เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตทิดชมผู้เฉลียวฉลาด

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตทิดชมผู้เฉลียวฉลาด

        ทิดชมเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีในหมู่บ้าน ผิวพรรณดำขลับเนียนละเอียด รูปร่างสูงโปร่ง ร่างกายกำยำแข็งแรง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ นัยน์ตาสีน้ำตาล ผมหยิกติดหนังศีรษะ  ทิดชมเป็นลูกคนเดียวของแม่มณี หลานตาย้อย ตาย้อยเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตาแก้ว ทิดชมเกิดและเติบโตในตัวเมือง ร่ำเรียนหนังสือโดยการบวชเณรจนจบได้เปรียญ 3 ประโยค ทิดชมมีความเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากแม่มณีเสียชีวิตด้วยโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ เนื่องจากเป็นช่วงของการระบาดครั้งใหญ่ทำให้คนล้มตายเป็นจำนวนมากรวมถึงคนแก่ ลูกเล็ก เด็กแดง สำหรับผู้ที่รอดชีวิตมาได้ กลับมีรอยแผลติดตัวมาจนชั่วชีวิต อาการของแม่มณีมีไข้สูงปวดศีรษะ จะเกิดขึ้นเพียง 2-3 วันแล้วจึงทุเลาลง จากนั้นจะเริ่มมีผื่นสีแดงเรียบขึ้นที่บริเวณใบหน้า มือ และปลายแขน แล้วค่อย ๆ ลามไปที่ลำตัว ต่อมาผื่นสีแดงจะค่อย ๆ นูนขึ้นกลายเป็นตุ่มน้ำและตุ่มหนองตามลำดับ ซึ่งต้องใช้เวลาอีก 8-9 วันแผลจึงเริ่มตกสะเก็ด แล้วค่อย ๆ หลุด เหลือเพียงแผลเป็นในที่สุดนั่นเอง ผู้ที่ป่วยด้วยโรคฝีดาษมักจะโดนปล่อยทิ้งไว้ให้นอนบนใบตองปูให้นอนห่างไกลจากคนอื่นๆ หากใครที่เสียชีวิตก็จะแบกหามไปฝังในป่าช้าท้ายหมู่บ้านแบบไม่ต้องทำบุญหรือหาพระมาสวดแต่อย่างใด หลังจากแม่มณีเสียชีวิตลงทิดชมจึงย้ายกลับมาอยู่กับตาย้อยเป็นเด็กเซราะกราวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

         โรคฝีดาษ (Smallpox) หรือไข้ทรพิษ เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสวาริโอลา (Variola Virus) สามารถติดต่อกันได้ผ่านการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่อยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย โรคฝีดาษพบการระบาดครั้งแรกในโลกเมื่อปี พ.ศ. 2301 สำหรับในประเทศไทย การระบาดครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งคร่าชีวิตคนไทยไปจำนวนมาก และการระบาดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 มีผู้ป่วยเสียชีวิตไม่มากนัก โดยตลอดระยะเวลากว่า 200 ปีที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้ทำการกวาดล้างและป้องกันอย่างจริงจังจนอัตราการติดเชื้อลดลง เป็นผลให้พบการติดเชื้อตามธรรมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2520 และในปี พ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า โรคฝีดาษถูกกวาดล้างจนหมดแล้ว จึงหยุดการปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคนับแต่เป็นต้นนั้นมา โรคฝีดาษถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ต้องมีการแจ้งความต่อหน่วยงานสาธารณสุขดั่งเช่นการระบาดของโรคโควิด19 ในรอบสามปีที่ผ่านมานั่นเอง

      “นางพราวข้าจะออกไปหาอึ่งอ่างนะคืนนี้” เสียงอึ่งอ่าง กบ จิ้งหรีดและสัตว์อื่นๆน้อยใหญ่ร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ ณ สถานที่เซราะกราวแห่งนั้น แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งธรรมชาติ “อึ่งอ่าง อึ่งอ่าง? อ๊บ อ๊บ อ๊บ อ๊บ? ตรี๊ด ตรี๊ด ตรี๊ด ตรี๊ด?” เสียงร้องของสัตว์ป่าดังสลับกับเสียงพูดคุยกันของคู่สามีภรรยาวัยรุ่น ทิดชมเตรียมขี้ไต้เพื่อจุดไฟ และตร๊อก “ตร๊อก” เป็นศัพท์ภาษาเขมรใช้เรียกข้องใส่ปลา เป็นเครื่องจักรสานทำจากไม้ไผ่ เป็นฝีมือประดิดประดอยของตาแก้ว “รีบไปรีบมานะ พ่อมึง อย่าเดินไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านนะ” เมียสาวท้องแก่เอ่ยวาจาที่แสดงความห่วงใยสามีวัยรุ่น เพราะไม่ต้องการให้ลูกน้อยในท้องต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่วัยเด็ก “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก แม่มึง แถวเซราะกราว ข้าหลับตา ยังเดินกลับบ้านได้นะนอนต่อเถอะ ไม่ต้องคิดมาก เดียวลูกเกิดมาหน้านิ่ว คิ้วขมวด ไม่รู้ด้วยนะ” ทิดชมก้มลงจูบที่หน้าผากของภรรยาสาวท้องแก่ ก่อนก้าวเดินลงบันไดแบบเงียบกริบ “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เสียงไอ้ด่างเห่าสองสามครั้ง พร้อมกระดิกหางไปมาและวิ่งล่วงหน้าทิดชมไปทางทิดตะวันออกของหมู่บ้าน เนื่องจากทางทิดตะวันออกมีความสมบูรณ์ของแหล่งของธรรมชาติ มีอึ่งอ่างมากมาย มักจะออกมาวางไข่ในวันฝนตกหนักของต้นปีนั่นเอง

       ทิดชมมองเห็นแสงไฟวิบวับ วิบวับ ที่ไกล้จอมปลวกที่มีเรื่องเล่าขานกันมาว่ามีผีปอบนั่นเอง จึงรีบเดินมุ่งหน้าเพื่อที่จะไปจับอึ่งอ่างแม่ไข่มาให้เมียสาวต้มกินเป็นอาหารมื้อเช้า “สงสัยมีคนไปจับอึ่งแถวนั้นแน่เลย” ทิดชมนึกในใจพร้อมกับก้าวเดินด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า ใกล้บริเวณจอมปลวกเข้ามาทุกขณะ แต่แสงไฟกลับหายไป เสียงอึ่งอ่างร้องระงมเซ็งแซ่ ทิดชมจับอึ่งอ่างแม่ไข่ได้เกือบเต็มตร็อก “โอ้ย โอ้ย” ทิดชมร้องเสียงหลง ใช้ขี้ไต้จุดไฟมองที่เท้าเห็นงูสามเหลี่ยมเลื้อยไปแบบช้าๆ งูสามเหลี่ยมลำตัวเป็นสามเหลี่ยม มีสีแตกต่างกันตามชนิด มักอาศัยในป่า เวลากัดไม่มีแผ่แม่เบี้ยเหมือนงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยมมีพิษต่อระบบประสาทและระบบโลหิต ผู้ที่ถูกงูสามเหลี่ยมกัด จะเกิดการบวมอักเสบหรือเนื้อตายที่แผลน้อยมาก และจะมีอาการทางระบบประสาทได้แก่ หนังตาตก หรือลืมตาไม่ขึ้น (อาจเข้าใจผิดคิดว่าผู้ป่วยง่วงนอน) กลืนน้ำลายลำบาก เป็นอัมพาตที่แขนขา และหยุดหายใจเนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจหยุดทำงาน เป็นเหตุให้เสียชีวิตเพราะร่างกายขาดออกซิเจนตามมาได้  ไอ้ด่างได้ยินเสียงเจ้านายร้องเสียงหลง วิ่งเข้ามาเห่าเสียงดังลั่นท่ามกลางเวลากลางคืนดึกสงัดและวังเวง “โฮ่ง โฮ่ง” ไอ้ด่างสู้รัดฟัดเหวี่ยงกับงูอยู่พักใหญ่ งูสามเหลี่ยมตายคาคมเขี้ยวของเจ้าด่างนั่นเอง ทิดชมรีบใช้เชือกรัดเหนือรอยแผลงูกัดเพื่อป้องกันพิษเข้าสู่ร่างกาย ทิดชมเป็นเด็กในเมืองมาก่อนและเรียนจบเปรียญ 3 ประโยคจึงพอมีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทิดชมรีบเดินมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้านพร้อมข้องใส่อึ่งอ่าง และหิ้วซากงูสามเหลี่ยมเดินกลับบ้าน โดยมีเจ้าด่างหมาคู่ใจ วิ่งนำทาง มุ่งตรงไปที่บ้านของตาแก้วผู้ที่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรทันที เดินต่อมาสักพักหนึ่งเริ่มมีอาการง่วงนอนแบบผิดสังเกต ลืมตาเกือบไม่ขึ้น แต่ยังแข็งใจเดินมาเรื่อยๆ ก้าวเท้าได้ช้าลง ช้าลง เสียงไอ้ดำ หมาของตาแก้วเห่า”โฮ่ง โฮ่ง” ทิดชมรวบรวมพลังสุดท้ายของชีวิต ตะโกนออกมาเท่าที่มีเสียงแต่กลับเป็นเสียงที่เบาหวิวในริมฝีปาก หูแว่วได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านและเสียงตาแก้วร้องถามว่า “เสียงใครนะ” ก่อนหมดสติ ล้มลงหน้าบ้านของหมอยารักษาโรค ด้วยสมุนไพรแบบโบราณนั่นเอง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ? ลูกน้อยจะลืมตาดูโลกโดยปราศจากหัวหน้าครอบครัวอย่างทิดชมหรือไม่? นางพราวจะกลายเป็นแม่หม้ายพราวเสน่ห์หรือไม่? หรือตาแก้วจะใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการช่วยชีวิตทิดชมได้หรือไม่? โปรดติดตามเรื่องสั้น คนเซราะกราว ตอนต่อไปที่มีทั้งเนื้อหาและสาระสร้างความบันเทิงกับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย

      หากท่านชื่นชอบเรื่องสั้นแนว คนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนมือใหม่ สร้างความบันเทิงและให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจชีวิตของคนเซราะกราว ภายใต้นามปากกาของ Rommyrom  สนใจเรื่องสั้นตอนอื่นๆ และบทความที่มีทั้งเนื้อหาและสาระได้ที่ Healty bestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตยายสาย (เจ้าของฉายา “ปอบสาย”)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตยายสาย (เจ้าของฉายา “ปอบสาย”)

        ผีปอบเป็นผีตามความเชื่อของคนภาคอีสานของประเทศไทยตามแถบชนบท โดยอาหารของผีปอบนั้นมักเป็นของดิบๆ สดๆ และมักจะกินอาหารในปริมาณมากๆและกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม (คนที่กินอาหารคราวละมากๆและกินมูมมามมักได้ฉายาว่า “ปอบ”) ผู้ที่จะกลายเป็นปอบมักเป็นผู้ที่เล่นคาถา อาคม หรือเล่นคุณไสย พอไม่ปฏิบัติตามหรือกระทำผิดข้อห้ามที่เรียกว่า “คะลำ” หรือบางครั้งมักจะเป็นในผู้ที่มีทายาทที่เล่นคุณไสยมาก่อนและมีการคายน้ำลายใส่ปากให้ทายาท

