่มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ที่ถูกพูดถึงบ่อย ๆ คือ ถั่วลิมา ซึ่งมีในแถบอเมริกาใต้ ถั่วลิมาจัดว่าเป็นถั่วที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรตีน และเส้นใย หากจะรับประทานถั่วลิมาต้องทำการต้มน้ำทิ้ง ก่อนนำมารับประทาน ถั่วอีกชนิดที่ต้องระวัง คือ อัลมอลด์ ซึ่งจะมีทั้งอัลมอลด์หวาน และอัลมอลด์ขม จากข้อมูลพบว่า อัลมอลด์หวานพบปริมาณของไซยาไนด์น้อยกว่าอัลมอลด์ขม ซึ่งเคยมีคนที่เผลอกินอัลมอลด์ขมไปจำนวน 7-8 เม็ด และมีอาการช็อก หมดสติ จากการตรวจเลือด พบสารไซยาไนด์ในเลือดจำนวนมาก ดังนั้นหากเราไม่แน่ใจ ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทาน จะได้ไม่ต้องเสี่ยงที่จะได้รับสารไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกาย

5. หลีกเลี่ยงการผายปอดคนที่เป็นพิษจากไซยาไนด์
ไซยาไนด์เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปขัดขวางการใช้ออกซิเจนในร่างกาย จึงทำให้คนที่ได้รับไซยาไนด์มีอาการอย่างรวดเร็ว โดยพิษของไซยาไนด์มีตั้งแต่มีอาการเล็กน้อย เช่น ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน หรือ มีอาการมาก ตั้งแต่ความดันตก หายใจเร็ว ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณไซยาไนด์ที่ร่างกายได้รับ และน้ำหนักตัวของเป็นหลัก หากเราพบว่า บุคคลใกล้ตัวอาจจะหมดสติจากการได้รับไซยาไนด์ เช่นอาจจะหมดสติหลังจากรับประทานอาหารที่กล่าวมาข้างต้น ห้ามทำการผายปอดเด็ดขาด เพราะไซยาไนด์สามารถซึมผ่านน้ำลายมาสู่ผู้ช่วยเหลือได้

อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ว่ามีพืชมากกว่า 2500 ชนิดบนโลกที่มีสารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ได้ และไซยาไนด์ก็ทำให้เกิดพิษต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากเราไม่ทราบ หรือ ไม่แน่ใจว่าพืชชนิดไหนมีไซยาไนด์หรือไม่ ก็ควรจะเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เราได้รับไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง วันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน แล้ววันหลังจะเอาข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพมาฝากใหม่นะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน ไถงส่องฟ้า ณ.กรุงมะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน ไถงส่องฟ้า ณ.กรุงมะนิลา

         (ไถงเป็นคำภาษาเขมรแปลว่าดวงอาทิตย์) กรุงมะนิลาเป็นเมืองหลวง ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ใน มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยหมู่เกาะมากมาย 7,000 กว่าเกาะ และเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์มีชื่อว่า “กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในแถบวงแหวนแห่งไฟและใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะประสบภัยจากแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น และมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อีกด้วย

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากเตรียมข้าวของเพื่อเดินเข้าสู่กรุงมะนิลา ทั้งสามคนแม่ลูกมาถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย

        เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กๆ นอนตื่นสายมากกว่าปกติเนื่องจากเหนื่อยจากการเดินทางและวันเวลาของกรุงมะนิลานั้นเร็วกว่าเมืองไทยหนึ่งชั่วโมง  “พี่ๆตื่นได้แล้ว มาดูบรรยากาศหลังห้องกัน” เด็กหญิงวัยเรียนประถมผู้ที่เป็นน้องวิ่งมายืนที่ระเบียงหลังห้อง มองออกไปนอกระเบียงบ้านพัก เห็นต้นไม้น้อยใหญ่ซึ่งเป็นสวนสาธารณะมองดูร่มรื่นสบายตา มีผู้คนวิ่งออกกำลังกาย พร้อมกับถามขึ้นว่า “ตอนนี้เราอยู่ที่ใหนกันคะแม่” แม่ได้ยินดังนั้น จึงรีบให้ข้อมูลทันที “ตอนนี้เราอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นประเทศหมู่เกาะ มีเมืองหลวงชื่อว่า “กรุงมะนิลา” ที่เราพักอาศัยอยู่ในขณะนี้ เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วัฒนธรรม การศึกษา และการท่องเที่ยวของประเทศ ถือเป็นเมืองใหญ่ที่สำคัญที่สุดของฟิลิปปินส์ มีประชากรมากกว่า 13 ล้านคน รวมกันอยู่หลากหลายเชื้อชาติ และด้วยความที่ฟิลิปปินส์เคยถูกปกครองโดยสเปนและสหรัฐอเมริกายาวนานกว่า 400 ปี ทำให้สถาปัตยกรรม อาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ยังคงมีกลิ่นอายของColonialอันเก่าแก่ราวกับอยู่ในยุโรป แต่ก็เต็มไปด้วยความทันสมัยของตึกสูงระฟ้าและความมีชีวิตชีวาของผู้คน ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับเมืองมะนิลาได้อย่างดี และยังเป็นสวรรค์ของคนที่รักการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีร้านอาหารหลากหลายชาติ และมีความบันเทิงมากมาย มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม เสื้อผ้า และมีของที่ระลึกมากมาย” และยังมีอาหารและขนมรสชาติแปลกๆอีกด้วย” แม่เล่ายาวเหยียด พร้อมกับยืนมองถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ และจอดอยู่เรียงรายริมถนนที่ติดอยู่กับสวนสาธารณะเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีตลาดขายอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปมากมายให้เลือกซื้อ

          “วันนี้เราจะไปเดิน Sunday Market กันนะคะ” แม่พูดขึ้นพร้อมกับบอกเด็กๆให้ไปอาบน้ำแต่งตัว พร้อมทั้งแนะนำการเปิดปิดไฟและอุปกรณ์ของใช้ในห้องนอนและในบ้านเช่น การเปิดปิดทีวี การเปิดปิดแอร์ การกดลิฟท์ขึ้นลง การเปิดประตูทางออกนอกตึก “Good morning” เสียงยามรักษาความปลอดภัยของตึกกล่าวทักทาย แต่เด็กวัยประถมสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรแค่หันมามองหน้าแม่แล้วยิ้มให้(เนื่องจากยังพูดภาษอังกฤษไม่ได้นั่นเอง) เมื่อเดินออกไปที่ถนนใหญ่ทางแยกหรือทางข้ามถนนจะมีทางม้าลายและมีปุ่มกด รอสัญญาณให้ข้ามถนนก่อนแล้วค่อยข้ามโดยสัญญาณรูปมือสีแดงคือห้ามเดินข้ามหากเป็นรูปคนเดินสีขาวและสีเขียวสามารถเดินข้ามถนนได้ เดินต่อมาซักพักถึงสวนสาธารณะที่หนึ่ง พี่สาวถามแม่ขึ้น “แม่คะนี่คือสวนอะไรคะ” แม่รีบอธิบาย “นี่คือ Washington Sycip Park และนั่นคือ Legaspi Park” พร้อมกับชี้ไปที่สวนสาธารณะ “แล้วสวนสาธารณะ เค้ามาทำอะไรกันบ้างคะแม่” น้องสาวเอ่ยถามบ้าง ด้วยความอยากรู้ “งั้นเราเข้าไปดูกันคะว่าเค้ามาทำอะไรกันบ้าง” สามคนแม่ลูกพากันเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ มีคนมาออกกำลังกาย บางคนก็เดิน บางคนก็วิ่ง บางคนก็เต้นแอโรบิค บางคนก็เล่นโยคะ บางคนก็พาสุนัขมาเดินเล่น บางคนก็มานั่งคุยกัน บางกลุ่มก็มานั่งเป็นกลุ่มนั่งกินอาหารร่วมกัน บางคนก็เข็นลูกหลานมาเดินเล่นเพื่อออกกำลังกาย “แม่คะเราไปตรงโน้นดีกว่าคะ” น้องสาวเหลือบตามองเห็นสนามเด็กเล่นแต่ไกล พร้อมกับรีบวิ่งจะข้ามถนนไปอีกสวนสาธารณะอีกที่หนึ่ง เสียงรถยนต์เบรกดัง เอี๊ยด พร้อมกับแม่รีบตะโกนบอกอย่าเพิ่งข้ามถนน รอสัญญาณไฟก่อน ดีที่สัญญาณไฟข้ามถนนปรากฏขึ้นเป็นรูปคนเดินสีขาวแสดงว่าข้ามถนนได้พอดี แม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกในใจได้เวลาต้องสอนการใช้ชีวิตในเมืองอย่างจริงจังเสียที

      ณ สนามเด็กเล่นจะมีเด็กๆออกมาเล่นปีนป่าย วิ่งเล่น มีสไลเดอร์เล่นอย่างสนุกสนาน ขณะที่สองพี่น้องยังสื่อสารกับคนอื่นยังไม่รู้เรื่องเพราะพูดภาษาอังกฤษยังไม่ได้ ขณะที่น้องสาวก็พยายามใช้ภาษามือเพื่อสื่อสารนั่นเองเพราะตามพัฒนาการของเด็กแล้วการเล่นด้วยกันแม้ว่าจะใช้ภาษาพูดยังไม่ได้แต่เด็กจะมีทักษะในการสังเกตุและเข้าใจภาษากายโดยใช้สัญชาตญาณในวัยเด็กนั่นเอง “แม่คะ หนูอยากเล่นสไลเดอร์ตรงนั้น” น้องสาวพูดเสร็จพร้อมกับรีบวิ่งไปเล่นโดยไม่รอคำตอบว่าแม่อนุญาตหรือไม่ ในสวนสาธารณะจะมีเจ้าของจูงสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเย็น การเลี้ยงสัตว์และเจ้าของพาสัตว์ไปเดินเล่นทำให้ผู้เขียนนึกถึงหนังเรื่องหนึ่ง “ทรามวัยกับไอ้ด่าง (One Hundred and One Dalmatians)” เริ่มเรื่องโดยเจ้าของพาสุนัขไปเดินเล่นและสุนัขมีความชอบพอกันต่อมาเจ้าของสุนัขได้มาใช้ชีวิตด้วยกัน แต่เนื้อเรื่องของหนังเน้นที่สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวและลูกๆทั้งสิบห้าตัวที่โดนเศรษฐินีใจโหดลักพาต้วลูกหมาไปขังไว้ หลังจากนั้นเป็นการทำภารกิจระทึกใจของสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆในการช่วยชีวิตลูกสุนัขผู้กล้าหาญให้รอดพ้นจากนางมารร้ายใจโหดนั่นเอง นับเป็นหนังที่น้องสาวชื่นชอบเป็นพิเศษโดยดูเป็นภาษาอังกฤษจะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

      หลังจากเล่นที่สนามเด็กเล่นได้พักใหญ่ๆ “เด็กๆ เราไปเดินซื้ออาหารกินที่ Sunday Market คะ” เสียงแม่เรียกเด็กวัยประถมทั้งสองคนเพื่อไปหาซื้ออาหารการกิน ที่ตลาด Sunday Market ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั่นเอง ในตลาด Suday Market นั้นมีอาหารขายหลากหลายชนิด ทั้งอาหารสดและอาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ เสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ อาหารสำเร็จรูปมีทั้งอาหารไทย (ผัดไทยกุ้งเป็นที่ชื่นชอบของคนต่างชาติ ราคาก็ค่อนข้างแพงเหมือนกัน) อาหารอินเดีย (ปานีปุรีเป็นของว่างทานเล่นจากอินเดีย ซึ่งชื่อ ” Pani Puri ” จะเป็นชื่อเรียกของทางใต้ของอินเดีย แต่ถ้าทางเหนือจะเรียกว่า “Golgappe” และความหมายของชื่อจะแยกออกเป็น 2 อย่างคือ ปูรี หมายถึง แป้งสาลีทอดกรอบ ที่เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งมีลักษณะกลมพองและข้างในกลวง มักทานคู่กับเครื่องเคียงคือ มันฝรั่งต้ม หัวหอม ถั่วลูกไก่ และ ปานี หมายถึง น้ำ ที่นำไว้ตักใส่ในตัวแป้งทอดกรอบที่พองกลวง ซึ่งจะมีรสเปรี้ยว เผ็ดนิดหน่อย เค็ม และมัน ในตอนท้ายจะมีกลิ่นหอมใบยี่หร่า รับรองว่าอร่อยถูกใจแน่นอน ) อาหารตุรกี (เมนูแป้งห่อเนื้อสัตว์ต่างๆ มีให้เลือกทั้ง ไก่  แกะ หรือเนื้อวัว พร้อมผักสลัด จะทานกับมันบด เฟรนช์ฟรายส์ หรือทานเดี่ยวๆ ก็ได้ค่ะ เป็นอาหารที่อร่อยได้ง่ายๆ ออกแนวเป็นฟาสฟู้ดของเค้าเลย)  อาหารมื้อเช้าของชาวฟิลิปปินส์(อาหารเช้าแบบพื้นเมืองในฟิลิปปินส์ได้แก่ ปันเดซิล (ขนมปังม้วนขนาดเล็ก) เกซอง ปูตี (ชีสขาว) ชัมโปราโด (โจ๊กข้าว) ซีนางัก (ข้าวผัดกระเทียม) และเนื้อสัตว์ ปลา และไข่เค็ม กาแฟ เป็นที่นิยมดื่มเช่นกัน รูปแบบการกินอาหารเป็นสำรับทำให้กลายเป็นชื่อเรียกอาหารเช้าในฟิลิปปินส์นั่นเอง) หลังจากเลือกซื้ออาหารและน้ำได้เรียบร้อยแล้ว “แม่คะเราไปนั่งกินอาหารในสวนสาธารณะกันคะ” น้องสาวเอ่ยขึ้น เนื่องจากสังเกตเห็นคนอื่นๆ นั่งกินอาหารในสวนสาธารณะกัน วันนั้นกินอาหารต่างชาติด้วยความผะอืดผอมสุดขีด สุดท้ายพี่สาวรีบเอ่ยขึ้น “แม่คะหนูว่าเรากลับบ้านไปตำส้มตำกินกันดีกว่า กินอาหารนี่แล้วมันเวียนหัว” ในวันนั้นจบลงด้วยส้มตำรสจัดจ้านกินกับเส้นขนมจีนนั่นเอง เรารอติดตามกันตอนต่อไปว่า อาการเวียนหัวนั้นแท้จริงแล้วเกิดจากอาหารการกินหรือเป็นจากสาเหตุอื่นหรือไม่เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์นั้นมีแผ่นดินไหวอยู่บ่อยๆ นั่นเอง

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน บินลัดฟ้าสู่มะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน บินลัดฟ้าสู่มะนิลา

        การเดินทางต่างประเทศ (ประเทศฟิลิปปินส์) ในยุคสมัยปัจจุบันนี้หลังจากการระบาดโรคโควิด 19 ต้องแสดงการฉีดวัคซีนอย่างน้อยสองเข็มก่อนเข้าประเทศฟิลิปปินส์ โดยต้องกรอกข้อมูลผ่านระบบก่อนการบินประมาณหนึ่งวัน ถึงแม้ว่าประชากรของฟิลิปปินส์นั้นได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับคนไทย

        เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากที่ทั้งสามคนแม่ลูกเดินทางด้วยรถยนต์วีออส รุ่นเก่าเข้าสู่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ วันรุ่งขึ้นทุกคนตื่นแต่เช้าเช่นเดิมเนื่องจากเป็นการใช้ชีวิตของคนเซราะกราว เพื่อออกไปซื้อข้าวของต่างๆในการเตรียมเดินทางในช่วงเวลาพลบค่ำของวันนี้นั่นเอง

        “แม่คะ หนูเอามาม่าเกาหลีไปด้วยนะคะ” พี่สาวถามผู้เป็นแม่พร้อมกับหยิบมาม่าเกาหลีรสเผ็ดจัดใส่รถเข็นสี่ห้าซองเพื่อจะนำไปด้วย “ไม่ต้องหรอกลูกที่ฟิลิปปินส์เค้าก็มีขาย” แม่บอกพร้อมกับหยิบมาม่าเกาหลีรสเผ็ดออกมาและให้ลูกสาวนำไปเก็บที่เดิมเนื่องจากความเผ็ดมากของมาม่าเกาหลีทำให้น้องสาวที่ตัวเล็กกว่าปากพองและมีปัญหากรดไหลย้อนบ่นปวดท้องอยู่บ่อยๆ แม่สาละวนกับการเลือกเครื่องปรุงเพื่อนำไปปรุงอาหารเพราะเครื่องปรุงที่ฟิลิปปินส์มีราคาแพงกว่าที่เมืองไทยมาก เช่น รสดี น้ำมะขามเปียก เส้นหมี่แห้ง เส้นเล็กสด (ปรุงหมี่ยำเป็นอาหารท้องถิ่นดินแดนคนกระสัง) ผงมะนาว น้ำปลาร้า เส้นขนมจีนแห้ง  ใบโหระพา ใบกระเพรา ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปลา ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ เป็นต้น รวมกันทั้งสามคนสามารถขนสัมภาระมาได้ทั้งหมดเก้าสิบกิโลกรัม หลังจากได้ของเรียบร้อยจึงรีบกลับบ้านเพื่อแพคของเตรียมตัวเดินทางไกลต่อไป

        “เด็กๆ มาแพคกระเป๋าเดินของตัวเองนะคะ” เสียงป้าผู้ที่เดินทางบ่อยๆโดยเครื่องบินบอกหลานๆให้แพคกระเป๋าเดินทางของตนเองพร้อมกับแจ้งว่า ห้ามใส่สิ่งของประเภทน้ำ ครีม และของมีคมในกระเป๋าที่จะนำติดตัวขึ้นบนเครื่องบินเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงในการเตรียมของเพื่อเดินทาง “แม่คะ หนูขอไปว่ายน้ำก่อนได้ไหมคะ” น้องสาวคนเล็กเอ่ยขึ้น เนื่องจากช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงที่มีอากาศร้อนจัด เป็นเดือนแห่งเทศกาลสงกรานต์ และเป็นปีใหม่ของไทยเช่นกัน เด็กๆเซราะกราวมักจะชอบเล่นน้ำคลอง น้ำสระนั่นเอง พอเข้าสู่เมืองหลวงจึงชอบว่ายน้ำในสระว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ว่ายน้ำหรอก เรียกว่าเล่นน้ำดีกว่าเพราะชอบดำผุด ดำว่าย กระโดด ดึงกันในน้ำมากกว่า ถึงแม้จะมีหมวกว่ายน้ำและแว่นตาแต่ก็ไม่ได้ใส่เช่นกัน “เล่นน้ำแค่สองชั่วโมงแล้วรีบกลับมานะคะ” แม่พูดขึ้น พร้อมกับสาละวันกับการแพคของกินใส่กระเป๋า “ทำไมมีรสดีเยอะแยะขนาดดีละ มิน่าละ ผมร่วงหมดหัว” ผู้เป็นป้าเปรยขึ้นหลังจากสังเกตข้าวของที่เตรียมเดินทาง “ที่โน่นราคาแพง เลยต้องเตรียมไปเยอะหน่อย” แม่ของเด็กทั้งสองเอ่ยขึ้น

      เด็กๆ เล่นน้ำอย่างมีความสุข อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “กลับกันได้แล้วเด็กๆ เราต้องรีบไปกินข้าวเย็นก่อนเดินทางไปสนามบินนะ” พี่สาวลูกของป้าเอ่ยขึ้น” น้องสาวรีบขึ้นจากสระว่ายน้ำไปอาบน้ำล้างตัวตามคำบอกของพี่สาว และไปยื่นด้อมๆ มองๆ จุดตำแหน่งกดสัญญาณเตือนไฟไหม้ของตึกด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาของเด็กวัยประถมศึกษาและเป็นเด็กบ้านนอกเข้าเมืองกรุงครั้งแรกและที่บ้านไม่เคยเห็นมาก่อน “มายืนทำอะไร” พี่สาวเอ่ยถาม พร้อมกับพูดขึ้นว่า ห้ามไปกดเล่นเด็ดขาดนะ แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลอะไร

     “เราไปกินไอศรีมกันไหม” ป้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากจัดเตรียมของเพื่อเดินทางเรียบร้อยแล้ว “ดีคะ หนูขอบกินไอศรีม” พี่สาวเอ่ยขึ้น ไอศรีมกับเด็กมักจะเป็นของคู่กันเสมอ สมัยก่อนรุ่นที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กจะมีไอศรีมแบบแท่งที่ขายแท่งละ1 บาท หากใครกินไอศรีมหมดแล้วสังเกตที่ปลายของแท่งไอศรีมมีสีแดงก็จะสามารถแลกกินได้อีกหนึ่งแท่งฟรีนั่นเอง ซึ่งเป็นแนวทางการตลาดในสมัยก่อน หากสมัยปัจจุบันก็จะมีการจัดทำบัตรสมาชิกโดยการลดราคาให้หากใช้บัตรสมาชิก หรือ

จ่ายด้วยบัตรเครดิตต่างๆที่เข้าร่วมบริการ หลังจากกินไอศรีมเรียบร้อยถึงเวลาต้องรีบเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปสนามบินเพราะกลัวรถติดเดี่ยวไม่ทันเชคอิน ซึ่งเคยมีประวัติการตกเครื่องบินเนื่องจากเชคอินไม่ทันทำให้เสียเงินค่าเครื่องบินนั่นเอง