         สำหรับยายสายนั้นเป็นหญิงชรา มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับยายระย้า สมัยสาวๆนั้น เป็นคนที่มีฐิติสูง ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร สามีของยายสายเป็นคนเจ้าชู้มาก และชอบพอกับผู้หญิงหลายคน ยายสายต้องการดึงสามีไว้กับตัวเอง ยายสายจึงไปหาหมอเสน่ห์ที่หมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง หมอเสน่ห์แนะนำให้ปฏิบัติตัวหลายข้อ แต่แล้วยายสายก็ทำไม่ได้ ต่อมาสามีตายจากด้วยโรคชราเพราะยายสายมีสามีที่แก่กว่าตั้งหลายปี คนเกือบทั้งหมู่บ้านจึงตั้งฉายายายสายว่า “ผีปอบยายสาย” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

        เสียงของหมาตาแก้วมีชื่อว่าไอ้ดำ เห่าดังไปทั่วบริเวณบ้าน “โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” แสดงให้เห็นว่ามีคนแปลกหน้า หรือศัตรูก้าวก่ายเข้ามาในบริเวณบ้าน ยายสายตะโกนเรียกเจ้าของบ้าน “ตาแก้ว ยายระย้า” ตาแก้วเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับส่งเสียงเป็นภาษาเขมร “โช๊ปๆ อา คเมา” แปลว่า ให้หมาหยุดเห่าได้แล้ว หลังจากนั้นใอ้ดำก็กระดิกหางไปมา เดินวนรอบๆ ตาแก้ว แสดงว่าผู้ที่มาเยือนบ้านไม่ใช่ศัตรูหากแต่ว่าเป็นมิตรกับเจ้านายของมันนั่นเอง

       “ยายระย้า เอาปลาร้ามาให้ยายสายด้วย” ตาแก้วส่งเสียงเรียกภรรยา  ด้วยน้ำเสียงที่ดังเพราะเริ่มหูตึงกันทั้งคู่แล้วนั่นเอง ยายระย้าหิ้วปี๊บปลาร้าลงมาจากบ้าน พร้อมทักทายยายสาย และนั่งคุยกันสักพักยายสายจึงขอตัวกลับบ้านพร้อมปลาร้าหนึ่งปี๊บขนาดกลางราคาหนึ่งบาท  ยายสายเดินลัดเลาะตามทางเดินเล็กๆ เพื่อลัดกลับบ้าน ผ่านบ้านนั้น บ้านนี้ บ้านโน้น แต่ก็ไม่มีใครกล่าวทักทายยายสายสักคน แถมยังเรียกลูกเล็กเด็กแดงเข้าบ้านเพราะกลัวยายสาย และบอกกับลูกว่าไม่ให้อยู่ใกล้ หรือพูดคุยกับยายสาย เดี่ยวยายสายจะกินตับไตไส้พุงนั่นเอง นี่คือที่มาของยายสายอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร

      ยายสายเดินทางกลับบ้านแบบเงียบๆ หากแต่ในจิตใจของยายสายนั้นมีความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าระคนกัน มีเพียงครอบครัวของตาแก้วและยายระย้าเท่านั้นที่ยังคบหาและไปมาหาสู่กับยายสาย

     ครอบครัวที่กลัวยายสายในเวลานี้ ก็คงหนีไม่พ้นครอบครัวของทิดชมและนังพราวซึ่งกำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั่นเอง ยายสายทราบดีว่าจะต้องทำอย่างไร ยายสายจะเลือกเดินทางลัดเลาะเพื่อไม่ต้องการพบเจอกับนังพราวหรือหญิงท้องแก่ทั้งหลายเพราะถ้าหากว่า หญิงท้องแก่ หญิงหลังคลอดลูก แล้วแม่หรือลูกเกิดเสียชีวิตขึ้นมา  คนที่จะกลายเป็นจำเลยของสังคมก็คือผีปอบนั่นเอง เพราะว่าคนในสมัยนั้นใช้ชีวิตตามหลักของความเชื่อ เรื่องผีสาง นางไม้ ไม่ต้องถามหรอกว่าหลักวิทยาศาสตร์คืออะไร ประเด็นเรื่องของการพิสูจน์ว่าผีปอบมีอยู่จริงหรือไม่ เคยมีเรื่องเล่าอยู่ว่า

      คืนหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง เป็นช่วงฤดูฝนคนส่วนใหญ่มักออกไปไต้กบ อึ่ง เขียดหรือหาปลาหลังฝนหยุดตกใหม่ๆ  หากทิดจ้อยเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ชาญชัยไม่มีความเชื่อเรื่องผีปอบ มีคนในหมู่บ้านพูดท้าทายพนันกับทิดจ้อยว่า ถ้าไม่เชื่อว่าผีปอบมีอยู่จริง ให้เดินทางไปที่พื้นที่แห่งหนึ่งในเวลากลางคืนเดือนมืด ณ เวลาค่ำคืนนั้นทิดจ้อยจึงเดินทางออกจากหมู่บ้านไปทางตอนทิศตะวันออกของหมู่บ้าน เพื่อไปพิสูจน์ว่าผีปอบนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับคำท้าและพนันกันมาแล้ว ที่ตรงนั้นเป็นจอมปลวกขนาดใหญ่มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นบนจอมปลวก ทั้งต้นเถาวัลย์ ปกคลุมยุ่งเหยิงเต็มไปหมด แม้เดินผ่านช่วงเวลากลางวันก็ยังดูน่ากลัวว่าจะมีสัตว์ร้าย งูพิษอาศัยอยู่ ในค่ำคืนนั้นทิศจ้อยเดินทางไปคนเดียวไม่มีพยานรู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ณ สถานที่จอมปลูกแห่งนั้น แต่เท่าที่ทราบคือว่า ในวันรุ่งขึ้นมีอาการ จับไข้ หนาวสั่น และกลายเป็นเหมือนคนที่เป็นโรคประสาทเหมือนได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์อันเลวร้าย ณ จอมปลวกอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวแห่งนั้น

        ต่อมาอีกไม่กี่เดือนทิดจ้อยเสียชีวิตลงโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคนในหมู่บ้านเกิดความกลัวจอมปลอกที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุม ร่วมกับต้นเถาวัลย์ที่ระเกะระกะและกลายเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อๆ กันมา

       ในเวลาพลบค่ำ นังพราวรีบเก็บผ้าถุงหรือผ้าขาวม้าที่ตากไว้เข้าบ้าน เพราะคนแก่เล่าสืบทอดกันมาว่า หากบ้านใหนมีหญิงท้องแก่หรือหญิงคลอดบุตรใหม่ๆ ห้ามตากผ้าทิ้งไว้ในช่วงเวลากลางคืนเพราะหากผีปอบเดินทางผ่านมาหลังกินอาหารเสร็จ ผีปอบจะใช้ผ้าเช็ดปากที่ตากอยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นลางร้ายต่อหญิงท้องแก่และหญิงแม่ลูกอ่อนให้นมบุตร

         “นังพราวรีบเข้าบ้านเถอะ มืดค่ำแล้ว” เสียงพ่อของนังพราวร้องบอกลูกสาว เนื่องจากคนในชนบทและหมูบ้านที่ห่างไกลจากความเจริญไม่มีทีวี อินเตอร์เน็ต เมื่อแสงอาทิตย์ตกดินก็มักจะรีบเข้านอนแล้ว “ทิดชมพรุ่งนี้ไปรับยายระย้ามาที่บ้านด้วยละ” ทิดชมรับปากพ่อตาและรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ  ค่ำคืนนั้นฝนตกหนักและลมแรงเนื่องจากเป็นช่วงฝนตกหลงฤดูกาล และเป็นฝนตกในครั้งแรกของปี หลังฝนหยุดแล้วเป็นเวลาเที่ยงคืนเสียงกบ เขียด และอึ่งอ่างร้องระงมไปทั่วบริเวณ ทิดชมจึงออกไปไต้อึ่ง กบ เขียด ในเวลาค่ำคืนนั้นคนเดียว ท่ามกลางความเป็นห่วงและกังวลของนังพราวที่ทิดชมออกจากบ้านไปหากบ หาเขียด หาอึ่งในเวลากลางค่ำ กลางคืน ติดตามตอนต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในค่ำคืนที่ออกไปหากบ หาเขียด และหาอึ่ง

หากชื่นชอบบทความแนว ชีวิตคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ กดแชร์ เพื่อให้เพื่อนได้อ่านกันคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตหมอตำแย (ยายระย้า)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตหมอตำแย (ยายระย้า)

        หมอตำแย หมายถึง หญิงผู้ทำคลอดตามแผนโบราณ ในภาษาไทย คำว่า “ตำแย” มาจากชื่อของภิกษุรูปหนึ่ง คือ “มหาเถรตำแย” ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราว่าด้วยวิชาคลอด 

         ยายระย้าเป็นหญิงชราอายุอานามร่วม 70 ปีเป็นรุ่นน้องตาแก้วประมาณ 1-2 ปี มีผมยาวสีดอกเลา ชอบเกล้าไว้ที่กลางศีรษะ สายตาเริ่มฝ้าฟางบ้างแล้ว ใส่เสื้อลูกไม้สีขาวหม่นที่ผ่านการใช้งานมาหลายสิบปี แต่มีความสะอาดสะอ้าน ผ้าถุงมัดหมี่โจงกระเบน  ริมฝีปากสีแดงแสดงให้เห็นว่าเพิ่งผ่านการเคี้ยวหมากมาไม่นานนี่เอง ถือเชี่ยนหมากหรือภาษาเขมรเรียกว่า  “เฮ๊บ” อุปกรณ์ที่มีอยู่ในเฮ๊บของยายระย้าประกอบด้วย 

1.เต้าปูน เป็นภาชนะที่ใส่ปูนหมาก มาพร้อมกับไม้ควักปูนส่วนใหญ่จะเป็นโลหะหรือสังะสี (ปูนภาษาเขมรเรียกว่ากะม๊อร)
2.ซองพลู เป็นภาชนะสำหรับใส่พลูจีบ และใบพลู (พลูภาษาเขมรเรียกว่ามลู)
3.ที่ใส่หมาก ใช้ใส่ทั้งหมากสดและหมากแห้ง นอกจากนี้ยังมีพวกตลับ ผอบต่างๆ ที่ใส่ยาเส้น กานพลู การบูร สีเสียด มักใช้ในชุดเชี่ยน 3 – 8 ใบ (หมากภาษาเขมรเรียกว่า สลา)
4.มีดเจียนหมาก เป็นมีดขนาดเล็กใช้ผ่าหมากดิบและเจียนพลู บางครั้งอาจมีหรือไม่มีก็ได้
5.กรรไกรหนีบหมาก เป็นกรรไกรที่ใบมีดข้างหนึ่งใหญ่และคมกว่าอีกข้าง ใช้สำหรับผ่าลูกหมากและเนื้อหมาก ทำมาจากเหล็ก อาจตีขึ้นมาเพื่อใช้ในงานการกินหมากโดยเฉพาะ (ประหนาก)
6.ครกตำหมากมีลักษณะทรงกระบอกเรียวเล็กลงด้านปลาย ใช้ตำหมากพลูให้แหลก มาพร้อมกับสากตะบัน(ครกตำหมากภาษาเขมรเรียกว่าตะบัลล และสากตำหมากเรียกว่าอัลเลย์)