       เมื่อไปถึงสนามบินเด็กๆก็ตื่นตาตื่นใจกับความกว้างใหญ่ของสนามบินสุวรรณภูมิ ถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้โดยเฉพาะน้องสาวมักจะชอบแอคชั่นถ่ายรูปเป็นพิเศษ ขั้นตอนการโหลดกระเป๋าผ่านไปด้วยดี ต่อมาเป็นขั้นตอนการตรวจสอบสัมภาระที่จะนำขึ้นไปบนเครื่อง “ในกระเป๋าเดินทางของลูกสาวคุณเราพบกรรไกรนะคะ” เจ้าหน้าที่สนามบินแจ้งให้แม่ทราบหลังจากแสกนและพบกรรไกรขนาดเล็ก แม่แสดงสีหน้าตกใจ “แอบนำกรรไกรใส่กระเป๋าตั้งแต่เมื่อไหร่ละนี่” แม่รำพึงรำพันในลำคอ แต่ดีที่เป็นเด็กเลยไม่ได้มีปัญหาอะไรมากและขนาดของกรรไกรมีขนาดเล็กเค้าเลยคืนกลับมาให้นำขึ้นบนเครื่องบินมาได้ ขั้นตอนต่อมาเป็นการตรวจพาสพอร์ตก็ผ่านมาได้ด้วยดีเช่นกัน

     เมื่อขึ้นไปบนเครื่องบินหาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินประกาศให้ใส่เข็มขัดนิรภัย “แม่คะ หนูไม่ใส่ได้ไหมคะ” น้องคนเล็กถามอีก แม่ต้องอธิบายยาวอีก ถ้าเราไม่ใส่เวลาเกิดปัญหาเช่นเครื่องบินตกหลุมอากาศ เข็มขัดนิรภัยจะช่วยยึดเราไม่ให้กระเด็นกระดอนออกจากที่นั่งได้ “แม่คะเครื่องบินมันจะตกไหมคะ” พี่สาวถามบ้าง แม่เริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับสอนลูกว่า เวลาเราเดินทางไปใหนอย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่ดี เช่น เวลาเราเดินทางเข้าป่าก็อย่าถามถึงเสือ หรือเดินทางกลางคืนอย่าทักถึงเรื่องผี ประเด็นนี้สมัยผู้เขียนเป็นนักศึกษาพยาบาลฝึกงาน หลังจากลงเวรบ่ายซึ่งเป็นเวลาประมาณเที่ยงคืน ผู้เขียนและเพื่อนๆ เดินทางกลับที่พักซึ่งในระหว่างทางนั้นจะผ่านโรงเก็บศพของโรงพยาบาล ณ เวลาเที่ยงคืนโรงพยาบาลประจำอำเภอบรรยากาศจะเงียบสงบ เพราะต่างจังหวัดมักจะเข้านอนกันหัวค่ำ ขณะเดินผ่านโรงเก็บศพ “หวี๊ด หวี๊ด หวี๊ด” เสียงลมพัดในหน้าหนาว ท่ามกลางความเงียบ “เสียงอะไรนะ” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถามขึ้น ทันใดนั้นเอง “ตุ๊กแก ตุ๊กแก ตุ๊กแก” ทุกคนวิ่งกันอย่างสุดชีวิตมุ่งตรงไปที่บ้านพัก ขณะที่ผู้เขียนสตาร์ทช้ากว่าเพื่อน “รอด้วย พร้อมกับสะดุดขาตัวเองล้มลง” ขณะที่เพื่อนๆ วิ่งไปถึงหน้าบ้านพักเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนรีบลุกขึ้นยืนขึ้น หันซ้ายแลขวาพร้อมกับตั้งสติและท่องบทสวด “นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ” และก้าวขาวิ่งอย่างรวดเร็วในใจนึกขึ้นมาได้ว่า แล้วทำไมเราต้องตกใจเสียงตุ๊กแกมากมายขนาดนี้ คืนนั้นกว่าจะนอนหลับได้ก็กลัวจนเจ็บไข้หัวโกรนไปตามๆกัน

      การเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์นั้นใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินแล้ว สนามบินในกรุงมะนิลานั้นค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับสนามบินสุวรรณภูมิ กลับถึงที่พักเกือบสามทุ่มอย่างปลอดภัยเด็กเซราะกราวสองคนที่เพิ่งเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งแรกอ่อนเพลียไปตามๆกัน คืนนั้นเด็กๆนอนหลับสนิททั้งคืน ติดตามตอนต่อไปว่าเด็กเซราะกราวสองคนจะใช้ชีวิตในเมืองอย่างไร และมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องสอนการใช้ชีวิตซึ่งเด็กเดินทางมาจากเซราะกราว ไม่เข้าใจหรือใช้ชีวิตในเมืองหลวงมาก่อน

       หากชื่นชอบเรื่องสั้นแนวการใช้ชีวิตของเด็กเซราะกราวในเมืองหลวงกรุงมะนิลา รบกวนกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามเพื่อให้ผู้เขียนมีกำลังใจในการเขียนเรื่องสั้นต่อไป ภายใต้นามปากกาของ Rommyrom. ขอบคุณคะ

แชร์ให้เพื่อน
แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว

ตอน ทางสามแพร่ง

        “ทางสามแพร่ง” เป็นความเชื่อของคนเซราะกราวที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยของที่พักอาศัย จัดเป็นสิ่งที่อัปมงคลและ เป็นที่ชุมนุมของดวงวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือสัมภเวสีต่างๆ ที่ให้โทษแก่คนธรรมดาทั่วไป เนื่องจากคนซราะกราวนั้นเมื่อมีคนตายในหมู่บ้านเกิดขึ้น ณ วันที่แบกหามศพไปเผาที่วัด เมื่อผ่านทางสามแพร่งคนที่ทำพิธีเผาศพประกอบด้วยหมอผีและบริวารของหมอผีทั้งสี่จะเอาหม้อดินใส่ข้าวสารอาหารแห้งพริกเกลือให้เต็มหม้อและตีให้แตกเพื่อให้ผู้ตายเดินทางมาถึงทางสามแพร่งแล้วต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเดินทางไปทางซ้ายหรือขวาหากว่าผีตนใดไม่เลือกทางเดินก็จะไม่ได้ไปผุดไปเกิดกลายเป็นดวงวิญญาณ ภูตผีปีศาจหรือสัมภเวสีที่อยู่ตรงทางสามแพร่งนั่นเอง ส่วนตามหลักฮวงจุ้ยนั้นทางสามแพร่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ไม่ดี ผู้คนที่อยู่ในบ้านบริเวณทางสามแพร่งจะไม่มีความสงบสุข แต่หลักฮวงจุ้ยสามารถช่วยบรรเทาเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีได้โดยการติดตั้งกระจก การปลูกต้นไม้ใหญ่ การสร้างรั้วให้สูงขึ้น เป็นต้น

     ตามหลักวิทยาศาสตร์ ทิศทางลมและฝนจะพัดมายังบ้านที่อยู่ในทางสามแพร่งโดยตรง หรือถ้ารถขับผ่านจะมีแสงไฟจากรถสะท้อนเข้าบ้านตลอดเวลา เนื่องจากอยู่ตรงตำแหน่งจุดตัดหรือทางแยก และอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนเข้ามาในบ้านด้วย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการพักผ่อนเพราะจะทำให้กระวนกระวายใจทั้งตื่นและหลับ  แต่อย่างไรก็ตาม บ้านตรงทางสามแพร่งจะเหมาะเป็นที่ตั้งของธุรกิจ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน ซึ่งทำให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นชัด เป็นต้น

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากทิดชมเดินทางกลับบ้านจากการแก้โดนของและสะเดาะเคราะห์ เมื่อผ่านสวนหม่อนได้ยินเสียงกระพรวนดังและเมื่อเปิดประตูบ้านถึงกับตกใจเหตุการณ์ที่เห็น

       “นางพราว เมียรักของข้า” ทิดชมร้องตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน เมื่อเห็นนางพราว นอนสลบไสลอยู่กลางบ้าน พร้อมเขย่าตัวเบาๆ “นางพราวเองเป็นอะไรไป” ทิดชมร้องเรียก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากภรรยาสาวท้องแก่แต่อย่างใด นางพราวหายใจสม่ำเสมอ แต่กลับเรียกไม่รู้สึกตัว เนื้อตัวร้อนจี๋  ทิดชมรีบก้าวลงบันไดบ้านพร้อมตะโกนร้องเรียกพ่อตาเสียงดังลั่น ท่ามกลางเวลากลางคืนซึ่งเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง “พ่อคล้าย นางพราวเป็นอะไรไม่รู้” ตาคล้ายเป็นหม้ายตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตอยู่เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวประมาณ 3 ปี ต่อมาได้พบรักใหม่กับยายจีนมีลูกด้วยกันสามคน แต่ละคนแยกไปมีครอบครัวหมดแล้ว ยายจีนสมัยเป็นสาวหน้าตาสะสวย แต่ยายจีนนั้นเป็นหญิงที่มีความอิจฉาริษยา ตอนนางพราวยังเป็นเด็กยายจีนจิกหัวใช้นางพราวทุกรูปแบบ ลูกทั้งสามของยายจีนอยู่สุขสบาย ยายจีนเกิดในครอบครั้วคนเลี้ยงช้างมาก่อนมีฐานะร่ำรวยในหมู่บ้านเซราะกราว “ตาคล้ายเปิดประตูบ้านดังเอียด พร้อมกับก้าวลงบันไดบ้านโดยมียายจีนเดินตามมาติดๆ แสดงสีหน้าเป็นห่วงนางพราวจากใจจริง “นางพราวเองอย่าเป็นอะไรไปนะ” ยายจีนเอ่ยขึ้นเบาๆ” รู้สึกสงสารนางพราวและหลานในท้องขึ้นมาจับใจ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตาเบาๆโดยหวังว่านางพราวจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นผล “ทิดชมรีบไปตามตาแก้วมาเร็ว” ตาคล้ายบอกลูกเขยวัยหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความตำหนิที่ปล่อยให้นางพราวอยู่บ้านคนเดียวในเวลากลางคืนของวันพระจันทร์เต็มดวง ทิดชมมีสีหน้ารู้สึกผิด รีบก้าวเดินตามหลังเจ้าด่างมุ่งหน้าไปบ้านตาแก้วด้วยสีหน้าเศร้าหมองระคนกัน พร้อมกับรำพึงรำพันเบาๆ “นางพราว เองและลูกในท้องต้องปลอดภัย ข้าจะไม่ยอมให้เองเป็นอะไรไปเด็ดขาด” ระหว่างทางเดินไปบ้านตาแก้วได้ยินเสียงหมาเห่าและหอนเป็นระยะ และเสียงไก่ขันดังเป็นช่วงๆ รับกันอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเวลาไกล้รุ่งเช้าเข้ามาทุกขณะ “ตาแก้ว ยายระย้าย” ทิดชมตะโดนเรียกตาแก้วแข่งกับเสียงไอ้ดำที่เห่าไม่หยุดเช่นกัน ตาแก้วเปิดประตูบ้านพร้อมตะโกนปรามหมาให้หยุดเห่า”ช๊บ ช๊บ อา คเมา” ไอ้ดำเงียบเสียงลงทันที เหมือนเสียงตาแก้วนั้นมีพลังสงบความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบตัว “มีอะไรรึทิดชม” ตาแก้วร้องถามจากหน้าประตูบ้านโดยมียายระย้าเดินมายืนข้างๆแบบงัวเงีย “นางพราวเป็นอะไรไม่รู้ตาแก้ว ตอนนี้นอนสลบอยู่ เรียกยังงัยก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมา ตัวร้อนจี๋เลย” ตาแก้วรีบคว้าผ้าขาวสีหม่นที่แสดงถึงเวลาการใช้งานผ่านมาหลายปีแล้ว เดินตามทิดชมและไอ้ด่างมุ่งหน้าไปบ้านทิดชมทันที  ตาคล้าย ยายจีนนั่งบีบนวดนางพราวเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง “นางพราวเดินทางไปไหนบ้างไหมเมื่อวานนี้”ตาแก้วเอ่ยถาม พร้อมกับแกะห่อผ้ายาสมุนไพรออก หยิบเศษไม้ออกมาสามชิ้นฝนเข้ากับก้อนหินเบาๆประมาณ 9 ครั้งพร้อมสวดคาถาในลำคอเบาๆฟังไม่ได้ศัพท์ “นางพราวเดินไปเก็บยอดขี้เหล็กมาแกงเมื่อเย็นวานนี้กับข้า” ยายจีนเอ่ยขึ้น “เดินผ่านเส้นทางสามแพร่งใช่ไหม” ตาแก้วเอ่ยถามขึ้น “ใช่ ใช่” ยายจีนตอบพร้อมกับแสดงสีหน้าสำนึกผิด “งั้นเอาน้ำมนต์นี่เช็ดตัวให้นางพราวไปก่อน” ตามแก้วเอ่ยบอกยายจีนพร้อมกับหันหน้าไปสั่งทิดชม “เองเอาม้าแคระของข้าไปรับตัวยายจันทร์มาที่บ้าน” ยายจันทร์เป็นน้องสาวแท้ๆของยายจีนเป็นร่างทรง หากใครเจ็บไข้ ได้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุมักจะเข้าทรงเพื่อต้องการทราบว่าการเจ็บป่วยครั้งนี้เกิดจากอะไรโดยใช้ร่างทรงเป็นสื่อกลางระหว่างดวงวิญญาณต่างๆ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเหมือนหนึ่งวันสำหรับการเฝ้ารอร่างทรง ทิดชมเดินทางมาพร้อมยายจันทร์ผู้ที่เป็นร่างทรงพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ในการเข้าทรง ก่อน
การเริ่มพิธีกรรมนั้นร่างทรงคือยายจันทร์ และทิดชมจะเป็นผู้ที่จะเข้าร่วมประกอบพิธีการเข้าทรง โดยจะมีการสวดมนต์ นมัสการพระรัตนตรัย บทชุมนุมเทวดา บทเจริญคุณ พระคาถายอดพระกัณไตรปิฎก พระคาถาชินบัญชร
พาหุงมหากาล มงคลจักรวาล เป็นต้น ซึ่งบทสวดเหล่านี้บรรดาร่างทรงที่มีการประกอบพิธีกรรมได้
นำมาประยุกต์ใช้ในการประกอบพิธีรองลงมาคือ ทำบุญให้ทานตามโอกาสต่าง ๆร่างทรงที่มีความเชื่อ
ด้านอื่น ๆ คือ พิธีกรรมไหว้ครูประจาปี รองลงมาคือ การรักษาโรค การถอนคุณไสย การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ การต่อดวงชะตา เหตุผลในการเข้าทรงต้องการกำลังใจอีกทางหนึ่งหรืออาจจะมีความเชื่อในพิธีกรรมการเข้าทรงเป็นต้น