        “ทิดก้อนเป็นอย่างไรบ้าง” ตาแก้วเอ่ยตามถึงลูกชายคนโตที่เป็นพ่อของเจ้าแกละที่เพิ่งเสียชีวิตนั่นเอง ยายระย้าตอบด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า “มันก็เหมือนคนทั่วๆไปที่ต้องมาสูญเสียลูกชายคนเดียวในบ้านที่หวังว่าจะเป็นผู้สืบสกุลในอนาคต” ตาแก้วมีสีหน้าหม่นหมอง โศกเศร้าที่ต้องสูญเสียหลานชายคนโตโดยไม่มีวันกลับ พร้อมกับพูดเพื่อปลอบใจยายระย้าและตนเอง “สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนอนิจังเกิดขึ้น คงอยู่และดับไป ว่าแต่ยายหอบอะไรมาเยอะแยะ” ตาแก้วหันไปชำเลืองมองกระสอบปุ๋ยที่ใส่ข้าวของมาเต็ม2-3 กระสอบที่วางไว้ข้างๆยายระย้า “ออ นังลออมันขุดพันธุ์ข่าป่า มันมือเสือ มันเลือด สาคู มาให้ปลูกนะ” ตาแก้วก้มลงหยิบถุงปุ๋ยแบกขึ้นหลัง พร้อมกับพูดว่า “รีบไปกันเถอะยายเดี่ยวแดดจะร้อน อากะฮอม อาซอคงหิวน้ำแล้ว ต้องแวะเอาปลาร้าที่ร้านซิ้มด้วย” ไม่วายคิดถึงวัวสองตัวที่ช่วยขนสัมภาระและพาเดินทางไปมาและยังไม่ได้ดื่มน้ำเนื่องจากตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้ว ระหว่างเดินทางก็พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบถึงญาติคนนั้น เพื่อนบ้านคนนี้ แต่ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่โศกเศร้า แวะเอาปลาร้าให้ยายสายที่ฝากไว้ “ยายระย้ากลับมาแล้วหรือ”ซิ้มถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงและดีใจที่ได้เจอกัน เนื่องจากยายระย้าเป็นคนทำคลอดให้ลูกชายคนโตของซิ้มนั่นเอง พร้อมกับหยิบปลาแห้งเพื่อเป็นของฝากให้กับยายระย้า “ลองเอาปลาแห้งไปกินดูนะ อร่อยดี ไม่เค็มมาก” (ปลาแห้งภาษาเขมรเรียกว่า ตรัยเงียรคือปลาที่ตากแห้งให้เก็บไว้กินได้นานนั่นเอง) “ขอบใจมากนะซิ้ม” คุยกันต่อสักพักจึงกล่าวคำจากลา เมื่อมาถึงเกวียน ตาแก้วรีบเก็บของใส่เกวียนเรียบร้อย กุลีกุจอพาวัวสองตัวไปดื่มน้ำที่แหล่งน้ำใกล้ๆ และนำมาเทียมเกวียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ตาแก้วสูบบุหรี่เป็นช่วงๆ สลับกับเสียงตำหมากของยายระย้าเป็นระยะ  ตาแก้วร้องกันตรึมมาตลอดทางอย่างมีความสุข บรรยากาศเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย ลืมความเศร้าโศกไปชั่วขณะหนึ่ง ตลอดเส้นทางเดินกลับบ้านก็กล่าวทักทายคนที่ผ่านมาเนื่องจากครอบครัวของตาแก้วและยายระย้านั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในแถบนั้น “นังพราวเมียทิดชมเป็นยังงัยบ้างละ” ยายระย้าไม่ลืมนึกถึงลูกค้าคนใหม่ที่จะต้องทำคลอดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตาแก้วหัวเราะเสียงดังแบบกลั้นไม่อยู่ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันก็อลเวง ทำข้าวุ่นวาย เกือบไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ มันบ่นปวดท้อง แต่ก็ไม่ได้คลอดหรอก พรุ่งนี้ยายต้องไปเยี่ยมนังพราวมันนะ นังพราวมันเป็นเด็กกำพร้าแม่ ไม่มีใครช่วยสั่งสอนและบอกเรื่องตั้งครรภ์และการคลอด” ยายระย้านึกอยู่พักหนึ่ง “เออข้าลืมบอกมันไป แต่ก็เหลือเวลาเกือบเดือนเลยนะตาแก้ว กว่าจะถึงกำหนดคลอด” ยายระย้ายกมือขึ้นมานับเดือนทำปากมุบมิบ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “กำหนดคลอดของมันเดือนหน้านี่แหละคือเดือนเมษายน (เดือนเมษายนนั้นภาษาเขมรเรียกว่า แคแจ๊ศ เป็นเดือนที่คนทั่วไปมักเล่นสงกรานต์สาดน้ำ ตามประเพณีไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากเดือนเมษายนมีอากาศร้อนมากและเป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่ของไทยด้วย) ในเดือนเมษายนนั้นในชนบทจะเป็นประเพณีสาดน้ำ เล่นน้ำ โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว สมัยก่อนนั้นสาวๆมักจะไปหาบน้ำตามบ่อน้ำหรือสระน้ำ และมีหนุ่มๆไปรอสาดน้ำให้คนที่ตนเองแอบชอบหรือแอบรัก แต่ถ้าหากว่าสาวคนใหนไม่ชอบหนุ่มที่มาสาดน้ำก็มักจะใช้คานหาบน้ำตีหนุ่มคนที่สาดน้ำได้ หากดื้อดึงจะสาดน้ำให้ได้ หรือหนุ่มบางคนมีนิสัยไม่ดี จับเนื้อต้องตัวสาวถ้าหากรักใคร่ชอบพอกันก็จัดการแต่งงานให้ไปเลย แต่หากสาวไม่ชอบพอ พ่อแม่ของผู้ชายจะต้องจ่ายเงินค่าสินไหมในฐานะล่วงเกินจับเนื้อต้องตัวฝ่ายหญิง (ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเขมรตอนล่างในประเทศไทย)

          ระหว่างทางกลับบ้านเจอยายสายกำลังจูงวัวกลับบ้านจึงได้กล่าวทักทายและบอกว่าอย่าลืมแวะไปเอาปลาร้าที่บ้านนะ

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” ไอ้ด่างหมาทิดชมเห่าเสียงดังเมื่อเห็นเกวียนเดินทางผ่านหน้าบ้าน นังพราวได้ยินเสียงไอ้ด่างเห่าระงมหน้าบ้านจึงเดินอุ้ยอ้ายตามสไตล์หญิงตั้งครรภ์ท้องแก่ออกมาหน้าบ้าน แสดงสีหน้าดีใจ ที่เห็นยายระย้ากลับบ้านด้วยความปลอดภัย  ยายระย้าเปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่นังพราวให้ความเคารพและนับถือ “ยาย ฉันคิดถึงยายมากเลย ถ้ายายไปนานกว่านี้ ฉันต้องตายแน่เลย” นังพราวแสดงสีหน้าดีใจอย่างสุดซึ้งที่เจอยายระย้า “มารับของฝากนี่ อีหนู” ยายระย้า ส่งกล้วยน้ำว้าสุกให้นังพราวหนึ่งหวี “ขอบคุณมากจ๊ะ ยาย” นังพราวพูดพร้อมกับยกมือไหว้และรับกล้วยมา “ข้าไปแหละ เดี่ยวยายสายจะรอนาน” เนื่องจากนัดให้ยายสายมารับปลาร้าที่บ้าน

       ติดตามตอนต่อไป ตอน ตามติดชีวิตยายสายผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “ปอบประจำหมู่บ้าน” ว่าจะเป็นอย่างไร? มีความเป็นมาอย่างไร? ว่าทำไมยายสายถึงได้ฉายาเป็นปอบไปได้

        หากชื่นชอบบทความแนวคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์และกดแชร์เพื่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันคะ

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว ตอน ตามติดชีวิตหมอยาและหมอดู (ตาแก้ว)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น  คนเซราะกราว

ตอน ตามติดชีวิตหมอยาและหมอดู (ตาแก้ว)

         หมอยารักษาโรคในสมัยโบราณด้วยยาสมุนไพร เป็นวิวัฒนาการมาสู่อาชีพการแพทย์แผนปัจจุบัน ตาแก้วเป็นชายชราวัย 70 กว่าปี วันเดือนปีเกิดอย่าถามตาแก้วเพราะแกไม่รู้ รู้แค่ว่าเกิดวันแรม 15 ค่ำ คืนเดือนมืด จัดงานฉลองวันเกิดรึ ตาแก้วไม่รู้จักหรอก หมอดูก็เป็นอีกงานหนึ่งที่ตาแก้วถนัด การทำนายทายทักไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจ็บป่วย ของหาย ก็พึ่งหมอดูทั้งนั้นแหละ 

        “เอ๊ก อี เอ๊ก เอ๊ก” ไก่ขันตอนเวลาเช้าตรู่ เป็นการเริ่มต้นชีวิตของคนเซราะกราว ตาแก้วลืมตาขึ้น ขยี้ตาเบาๆ มองผ่านรูรอยแตกของฝาบ้าน “เช้าแล้วหรือนี่” ลุกขึ้นจากที่นอนที่เป็นฟูกยัดนุ่น มีหมอนหนึ่งใบพร้อมผ้าห่มสีขาวทำจากใยฝ้าย ฝีมือของยายระย้าเมียวัยชราที่อยู่ด้วยกันมาร่วม 50 กว่าปี มีมุ้งเก่าๆ กางไว้เพื่อป้องกันยุงกัด รีบลุกขึ้นจากที่นอนบิดขี้เกียจ บิดซ้ายบิดขวา หยิบกระบวยตักน้ำ ล้างหน้า ใช้ใบข่อยถูฟันไปมาสี่ห้าครั้ง อมน้ำบ้วนปากสองสามที หยิบหมวกปีกกว้างสีหม่นผ่านการใช้งานมาหลายปีแล้ว มีดสั้นสวมในปลอกหนังที่ตีขึ้นมาเองเพื่อใช้ป้องกันตัวในระหว่างเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง แต่ก็ไม่ลืมถุงใส่เส้นยาสูบ ใส่ย่ามสะพายมุ่งหน้าไปที่คอกวัว วัวสองตัวมีชื่อว่า “อากะโฮม หรือไอ้แดง” และ “อาซอ หรือ ไอ้ขาว” เป็นวัวเพศผู้อายุประมาณสี่ปีเต็มได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีในการลากเกวียนเพื่อเดินทางขนสัมภาระต่างๆ  คอกข้างๆกันมีม้าตัวผู้คล้ายม้าแคระ ยืนนอนหลับ หางยาวเป็นพวงระย้า มีชื่อว่า “อาเกร็น หรือไอ้แคระ” เนื่องจากวันนี้ตาแก้วต้องไปขนสัมภาระที่ยายระย้านำติดตัวมาจากบ้านเกิดเช่น ฟืมทอผ้า พันธุ์ไม้พื้นบ้านเช่น ต้นสาคูขาว ต้นมันมือเสือ หรือสารพัดพันธุ์ไม้ต่างๆ ตาแก้วจึงเลือกเดินทางโดยใช้เกวียนเทียมไอ้แดงและไอ้ขาว เกวียนของตาแก้วดัดแปลงเป็นร่มที่กันแดดกันฝนได้ (ตาแก้วนี่เป็นคนที่ครีเอทไม่เบาเลยนะนี่) “โป๊ะ โป๊ะ โป๊ะ” ตาแก้วใช้ท่อนไม้ขนาดเหมาะมือเคาะไม้ที่ขัดรั้วเพื่อเปิดให้อากะฮอมและอาซอ ออกมาจากคอกวัว พร้อมกับพูดเปรยกับวัวขึ้นว่า “อากะฮอม อาซอ งัยแนะโตวรับยัยระย้า ล๊อบปะเตี๊ยก แปลว่า ไอ้แดง ไอ้ขาว วันนี้ไปรับยายระย้ากลับบ้านกัน ตาแก้วรีบกุลีกุจอเทียมวัวทั้งสองตัวใส่เกวียน มือซ้ายถือแซ้ เพราะว่าตาแก้วถนัดซ้าย มิน่าละ เป็นคนมีฝีมือครีเอทไม่เบา “ฮุย ฮุย” ตาแก้วใช้มือซ้ายตีลงที่อากะโฮมเบาๆ เพื่อบังคับให้เดินไปตามทาง ถ้าอาซอเดินช้าตาแก้วก็ใช้แซ้ตีที่อาซอเพื่อให้เดินไปพร้อมๆกัน (หากพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกหรือครูที่สั่งสอนเด็กๆโดยใช้ไม้เรียวตีเพื่อสั่งสอน ลองย้อนกลับมามองวิธีการของตาแก้วแล้วจะเข้าใจ ว่าคืออะไร) ตาแก้วหยิบถุงเส้นยาสูบขึ้นมาม้วนด้วยใบไม้ พร้อมจุดไฟสูบยาเส้น เป็นการผ่อนคลายอารมณ์หรือช่วยไล่ยุงในระหว่างการเดินทางนั่นเอง เดินทางต่อไปซักพัก ตะวันส่องแสงแสดงถึงเวลาเช้าของวันใหม่ คนเซราะกราวตื่นออกเดินไปนาบ้าง จูงวัว จูงควายไปนาบ้าง “หมอแก้วออกเดินทางไปใหนแต่เช้า” แหนะฉายาตาแก้วนี่ไม่เบาเป็นทั้งหมอยาและหมอดูเลยขึ้นชื่อว่าหมอซะงั้น ยายสายตะโกนถามมาจากในบ้าน (ยายสายเป็นหญิงชราอายุพอกันกับตาแก้วนั่นแหละ แกเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคม ไม่สุงสิงกับใคร คนอื่นเลยหาว่ายายสายเป็นปอป แหนะสมัยโบราณก็บู่ลี่กันไม่เบา ตามติดชีวิตยายสายในตอนต่อไป) “ข้าไปรับยายระย้าที่สถานีรถไฟ เองจะเอาอะไรไหม” แสดงถึงความมีน้ำใจของคนเซราะกราวเพราะการเดินทางเข้าเมืองนั้นลำบาก กว่าจะได้ไปแต่ละครั้งเป็นเดือน “ฝากซื้อปลาร้าหรือปะเหาะ 1 ปี๊บ” มิน่าละเค้าถึงว่ายายสายเป็นปอบ สั่งปลาร้ามากินเป็นปี๊บเลย “ได้ ได้ เย็นๆ เดินไปรับที่บ้านนะ” พร้อมกับเดินจากไป