       เสียงเพลงบรรเลงดังขึ้นประกอบด้วยเสียงกลอง เสียงซอ ยายจันทร์เป็นร่างทรงร่วมกับทิดชมเป็นผู้เข้าร่วมประกอบร่างทรงในการทำพิธีครั้งนี้  ยายจันทร์ส่งเสียงดังขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นอย่างดัง “นางพราวมันเดินเหยียบลูกหลานและบริวารของข้า มันต้องรับผิดชอบในการกระทำครั้งนี้” เสียงยายจีนเอ่ยขึ้น “ลูกหลานข้าทำผิดไปแล้ว แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเพื่อเป็นการไถ่โทษในครั้งนี้” ยายจีนพูดขึ้นด้วยเสียงที่รู้สึกผิด “ลูกหลานของข้าอยากกินน้ำแดงและไก่ต้ม ปลาย่าง กบย่างพร้อมขนมวง ขนมรา และเหล้าขาวหนึ่งจอก” ยายจันทร์เอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นชี้ไปที่ทางสามแพร่ง “มันลบหลู่ข้าและบริวารของข้า” ทิดชมร้องไห้ขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับลุกขึ้นยืนขึ้นและล้มลงหมดสติไป ตาแก้วช่วยบีบนวดทิดชมให้ฟื้นขึ้นมา หลังจากรู้สึกตัวทิดชมแสดงสีหน้างุนงงเหมือนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตน

     ยายระย้ารีบบอกให้แม่ครัวช่วยเตรียมอาหารที่จะต้องประกอบพิธีกรรมในการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณในครั้งนี้ที่ทางสามแพร่ง หลังจากเตรียมของเรียบร้อยแล้ว ทุกคนไปรวมตัวกันที่ทางสามแพร่ง “เอาอาหารทั้งหลาย ขนมหวานวางไว้ตรงนี้ วางหมากพลู” เสียงยายจันทร์พูดขึ้น หลังจากนั้นจะมีหมอผีเรียกดวงวิญญาณให้มากินอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้โดยเรียกมาสามครั้ง “โมเวย ตาแยย โมประสา มลู ศลา ศรา บาย แดล โกน เจา ยัว โม ทวาย” หมายความว่าให้ผีปู่ย่า ตายายมากินอาหารที่ลูกหลานได้นำมาเซ่นไหว้ในครั้งนี้ หลังจบพิธีกรรมแล้วถือว่าเสร็จสิ้นการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของคนเซราะกราวที่ทางสามแพร่งนั่นเอง “นังพราวเองเป็นยังงัยบ้าง”ยายระย้าเขย่าตัวนางระย้าอีกครั้งเพื่อปลุกให้ตื่น นางพราวค่อยๆลืมตาขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าเป็นอะไรไปยายระย้า ทำไมที่บ้านข้ามีคนเยอะแยะไปหมด” นางพราวถามขึ้น ยายระย้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นางพราวฟังทั้งหมด ทันใดนั้นเอง นางพราวรู้สึกปวดท้องแข็งขึ้นเป็นระยะ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป หากท่านชอบเรื่องสั้นแนวคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์และกดซับสไคร้เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนมือใหม่นามปากกา Rommyrom ขอบคุณคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง

         สำหรับการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงในครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกของเด็กหญิงวัยประถมศึกษาทั้งสองคน พวกเธอมีความรู้สึกตื่นเต้นในการเดินทางและพบเจอสิ่งใหม่ที่รออยู่เบื้องหน้า มีความสนใจมองบรรยากาศรอบข้างถนน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุช่วงเดือนเมษายนก่อนเข้าสู่เทศกาลวันสงกรานต์  การเดินทางเป็นไปด้วยบรรยากาศที่สนุกสนานลืมคนที่บ้านไปชั่วขณะตามประสาของเด็ก “แม่ค่ะแวะเข้าห้องน้ำก่อนคะ หนูปวดฉี่” เด็กหญิงผู้ที่เป็นน้องบอกแม่หลังจากนั่งรถออกมาจากบ้านได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง “รอก่อนนะ เพิ่งผ่านปั๊มน้ำมันมาเมื่อกี้” แม่บอกลูกสาวคนเล็ก ขับรถมาเรื่อยๆก็ยังไม่เจอปั๊มน้ำมันซักปั๊ม “แม่หนูฉี่จะราดแล้ว” ลูกสาวคนเล็กตัวแคระแกร็นจนได้รับฉายาว่า “ไอ้แคระ” แต่นางก็งอนทุกครั้งเมื่อโดนเรียกว่า “ไอ้แคระ” เป็นการบูลี่ของคนเซราะกราว เสียงเด็กหญิงผู้น้องเตือนแม่อีกครั้งว่าถ้าไม่จอดรถเดี่ยวเจอดีแน่ เสียงเบรกรถดังเอี๊ยดริมถนนทางหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง “ลงไปฉี่ข้างถนนนี่แหละ” เสียงแม่บอกลูกสาวคนเล็ก “พี่พี่ยืนบังให้หน่อยหนูอาย” แม่นึกในใจนี่ลูกสาวแม่เป็นสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ ขับรถต่อไปอีกสักพัก คราวนี้ถึงคิวพี่สาวบ้าง “แม่คะหนูว่าเราแวะเข้าเซเว่นก่อนดีกว่า เผื่อหาอะไรกินรองท้อง” พี่สาวพูดโน้มน้าวให้แม่แวะจอดรถที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ระหว่างเดินทางไปเซเว่นนั้นพี่สาวเหลือบสายตาไปเห็นห้องน้ำ จึงรีบขอตัวไปห้องน้ำเพราะกลัวว่าต้องแวะข้างทาง “แม่คะเมืองหลวงเป็นยังงัยหรือคะเหมือนบ้านเราไหมคะ”พี่สาวถามบ้างหลังจากกินข้าวอิ่มนอนหลับไปหนึ่งยกก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางซักที “ทำไมถึงไกลจังเมืองหลวงนี่” ผู้เป็นแม่จึงรีบตอบคำถามรวบเลยเพราะถ้าไม่รีบตอบเดี่ยวคำถามจะรัวมาเรื่อยๆ “เมืองหลวงมีชื่อ กรุงเทพมหานคร ชื่อยาวแม่จำไม่ได้ เนื่องจากแม่มีความจำสั้นเป็นปลาทอง เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงิน การธนาคาร การพาณิชย์ การสื่อสาร ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านและแบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่งคือ ฝั่งพระนคร และฝั่งธนบุรี มีสถานที่สำคัญต่างๆเช่นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสาชิงช้า วัดพระแก้ว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และอื่นๆอีกมากมาย มีคำขวัญว่า “กรุงเทพมหานคร ดุจเทพสร้าง เมืองศูนย์กลางการปกครอง วัด วัง งามเรืองรอง เมืองหลวงของประเทศไทย” แม่ผู้ชอบอธิบายแบบยืดยาว ขับผ่านมาเรื่อยๆเจอแหล่งน้ำขนาดใหญ่ “แม่ค่ะนั่นแม่น้ำอะไรคะ”น้องถามบ้าง “ออ เขื่อนลำตะคองเป็นเขื่อนดิน (earthfill dam) ตั้งอยู่เขตจังหวัดนครราชสีมา มีโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำและมีกังหันลมผลิตไฟฟ้าทอดยาวตลอดแนวเขายายเที่ยง” พร้อมกับชี้ให้ดูประกอบคำอธิบาย