         ตาแก้วขับเกวียนเดินตามทางเกวียนไปเรื่อยๆโดยมี อากะฮอม อาซอ เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไป  ผ่านบ้านนั้น ผ่านบ้านนี้ ผ่านบ้านโน้น ทุกคนส่งเสียงเรียก ถาม ตลอดเส้นทาง แหมตาแก้วนี่เป็นคนป๊อบปุล่าไม่เบาเหมือนกันแหะ (หรือตาแก้วเป็นหมอเสน่ห์ด้วยหรือเปล่า ติดตามตอนต่อไป)

         แดดเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตาแก้วรู้สึกคอแห้งและหิวข้าวจึงหยิบก้อนข้าวที่เหลือจากมื้อเย็นนำติดมือมาด้วย พร้อมกล้วยสุกงอมสองลูก ตาแก้วกินข้าวเปล่ากับกล้วยสุกนั่นเอง เคี้ยวๆ ดื่มน้ำตามที่ใส่ในกระบอกไม้ไผ่ติดตัวมาด้วย พร้อมกับหยิบใบไม้มา 2-3 ใบเคี้ยวแล้วกลืนคงเป็นยารักษาโรคของตาแก้วนั่นแหละ ซึ่งต้องกินหลังอาหาร

         การเดินทางด้วยเกวียนเวลาผ่านมาร่วม 2 ชั่วโมงเริ่มใกล้ตัวเมืองเข้ามาทุกที “ปู๊น ปู๊น ปู๊น ปู๊น ฉึกกะฉัก ฉึกกะฉัก” เสียงรถไฟ พร้อมควันโขมงหน้ารถ เนื่องจากสมัยก่อนหัวรถไฟไม่ใช่หัวจรวดเหมือนปัจจุบัน “จะได้พักกินหญ้ากินน้ำแล้ว อากะฮอม อาซอ” ตาแก้วพูดเปรยๆ กับวัวสองตัวคู่ใจ หากแต่วัวสองตัวก็ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด “โช๊บๆ” หมายถึงจอด พร้อมดึงเชือก อากะฮอม และอาซอ พร้อมกระโดดลงจากเกวียน ดึงวัวแกะสลักที่คอวัวออกจากเกวียน นำไปผูกไว้กับต้นไม้ให้กินหญ้าเพื่อรอรับยายระย้ากลับบ้าน (เข้าสำนวนรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีหรือ) “เกือบลืมไป ต้องไปแวะซื้อปลาร้าให้ยายสาย” ตาแก้วบ่นพึมพำในลำคอ เป็นการช่วยรื้อฟื้นความจำระยะสั้น ตาแก้วรีบเดินมุ่งหน้าไปทางสถานีรถไฟจึงแวะเข้าร้านขายของชำเล็กๆ ข้างทางเป็นตึกปูนเก่าๆ แสดงถึงก่อสร้างมานานหลายปีแล้ว “ตาแก้ววันนี้จะซื้ออะไรบ้าง” เสียงของผู้หญิงเชื้อสายจีนเอ่ยถามตาแก้ว เนื่องจากตาแก้วเป็นลูกค้าประจำของร้านนั่นเอง “เอาปลาร้าหนึ่งปี๊บ ราคาเท่าไหร่ เอาปี๊บกลางนะ” แหมตาแก้วสั่งปลาร้า ยังกับสั่งกาแฟสตาร์บัคมีขนาดเรียบร้อย ต่างกันบ้างตรงที่สตาร์บัคมีหลายชนิดให้เลือกมากกว่า  “ 1 บาท”  หญิงเชื้อสายจีนตอบพร้อมรับเงินจากตาแก้วห้าบาทและทอนกลับคืนสี่บาท” ตาแก้วมองเงินทอนในมือที่มีทั้งเหรียญบาท เหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึง และเหรียญสตางค์ เมื่อครบสี่บาทแล้วรีบยัดใส่ถุงผ้า หรือถุงกระป๊วด “ฝากของไว้ก่อนนะเดี่ยวขากลับแวะมาเอา” รีบเดินจ้ำเอ้ามุ่งหน้าไปจุดหมายปลายทางคือสถานีรถไฟประจำอำเภอนั่นเอง

“ตาแก้ว มารับยายระย้าหรือ ยายระย้านั่งรอยู่ทางโน้น” โฮ คนรู้จักตาแก้วไปทั่วสารทิศจริงๆ  ถ้าสมัคร ส.ส คงได้รับการเลือกตั้งเลยมั้งนี่ นายสถานีรถไฟกล่าวถามตาแก้ว “ใช่ ใช่” ตาแก้วพูด  “ตาแก้วฉันอยู่นี่” เสียงยายระย้าร้องเรียกตาแก้ว หลังจากลงรถไฟแล้ว ก็นั่งมองว่าตาแก้วมาถึงเมื่อไหร่ เพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องมือติดต่อสื่อสาร ตาแก้วรีบเดินไปหายายระย้า เพื่อรับตัวกลับบ้าน พร้อมกับภาระหน้าที่ของยายระย้าที่รออยู่ที่หมู่บ้าน

        รบกวนติดตามตอนต่อไป หากสนใจบทความชีวิตคนเซราะกราวหรืออยากให้เพื่อนๆได้อ่านฝากกดไลค์ กดแชร์นะคะ เจอกันตอนต่อไป เร็วๆ นี้

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้นเรื่อง  คนเซราะกราว ตอน ชีวิตของอีพราวผู้น่าสงสาร

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้นเรื่อง  คนเซราะกราว

ตอน ชีวิตของอีพราวผู้น่าสงสาร

         นังพราวเป็นหญิงสาวสวยผู้น่าสงสารประจำหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง มีอายุราว 20 ปี เป็นเด็กสาวผู้ซึ่งกำพร้าแม่มาตั้งแต่แรกเกิดและอาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่แม่ของนังพราวเสียชีวิตลงตอนนังพราวลืมตาดูโลกเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา  นังพราวไม่มีโอกาสเห็นหน้าแม่เลยแม้แต่รูปภาพที่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูป หรือมือถือเพื่อถ่ายรูปบันทึกไว้เหมือนในสมัยปัจจุบัน มีเพียงแค่ภาพวาดใบหน้ารูปไข่ของแม่ ที่เป็นผู้หญิงสาวชาวต่างชาติ บนในลานที่พ่อวาดไว้ให้ดูต่างหน้าเมื่อสมัยที่พ่อแม่ยังคบกันใหม่ๆ พ่อนังพราวเป็นศิลปินชอบวาดรูปบนใบไม้ ใบลานและโขดหิน แม่ของนังพราวเป็นทหารหญิงชาวอเมริกัน มาพบรักกันกับพ่อของนังพราวในพื้นที่ชนบทแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเขตความเจริญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 

       นังพราวนั้นเป็นหญิงสาวสวยประจำหมู่บ้าน สูงราว 165 เซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่งได้รูป ปากเล็กเป็นกระจับ หุ่นดี มีทรวดทรงองค์เอว ผมมีสีน้ำตาล ยาวสลวยหยักโศกถึงกลางหลัง ตากลมโต ขนตางอนยาว นัยน์ตาสีฟ้า ผิวสีน้ำผึ้ง เนียนสวย ไร้ร่องรอยปานแดงหรือปานดำ

“นังพราว ข้ากลับมาแล้ว” เสียงร้องเรียกชื่อของเมียอันเป็นสุดที่รักดั่งดวงใจ ของทิดชมดังก้องกังวาลท่ามกลางเวลากลางคืนเดือนมืดมิดที่เงียบสงบ วังเวง ลมพัดหวิวๆ ใบจากปลิวไหวมองดูคล้ายเงาของสัตว์ร้ายข้างผนังบ้าน กระทบแสงไฟตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะเก่าๆกลางบ้าน และเป็นวันราหูอมจันทร์ ทิดชมกวาดสายตามองหาร่างของเมียสาววัยแรกรุ่นท้องแก่ใกล้คลอด แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเมียรัก “นังพราวเมียรักของข้า เองอยู่ที่ไหนกัน” ทิดชมรีบก้าวลงจากบ้านพร้อมถือตะเกียงเป็นไฟส่องทางตามหาเมียรักรอบๆ บ้าน ท่ามกลางความมืดมิดของคืนเดือนมืด “ช่วยข้าด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที” เสียงร้องเรียกเบาๆ ไร้เรี่ยวแรง ดังมาตามสายลม ท่ามกลางความมืดในเวลาเที่ยงคืนอันดึกสงัด “เองลงมาทำอะไรที่นี่” ทิดชมร้องถามเมียสาวท้องแก่ ที่เดินเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างยากลำบาก พร้อมในมือถือตะเกียง คล้ายตะเกียงของอาลาดินก็ไม่ปาน เพราะเป็นมรดกของแม่ที่เก็บไว้ให้ดูต่างหน้าไร้ซึ่งแสงไฟส่องแสงสว่าง เนื่องจากลมพัดดับเมื่อไม่นานมานี้ “ข้าปวดท้อง เลยลงมาขี้ ” นังพราวตอบกลับด้วยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า เนื่องจากในสมัยก่อนนั้นหากปวดขี้ต้องเข้าป่า ใช้เสียมขุดดิน เมื่อทำธุระเสร็จใช้ดินกลบให้เป็นปุ๋ยกับพืชต่อไป ทิดชมรีบเข้าไปประคองเมียรักพร้อมลูกน้อยในครรภ์ด้วยความถนุถนอมพร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน “เดินช้าๆนะ ระวังเวลาข้ามขึ้นขั้นบันได” เนื่องจากในสมัยโบราณมีความเชื่อว่า ห้ามหญิงท้องแก่นั่งราวบันไดบ้าน เพราะอาจเป็นลม เป็นแล้ง หรือตกบันไดทำให้ได้รับอันตรายทั้งแม่และลูกได้

“เองนั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะจุดไฟต้มน้ำร้อน” ทิดชมเดินเข้าไปในครัวเล็กๆใช้เศษยาง และฟืน จุดไฟในเตาที่ทำขึ้นแบบง่ายๆ มีก้อนหินสามก้อนวางไว้เป็นสามเหลี่ยม พร้อมหยิบกระบวยตักน้ำออกมาจากโอ่งใบเล็กใส่ลงในหม้อดิน ลักษณะคล้ายหม้อใส่อัฐกระดูกของแม่นาคพระโขนง หรือหม้อต้มจิ้มจุ่มในปัจจุบัน

“ทิดชม ข้ามาถึงแล้ว” เสียงร้องเรียกเจ้าของบ้าน ดังก้องกังวาน พร้อมเสียงไอ้ด่าง เห่าโฮ่งๆ เป็นสัญญาณเตือนแจ้งให้เจ้าของบ้านรู้ว่ามีศัตรูเข้ามาบุกรุกในเขตพื้อนที่รโหฐาน (Private) “ ขึ้นมาข้างบนบ้านเลยตาแก้ว” เสียงเรียกของทิดชมตะโกนดังมาจากหลังบ้านที่เป็นครัวเล็กๆ พร้อมเสียงปรามไอ้ด่างให้หยุดเห่าแขกวัยชราผู้มาเยือนในเวลากลางคืนอันดึกสงัดของวันราหูอมจันทร์ “ตาแก้วสวัสดีคะ” เสียงของนังพราวกล่าวทักทายแขกผู้มาเยือนด้วยใบหน้าเป็นมิตร พร้อมกับจับโต๊ะไม้ที่วางตะเกียงเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืน ตาแก้วทำหน้าเลอะลัก พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจาถามว่า “เองปวดท้องจะคลอดไอ้ตัวเล็กในครรภ์ ไม่ใช่หรือ” นังพราวยิ้มมุมปากให้ชายชราอย่างเอียงอาย พร้อมกับเอ่ยวาจาว่า “ข้าดีขึ้นแล้ว ไม่ได้ปวดมาก ปวดเป็นพักๆ แล้วก็หายไป” ด้วยความที่นังพราวเป็นหญิงสาวกำพร้าแม่ มาตั้งแต่แรกเกิด จึงไม่มีใครสอนหรือเล่าประสบการณ์เรื่องอาการเจ็บท้องเตือน และเจ็บท้องใกล้คลอด การเจ็บครรภ์เตือนนั้นเกิดจากมดลูกขยายตัวเต็มที่และเคลื่อนตัวลงต่ำ จึงทำให้มีความรู้สึกว่ามดลูกแข็งตัวบ่อยครั้งขึ้น จนสามารถคลำและรู้สึกถึงอาการท้องแข็งบริเวณหน้าท้อง รวมทั้งมดลูกจะเริ่มบีบตัวทำให้ท้องแข็งเกร็ง แต่ยังไม่เป็นจังหวะที่แน่นอน การเจ็บท้องเตือนเริ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ได้ 8 เดือนเพื่อเตรียมให้ปากมดลูกบางลงพร้อมที่จะเปิดออกให้ลูกน้อยลืมตาดูโลกนั่นเอง แท้จริงแล้วนังพราวแค่มีอาการปวดท้องเตือนก่อนคลอด ยังไม่มีน้ำเดินหรือถุงน้ำคร่ำแตก ซึ่งลักษณะของน้ำคร่ำนั้นใส คล้ายน้ำปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีมูกเลือดออกจากช่องคลอดแต่อย่างใด แสดงว่าอาการของนังพราวนั้นแค่เจ็บครรภ์เตือน ไม่ได้จะคลอดภายใน 12 ชั่วโมงอย่างแน่นอน ตาแก้วหันไปสบตาและยิ้มกับทิดชมแสดงสีหน้าหมดความวิตกกังวลเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็ไม่ปาน พร้อมกับเอื้อนเอ่ยวาจากับผู้ชายวัยหนุ่มที่จะกลายเป็นพ่อคนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  “พวกเองกลับไปนอนพักกันต่อได้แล้ว ข้าจะรีบกลับบ้านไปนอนพักเอาแรงเช่นกัน เพราะพรุ่งนี้ตอนสายๆข้าจะต้องรีบขับเกวียนออกไปรับยายระย้าที่สถานีรถไฟแต่เช้า” ทิดชมและนังพราวกล่าวขอบคุณตาแก้วในความมีน้ำใจช่วยเหลือของคนในชนบทอันห่างไกลจากความเจริญ ทิดชมและนังพราวนอนหลับสนิททั้งคืนด้วยความอ่อนเพลียกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา สร้างความอลเวงแก่หมอยารักษาโรค ด้วยยาสมุนไพรพื้นบ้านและทำนายทายทักดวงชะตาตามหลักโหราศาสตร์อย่างตาแก้วผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วมอายุล่วงเลย 70 กว่าฤดูกาล ติดตามตอนต่อไปว่ายายระย้า จะกลับมาบ้านทันช่วยทำคลอดนังพราวหรือไม่ นังพราวและทิดชมจะได้ลูกชายหัวปีตามที่คาดหวังไว้หรือไม่

 

หากชื่นชอบเรื่องสั้นของ คนเซราะกราว และบทความที่มีทั้งเนื้อหาและสาระสร้างความบันเทิง สามารถติดตามอ่านได้ที่ Healthybestcare.com จากนามปากกาของ Rommyrom เจอกันตอนต่อไปคะ ขอให้ทุกคนโชคดีในวันหวยออกกันนะคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว ตอน การเริ่มต้นชีวิตใหม่

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องสั้น คนเซราะกราว

ตอน การเริ่มต้นชีวิตใหม่

        ณ.เวลากลางค่ำคืนแรมแปดค่ำเดือนสี่ ปีวอก เป็นวันเกิดราหูอมจันทร์ มีครอบครัวของหญิงชายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชนบทอันห่างไกลจากความเจริญของสังคมคนเมือง มีประชากรอาศัยอยู่เพียงแค่สิบครัวเรือน ลักษณะของบ้านพักอาศัยมีเสาไม้สี่ต้น หลังคามุงด้วยใบจาก ฝาบ้านปกคลุมด้วยไม้ไผ่ บันไดขึ้นบ้านทำด้วยแผ่นไม้มีเพียงสามขั้น ไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีรถขับ มีเพียงเกวียนเทียมควายเพื่อเดินทางเท่านั้น เสียงลมพัดหวิวๆ ใบจากปลิวว่อน  ในสถานที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง มีคู่สามีภรรยาหลังจากแต่งงานครบเก้าเดือนเต็ม หญิงวัยตั้งครรภ์ท้องแก่ส่งเสียงเรียกเบาๆ น้ำเสียงแหบแห้ง เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงก็ไม่ปาน “ พ่อมึงข้าปวดท้อง ช่วยไปตามหมอตำแยมาให้ที” ฝ่ายชายได้ยินดังนั้นรีบลุกขึ้น ขยี้ตาเบาๆ พร้อมกุมมือภรรยาและพูดให้กำลังใจ “อดทนไว้นะ แม่มึง” เค้ากำลังจะมีลูกน้อยเพิ่มเข้ามาในครอบครัวทั้งที่ไม่อาจทราบได้ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ 32 เหมือนคนทั่วไปหรือไม่ แต่คนทั้งสองก็ได้แต่หวังว่าเด็กที่เกิดมามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีเทวดาปกปักอารักษ์ขา  ฝ่ายชายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีพลังอันล้นเหลือ “ ข้าจะรีบไปและรีบกลับนะ” หญิงสาวยิ้มมุมปาก น้ำตาคลอเบ้าเหมือนเป็นสัญญาณของการจากลาแบบไม่มีวันกลับพร้อมกับส่งเสียงอันแหบแห้ง “รีบไปรับกลับนะพ่อมึง” ฝ่ายชายก้มลงจูบที่หน้าผากเบาๆ พร้อมกับกุมมือเพื่อสร้างกำลังใจให้หญิงวัยรุ่นท้องแก่ พร้อมกับรีบคว้าถุงยาสูบพร้อมมีขีดไฟ รีบก้าวลงจากบันไดบ้าน เดินกึ่งวิ่งไปที่บ้านหญิงชราที่มีนามว่า ระย้า คุณยายระย้าเป็นหญิงชราอายุอานามล่วงเลยเจ็ดสิบปีแล้ว หากบ้านใหนมีหญิงท้องแก่ เมื่อมีอาการปวดท้อง น้ำเดิน จะต้องมาใช้บริการยายระย้าทุกรายไป เพราะว่ายายระย้าเป็นหญิงชรามีหน้าที่ช่วยทำคลอดหรือที่เรียกว่าหมอตำแย หากแต่ในปัจจุบันก็คือพยาบาลผดุงครรภ์นั่นเอง ฝ่ายชายรีบเดินก้าวท้าวยาวๆ ผ่านตามถนนอันลดเลี้ยว ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมน  มีแค่แสงไฟระยิบระยับจากดวงดาวที่ช่วยส่องแสงให้เดินก้าวเท้าด้วยความมุ่งมัน อันเปลือยเปล่าเนื่องจากในสมัยนั้นไม่มีร้องเท้าใส่

        หลังจากเดินทางมาได้ระยะหนึ่งไกล้ถึงบ้านของยายระย้า ได้ยินเสียงนกแสกร้อง “แซ๊ก แซ๊ก แซ๊ก แซ๊ก” ก่อนจะเงียบเสียงไป ชายหนุ่มคนที่กำลังจะกลายเป็นพ่อคนใหม่ รู้สึกใจหาย ตกลงว่าที่ตาตุ่ม มองเห็นไฟตะเกียงที่บ้านยายระย้าส่องแสงวิบๆวับๆ เนื่องจากลมแรง ฟ้ามืดมิด ดวงดาวที่ส่องระยิบระยับกลับกลายหายไป ท้องฟ้าปกคลุมด้วยความมืดมิด ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียกด้วยการตะโกน “ยายระย้า ยายระย้า” มีอะไรรึพ่อหนุ่ม เสียงตอบกลับมากลับกลายเป็นตาแก่อายุอานามใกล้เคียงกับวัยของยายระย้า พ่อหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “ยายระย้าอยู่ไหม ตาแก้ว” ตาแก้วนั้นเป็นคนแก่ในหมู่บ้าน เป็นคนที่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพร หากคนในหมู่บ้านเจ็บไข้ได้ป่วยมักจะมาขอความช่วยเหลือจากตาแก้วทุกครั้งไป นับเป็นครอบครัวหมอรักษาคนไข้และพยาบาลทำคลอดเลยก็ว่าได้ ในสมัยนั้น “ยายระย้าไปต่างจังหวัดกลับไปบ้านเกิด” ตาแก้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันดัง เนื่องจากญาติผู้น้อยเสียชีวิตด้วยอาการปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ ทำการรักษาด้วยยาสมุนไพรแต่อาการไม่ดีขึ้น กลับมีไข้สูง ติดเชื้อในกระแสเลือดและตายในที่สุด สาเหตอาจเกิดจากไส้ติ่งแตกก็ได้(ผู้เขียนคิดเอาเอง เนื่องจากในสมัยนั้นไม่มีการตรวจเจาะเลือด หรือการทำอัลตราซาวด์จึงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร)