          ตะวันบ่ายคล้อยแดดเริ่มส่องเข้ามาทางหน้ารถ เด็กๆ ย้ายไปนั่งด้านหลัง “กริ้ง กริ้ง กริ้ง”เสียงไลน์โทรเข้า “ถึงใหนกันแล้ว”เสียงปลายสายถามแสดงถึงความเป็นห่วงในการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงและต้องเดินทางอีกยาวไกลข้ามน้ำข้ามทะเลต่อไป “อยุธยาละ”แม่ตอบเป็นสั้นได้ใจความ น้องสาวตื่นขึ้นมาแบบงัวเงียถามขึ้นว่า “อยุธยาคือที่ไหนหรือคะ” แม่ตอบแบบสั้นๆเนื่องจากเริ่มอ่อนเพลียในการขับรถและอากาศร้อนอบอ้าวช่วงเดือนสงกรานต์ รถยนต์ร่นเก่า แอร์ไม่ค่อยเย็น“เป็นเมืองหลวงในอดีตของประเทศไทยคะ มีความอุดมสมบูรณ์มาก่อนดั่งคำกล่าวที่ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”

“ใหนละปลา ใหนละข้าว ไม่เห็นมีเลย” เริ่มไม่ค่อยเชื่อแล้วเนื่องจากไม่เห็นด้วยตา พี่สาวค้าน แม่เลยเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่งั้นต้องคุยยาวแน่ รถวีออสสีบรอนเงิน รุ่นเก่าแก่ เกือบ20ปีแล้ว แต่สภาพเครื่องยนต์ยังใหม่อยู่ขับน้อยมาก ขับขึ้นบนทางด่วนเพื่อมุ่งหน้าไปที่เขตพระโขนง เด็กๆเริ่มตื่นตาตื่นใจเห็นตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่าน “เป็นแบบนี้นี่เองเมืองหลวง” พี่สาวพูดเปรยในลำคอไม่ต้องการคำตอบ ตะวันบ่ายคล้อยจะตกตึกแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่พักสักที รถเริ่มติดอย่างหนักหน่วงเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็นของวันศุกร์และหยุดยาวถึงวันจันทร์ทำให้การจราจรคับคั่งมากกว่าปกตินั่นเอง คนรอรับปลายทางโทรตามเป็นระยะๆ เนื่องจากรอตั้งแต่เที่ยงยังไม่ถึงซักที ตลอดเส้นทางผู้เป็นแม่ต้องตอบคำถามที่มีมาเรื่อยๆ จนเพลียทั้งการขับรถและพูดคุยแต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์แม่ ถึงอย่างไรก็ต้องอดทน แต่สำหรับเด็กวัยเรียนประถมศึกษาดูมีพละกำลังและอยากรู้ อยากเห็นตามพัฒนาการและการเจริญเติบโตตามวัย สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือเมืองหลวงกรุงเทพมหหานครโดยปลอดภัยตลอดการเดินทางร่วม 8 ชั่วโมง  เด็กๆมีความสุขมากที่สุดตรงที่ได้เล่นน้ำในสระน้ำของเมืองหลวงซึ่งมีความแตกต่างจากการเล่นน้ำคลองตามบ้านนอกเซราะกราว หลังเสร็จจากว่ายน้ำก็พาไปรับประทานอาหารปะเภทเนื้อย่างแถวเขตพระโขนงนั่นเอง สำหรับเด็กการกินบุบเฟ่ต์ดูแล้วก็ไม่น่าคุ้มหรอก กินได้ห้าคำก็หยุดกินแล้วสำหรับน้องสาวผู้ซึ่งมีรูปร่างผอมบาง หุ่นดีตั้งแต่เด็ก ซึ่งแตกต่างจากพี่สาวอย่างเห็นได้ชัด พี่สาวนี่ชอบกิน ถือว่าตลกบริโภคเลยก็ว่าได้ ตกกลางคืนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยพาพี่น้องนั่งดูแสงสีกรุงเทพอย่างมีความสุขและหยอกล้อกันตามประสาของเด็กวัยประถมศึกษา  เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งวันก็ต้องเดินทางแล้วเรามาติดตามกันเลยว่าสำหรับเด็กวัยประถมศึกษาที่ศึกษาเล่าเรียนและอยู่เซราะกราวตลอดระยะเวลา8ปีไม่เคยเจอเครื่องบิน เคยเห็นแต่ในทีวีหรือมองเห็นบนฟ้าเท่านั้น หากว่าให้พวกเค้าต้องเลือกอาหารและจัดกระเป๋าเดินทาง พวกเค้าจะมีปัญหาตอนตรวจสัมภาระในการเดินทางหรือไม่ อย่างไร แอบใส่อะไรเข้าไปในกระเป๋าเดินที่ขึ้นบนเครื่องบ้าง? หากสนใจเรื่องสั้นแนวเด็กหญิงวัยประถมศึกษาคนเซราะกราวสองคน ที่คนหนึ่งมีแนวการแต่งตัวแบบทอมบอย และอีกคนหนึ่งชอบการแต่งตัวแบบสาวหวาน รบกวนกดไลค์หรือกดแชร์เพื่อให้กำลังนักเขียนมือใหม่ภายใต้นามปากกา Rommyrom ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องสั้นคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน  ไสยศาสตร์เแก้โดนของ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน  ไสยศาสตร์เแก้โดนของ

       ไสยศาสตร์นับเป็นศาสตร์แห่งความลึกลับ ความเชื่อ ความศรัทธา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิพราหมณ์ อันเป็นลัทธิว่าด้วยเรื่องของเวทมนต์และคาถา จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยยังมีคนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะไสยศาสตร์เขมร ซึ่งรวมถึงเขมรตอนล่างหรือเขมรอีสานใต้และเขมรอาณาจักรกัมพูชา ไสยศาสตร์เพื่อการรักษานับเป็นไสยศาสตร์สีขาว มีประโยชน์ต่อผู้คน โดยใช้วิชาเวทมนต์ คาถา อาคม ร่วมกับการใช้สมุนไพรต่างๆในการรักษา เนื่องจากคนมีความเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจาก 3 สาเหตุหลักๆคือ

  1. ความเจ็บป่วยที่แท้จริง เช่น โรคไข้จับสั่น ฝีดาษ อีสุกอีใส
  2. ความเจ็บป่วยจากการทำของคน เช่น ยาสั่ง ปอบเข้าสิง ถูกปล่อยของเข้าตัว ถูกทำร้ายด้วยคาถาอาคม
  3. ความเจ็บป่วยจากภูตผีปีศาจ เช่น เป็นบ้า เสียสติ ปวดท้อง จุกเสียด ร้อนรุ่ม พูดจาไม่รู้เรื่อง

       เนื้อเรื่องตอนที่แล้ว หลังจากทิดชมโดนของ ตอนไปไต้อึ่งใกล้จอมปลวกที่ท้ายหมู่บ้านและได้รับการรักษาเบื้องต้นไปแล้ว วันนี้ตาแก้วและตาย้อยนัดทิดชมเพื่อการทำพิธีแก้ของเข้าตัวอีกครั้งหนึ่ง

      “เข้ามาสิทิดชม” เสียงของตาแก้วพูดขึ้น โดยไม่ได้หันหน้ามามองว่าใครมาเยือนบนบ้าน ด้วยเสียงที่ดังฟังชัด ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่เสียงของตาแก้วแน่นอน โดยมีตาย้อยนั่งอยู่ข้างๆกันในบริเวณแถวนั้น ตาแก้วนั่งหันหน้าเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตาแก้วเชื่อถือและศรัทธาได้แก่ นางกวัก ฮกลกซิ่ว กุมารทอง นกคุ้ม ไซดักทรัพย์ พญาเต่า ตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง และพ่อปูชูชก รวมถึงสิ่งอื่นๆอีกมากมาย มีการจุดธูปเทียนและวางดอกไม้ไว้เพื่อบูชา “นั่งลงหน้าขันน้ำ” ตาย้อยพูดขึ้น ขันน้ำสีขาวบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้เกือบเต็มขันและมีใบไม้หลากหลายชนิดบรรจุอยู่ พร้อมกับมีเทียนไขจุดวางไว้ข้างๆ ตาย้อยดูดวงตามวันเดือนปีเกิดของทิดชมเรียบร้อยแล้วพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ดวงของทิดชมปีนี้ ตกอยู่ความวินาศ ต้องทำการสะเดาะเคราะห์” ตาแก้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินเข้ามาหาทิดชม ใช้ไม้ตีที่ศีรษะของทิดชมเบาๆ สามครั้งพร้อมกับร่ายคาถาเป็นภาษาเขมร ทำปากมุบมิบ มุบมิบฟังไม่ได้ศัพท์ พร้อมกับเคี้ยวหมากในปาก “ยกมือพนมขึ้น หลับตา นึกถึงพ่อแก้ว แม่แก้ว เข้าไว้นะ” ตาแก้วบอกขั้นตอนถัดไป ตาย้อยนำสายสิญจน์สีขาวหม่น มาล้อมรอบบริเวณที่ทิดชมนั่ง พร้อมนำปลายสายสิญจน์มาวางบนหัวแม่มือของทิดชม ตาแก้วใช้มือขวาจับที่กลางศีรษะของทิดชม ร่ายคาถาภาษาเขมร ฟังไม่ได้ศัพท์ พร้อมพ่นน้ำหมากใส่กลางศีรษะสามครั้ง คายกากหมากออกมาจากปาก พูดเบาๆ แล้วโยนกากหมากออกไปนอกบ้าน เป็นการแสดงถึงทุกข์โศก เคราะห์กรรมจงมลายหายไปนั่นเอง ตาย้อยนำขวดน้ำมาใส่น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จนเต็ม แล้วยื่นให้ทิดชม “น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์นี่ นำไปดื่มทุกวันก่อนนอน” และบอกให้ทิดชมนำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือไปอาบทันที หลังจากทิดชมอาบน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อยเป็นอันเสร็จพิธีการแก้เคราะห์กรรมในครั้งนี้ เวลาผ่านไปล่วงเลยเข้าสู่คืนวันใหม่ ตาแก้วบอกทิดชมให้รีบกลับบ้านนอนพรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่อีกครั้ง พร้อมกับยื่นไซดักทรัพย์ให้ทิดชมไปบูชาตามความเชื่อของคนเชมรตอนล่างที่ว่าถ้าบูชาไซดักทรัพย์ จะช่วยให้อยู่บ้านด้วยความสงบสุข ร่มเย็น ช่วยปรับฮวงจุ้ยในบ้านอีกด้วย ไซจะช่วยดักเงิน ดักทอง ทรัพย์สิน เงินทองไม่หายไปไหน “แล้วข้าจะต้องบูชาไซดักทรัพย์ ยังงัย” ทิดชมถามขึ้น “ให้นำไซไปแขวนที่เหนือประตูบ้านให้หันปากไซออกไปข้างนอกบ้าน แล้วในแต่ละวันให้นำเงินหนึ่งสลึงใส่เข้าไปในใสทุกวันเมื่อเดินทางเข้าบ้านเพื่อเป็นการออมเงินนั่นเอง พร้อมกับท่องคาถาว่า อุอา กะสะ วันละเก้าครั้ง และห้ามหันปากใสเข้าบ้านเด็ดขาดเพราะจะทำให้เงินทองรั่วไหลนั่นเอง” ตาแก้วอธิบายยืดยาว