“มีอะไรหรือปล่าวทิดชม” ทิดชมนั้นเป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณดำขลับ รูปร่างสูงโปร่ง ร่างกายกำยำ นัยน์ตาสีน้ำตาล ผมหยิกติดหนังศีรษะ สวมใส่ผ้าขาวม้า ท่อนบนเปลือยเปล่า มองเห็นกล้ามเนื้อซิกแพค เป็นที่หลงใหลของสาวๆในยุคปัจจุบัน ทิดชมตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว หมดพละกำลัง “นังพราวเมียของข้าปวดท้องใกล้คลอด”  “ว่าอะไรนะ”ตาแก้วส่งเสียงสูงถามออกมา “นังพราวเมียของข้าปวดท้องใกล้คลอด ตอนนี้นอนรออยู่ที่บ้าน” ตาแก้วคิดในใจ และคิด คิด คิด แบบอิคิวซัง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ เอาแบบนี้นะ ไอ้ทิด รีบกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนนังพราวก่อนเดี่ยวข้าจะรีบตามไป เองจุดไฟ ต้มน้ำร้อนรอข้าก่อนเลยนะ” ทิดชมพยักหน้า พร้อมก้าวท้าวกึ่งเดินและวิ่งมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย และโดดเดี่ยวท่ามกลางคืนเดือนมืด วันราหูอมจันทร์ เสียงนกแสกส่งเสียงร้องเป็นระยะ แหล่งที่มาของเสียงได้ยินแว่วมาจากที่ห่างไกลออกไป ทิดชมนึกในใจ ภาวนาให้ผีสางนางไม้ช่วยปกปักรักษาให้ลูกน้อยในครรภ์และเมียท้องแก่ใกล้คลอดปลอดภัยทั้งแม่และลูก

     ตาแก้วรีบคว้าเครื่องมืออุปกรณ์ทำคลอดของยายระย้าที่ห่อไว้ในผ้าขาวที่เก็บไว้ใกล้หิ้งพระ พร้อมกับรีบก้าวเท้าซ้ายก่อนลงบันไดเพราะว่า ตาแก้วมีความเชื่อว่าหากก้าวเท้าซ้ายก่อนเดินออกจากบ้านจะช่วยให้โชคดี ผีสางนางไม้จะช่วยคุ้มครอง ปกปักรักษา รีบเดินลงจากบันไดบ้านซึ่งมีเพียงบันไดแค่สามขั้น รีบเดินกึ่งวิ่งตามเส้นทางของของทิดชม “ทำไมมันถึงวุ่นวายและอลเวงกันขนาดนี้ ในวันที่ยายระย้าไม่อยู่บ้าน” ตาแก้วส่งเสียงบ่นงึมงำในลำคอเบาๆ

   ฝ่ายทิดชมเมื่อเดินกึ่งวิ่งมาถึงประตูหน้าบ้านพร้อมส่งเสียงเรียกเมียรักวัยสาว ด้วยน้ำเสียงอันดัง “นังพราว เมียรักของข้า” ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณบ้านท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิดและกลางคืนอันเงียบสงัดและวังเวง  มีหมาน้อยเห่าโฮ่งๆ นามว่าไอ้ด่าง วิ่งตามทิดชม พร้อมกับกระดิกหางไปมาแสดงถึงความรักและทักทายเจ้านาย เสียงควายตัวผู้สองตัวที่อยู่ในคอกชื่อไอ้ดำและไอ้ด่อน ซึ่งอยู่ไม่ใกลจากตัวบ้าน หายใจเสียงดังฟืดฟัดแสดงถึงความรำคาญแมลงที่มาเกาะตามตัว และใช้หางปัดไล่ยุง และแมลงไปมาดัง ผับ ผับ เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีหลอดไฟที่ใช้เปิดไล่แมลงเหมือนในสมัยปัจจุบัน (อย่าว่าแต่หลอดไฟเลยขนาดไฟฟ้ายังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้าน)

     เสียงไก่แจ้ตัวผู้สีเขียว สลับขาวส่งเสียงขันดังเจื้อยแจ้ว เป็นระยะ “เอ๊กอีเอ๊ก เอ๊ก” แสดงถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ท่ามกลางกลางคืนอันเงียบสงัด วังเวง และเป็นวันราหูอมจันทร์

 เหตุการณ์และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป นังพราวเมียสาวของทิดชมและลูกน้อยในครรภ์จะได้ลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยหรือไม่ ท่ามกลางคนทำคลอดจำเป็นอย่างตาแก้วซึ่งไม่เคยทำคลอดเลยตั้งแต่เกิดมา ทำเพียงแค่รักษาคนป่วยด้วยยาสมุนไพรและทำนายทายทักดูดวงตามหลักโหราศาสตร์ กลับกลายต้องมาเป็นบุรุษพยาบาลทำคลอดจำเป็นในวันที่ย้ายระย้าไม่อยู่บ้านหากชื่นชอบเรื่องสั้น แนวการดำเนินชีวิตของคนเซราะกราว รบกวนกดไลค์ และกดแชร์เพื่อให้คนเซราะกราวได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ขอบคุณที่ติดตามเรื่องสั้นคนเซราะกราว ติดตามตอนต่อไปกันคะ

 

แชร์ให้เพื่อน

9 เคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

แชร์ให้เพื่อน

9 เคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

             เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองของมนุษย์อายุล่วงเลยผ่าน 50 ปี นับเป็นพัฒนาการด้านร่างกายของมนุษย์ ซึ่งในวัยทองนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ ซึ่งผู้เขียนได้เขียนในบทความก่อนหน้านี้ สามารถหาอ่านได้เพิ่มเติมที่ Healthybestcare.com ปัญหาด้านความจำ อาการหลงๆ ลืมๆ นั้นมักเกี่ยวข้องกับวัยสูงอายุด้วย จากปัญหาความเสื่อมของสองนี้ผู้เขียนได้พบเจอมาด้วยตนเอง จึงอยากจะขอแชร์ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเพื่อช่วยรื้อฟื้นและชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง

              สำหรับเคล็ดลับทั้ง 9 เคล็ดลับช่วยการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองที่ผู้เขียนได้ทดลองใช้กับตนเองมาก่อนหน้านี้ครบกำหนด 90 วัน ช่วยให้ผู้เขียนสามารถใช้ชีวิตได้เกือบเท่าคนปกติ แม้ปัญหาด้านการเรียบเรียงของภาษาเขียนอาจยังไม่ได้มีความสละสลวยมากนัก แต่การสื่อสารด้วยการพูดคุยก็ดีขึ้นมากระดับหนึ่งเลยทีเดียว เรามาดูกันเลยคะว่ามีเคล็ดลับอะไรบ้างที่ผู้เขียนเลือกใช้

  1. เคล็ดลับการเลือกรับประทานอาหาร อาหารแต่ละชนิดที่เราเลือกรับประทานนั้นมีผลต่อการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทองดังนั้นอาหารที่ควรเน้นรับประทานบ่อยๆคือโปรตีนจากเนื้อปลา เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย มีสารช่วยด้านความจำคือ OMEGA 3 เนื่องจากเมนูจากปลานั้นอาจคาวหากนำมาประกอบอาหารไม่ถูกวิธี ผู้เขียนเลือกกินเมี่ยงปลาเผาเนื่องจากมีน้ำจิ้มและผักใบเขียวเป็นเครื่องเคียงในการรับประทาน หรืออาจใช้วิธีการนึ่งใส่ผักให้สุกพร้อมกับเนื้อปลาก็ช่วยให้ย่อยง่ายเช่นกัน เมนูนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบการย่อยอาหารอีกด้วย
  2. เคล็ดลับการเลือกรับประทานวิตามินและอาหารเสริมบางชนิด สำหรับในเคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากการรับประทานอาหารปกติในแต่ละวันของคนวัยทองอาจได้รับสารอาหารไม่ครบถ้านเนื่องจากประเด็นความอยากอาหารลดลง มีโรคประจำตัวต้องจำกัดอาหาร เป็นต้น  สำหรับผู้เขียนเลือกรับประทาน Centrum Silver 50+ และ OMEGA 3 โดยรับประทานพร้อมอาหารวันละ 1 เม็ด หากใครที่เริ่มเข้าสู่วัยทองหรือมีปัญหาเรื่องอาการหลงๆ ลืมลองหามารับประทานดูกันนะคะ และเลือกแทะเม็ดทานตะวันเป็นขนมขบเขี้ยวช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย
  3. เคล็ดลับการกระตุ้นสมองและชะลอความเสื่อมของสมองด้วยภาษา เป็นเคล็ดลับการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง สำหรับผู้เขียนนั้นพูดภาษาเขมรมาตั้งแต่เด็กและเป็นเด็กเซราะกราว หากใครสนใจอ่านเรื่องสั้นชีวิตของคนเซราะกราวสามารถติดตามอ่านได้ที่ Healthy bestcare.com ต่อมาผู้เขียนเริ่มเรียนหนังสือและพูดภาษาไทยในระดับประถมศึกษา เริ่มพูดภาษาลาว ภาษาอังกฤษและเขียนร่วมด้วย รวมๆ แล้วผู้เขียนสามารถสื่อสารได้ทั้งหมดคือ ภาษาเขมร(พูดอย่างเดียว) ภาษาลาว(พูดอย่างเดียว) ภาษาไทย(พูด อ่าน และเขียน) ภาษาอังกฤษ(พูด อ่าน และเขียน) และที่สำคัญอีกภาษาหนึ่งก็คือภาษากายที่มีในอิโมจิในการสื่อสารในโลกออนไลน์นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาแล้วทำให้ผู้เขียนมองเห็นภาพและสื่ออารมณ์มาจากรูปภาพนั่นเอง
  4. เคล็ดลับการเดินทางย้อนไปหาอดีต เป็นเคล็ดการชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง โดยผู้เขียนเลือกเดินทางกลับไปอยู่ที่บ้านในต่างจังหวัดที่ผู้เขียนใช้ชีวิตมาตั้งแต่วัยเด็กเป็นระยะเวลา 1 ปีกว่า ช่วยให้ผู้เขียนได้เดินทางผ่านสถานที่และเห็นสภาพแวดล้อมเก่าๆ ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากแต่ก็ช่วยรื้อฟื้นความจำและช่วยกระตุ้นสมองได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เช่น การได้พบเจอกับคนในชุมชน เพื่อนๆ ในวัยเด็กสมัยเรียนประถมศึกษาที่ยังคงหลงเหลือและใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิด การเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ ที่เคยไปบ่อยๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่พัทยาเนื่องจากผู้เขียนมีพี่ชายอยู่แถวอำเภอบางละมุง และหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานได้เดินทางมาท่องเที่ยวบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน การเดินทางกลับมาพักอาศัยในกรุงเทพซึ่งผู้เขียนอาศัยอยู่มาเกือบ 30 ปี เป็นต้น
  5. เคล็ดลับการเดินทางไปสู่โลกใหม่แห่งอนาคต เป็นเคล็ดลับการกระตุ้นสมองเมื่อเข้าสู่วัยทอง โดยในครั้งนี้ผู้เขียนเลือกเดินทางมาใช้ชีวิตที่ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเวลา 30 วัน เนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์นั้นประชาชนส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษ(ในกรุงมะนิลา)และหลานๆสื่อสารพูดคุยและเรียนภาษาอังกฤษสลับภาษาไทย  ผู้เขียนก็ช่วยสอนให้เด็กๆ หัดผู้ภาษาเขมรด้วยเช่นกัน การได้เดินทางมาเห็นสถานที่ใหม่ๆ และเส้นทางใหม่ๆ จะช่วยให้สมองมีการคิดประมวลภาพในการจดจำสถานที่ใหม่ๆ โดยในครั้งนี้ผู้เขียนใช้เทคนิคการถ่ายภาพลงเป็นสตอรี่ช่วยในการจำและย้อนรำลึกด้วยภาพผ่านเรื่องราวของชีวิต เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการต้องเผชิญกับอาหารการกิน ภูมิอากาศ สภาพสังคมอีกซีกโลกหนึ่งในอนาคต (คนเซราะกราว)
  6. เคล็ดลับการถ่ายภาพ และการบันทึกลงในสตอรี่ต่างๆในเฟสบุ๊ค เป็นเคล็ดลับการกระตุ้นสมองเมื่อเข้าสู่วัยทอง เพราะว่าการบันทึกเรื่องราวนั้นจะเป็นเรื่องราวที่มีความต่อเนื่อง สะดวก ง่ายในการรื้อฟื้น แค่เปิดโทรศัพท์มือถือย้อนดูสตอรี่เก่าๆ ก็ช่วยให้สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน ทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองในการคิดและแก้ปัญหาได้อีกด้วย
  7. เคล็ดลับการใช้ชีวิตแบบสังคมคนเมืองหลวง เนื่องจากผู้เขียนมีภาวะสมองเสื่อม หลงๆ ลืมๆ เป็นเด็กเซราะกราว การใช้ชีวิตแบบคนเมืองหลวงจึงมีประสบการณ์น้อย เช่น การใช้มือถือในการจองตั๋วเครื่องบิน(รวมถึงขั้นตอนและวิธีการเดินทางโดยเครื่องบิน) รถไฟ (การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รถไฟ เป็นต้น) การดูแอฟพลิเคชั่นต่างๆ การสั่งอาหารผ่านแอฟพลิเคชั่น วิธีการสั่งซื้อของออนไลน์ การถอนเงินผ่านตู้โดยใช้แอฟ หรือไม่ใช้บัตรเอทีเอ็ม เป็นต้น
  8. เคล็ดลับการเป็นนักช่างสังเกตการณ์ และเฝ้ามองพฤติกรรมของมนุษย์ รวมถึงการใช้จิตวิทยา การช่างสังเกตการณ์จะช่วยให้สามารถจดจำคน สถานที่ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมหรือมีอาการหลงๆ ลืม ร่วมกับการถ่ายภาพบันทึกในสตอรี่ในเหตุการณ์ที่อยากจดจำ เป็นต้น
  9. เคล็ดลับข้อสุดท้ายเป็นเคล็ดช่วยชะลอความเสื่อมและเป็นการกระตุ้นสมองช่วยในการจดจำคือการเขียนบทความ บันทึก ไดอารี่ ต่างๆ สำหรับผู้เขียนนั้นเลือกการเขียนบทความเพราะเป็นการเขียนเรื่องราวต่างๆ เพื่อต้องการสื่อให้กลุ่มผู้อ่านเข้าใจและเข้าถึงเนื้อหา รวมถึงการเขียนเรื่องสั้นซึ่งจะมีขึ้นในอนาคต เรื่อง “คนเซราะกราว” ใครสนใจชีวิตเรื่องราวคนเซราะกราวติดตามอ่านในเรื่องสั้นได้นะคะที่ Healthybestcare.com ว่าจะเด็ดแค่ใหน ตรงกับชีวิตของผู้อ่านบ้างหรือไม่