      เหตุผลที่ตาแก้วเลือกวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นวันแก้กรรม สะเดาะเคราะห์นั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่า ในวันพระจันทร์เต็มดวงเป็นช่วงที่พระจันทร์มีพลังงานมากที่สุด และสวยที่สุดบนท้องฟ้า ช่วงนี้เป็นเวลาของการตื่นรู้และการเฉลิมฉลองในสิ่งที่ดี เป็นช่วงที่อิทธิพลของดวงจันทร์ส่งผลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับการเปิดรับสิ่งดี ๆ หรือสานสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ช่วงนี้สำหรับบางคนอาจจะได้โชคลาภ ใครที่อยากจะมูฟออน อยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ถ้าได้อิทธิพลของดวงจันทร์มาเสริมแล้ว ก็จะช่วยทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

       ทิดชมก้าวลงจากบันไดบ้านของตาแก้ว ได้ยินเสียงหมาหอนเป็นระยะๆ รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เพราะในใจของทิดชมมีความเชื่อว่าหากหมาหอนแสดงว่าหมาเห็นผีหรือเกิดความผิดปกติในสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นเอง    หากความเป็นจริงนั้น การหอนของสุนัข เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติของสุนัข เพราะสุนัขสามารถได้ยินเสียง ที่มีคลื่นความถี่สูงเกินกว่าที่มนุษย์จะได้ยิน เมื่อได้ยินคลื่นแบบนี้แล้ว สุนัขจะหูอื้อ และหอนออกมาเพื่อระบายความหูอื้อนั้น ดังนั้น เราจึงมักได้ยินสุนัขหลายตัวหอนติด ๆ กัน เพราะพวกมันได้ยินคลื่นเสียงในระดับความถี่ที่ใกล้เคียงกันพร้อม ๆ นั่นเอง

       ไอ้ด่างวิ่งนำหน้าทิดชมกลับบ้านตามเคย  เวลากลางคืนพระจันทร์เต็มดวงสว่างใสวทั่วท้องฟ้า ทิดชมรีบก้าวเท้าเดินกึ่งวิ่ง ใกล้ถึงบ้านเข้ามาทุกที และแล้ว หูของทิดชมได้ยินเสียงดังแปลกๆ  “กรุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง หริ่งๆๆๆๆๆ” เหมือนเสียงกระพรวนแขวนคอวัว ควาย ดังมาจากสวนหม่อนของพ่อตา ทิดชมรวบรวมพละกำลังเท่าที่มี รีบวิ่งขึ้นบนบ้าน เมื่อเปิดประตูบ้านถึงกับตกใจกับสภาพที่เห็นภายในบ้าน เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปว่าทิดชมเห็นอะไร ถึงต้องตกใจขนาดนั้น?  หากชื่นชอบเรื่องราวชีวิตของคนเสราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ และกดซับสไคร้ เพื่อให้เพื่อนๆได้อ่าน และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน เจ้าของนามปากกา Rommyrom ขอบคุณคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา ตอน บทนำ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น อรุณเบิกฟ้ากลางกรุงมะนิลา

ตอน บทนำ

        “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นช่วงสายวันหนึ่งในช่วงฤดูร้อนของปีเสือของภาคอีสานตอนล่างของประเทศไทย เป็นวันปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็กหญิงสองคนวัยเรียนประถมศึกษาของโรงเรียนแห่งหนึ่ง พวกเธอเกิดและเติบโตอาศัยอยู่กับตายาย ป้า และลุง ช่วงต้นเดือนเมษายนนับเป็นการเริ่มต้นฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าว แม้ว่าจะเปิดพัดลมยังออกมาเป็นลมร้อนเลย “สวัสดีคะ” แม่ของเด็กน้อยสองคนรับโทรศัพท์มือถือ “ดิฉันโทรจากสถานทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ตอนนี้วีซ่าเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์ของลูกสาวคุณ ผ่านเรียบร้อยแล้วคะ” เจ้าหน้าที่ของสถานทูตแจ้งผลการขอวีซ่าจากปลายสาย “ขอบคุณมากนะคะ” แม่ของเด็กหญิงสองคนที่เป็นเจ้าของวีซ่ากล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ปลายสายพร้อมกับวางหูโทรศัพท์ไป

         เด็กหญิงสองคนวัยประถมศึกษามัวแต่สาละวนกับการเล่นกับเพื่อนๆซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันสี่ห้าคนที่บริเวณหน้าบ้าน เค้าเล่นขายของแบบเด็กๆโดยแบ่งเป็นร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านขายน้ำปั่น ร้านขายไอศกรีมและร้านขายอาหารฝรั่งอย่างร้านขายไก่ทอดและแฮมเบอร์เกอร์ โดยมีป้าเป็นผู้ร่วมทีมในการเล่นขายของครั้งนี้

“สวัสดีคะ คุณลูกค้า วันนี้จะทานอะไรดีคะ?” เสียงของเด็กหญิงผู้เป็นน้องสาว รูปร่างผอมบาง ผิวขาวเหลืองหน้ารูปไข่ ปากเล็ก จมูกหน่อย ฟันหลอ สองซี่หน้า กล่าวถามป้าผู้ที่เล่นบทบาทเป็นลูกค้านั่นเอง “ขอส้มตำปูปลาร้า ใส่ปลาร้าตัวใหญ่ๆ หมูน้ำตก ขนมจีน ข้าวเหนียวหนึ่งกะติบ คะ” ป้าสั่งอาหารตามบทบาทสมมุติ ในขณะที่กำลังนั่งผูกผ้าไหมมัดหมี่ เพื่อทักทอออกมาเป็นลวดลายแบบต่างๆที่สวยงามตระกาลตาเนื่องจากป้ามีความคิดสร้างสรรค์และเป็นผู้ที่ทำงานได้อย่างละเอียดอ่อน งานไหมมัดหมี่จึงออกมาได้อย่างสวยงามเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานในแถบนั้น “ทางร้านเราไม่ได้ขายอาหารอีสานคะ เรามีรายการอาหาร บลา บลา” เด็กน้อยอีกคนตอบพร้อมแนะนำเมนูอาหารที่มีในร้าน “ออ งั้นขอสลัดผัก น้ำมะพร้าวปั่นหนึ่งแก้ว หวานน้อย” เนื่องจากป้ามีโรคประจำตัวคือ เบาหวานและไขมันในเลือดสูงนั่นเอง ป้าก็เล่นบทบาทสมมุติเหมือนชีวิตจริงกันเลยทีเดียว

      ขณะที่เด็กๆ กำลังเล่นขายของกันอย่างสนุกสนานอยู่นั่นเอง แม่ของเด็กน้อยสองคนเดินเข้ามาเรียกลูกๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เราต้องรีบเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางกันวันนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้เราต้องรีบออกเดินทางเข้ากรุงเทพแต่เช้ากันนะลูก” เด็กๆในกลุ่มเดียวกันหันหน้ามามองแม่ของเด็กหญิงสองคนเหมือนอยากรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับพวกเพื่อนเล่นของพวกเค้า “แม่เรากำลังจะเดินทางไปใหนกันหรือคะ ทำไมต้องไปกรุงเทพด้วย” พี่สาวถามแม่ด้วยความอยากรู้ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบเชียบ ชั่วขณะเหมือนทุกคนหยุดหายใจเพื่อรอฟังคำตอบว่า แม่จะพาพวกเราไปเที่ยวช่วงปิดเทอมเดี๋ยวก็กลับมา แต่แล้วคำตอบที่ได้ยินจากปากของแม่เด็กทั้งสองกลับกลายทำให้หัวใจของเด็กน้อยๆที่เป็นเพื่อนเล่นกันมายาวนานเป็นเวลาหลายปี หล่นตุบลงที่ตาตุ่ม “แม่จะพาหนูไปเรียนหนังสือที่ประเทศฟิลิปปินส์ “เราคงต้องจากกันไปซักพักหนึ่งนะคะ” แม่เด็กบอกเพื่อนๆของลูกวัยประถมศึกษาทั้งสองคน

       เด็กหญิงสองคนเอ่ยปากกล่าวคำอำลาเพื่อนๆโดยหวังว่าจะได้เจอกันอีกไม่นาน ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านและเด็กสองคนรีบจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางโดยเตรียมข้าวของต่างๆเช่นตุ๊กตาของเล่นใส่กระเป๋ามาเต็มกระเป๋าเดินทาง ค่ำคืนนั้นเด็กสองคนแอบเขียนจดหมายน้อยมาวางไว้ที่เตียงของตายายและของป้า กว่าจะหลับตาลงได้ก็ล่วงเลยไปเช้าวันใหม่

       รุ่งเช้าของวันใหม่ ตะวันส่องแสงยามเช้าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกของการจากลาต้องเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลเพื่อไปเล่าเรียนหนังสือในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเพราะอยู่อาศัยในเมืองหลวงอย่างกรุงมะนิลา “ได้เวลาต้องออกเดินทางกันแล้วเด็กๆ” แม่ของเด็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับบอกให้กล่าวคำอำลาตายาย ลุง ป้า น้า อา บรรยากาศเต็มไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องจากลากันไปไกล วันนั้นเด็กๆ ได้เงินขวัญถุงเพื่อเดินทางกันพอสมควรติดกระเป๋าไปด้วย

      รถยนต์รุ่นเก่าวีออส สีบรอนเงินเคลื่อนตัวออกจากบ้านอย่างช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่จะได้ เดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรกของชีวิตของเด็กน้อยวัยประถมศึกษาทั้งสองคน ขณะที่ป้าผู้ดูแลและเลี้ยงดูมาตั้งแต่วัยเยาว์กลับน้ำตาไหลพรากออกมา ท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์และดีใจระคนกันที่เด็กน้อยทั้งสองคนที่เป็นเด็กต่างจังหวัดใช้ชีวิตเซราะกราวจวบจนอายุย่างเข้าเจ็ดแปดปี เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เด็กสองคนจะเข้าเรียนได้หรือไม่หากการสื่อสารภาษาอังกฤษก็ยังพูดไม่ได้ และเหลือระยะเวลาแค่สี่เดือนโรงเรียนก็จะเปิดเทอมแล้ว

     หากสนใจเรื่องสั้นแนวการใช้ชีวิตของเด็กเซราะกราวในกรุงมะนิลา รบกวนกดไลค์ กดแชร์ และ กดซับสไคร้ เพื่อเป็นกำลังให้กับนักเขียนมือใหม่ภายใต้นามปากกา Rommyrom ติดตามตอนต่อไปได้ในเร็วๆนี้คะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน  คนเล่นของ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน  คนเล่นของ

      เนื้อเรื่องสั้นคนเซราะกราวตอนที่แล้ว หลังจากที่ทิดชมโดนของที่ท้ายหมู่บ้าน  ตาแก้วใช้วิชาอาคมทางไสยศาสตร์และยาสมุนไพรที่ได้ร่ำเรียนมาช่วยแก้มนต์ดำให้ทิดชมจนปลอดภัย และวันรุ่งขึ้นยายระย้าเดินทางมาที่บ้านเพื่อตรวจครรภ์