จากเคล็ดลับทั้ง 9 เคล็ดลับช่วยชะลอความเสื่อมของสมองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยทอง เพื่อนๆ ท่านใดที่เริ่มเข้าสู่วัยทองแล้ว ลองนำเคล็ดต่างๆ ที่กล่าวมานี้ไปปรับใช้ในการใช้ชีวิตของตนเองดูกันนะคะ ได้ผลลัพธ์ออกมาอย่างไร?  สามารถแสดงความคิดเห็นผ่านเฟสบุคได้คะ 

แชร์ให้เพื่อน

9 พื้นที่ส่วนกลางของที่พักอาศัยในกรุงมะนิลา

แชร์ให้เพื่อน

9 พื้นที่ส่วนกลางของที่พักอาศัยในกรุงมะนิลา

     สำหรับบทความนี้ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วเรื่องเก้าแนวทางการเลือกที่พักอาศัยกรณีเดินทางมาท่องเที่ยวหรือพักอาศัยในต่างประเทศ เนื่องจากพื้นที่สำหรับผู้เข้าพักอาศัยที่นี่มีสามตึกขนาดใหญ่ติดกัน และมีผู้คนเข้าพักอาศัยทั้งแบบประจำรายวัน รายเดือน รายปี อย่างเช่นที่พักที่ผู้เขียนอาศัยอยู่นั้นมีทั้งหมดสามตึกติดกัน และแต่ละตึกจะมีทางเข้า ออกของตนเอง มีพนักงานควรเปิดปิดประตูทางเข้าออก สำหรับพื้นที่ส่วนกลางนั้นทั้งสามตึกผู้ที่พักอาศัยจะใช้ร่วมกัน และสามารถเดินเชื่อมหากันได้ที่ชั้นหก เรามาดูกันเลยคะว่าสำหรับพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งสามตึกนั้นแบ่งเป็นพื้นที่ใช้ในส่วนของการออกกำลังกาย การพักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ส่วนของอาหารและเครื่องดื่มนั้นจะอยู่ที่ชั้นหนึ่ง และตึกทั้งสามตึกอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และตลาดสด ทำให้ผู้ที่เข้าพักอาศัยได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น เรามาดูกันเลยคะว่าพื้นที่ทั้งหมดนี้มีอะไรบ้าง มีการบริหารจัดการอย่างไร?

1.มีพื้นที่ส่วนของการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรค ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ได้แก่ ห้องฟิตเนส เป็นพื้นที่ในร่ม มีลู่วิ่งออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่คนนิยมมากเพราะเครื่องเต็มตลอด ผู้ที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ขณะวิ่งออกกำลังกายสามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนของสระว่ายน้ำ ช่วยในการพักสายตาและผ่อนคลายได้อีกด้วย การทำความสะอาดทุกวันจันทร์


2.มีพื้นที่ใช้สำหรับการว่ายน้ำและอาบแดด มีพื้นที่ส่วนในร่มและเก้าอี้อาบแดด เนื่องจากแดดที่นี่ค่อนข้างแรงในช่วงเวลากลางวันแต่กลางคืนและรุ่งเช้าอากาศเย็นสบาย ลมพัดผ่าน หากแต่สระว่ายน้ำไม่มีคนดูแลความปลอดภัย ดังนั้นหากเด็กๆว่ายน้ำต้องมีผู้ปกครองอยู่ดูแลตลอดเวลา การดูแลทำความสะอาดสระว่ายน้ำจะทำทุกวันช่วงเช้าและปิดทำความสะอาดทั้งหมดในวันจันทร์ของสัปดาห์ จึงทำให้มองดูสะอาดตา น่ามาใช้บริการ


3.มีพื้นที่สนามเด็กเล่นและห้องเด็กเล่น พื้นที่ส่วนตรงนี้มักจะมีเด็กๆมาเล่นช่วงเย็นที่มีมากหน่อยเพราะหลังเลิกงานพ่อแม่และคนเลี้ยงเด็กจะพาเด็กๆมาเล่นเพื่อเจอะเจอกันช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็กอีกด้วย และเสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีห้องและของเล่นเด็กที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการ​กล้ามเนื้อมัดเล็ก ปิดทำความสะอาดทุกวันจันทร์เช่นกัน


4.มีพื้นที่สำหรับการวิ่งออกกำลังกาย เป็นพื้นที่ด้านหลังของตึกที่สองเชื่อมระหว่างทั้งสามตึกเข้าด้วยกัน และพื้นที่สำหรับรถเข็นเด็กเพื่อพาเด็กเดินเล่น พื้นที่ส่วนของการเล่นโยคะ รำมวยจีนและนั่งปิกนิคเพื่อรับประทานอาหาร การดูแลรักษาความสะอาดทุกวันแต่จะทำความสะอาดใหญ่ในวันจันทร์ โดยการขัดล้าง ทำความสะอาด และรดน้ำต้นไม้และตัดแต่งต้นไม้ให้สวยงาม
5.มีพื้นที่สำหรับการนั่งทำงานหรือนั่งเล่นโทรศัพท์หรือเป็นจุดนัดพบของผู้พักอาศัยทั้งสามตึก ผู้ที่พักอาศัยมักจะมานั่งทำงาน เล่นโทรศัพท์แต่กฎระเบียบคือห้ามรับประทานในบริเวณนี้เด็ดขาด ขัดล้างทำความสะอาดพื้นที่ในวันจันทร์เช่นกัน
6.มีพื้นที่สำหรับการจัดการขยะมูลฝอย แต่ละชั้นจะมีห้องสำหรับนำขยะไปทิ้งเพื่อที่แม่บ้านจะได้นำไปทิ้งต่อไป
7.มีพื้นสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม จะอยู่ที่บริเวณส่วนของชั้นหนึ่งของตึก มีร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านอาหารไทย ฝรั่ง จีน  ญี่ปุ่น เกาหลี ครบวงจรเลยทีเดียว ผู้เขียนได้ไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้ประทับใจในรสชาติอะไรเพราะพื้นฐานจะชอบอาหารไทยอยู่แล้ว และเรามีแม่ครัวหัวป่า ประจำคือน้องสาวซึ่งผู้เขียนเดินทางมาครั้งนี้ก็หอบเครื่องปรุงและอาหารร่วมๆ 60 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าครัวไทยสู่ครัวฟิลิปปินส์​กันเลยทีเดียว การทำความสะอาดล้างในทุกวันจันทร์เช่นกัน
8.มีพื้นที่สำหรับจอดรถ จะอยู่บริเวณชั้นใต้ดินถึงชั้นห้า สำหรับส่วนตรงนี้ผู้เขียนไม่ได้เข้าไปใช้บริการเพราะไม่ได้เช่ารถขับเอง อาศัยการเดินเที่ยวละแวกใกล้ๆ และมีรถน้องสาวขับพาเที่ยวหากต้องไปไกลๆ
9.มีพื้นที่สำหรับการเก็บเอกสาร รับส่งเอกสารจะมีล็อคเก็บของที่ชั้นหนึ่ง สามารถเก็บของไว้ในล็อคได้

 
     เนื่องจากตึกทั้งสามตึกเป็นตึกขนาดใหญ่และมีความสูง46ชั้นมีผู้เข้าพักอาศัยจำนวนมากการบริหารจัดการและพื้นที่ใช้สอยร่วมกันจึงต้องมีกฎระเบียบต่างๆที่ต้องปฏิบัติตามแต่หากเด็กๆก็มักจะแหกกฏกันบ้างเช่นแอบนำขนมมากินที่สระว่ายน้ำ เป็นต้น

แชร์ให้เพื่อน

9 กิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะ

แชร์ให้เพื่อน

9 กิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะ

        กิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะนั้น  เป็นกิจกรรมที่สังคมคนเมืองหลวงเลือกที่จะทำเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด จากการดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่มีความกดดันในด้านการเดินทางไปทำงาน เศรษฐกิจ ซึ่งกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียดที่คนเมืองหลวงนิยมทำในสวนสาธารณะนั้น มีกลุ่มคนที่หลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายภาษา ทุกเพศ ทุกวัย หลากหลายกลุ่มอายุ  มารวมกลุ่มกันโดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันคือเพื่อการออกกำลังในสวนสาธารณะ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีอารมณ์ผ่อนคลายความเครียด และบางรายก็มานั่งทำงาน หรือจีบกันบ้างในสวนธารณะประปราย

       ผู้เขียนได้ออกเดินทางมาจากประเทศไทยดินแดนสยามเมืองยิ้มเพื่อมาท่องเที่ยว และเยี่ยมเยียนญาติที่มาพักอาศัยที่ประเทศฟิลิปปินส์  ณ.กรุงมะนิลา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ หลังจากผู้เขียนได้ผ่านมาเฝ้าสังเกตการณ์แล้วประมาณ 5 วัน ประมวลภาพได้ว่า คนที่มาทำกิจกรรมต่างๆ ในสวนสาธารณะทั้ง 2 แห่งนี้คือ Washington Sycip Park และ Legazpi Active Park นั้นเค้าทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง เรามาดูกันเลยคะ