“นางพราวโน้มตัวลงนอนหงายบนที่นอนเดี๋ยวข้าจะตรวจครรภ์ให้เจ้า” ยายระย้าพูดขึ้น  ยายระย้าใช้มือทั้งซ้ายขวาคลำคัดท้องของนางพราวเพื่อตรวจดูท่าของเด็กในท้อง ว่ามีการหันหัวลงหรือยัง ขณะที่เด็กในท้องบางคนก็เอาขาออกมาก่อน หรือเอามือออกมาก่อน หรือหันด้านข้าง ยายระย้าคลำท้องไปมา 2-3 ครั้ง เพื่อคัดท้องให้เด็กอยู่ในท่าปกติคือการคลอดแบบเอาหัวออกก่อนนั่นเอง  “เป็นยังงัยบ้างจ๊ะยาย ลูกข้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ข้าจะคลอดง่ายไหมยาย”  นางพราวถามด้วยความวิตกกังวล เนื่องจากเป็นท้องแรก ยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการคลอดลูกมาก่อน และมีความอยากรู้ว่าจะได้ลูกชายหัวปีคนแรกตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ “ไม่ต้องกังวลหรอก ทำใจให้สบายนะหลาน  จะลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชายก็ลูกเรานั่นแหละ” แม้ว่ายายระย้ารู้อยู่เต็มอกว่า ตอนนี้ลูกในท้องของนางพราวอยู่ในท่าเอาขาออก ซึ่งเป็นท่าที่คลอดยาก และเด็กในท้องของนางพราวเป็นเพศหญิง แต่ยายระย้าก็ไม่ยอมปริปากบอกแต่อย่างใด เพราะว่าเป็นข้อห้ามที่สำคัญที่ครูหมอตำแยโบราณสั่งสอนมา  ก็คือห้ามบอกพ่อแม่เด็กหรือญาติพี่น้องว่าเด็กในท้องเป็นเพศอะไร เพราะถือว่าเป็นข้อห้ามข้อเดียวที่สำคัญในวิชาชีพของหมอตำแยไทยสมัยโบราณนั่นเอง เพราะหากบอกไปแล้วเกิดคลอดออกมาไม่ตรงตามที่บอกไว้อาจทำให้พ่อแม่และญาติคาใจว่าใช่ลูกของตนจริงๆหรือไม่? มีการแอบสลับเด็กคนอื่นในผู้บ้านที่คลอดในวันเดียวกันหรือไม่?  ซึ่งจะมีผลต่อการเลี้ยงดูเด็กในอนาคตนั่นเอง

       “ลูกน้อยของข้าจะคลอดยากไหมยาย” นางพราวเอ่ยปากถามยายระย้า ด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก  ยายระย้าจึงอธิบายเรื่องท่าคลอดที่คลอดยากเช่น กรณีที่ทารกอยู่ในท่าขวางเอาไหล่ลง ทารกในครรภ์มีตัวใหญ่มากเกินไป  และกรณีที่ช่องเชิงกรานแคบของหญิงตั้งครรภ์ สำหรับกรณีของนางพราวนั้นมีปัญหาแค่เด็กคลอดโดยใช้ขาเป็นส่วนนำแค่นั้น หากในสมัยปัจจุบันนั้น หากมีประเด็นที่กล่าวมานี้หมอสูตินรีแพทย์มักจะพิจารณาผ่าท้องคลอดเพราะเป็นการช่วยลดภาวะเสี่ยงการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดนั่นเอง ยายระย้าอธิบายต่อ เรื่องของการเจ็บครรภ์เตือนและเจ็บครรภ์คลอด(ได้กล่าวถึงในตอนที่แล้ว)  “ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงกำหนดคลอดมากแล้ว จะเดินลงขึ้นบันไดก็ต้องระมัดระวัง อย่ายกน้ำเป็นถังใหญ่นะ ห้ามกินลูกมะเขือพวงเด็ดขาดเลยนะ” ยายระย้าบอกด้วยความเป็นห่วง “จ๊ะยาย” นางพราวรับปากยายระย้าแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามเรื่องมะเขือพวงว่าทำไมถึงไม่ให้กิน หากถามยายระย้า คำตอบที่ได้ก็น่าจะเป็นว่า คนแก่สมัยก่อนเล่าสืบทอดกันมา และยายระย้านั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนนั่นเอง “เดี่ยวข้าจะต้องรีบกลับก่อนละ เพราะจะไปตรวจครรภ์นางนวลต่อ น่าจะคลอดใกล้เคียงกับเองนี่แหละ” นางพราวหยิบอัฐส่งให้ยายระย้าเป็นค่าตรวจครรภ์หนึ่งสลึง  (มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน  ไม่ควรซื้อก็อย่าพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ <บทกลอนของสุนทรภู่>)และกลายเป็นบทกลอนที่พ่อของนางพราวสอนให้นางพราวเป็นคนประหยัด มัธยัสถ์ในเรื่องการใช้เงินและการเก็บออมนั่นเอง และเป็นบทกลอนที่สามารถใช้สอนเด็กในรุ่นต่อๆมาได้เช่นกัน ยายระย้ากำลังเดินจะไปบ้านนางนวลเจอตาย้อยพอดีที่หน้าบ้าน “อ้าวตาย้อย มาทำอะไรที่นี่” ตาย้อยตอบด้วยเสียงที่แสดงถึงความกังวลใจ “ข้ามาหาไอ้ทิดชม พอดีมีธุระจะคุยด้วยนิดหน่อย” นางพราวได้ยินเสียงตาย้อยมาที่บ้าน รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ  ถึงแม้ว่าตาย้อยจะเป็นตาแท้ๆ ของทิดชมก็ตาม แต่เนื่องจากใช้ความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นแนวทางการใช้ชีวิตของคนเซราะกราวสมัยโบราณ “ไม่อยู่หรอกตา ออกไปทุ่งนา ตั้งแต่กินข้าวเช้าเสร็จยังไม่กลับมาเลย” ตาย้อยคอแห้งผาดเนื่องจากอากาศร้อนจัดในช่วงเดือนมีนาคม จึงเลียริมฝีปากเบาๆ เนื่องจากริมฝีปากแห้ง นางพราวแอบสังเกตเห็นรู้สึกกลัวจับใจขึ้นมาทันที 

        ตาย้อยนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตาแก้ว เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่วัยเด็ก และเดินทางไปร่ำเรียนวิชารักษาโรคด้วยสมุนไพรและคาถาเวชมนต์ทางไสยศาสตร์ด้วยกันโดยมีครูเป็นคนเขมรที่อยู่ติดเขตชายแดนเขมร  ตาย้อยนั้นเป็นผู้เล่นไสยศาสตร์เมื่ออาคมแข็งกล้าจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ของเข้าตัวตาย้อยกลายเป็นผีกระหัง ผีปอบซึ่งตาย้อยก็เข้าข่ายนี้และตาย้อยไม่ได้ปฏิบัติตามข้อควรปฏิบัติต่างๆ  กินเหล้าเลยผิด คะลำ ชาวบ้านจึงคิดว่าตาย้อยเป็นผีกระหัง หรือผีปอบตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คำว่าผีกระหังเป็นผีชนิดหนึ่ง เป็นผีผู้ชายคู่กับผีกระสือที่เป็นผีผู้หญิง สิงในตัวของตาย้อย มีหาง ขาเป็นสากกะเบือ และมีปีกเป็นกระด้งฟัดข้าว ติดแขนทั้งสองข้างออกบินหากินของโสโครกในเวลากลางค่ำคืน มีแสงไฟวิบวับ วิบวับ เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีกระหัง ผีกระสือ ผีปอบนั้นมีมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น คืนวันหนึ่งเป็นคืนเดือนมืด มีบ้านหลังหนึ่งเป็นคนแก่แล้วเจ็บป่วยนอนติดเตียง วันนั้นเป็นช่วงหน้าฝนพอดี ตามสถานที่เซราะกราวนั้นหากฝนตกปัญหาที่ตามมาคือไฟฟ้าดับ เสียงอึ่งอ่างร้องระงม หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งใช้ไฟฉายส่องลงจากบ้านเพื่อส่องดูรอบๆ บ้าน หากแต่แสงไฟฉายสะท้อนกับกระจกบ้านพอดี จึงทำให้ยายคนหนึ่งซึ่งแกเป็นคนธรรมะธรรมโม เชื่อเรื่องผีปอบ ผีกระสือและผีกระหัง อย่างงมงาย แกจึงเล่าบอกคนในเซราะกราวว่าคนที่ป่วยนอนติดเตียงเป็นผีปอบ ทั้งที่หญิงวัยกลางคนที่ใช้ไฟฉายส่องรอบๆบ้านพยายามอธิบายแล้วก็ตาม ว่าแสงไฟที่เกิดลูกไฟนั้นเป็นแสงจากไฟฉาย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของหญิงชราที่มีความเชื่ออย่างงมงายลงได้ เพราะคนเซราะกราวสมัยก่อนมักเชื่อเรื่องราวต่างๆ รวมถึงเรื่องราวด้านสุขภาพโดยไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง

  “งั้นข้ากลับบ้านก่อนละ อย่าลืมบอกทิดชมไปหาข้าที่บ้านคืนนี้ด้วยนะ มีธุระสำคัญต้องคุยกัน” ตาย้อยพูดพร้อมกับก้าวเดินจากไปอย่างเงียบๆ มีความรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ที่ตัวเองเดินทางมาบ้านหลานสะใภ้ที่เป็นหญิงท้องแก่ใกล้คลอด

    ณ.เวลาพลบค่ำของครอบครัวชายหนุ่มและหญิงสาววัยรุ่นหลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย และเตรียมตัวเข้านอน นางพราวนึกขึ้นมาได้ว่าตาย้อยมาบอกให้ทิดชมไปหาที่บ้านมีธุรสำคัญจะคุยด้วย จึงเอ่ยปากบอกผัวว่า “ตาย้อยให้ไปหาคืนนี้ให้ได้  รีบไป รีบกลับมานะพี่” ทิดชมมีความรู้สึกกังวลในใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะปริปากบอกภรรยาได้ ค่ำคืนนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือนสาม และพระจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าสว่างไสว  เจ้าด่างเห็นเจ้านายก้าวลงจากบ้าน รีบวิ่งนำหน้ามุ่งตรงไปที่บ้านของตาแก้วและตาย้อย ท่ามกลางความวิตกกังวลของนางพราวที่ผัวต้องไปพบบุคคล2คนที่มีคาถาอาคมทั้งในด้านสว่างและด้านมืด ในเวลากลางคืนพระจันทร์เต็มดวงในหมู่บ้านเซราะกราวแห่งนี้

      “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงเห่าของไอ้ดำหมาตาแก้วดังลั่นรอบบ้าน “ตาแก้ว ตาย้อย ข้ามาแล้ว” ทิดชมตะโกนร้องบอก พร้อมกับปรามไอ้ดำ “ช๊บ ช๊บ ปรุ๊ค อาคเมา” สายตาของทิดชมเหลือบมองเห็นตาแก้วและตาย้อยนั่งคุยกันสองคนท่ามกลางแสงเทียนจุดเหมือนกำลังทำพิธีกรรมอะไรซักอย่างหนึ่ง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทิดชมจะกลายเป็นทายาทรุ่นต่อมาด้านไสยศาสตร์มนต์ดำหรือไม่อย่างไร รบกวนติดตามอ่านเรื่องสั้น คนเซราะกราว และกดไลค์ กดแชร์ ซับสไคร้ เพื่อสร้างกำลังใจแด่ผู้เขียนมือใหม่ภายใต้นามปากกา Rommyrom คะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ทิดชมโดนของ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ทิดชมโดนของ

          เนื้อเรื่องจากตอนที่แล้ว ทิดชมไปไต้อึ่งอ่างแม่ไข่ที่ท้ายหมู่บ้าน แล้วคิดว่าตัวเองโดนงูสามเหลี่ยมกัดที่เท้าขวา จึงเดินทางกลับมาบ้านของตาแก้วพร้อมกับซากงูสามเหลี่ยม และเป็นลมสลบไปที่หน้าบ้านของตาแก้วนั่นเอง ตาแก้วเปิดประตูบ้านมาเจอพอดี จึงร้องเรียกตาย้อยให้มาช่วยยกร่างทิดชมขึ้นบนแคร่ “ตาย้อย มาช่วยยกไอ้ทิดชมขึ้นนอนบนแคร่หน่อย ไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรมา” ตาย้อยซึ่งเป็นตาของทิดชมบ้านอยู่ข้างกันกับตาแก้ว ตาย้อยเป็นหม้ายมาหลายปีแล้ว หลังจากที่เมียเสียชีวิตลงและทิดชมออกเรือนไป ตาย้อยก็อาศัยอยู่คนเดียวมาตลอด มีทิดชมช่วยนำอาหารมาให้เป็นครั้งคราวที่มีอาหารมื้อพิเศษ เช่น ต้มไก่ ต้มเห็ด แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง เป็นต้น “หลานข้าเป็นอะไรรึ ตาแก้ว ยายระย้า” ตาแก้วตอบว่าข้าก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ มาๆช่วยกันพยุงทิดชมขึ้นบนแคร่ก่อน นับ หนึ่ง สอง สาม ยกขึ้น หนักมากเหมือนกันแหะ” ตาย้อยมองไปที่มือขวาของทิดชม เห็นซากงูสามเหลี่ยมยังกำอยู่ จึงร้องบอกตาแก้ว “สงสัยโดนงูกัดมาแน่เลย ที่ขามีเชือกรัดไว้นี่” ตาแก้วรีบคลายเชือกออกพร้อมกับสำรวจหาบาดแผลที่ข้อเท้า “แต่บาดแผลเหมือนไม่ใช่โดนงูพิษกัดนะ เพราะไม่มีรอยเขี้ยวเลย น่าจะเป็นงูไม่มีพิษมากกว่าถ้าบาดแผลเป็นแบบนี้” ตาแก้วพูดขึ้น ตาย้อยบีบนวดตามตัวพร้อมตบหน้าเบาๆ เรียกหลานชายให้รู้สึกตัว “ทิดชมหลานตาตื่นๆ”ทิดชมเริ่มรู้สึกตัวขยับแขนขา ลืมตาขึ้น พร้อมกับเอ่ยถาม “ข้าเป็นอะไรไปตา ข้าอยู่ที่ใหน นางพราวเมียข้าละ”  “เองได้อึ่งอ่างไข่มาเต็มข้องเลย” ตาย้อยพูดขึ้น ขณะที่ตาแก้วกำลังสาละวนกับการเปิดห่อผ้าสีขาวหม่นที่มีท่อนไม้สมุนไพรชนิดต่างๆอยู่มากมายหลายชนิดและหยิบออกมาสามชนิดฝนๆเข้ากับก้อนหินเบาๆละลายน้ำประมาณครึ่งกระบวย พร้อมกับร่ายคาถาทำปากมุบมิบ “ข้าจำได้แล้ว เมื่อคืนฝนตกหนักหลังฝนหยุด ข้าออกไปไต้อึ่งอ่างที่ใกล้จอมปลวกต้นไม้ใหญ่ทางทิดตะวันออกของหมู่บ้านนะตา” ตาแก้วหันมาสบตากับตาย้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “ข้าเจ็บที่ข้อเท้าขวา เห็นงูสามเหลี่ยมเลื้อยผ่านไป ไอ้ด่างกัดตายข้าเลยนำซากงูมาด้วย” ตาแก้วยื่นกระบวยตักน้ำที่มียาสมุนไพรบรรจุอยู่ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ดื่มยาสมุนไพรนี่ก่อนนะ ทิดชม” ทิดชมรับยาสมุนไพรมาดื่ม พร้อมกับแสดงสีหน้า ผะอืดผะอม “ทำไมขมมากขนาดนี้ละตาแก้ว” “หวานเป็นลม ขมเป็นยา กินให้หมด กลั้นหายใจ กินคำใหญ่ๆ เดี่ยวก็หมดแล้ว” ตาแก้วพูดให้กำลังใจทิดชม สักพักหลังจากกินยาสมุนไพรแล้วมีอาการผะอืดผะอมอย่างหนัก พร้อมกับอาเจียนพุ่งออกมา “อ๊วก อ๊วก” ทิดชมอ๊วกออกมาจนหมดไส้หมดพุง หลังจากนั้นตาแก้วยื่นน้ำในกระบวยให้ทิดชมบ้วนปาก และยื่นใบยาสมุนไพรให้ทิดชมเคี้ยวแล้วกลืนลงคอ โดยตาแก้วร่ายคาถาภาษาเขมรมุบมิบในลำคอ พร้อมกับพ่นน้ำหมากใส่บริเวณแผลสามครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้นพีธีการถอนพิษจากการโดนของคนไทยภาคอีสานตอนล่าง (เขมร) ข้าเป็นอะไรตาแก้ว “ทิดชมเอ่ยปากสอบถามตาแก้ว หลังจากหายเป็นปกติแล้ว “เอ็งโดนของ ที่ตรงนั้นเจ้าที่มันแรง อย่างไปใกล้แถวนั้นอีกละ” ตาแก้วหันไปสบตากับตาย้อยอย่างมีเลศนัย ทิดชมไม่ทันสังเกตเห็นพฤติกรรมของสองตาเฒ่า ทิดชมรีบลุกขึ้นและเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารีบกลับบ้านละ นางพราวคงเป็นห่วงข้า” ตะวันเริ่มส่องแสงยามเช้า ฟ้าสีแดง เป็นสัญญาณวันใหม่ของการเริ่มต้นของคนเซราะกราว ทิดชมคว้าข้องที่มีอึ่งแม่ไข่พร้อมกับแบ่งปันให้ยายระย้า ตาย้อย “ข้ากลับบ้านก่อนนะตา” ไอ้ด่างวิ่งนำหน้ากลับบ้านตามเคย ระหว่างทางเดินกลับบ้านไอ้ด่างยกขาฉี่ใส่ต้นไม้ใหญ่ เป็นการแสดงให้รู้ว่าเป็นการจำเส้นทางและแสดงอาณาจักรของสัตว์สี่เท้า ทิดชมมองเห็นแต่ไกลว่าเมียท้องแก่นั่งรอที่ประตูราวบันไดบ้าน “ทำไมถึงกลับมาช้านักละ ข้าเป็นห่วงมากรู้ไหม?” ทิดชมเลือกที่จะไม่บอกเมียสาวท้องแก่ใกล้คลอด ยื่นส่งข้องใส่อึ่งแม่ไข่ให้นางพราว พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ครั้งหน้า ครั้งหลัง อย่ามานั่งบริเวณประตูอีกนะ เดี่ยวจะทำให้คลอดลูกยาก” แท้จริงแล้วการนั่งบริเวณธรณีประตูนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการคลอดลูกยากหรือง่ายแต่อย่างใด หากเป็นเพียงกุสโลบายของคนสมัยโบราณเพราะกลัวตกบันไดนั่นเอง นางพราวพยักหน้าหงึกหงึก พร้อมรับข้องใส่อึ่งแม่ไข่แล้วเดินเข้าครัวไปเพื่อทำต้มอึ่งอ่างแม่ไข่เป็นอาหารเช้า

“ทิดชม ทำไมถึงกลับมาถึงบ้านช้านักละ” พ่อของนางพราวเอ่ยปากถาม ทิดชมหันซ้าย หันขวาก่อนพูดขึ้นเบาๆ กลัวนางพราวได้ยิน “ข้าโดนของที่จอมปลวกท้ายหมู่บ้าน ตาแก้วแก้ของให้แล้วพ่อ” พ่อของนางพราวทำหน้าฉงน ก่อนจะเอ่ยปากบอกทิดชม “วันหลังเอ็งไปเรียนวิชาอาคมจากตาแก้วสิ เพราะตาแก้วแก่แล้วเองจะได้เป็นทายาทรุ่นต่อไป แต่เองต้องปฏิบัติตัวให้ได้นะ ถ้าปฏิบัติตัวไม่ได้จะเป็นเหมือนตาย้อยนั่นแหละ” ตาย้อยเป็นคนที่มีวิชาอาคมเรียนรุ่นเดียวกันกับตาแก้วนั่นแหละ แต่ตาย้อยกินเหล้าจึงผิดคะลำ กลายเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใครในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงมีฉายาให้ตาย้อยว่า “กระหังประจำหมู่บ้าน และโดนบูลี่มาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงไอ้ด่างเห่าผู้มายืน “นางพราวอยู่ไหม” เสียงของยายระย้าเรียกเจ้าของบ้าน “ฉันอยู่นี่จ๊ะยาย” นางพราวส่งเสียงตอบรับ พร้อมกับเดินอุ้ยอ้ายออกมาหายายระย้า “เดี่ยววันนี้ข้าจะตรวจครรภ์เองซักหน่อย” นางพราวพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ได้จ๊ะยาย ฉันขอเวลากินข้าวก่อนนะ” นางพราวตักต้มอึ่งแม่ไข่ใส่ชามเดินเอาไปให้พ่อ เป็นการแบ่งปันอาหารของคนเซราะกราวเมื่อได้อาหารมื้อพิเศษ นางพราวกลับมากินข้าวพร้อมกับทิดชมอย่างเอร็ดอร่อย และเดินกลับไปหายายระย้าเพื่อตรวจครรภ์ต่อไป

      รบกวนติดตามตอนต่อไปว่า ย้ายระย้าจะตรวจครรภ์และสอนนางพราวเรื่องการเตรียมตัวก่อนคลอดในประเด็นไหนบ้าง? และเรื่องราวของตาย้อยเกี่ยวกับฉายา “กระหัง” ประจำหมู่บ้าน หากชื่นชอบเรื่องสั้น คนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ และติดตามตอนอื่นๆ ได้ที่ Healthy bestcare.com

 

 

แชร์ให้เพื่อน