  1. การออกกำลังกายเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรค กิจกรรมการออกกำลังกายในสวนสาธารณะนั้น มีมากมาย หลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละบุคคล แต่ละเชื้อชาติ เช่น การวิ่งเหยาะๆเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย การเดินเร็ว การรำมวยจีน การกระโดดเชือก การเต้นเพื่อการออกกำลัง โยคะ เป็นต้น
  2. การพาเด็กๆ หรือลูกๆมาเดินเล่นหรือมาเล่นที่สนามเด็กเล่นในสวนสุขภาพ จะช่วยให้เด็กมีเพื่อนเล่น ได้ออกกำลังกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้พัฒนาทักษะด้านภาษาและด้านสังคม เช่น ชื่อต้นไม้ ดอกไม้ ชนิดของสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
  3. การพาสัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่น ออกกำลังกายในสวนสาธารณะ เช่น การจูงสุนัขเดินเล่นออกกำลังกาย ซึ่งสุนัขที่นี่ มีมากมายหลากหลายสายพันธุ์นิสัยไม่ดุร้าย การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงช่วยให้ผู้เลี้ยงมีเพื่อนเล่น และมีจิตใจที่อ่อนโยน ได้รับความรักและมอบความรักระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงแบบไม่มีเงื่อนไขใดใด แต่หากการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีนิสัยดุร้าย ก็มักจะได้เห็นในข่าวอยู่บ่อยๆ ว่าสุนัขทำร้ายเจ้าของถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เป็นต้น
  4. การถ่ายภาพเพื่อรีวิวสถานที่ต่างๆ นอกจากจะเป็นงานอดิเรกแล้วยังก่อให้เกิดรายได้อีกด้วย หรือการถ่ายภาพเพื่อเก็บบันทึกไว้ในความทรงจำว่าเคยมาท่องเที่ยวหรือพักอาศัย ณ สถานที่แห่งนี้ เก็บภาพไว้เพื่อรำลึกเพื่อระยะเวลาผ่านไปให้ลูกหลานได้เห็น
  5. การมานั่งปิกนิกเพื่อรับประทานอาหารในวันพักผ่อนหย่อนใจ ที่ว่างเว้นจากการทำงาน ร่วมกันระหว่างคนภายในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง นั่งพูดคุยเพื่อผ่อนคลายความเครียด
  6. การมานั่งรับอากาศบริสุทธิ์ที่สวนสาธารณะ สำหรับคนในสังคมเมืองหลวงนั้นอาศัยอยู่ท่ามกลางตึกสูงใหญ่ ตระหง่านระฟ้า ห้องพักขนาดเล็ก การได้ออกมาเดิน นั่งเพื่อผ่อนคลายความเครียดในสวนสาธารณะจะช่วยให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนพร้อมจะเดินทางต่อไปในอนาคต
  7. การนัดเพื่อนมาคุยกันเรื่องธุรกิจค้าขายออนไลน์ มักจะพบว่ามีกลุ่มคนวัยเริ่มต้นทำงานมานั่งรวมกลุ่มเพื่อนำเสนอธุรกิจออนไลน์ นำเสนอสินค้าชนิดต่างๆ เป็นต้น
  8. การนัดเพื่อนๆ ของเด็กนักเรียนรุ่นเดียวกัน เพื่อติวเนื้อหาวิชาเรียน นั่งกินอาหารร่วมกัน เดินเล่น ถ่ายภาพเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ สำหรับโลกออนไลน์
  9. การนั่งจีบกันของคนวัยหนุ่มสาวในพื้นที่สวนสาธารณะ สำหรับในพื้นที่สวนสาธารณะที่นี่นอกจากจะใช้เพื่อการออกกำลังกายหรือกิจกรรมอื่นๆแล้ว ยังเป็นพื้นที่เหมาะสำหรับคนวัยหนุ่มสาวมานั่งพูดคุย จีบกันเพื่อช่วยให้กระชับความสัมพันธ์ปรับตัวเข้าหากันได้ก่อนที่จะตกลงปลงใจแต่งงาน

      จะเห็นได้ว่าพื้นที่ในสวนสาธารณะนั้นมักจะแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนสำหรับการวิ่งออกกำลังกาย การกระโดดเชือก พื้นที่พาสัตว์เลี้ยง พื้นที่สนามเด็กเล่น หากสนใจบทความแนวสุขภาพสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่

healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

7 วิธีการสร้างมิตรภาพของเด็กวัยเรียนประถมศึกษา

แชร์ให้เพื่อน

7 วิธีการสร้างมิตรภาพของเด็กวัยเรียนประถมศึกษา

            เด็กวัยเรียนประถมศึกษานั้น มีช่วงอายุประมาณ 6-12 ปี  มีพัฒนาการด้านการเจริญเจริญเติบโตด้านร่างกาย กล้ามเนื้อมัดใหญ่มีการพัฒนาได้เกือบเท่าผู้ใหญ่ และพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กมีพัฒนาการได้เช่นกัน เด็กๆ ในวัยเรียนประถมศึกษานี้มักจะมีกลุ่มเพื่อนที่เป็นวัยเดียวกัน ชอบเล่นกันเป็นกลุ่มวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่นเด็กผู้หญิงจะจับกลุ่มเล่นกับเด็กผู้หญิง และเด็กผู้ชายจะจับกลุ่มเล่นกับเด็กผู้ชาย เด็กๆส่วนใหญ่แล้วมักต้องการมีเพื่อนเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ได้แยกกลุ่มหรือเลือกกลุ่มโดยฐานะทางเศรษฐกิจ แค่อยู่ในโรงเรียนหรือมีกิจกรรมร่วมกัน เด็กก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว อย่างวันนี้ผู้เขียนพาลูกน้องสาววัยเรียนประถมศึกษาไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในเมืองมะนิลา ผู้เขียนสังเกตเห็นว่ามีเด็กๆเล่นน้ำกันเยอะแยะ ผู้เขียนพยายามชักจูงให้เค้ามาว่ายน้ำ เพื่อจะสอนให้ว่ายท่ากบ แต่เค้าก็ไม่ยอมมาเล่นกับผู้เขียนเพราะวัตถุประสงค์ในการมาว่ายน้ำไม่ใช่หัดว่ายน้ำท่านั้น ท่านี้ แต่ต้องการออกมาหาเพื่อนเล่นที่สระว่ายน้ำก็แค่นั้นเอง  เด็กสองคนนั่งมองเด็กฟิลิปปินส์กลุ่มหนึ่งเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ผู้เขียนจึงลองสังเกตพฤติกรรมต่อไปเรื่อยๆ ว่าเค้าจะมีวิธีหาเพื่อนเล่นได้อย่างไร ในกิจกรรมที่สระว่ายน้ำวันนี้  สักพักเค้าเริ่มคุยกันและทักทายกัน ผู้เขียนจึงเข้าร่วมบทสนทนาด้วยสอบถามมาจากใหน แนะนำตัวเป็นอะไรกับเด็กสองคนที่พาไปว่ายน้ำ หลังจากนั้นเค้าก็เล่นน้ำด้วยกัน

        สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยเรียนประถมศึกษาเรามาลองสังเกตลูกเราว่าเค้าเป็นเด็กแบบใหน หากพฤติกรรมของเด็กแล้ว มักจะต้องการเพื่อนเล่น ถ้าหากลูกเราเล่นคนเดียว ไม่ทักทายเพื่อนฝูงวัยเดียวัน อาจต้องช่วยให้ลูกมีเพื่อนเล่นเพื่อผ่อนคลายความเครียด เรามาดูกันเลยคะว่าเด็กวัยเรียนประถมศึกษาเค้าจะมีวิธีการสร้างสัมพันธภาพกันอย่างไรบ้าง? เพื่อที่จะช่วยให้ลูกมีการปรับตัวตามวัยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

  1. เด็กวัยเรียนประถมศึกษาเค้าจะเริ่มสังเกตพฤติกรรมของกลุ่มเพื่อนก่อนว่า เด็กคนใหนที่เค้าสามารถไปร่วมเล่น หรือทำกิจกรรมด้วยกันได้ เช่น วันนี้ผู้เขียนพาหลานสองคนไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง จริงๆแล้วที่พักก็มีสระว่ายน้ำในตึกแต่เค้าอยากมาว่ายน้ำที่นี่เพราะต้องการว่ายน้ำ เล่นน้ำกับเพื่อนวัยเดียวกัน หลังสังเกตได้ว่าเด็กคนใหนมีท่าทางเป็นมิตร อยากเล่นด้วย เค้าจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง
  2. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เค้าจะเริ่มเข้าไปคุยและทักทายสบายดีไหม อายุเท่าไหร่ มาจากประเทศอะไร เรียนที่ไหน ชั้นอะไร แนะนำตัวเอง เป็นต้น
  3. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เมื่อเลือกกลุ่มเล่นได้แล้ว เค้าจะเลือกกิจกรรมในการเล่น เช่น ในกลุ่มมี 4 คน เค้าจะเล่นให้เด็กตัวเล็กกว่าขี่คอ และว่ายน้ำแข่งกัน โดยมีการกำหนดกติกาต่างๆ ในการเล่น เท่าที่สังเกตได้ คือ เค้าจะกำหนดวิธีการเล่นใครชนะต้องทำอะไรต่อไป เช่น นับเลขหนึ่งถึงสิบ โดยให้ผู้แพ้ต้องลงไปแช่น้ำที่เย็น เป็นต้น
  4. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา จะเริ่มมาเล่าให้ผู้ปกครองทราบว่าตัวเองมีเพื่อนใหม่ ก็คือเพื่อนที่เพิ่งเจอกันนั่นแหละ  และเล่นน้ำด้วยกัน เค้าก็จะบอกว่าคนในคือเพื่อนที่เป็น Best Friend ของเค้า และให้ผู้ปกครองถ่ายรูปเพื่อเก็บภาพไว้ดูหลังจากต้องจากกัน เพราะไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกตอนใหนนั่นเอง
  5. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา จะจับคู่เล่นเพราะต้องการคนที่เป็นคู่หูในการเล่นของแต่ละกิจกรรมนั่นเอง
  6. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เมื่อเล่นน้ำที่มีน้ำเย็นจัด เค้าจะชวนกันวิ่งไปยืนอาบแดดให้ตัวแห้ง และเล่นกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันเช่น เล่นซ่อนแอบ วิ่งไล่จับ เป็นต้น
  7. เด็กวัยเรียนประถมศึกษา เมื่อต้องจากลากันจากเพื่อนๆที่เพิ่งรู้จักกัน มักจะมีของเล็กๆน้อยๆมอบให้แก่กันเช่น สติกเกอร์ ลูกอม หรือ ของเล่นเล็กๆน้อย  ติดไม้ติดมือเมื่อต้องเดินจากลากันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ช่วยในการจดจำ เป็นต้น

      หากพ่อแม่ท่านใหนที่สังเกตว่าลูกๆ วัยเรียนประถมศึกษาแยกตัว ชอบอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อน  ชอบเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา ลองหาเวลาพาลูกวัยเรียนประถมศึกษาใปเล่นที่สนามเด็กเล่น หรือเล่นตามสวนสาธารณะ เพื่อที่จะได้ช่วยให้ลูกๆวัยเรียนประถมศึกษา รู้จักการเล่นเป็นกลุ่ม พัฒนาด้านภาษา และช่วยผ่อนคลายความเครียดและลดการเล่นโทรศัพท์ได้ด้วย

หากสนใจบทความการดูแลและการเลี้ยงลูกวัยเรียนประถมศึกษา สามารถหาอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน