9 เทคนิคการจัดการความเครียด (แบบง่ายๆ)

แชร์ให้เพื่อน

9 เทคนิคการจัดการความเครียด (แบบง่ายๆ)

ความเครียดหรือปัญหาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยและอยู่เนืองๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความเครียดหรือปัญหา เช่น บางคนก้าวเดินออกจากบ้านไปได้แค่หนึ่งช่วงเสาไฟฟ้าก็มีความเครียดวิตกกังวล ฉันลืมปิดประตู หน้าต่าง ไฟ แก๊ส เตารีด สารพัดจะลืม ต้องเดินย้อนกลับมาที่บ้านเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง บางคนขับรถบนถนนคนอื่นเค้าเปิดไฟเลี้ยวขอเปลี่ยนช่องทางก็หาว่าเค้าปาดหน้ารถตัวเองเกิดความเครียดด่า ชูนิ้วนาง เป็นมากขนาดนี้ก็ย้ายไปอยู่ดวงอาทิตย์คนเดียวเถอะ อย่าอยู่เลยเพราะบนโลกใบนี้ มีคนเยอะแยะไปหมด คนต่างจิตต่างใจ ต่างพ่อ ต่างแม่ และความต่างอื่นๆ อีกมากมาย บางคนนั่งอยู่คนเดียวก็เครียดไม่ได้มีสิ่งกระตุ้นภายนอกอะไร หากแต่ความเครียดเกิดจากปัจจัยภายในอย่างเดียว บางคนเห็นคนอื่นเครียดก็เครียดไปด้วย ไม่รู้จักปล่อยวาง (ที่กล่าวมาทั้งหมดผู้เขียนก็เข้าข่ายอาการเครียดอยู่บ้าง)

สำหรับเนื้อหาที่จะเล่าให้ฟังผ่านบรรทัดดังต่อไปนี้จะเป็นการกล่าวถึงเทคนิคการระบายความเครียดแบบง่ายๆ ครบจบในตอนเดียวซึ่งมีทั้งหมด 9 เทคนิคด้วยกันดังต่อไปนี้

  1. เทคนิคการวิเคราะห์ต้นตอของปัญหาที่ก่อให้เกิดความเครียด หรือสาเหตุของความเครียดนั่นเอง (เริ่มต้นด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ คือ การใช้องค์ความรู้เพื่อค้นหาความจริง เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาหรือจัดการกับความเครียดนั่นเอง สำหรับในประเด็นการค้นหาปัญหาของความเครียดนี้จะช่วยให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าปัญหาความเครียดนั้นต้นตอเกิดจากตัวเราเอง เกิดจากบุคคลอื่น หรือสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (หากเกิดจากบุคคลอื่น ก็อย่าใส่ใจ หรือการปล่อยวาง เพราะปัญหาคนอื่น เดี่ยวเค้าก็แก้ปัญหาของเค้าเพราะแค่คนในครอบครัวมีแค่ พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย นี่ก็มากมายแล้วถ้าต่างคนต่างเครียดแล้วเราไปแบกรับปัญหาทั้งหมดอาจทำให้กลายเป็นโรคประสาทได้ เมื่อทราบต้นตอของปัญหาแล้วก็เข้าสู่กระบวนการถัดไป
  2. เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริงของปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียดโดยใช้วิธีการสังเกตตัวเอง คนอื่น หรือสิ่งแวดล้อมรอบกาย โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยยังไม่ลงความเห็นของผู้สังเกต เช่น ขับรถบนถนนอยู่ดีดี รถคันอื่นเปิดไฟขอทางเพื่อเปลี่ยนช่องทาง แสดงว่าคนขับรถคันนั้นอาจมีปัญหาหรือกำลังเครียดอะไรอยู่หรือเปล่า อาจมีคนป่วยอยู่ในรถ หรือรีบไปรับใคร หรือเหตผลอื่นๆ อีกมากมายที่เราไม่อาจทราบได้ (ไม่ได้ลงเคาะกระจกถาม แต่ใช้วิธีชูนิ้วกลาง หากคนที่ไม่ใส่ใจกับสัญลักษณ์นั้นก็จะขับรถไปเรื่อยเรื่อย ทั้งนี้อย่าลืมเคารพกฎจราจรด้วยละ จะขับเลนขวากินลม ชมนก ชมไม้ ก็ไม่ถูก) เมื่อรวบรวมจำนวนปัญหาได้ครบแล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไป
  3. เทคนิคการวัดหรือการจำแนกความเครียด  มีมากน้อยแค่ใหน รุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บทางร่างกาย ทางจิตใจ หรือแค่ลมผ่านสัมผัสผิวหนัง เพื่อจะได้เลือกเครื่องมือในการจัดการกับความเครียดหากเป็นทางกายบาดเจ็บก็ต้องเลือกแนวทางการรักษา อาจจะรักษาดูแลตนเอง หรือให้คนอื่นรักษาก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าหากการบาดเจ็บนั้นไม่สามารถรักษาหรือดูแลได้ด้วยตนเองก็ยอมให้คนอื่นรักษาเถอะ แต่ถ้าหากเป็นการเจ็บป่วยทางจิตใจก็มีวิธีการสงบสติอารมณ์โดย การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม การนับลูกปะคำ นับก้อนหิน ดิน ทราย นับแกะ แพะ วัว ควาย รวมถึงการนับเงิน ทอง เป็นต้น
  4. เทคนิคการลงความเห็นหลังจากได้ทำตามสามขั้นตอนที่กล่าวมา โดยใช้ความมีเหตมีผล เช่น นักเรียนเครียดที่จะต้องสอบพรุ่งนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ สิ่งที่ทำได้ ณ ตอนนี้คือ ลงมืออ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด  ให้เพื่อนติวให้ แอบฟังเพื่อนท่องก่อนเข้าห้องสอบ (ลอกข้อสอบเพื่อนอันนี้ถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ขอแสดงความคิดเห็น) สุดท้ายต้องทำใจละว่าผ่านหรือไม่ผ่านอยู่ที่เราทำ แล้วค่อยกลับมาทบทวนเข้าหลักทางวิทยาศาสตร์อีกครั้งเพื่อเป็นการแก้ปัญหาในการสอบครั้งต่อไป (ปัญหาที่พบคือไม่แก้ปัญหาอย่างจริงจัง สอบครั้งต่อไปก็เข้าวงจรเดิม หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าวงจรอุบาทนั่นเอง)
  5. เทคนิคการพยากรณ์ อันนี้ไม่ได้เป็นเทพีพยากรณ์แต่อย่างใด แต่การพยากรณ์จะช่วยให้เราทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เช่น  มีเงินเดือน 30,000 บาท ใช้หมดตั้งแต่ต้นเดือน 25,000 บาท แบบนี้คงต้องเครียดละ เพราะเงิน 5,000 บาทต่อเดือนอาจไม่เพียงพอต่อการจับจ่ายใช้สอยต้องหาหยิบยืม ญาติ พี่น้อง พ่อ แม่ เพื่อน (เสียเพื่อนไปเลยก็มี อย่าลืมว่าเพื่อนเราอาจไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า บางคนให้ยืม 500 บาท เพื่อนอาจมีแค่ 1,000 บาท นี่ถือว่าเพื่อนตายเลยนะ เพราะว่าธนาคารการกู้ยืมไม่มีหลักประกันไม่ปล่อยกู้นะ ไหนต้องสำรองเงินอีกละ ล้มละลายระเนระนาดไม่รู้ด้วยนะ) หลังจากคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้แล้วก็เข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
  6. เทคนิคการวิเคราะห์ตัวตนของเราว่า เรามีทัศนคติกับการจัดการกับปัญหา ความเครียดอย่างไร เช่น มีความเครียดหรือปัญหาก็แก้ปัญหาไป โยนความเครียดหรือปัญหาให้คนอื่นแก้ไข หลีกเลี่ยงความเครียดหรือปัญหา (การหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธปัญหาเป็นหลักทางจิตวิทยาเพราะคนเราไม่สามารถทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ปัจจุบันทันด่วน หากว่ามีใครทำใจได้นี่ต้องขอนับถือจริงๆ เมื่อรู้เราและรู้เขา(ความเครียดหรือปัญหาแล้ว) เข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
  7. เทคนิคการเผชิญความเครียดหรือปัญหาแบบเฉพาะหน้าทันที ทันใด และแก้ปัญหานั้นเลย เช่น มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยรายปี ปีละ 100,000 บาท แต่ไม่มีรายได้เข้ามาอาจต้องพิจารณาขายสินทรัพย์ออกเพื่อตัดลดยอดเงินต้นหรือดอกเบี้ย ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาดอกบี้ยบานปลาย หรือเป็นมะเร็งระยะแรกไม่ดูแลสุขภาพปล่อยให้มะเร็งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเป็นต้น
  8. เทคนิคการปล่อยวางกับความเครียดหรือปัญหา หากว่าปัญหานั้นเกินไม่รับผิดชอบหรือความสามารถของเราแล้วให้ปล่อยวาง
  9. เทคนิคสุดท้ายและท้ายสุดคือ ช่าง….(เมื่อได้ลองใช้เทคนิคทั้งหลายทั้งมวลที่กล่าวมาแล้ว) เช่น มีคนพยากรณ์ว่าโลกจะแตก ฟ้าจะถล่ม โรคจะระบาดหนัก อีก 20 ปีข้างหน้า) เป็นต้น

หากใครที่กำลังมีปัญหาในชีวิตหรือมีความเครียดแม้เพียงเล็กน้อยหรือใหญ่หลวง ลองใช่เทคนิคทั้ง 9 เทคนิคนี้ดูนะคะได้ผลลัพธ์อย่างไรเล่าให้ฟังด้วยนะคะ สามารถติดตามบทความดีดีได้ที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

Episode 1 ติดเชื้อโควิด 19  (ตอน กักตัวที่โรงพยาบาลสนามและย้ายเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาล)

แชร์ให้เพื่อน

Episode 1 ติดเชื้อโควิด 19  (ตอน กักตัวที่โรงพยาบาลสนามและย้ายเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาล)

หลังจากแพทย์ของโรงพยาบาลสนามได้ซักประวัติทางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วได้ส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนามต่อไป  ซึ่งมีการแจกที่นอน ผ้าห่ม หมอน และมุ้งสำหรับกางเพื่อกันยุง และถังหนึ่งใบสำหรับใช้ซักผ้า หลังได้อุปกรณ์ครบแล้วจะมีแยกย้ายเข้าไปนอนตามเตียงที่กำหนดไว้  และรับยาเพื่อรักษาอาการโควิด 19 ยาที่ได้ส่วนใหญ่แล้วเป็นยาพื้นฐานเช่น ยาลดน้ำมูก ยาลดไข้ ลูกอมแก้เจ็บคอ ยาแก้ไอละลายเสมหะ พื้นที่สำหรับการกักตัวนั้นมีพื้นที่กว้างมาก หากกลุ่มที่มีอาการเหนื่อยร่วมด้วยก็ทำให้มีความลำบากในการใช้ชีวิตช่วงกักตัวเพราะการเดินทางไปห้องน้ำ การเดินทางไปรับอาหารเพื่อรับประทาน สำหรับผู้เขียนเองนั้นมีภาวะซีดร่วมด้วยจึงอยู่ด้วยความยากลำบากเพราะมีอาการเหนื่อยง่าย หลังกักตัวได้ประมาณ 2 วันเริ่มมีอาการสับสนมากขึ้น ประสาทหลอน หวาดระแวง คิดว่าตัวเองนั้นตายไปแล้ว ร่างกายมีเชื้อโรคเต็มไปหมด (ตรวจวัดชีพจรและวัดออกซิเจนตลอดเวลา ทั้งบังคับให้น้องสาวใช้ไฟจากมือถือส่องดูม่านตา รวมถึงส่องดูม่านตาน้องสาว ตอนนั้นสังเกตว่ารูม่านตาขยายเต็มที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อแสงแต่อย่างใด ที่ทำแบบนี้เพราะทำงานในแผนกผู้ป่วยหนักมาก่อนเป็นระยะเวลาถึง 10 กว่าปี)  คิดว่าตัวเองเป็นคนแพร่เชื้อโควิด 19  หวาดกลัวว่าเค้าจะส่งตัวไปเผาทั้งเป็น อยากหนีออกจากโรงพยาบาลสนาม น้องสาวที่ไปรักษาตัวด้วยกันจึงต้องแจ้งเจ้าหน้าที่เนื่องจากผู้เขียนมีอาการสับสน หวาดระแวง โวยวาย เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสนามจึงส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด (ผู้เขียนต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสนามที่ปฏิบัติงานในวันนั้นหากไม่ได้ความความช่วยเหลือ คงไม่มีวันนี้ เหมือนกับตายแล้วกลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง)

ณ.โรงพยาบาลประจำจังหวัด

เมื่อรถฉุกเฉินเข้าไปส่งถึงโรงพยาบาลที่แผนกฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ทำการซักประวัติ  พร้อมให้เข้าไปวัดสัญญาณชีพซึ่งเป็นห้องที่แยกตัวออกมา ผู้เขียนยังยืนยันว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว ที่เดินได้นั้นเป็นซากศพเดินได้ ไม่มีชีวิตหรือจิตใจอะไร หลังวัดสัญญาณชีพเสร็จจึงถูกส่งตัวขึ้นไปที่แผนกโควิด ผู้ป่วยรอบข้างใส่ท่อทางเดินหายใจ ได้รับออกซิเจนช่วยหายใจ แต่ผู้เขียนได้รับการตรวจเลือดหลังจากนั้นได้รับฉีดยาน่าจะเป็นยานอนหลับ ซึ่งเป็นการได้พักผ่อนนอนหลับในวันแรกของการเจ็บป่วยโควิด 19 พร้อมกับได้รับยาทางจิตเวช ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกินยาทางจิตเวชคือ การทรงตัวลำบาก ลิ้นแข็ง การกินหรือการกลืนลำบาก ไม่อยากทำกิจวัตรประจำวัน ไม่อยากเดินเข้าห้องน้ำหรือแปรงฟัน มีอาการซึมเศร้า ไม่พูดคุย  การรับประทานอาหารไม่มีรสชาติ ร่างกายเริ่มบวมมากกว่าปกติ หลังรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ประมาณ 2 วัน อาการทั่วไปก็ไม่ได้ดีขึ้น ปัญหาที่พบคือการนอนไม่หลับ ได้รับยาทางจิตเวชกินต่อเนื่อง ยังสงสัยมาจนถึงปัจจุบันนี้ว่าเชื้อโควิด 19 ทำให้เกิดปัญหาทางจิตเวชจริงหรือ? หรือเป็นปัญหาด้านความไม่สมดุลของกรดด่างกันแน่ 

ช่วงนอนรักษาตัวในห้องรวมผู้ป่วยโรคโควิด 19 ของโรงพยาบาล  บรรยากาศเต็มไปด้วยอาการเศร้าสร้อย เหม่อลอย ไม่มีชีวิตชีวา มองไปทางใหนมีแต่ผู้ป่วยหอบเหนื่อย การใช้ชีวิตแบบโดดเดี่ยว ผู้ดูแลก็ต้องระมัดระวังตัว รีบทำงาน รีบเดินออกจากห้องไป เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด กลับมาซึมเศร้าอีกครั้ง อาหารการกินรสจืด แห้งๆ เราสามารถแอดไลน์เพื่อซื้ออาหารโดยการโอนเงินผ่านแอฟธนาคารในการซื้อของกินหรือของใช้แต่ก็มีอาหารที่ญาตินำมาฝากให้แต่ก็ต้องรอเป็นรอบเช้าและบ่ายเท่านั้น

เมื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลผ่านมาได้สองวันเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้ออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปกักตัวต่อที่โรงแรมแห่งหนึ่ง  แนวทางการรักษาปัญหาด้านอาการหวาดระแวงและประสาทหลอน ยังคงได้รับยาทางจิตเวชเหมือนเดิม ปัญหาการนอนไม่หลับยังเป็นปัญหาใหญ่ แพทย์สั่งยาจิตเวชให้กินต่อเนื่อง เรากินบ้าง ไม่กินบ้างเพราะมีปัญหาการทรงตัว ลิ้นแข็ง และเราไม่ได้มีประวัติการป่วยทางจิตเวชมาก่อนจึงไม่เลือกรับประทานยาจิตเวชต่อเนื่องแต่รับประทานเป็นบางวันเท่านั้น และปัญหาการนอนไม่หลับก็ยังคงอยู่แบบต่อเนื่อง ใช้วิธีการดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกายโยคะเบาๆ ฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายด้านจิตใจ

เข้าระบบแอฟของธนาคารทำการโอนเงินแจกจ่ายให้ญาติพี่น้องเพราะคิดว่าตัวเองอาจไม่ได้มีชีวิตรอดได้ยาวนาน ขณะรักษาตัวในโรงแรมนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อประสานงานเพื่อให้น้องสาวมากักตัวที่โรงแรมเพราะจะได้มีคนคอยดูแล กลัวว่าเรามีอาการหวาดระแวงและกระโดดตึกหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ หลังกักตัวรวมรักษาตัวที่โรงแรมเป็นเวลาประมาณ 14 วัน เจ้าหน้าที่แจ้งให้กลับไปกักตัวต่อที่บ้านอีก 14 วัน

หากชอบบทความนี้รบกวนติดตามการกักตัวต่อที่บ้านอีก 14 วัน นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง?

 

แชร์ให้เพื่อน

Stories 1 (การเริ่มต้นชีวิตใหม่)

แชร์ให้เพื่อน

Stories 1 (การเริ่มต้นชีวิตใหม่)

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในรอบวงจรของชีวิตมนุษย์นั้น  ไม่ได้มีเพียงครั้งเดียวสำหรับการเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เท่านั้น หากเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่เราผ่านพ้นวิกฤติชีวิตต่างๆที่ผ่านมา เช่น วิกฤติการเจ็บป่วย วิกฤติการอกหัก วิกฤติการหย่าร้าง หรืออื่นๆ แล้วแต่ใครจะได้ประสบพบเจอ แล้วเราก็ทำจิตใจและร่างกายให้พร้อมที่จะต่อสู้และเริ่มต้นกับชีวิตใหม่โดยรับรู้ถึงเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ยึดติด เพียงแต่การระบายออกมาเป็นตัวหนังสือจะช่วยให้เราสามารถก้าวผ่านวิกฤติได้อย่างสง่างาม สำหรับในบทความนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงการกำเนิดเกิดขึ้นมาของเด็กแรกเกิดคนหนึ่ง พร้อมกับความเชื่อเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธา ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดของเด็กแรกเกิด

เด็กๆ มักจะถามพ่อแม่อยู่เสมอว่า “หนูเกิดมาจากใหนคะ” สำหรับพ่อแม่บางคนอาจตอบว่า “เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่” เป็นการเลี่ยงคำตอบเนื่องจากไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี สำหรับแนวทางการตอบนั้นสามารถหาอ่านเพิ่มเติมเรื่องเกี่ยวกับจิตเวชเด็ก  ซึ่งมีนิทานประกอบที่เด็กเกิดจากกระบอกไม้ไผ่นั่นเอง แล้วเด็กก็อาจจะเชื่อแบบนั้นความความคิดของเด็กๆ  หากแต่ความเป็นจริงแล้วมนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการ จากลิงหรือที่เรียกว่า ลิงกับมนุษย์เป็นเครือญาติกัน  ตามแนวคิดด้านวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน แต่เราก็ไม่ต้องกังวลต้องตามหาต้นตอที่แท้จริงหากรับรู้เพียงว่ามี  พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด เราคือใคร? ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เรามาดูการเกิดขึ้นมาของเด็กคนหนึ่งในสมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง หากเปรียบเทียบกับสมัยปัจจุบันนี้?

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ในสถานที่ชนบทแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด  ในสมัยนั้นระบบสาธารณูปโภคยังเข้าไม่ถึงชนบท ไม่มีไฟฟ้าใช้(ใช้ตะเกียง เทียนไข) ไม่มีน้ำประปา(ใช้น้ำบ่อ สระน้ำ) ไม่มีรถยนต์(ใช้เกวียนในการเดินทาง) การเข้าถึงสถานบริการด้านสุขภาพยังน้อยมากมีเฉพาะในตัวอำเภอ (โรงพยาบาลสงเสริมสุขภาพไม่ต้องพูดถึง มีการจัดตั้ง อสม เมื่อปี 2523) หากว่าสตรีตั้งครรภ์ครบอายุครรภ์ 9 เดือนก็จะต้องเตรียมหาหมอตำแย หรือสมัยปัจจุบันคือพยาบาลผดุงครรภ์นั่นเอง ดังนั้นการเกิดขึ้นมาในสมัยก่อนจะไม่สามารถกำหนดวันเกิด เวลาเกิดเหมือนสมัยปัจจุบันที่เลือกวัน เวลา เพื่อเป็นฤกษ์งามยามดี แล้วผ่าคลอดออกมาจากท้องแม่ สมัยก่อนนั้นในการเกิดขึ้นมาของมนุษย์มักจะเชื่อมโยงกับความฝันก่อนการตั้งครรภ์ตัวอย่าง เช่น แม่ฝันว่ามีหญิงชราคนหนึ่งเป็นคนผิวพรรณดี ผิวขาว ผมขาวยาว กลัดไว้บนหัว เป็นคนที่มีความรอบรู้ด้านลายแทงต่างๆ เช่น ทักษะการทำลวดลายผ้าไหมมัดหมี่ได้อย่างงดงามตระการตา ไม่มีใครเทียบกับนางได้ นำตุ๊กตาเด็กมีสีดำมาให้  ทั้งที่แม่ตอบปฏิเสธว่า “ไม่อยากได้หรอก” เพราะมันดูน่าเกลียดและน่ากลัว แต่หญิงชราคนดังกล่าวก็ไม่ยอมลดละความพยายาม บอกถึงข้อดี ว่าถ้าได้ตุ๊กตานี้ไปแล้วจะทำให้สามารถทำลวดลายผ้าไหมมัดหมี่ได้อย่างสวยงาม แม่จึงยอมรับตุ๊กตามาเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ  หลังผ่านมาได้ 9 เดือนในการอาศัยอยู่ในครรภ์ การเกิดขึ้นลืมตาดูโลกเมื่อ

วันพุธ กลางคืน วันที่ 21 เมษายน 2514 เวลาตี 5 เด็กคนหนึ่งเกิดมาด้วยรูปร่างเล็ก แคระแกรน  ตัวดำคล้ายตุ๊กตาตามความฝัน โดยมีผู้ทำคลอดก็คือหมอตำแยนั่นเอง หลังจากที่หมอตำแยทำคลอดเสร็จแล้วก็ใช้ใบมีดหรือรวกไม้ไผ่ ตัดสายสะดือ มัดสายสะดือด้วยด้ายสีขาว อาบน้ำ สระผม ล้างไขมัน ทำความสะอาดร่างกายแล้วห่อตัวด้วยผ้า นำไปวางบนอุปกรณ์ช้อนกุ้ง หรือปลา พร้อมสมุด ดินสอ และดอกหญ้าแพรก เป็นการวางเพื่อรับขวัญสำหรับการลืมตาดูโลก เพราะมีความเชื่อว่า ในอนาคตจะเป็นคนที่มีมันสมองที่เฉลียวฉลาด ทำมาหากินเก่ง เรียนฉลาดนั่นเอง(อาจลืมนึกถึงเรื่องสุขภาพ) หลังจากผ่านมาไม่กี่วันก็จะมีความเชื่อหรือประเพณีการโกนผมไฟออกทั้งหมด เพราะมีความเชื่อว่า ผมที่ขึ้นมาตอนเกิดมานั้นต้องโกนผมไฟออกเพราะจะทำให้หลงลืมอดีตชาติ จะได้ไม่ต้องตามหาเครือญาติในสมัยอดีตชาติที่แล้ว สำหรับประเพณีการตัดหรือโกนผมไฟนั้น ถือเป็นความเชื่อมายาวนานจนถึงปัจจุบันนี้ หากแต่สำหรับเด็กบางคนที่เกิดมาแล้วมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง การโกนผมไฟจะไม่โกนออกทั้งหมด จะไว้ผมจุก หรือผมแกละ คล้ายกุมารทองเพื่อป้องกันไม่ให้ผีสาง นางไม้ เทวดา มาเอาชีวิตกลับไปคืน เป็นการใช้เคล็ด หรือความเชื่อ ความศรัทธาช่วยให้เด็กมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง  สำหรับแม่หลังคลอดนั้นก็มีความเชื่อ  เรื่องการอยู่ไฟเป็นระยะเวลาประมาณ 7 วัน เพื่อให้หญิงหลังคลอดได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ต้องยกของหรือทำงานหนัก อาบน้ำร้อน เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นหลังคลอดที่เกิดจากการเสียเลือด กินยาต้มสมุนไพรร้อนๆ เพื่อช่วยขับน้ำคาวปลา (เป็นหน้าที่ของสามีในการออกไปหาสมุนไพรในป่าตามคำบอกเล่าของคนโบราณ) อาหารนั้นจะจำกัดชนิดของอาหาร กินข้าวต้มกับเกลือ ปลา ไข่ ผักใบเขียวบางชนิด แต่จะไม่กิน มะเขือพวง เป็นต้น เพราะกลัวกินหลายอย่างแล้วอาจมีผลกระทบถึงเด็กเพราะเด็กน้อยจะกินนมแม่ในช่วงแรก ไม่ได้กินนมชง นมแพะ นมวัว นมควาย เหมือนสมัยปัจจุบันนี้

ติดตามบทความถัดไปเรื่องการเลี้ยงลูกน้อยสมัยโบราณ หากชอบบทความแนวนี้ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

Stories 1. (ตอน การเลือกคู่ครอง)

แชร์ให้เพื่อน

Stories 1. (ตอน การเลือกคู่ครอง)

บทความนี้ต่อเนื่องจากบทความที่แล้ว หลังจากที่คุณตัดสินใจได้ว่าความรักครั้งนี้  คุณเลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้ต่อไป การเลือกคู่ครอง  การเลือกคู่ชีวิตที่มีความเหมาะสมหรือที่เรียกว่ามีศีลเสมอกัน นั่นก็คือคุณมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่คล้ายๆ กัน เช่น ถ้าหากแฟนคุณเป็นคนเจ้าชู้ ชอบเที่ยวผับ กินเหล้า สูบบุหรี่ แต่คุณไม่ชอบกินเหล้า ไม่ชอบเที่ยวผับ หรือแพ้กลิ่นบุหรี่ ตอนสุดท้ายอาจต้องแยกทางกันไป จากความหวาดระแวงว่าแฟนจะมีคนใหม่ ดังนั้นการเลือกคู่ครองที่มีศีลเสมอกัน จึงมีหลักการดังนี้

 เบื้องต้นนั้นเราต้องเข้าใจความเป็นตัวตนของเราก่อนนั่นคือ รู้เรา หมายความว่าตัวตนที่แท้จริงแล้วเราเป็นคนแบบใหน  เราแสแสร้งแกล้งทำหรือไม่ หากแต่สิ่งที่สามารถประเมินได้นั่นคือ หลักการทางจิตวิทยา อาจเป็นรูปภาพให้คุณเลือกแล้วทายว่าคุณเป็นคุณประเภทใหน ก็อาจจะพอช่วยได้บ้างแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ทั้งนี้การวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของตนเองนั่นแหละดีที่สุดโดยไม่เข้าข้างตนเอง ให้วิเคราะห์ตามความเป็นจริง หรือการเลือกคู่ครองตามหลักลำดับของพี่น้องในครอบครัวเช่น ลูกคนโตกับลูกคนเล็กเหมาะกับการครองเรือนเพราะลูกคนเล็กมักจะเอาแต่ใจ ขณะที่ลูกคนโตนั้นจะมีความรับผิดชอบ แยกแยะได้ดีกว่า เพราะตอนวัยเด็กมีน้องพ่อแม่อาจไม่ได้ตามใจ จึงทำให้เด็กปรับตัวได้ดีกว่า ขณะที่ลูกคนกลางควรเลือกแต่งงานกับลูกคนโต หรือลูกคนเล็กได้ เพราะว่าลูกคนกลางนั้นอยู่ท่ามกลางพี่คนโตที่พ่อแม่เคยตามใจมาก่อน ลูกคนแรกในครอบครัว และมักใช้อำนาจสั่งการปกครอง ขณะที่พ่อแม่ไม่อยู่บ้าน หรือลูกคนเล็กเป็นคนสุดท้ายในบ้านได้รับการตามใจมาตั้งแต่เด็กจนโตเลยก็ว่าได้  ดังนั้นลูกคนกลางมักจะใช้ชีวิตแบบประนีประนอมระหว่างพี่คนโตหรือน้องคนเล็กในครอบครัว และลูกคนกลางนั้นจะสามารถปรับตัวได้ดีกว่า หากต้องแต่งงานกับลูกคนโต ลูกคนกลางจะต้องทำตัวเป็นลูกคนเล็กยอมลูกคนโตในบางเรื่องไปก่อน แล้วใช้ทักษะบางอย่างเพื่อให้ลูกคนโตรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจ หลังจากนั้นลูกคนกลางก็จะสามารถควบคุมได้นั่นเอง โดยที่ลูกคนโตไม่รู้สึกว่าตนเองโดนริดรอนสิทธิ

เรามาดูกันเลยคะ ว่าเราจะเลือกคู่ครองแบบใหนถึงจะอยู่ด้านกันได้ยืนยาวจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ทั้งนี้รวมถึงการเลือกคู่ครองในทุกๆ วัยนะคะ ไม่ใช่เฉพาะวัยเจริญพันธุ์อย่างเดียว หากใครที่ยังเป็นโสดอยู่สามารถใช้แนวทางนี้ไปเลือกคู่ครองดูนะคะ

  1. เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และขนมธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธา หากเราเป็นคนที่ยึดติดใน ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธา ชนิดที่ว่าไม่สามารถปรับตัวได้ อันนี้คงต้องเลือกแต่งานกับคนที่มีเชื้อชาติหรือขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ความศรัทธา เดียวกันเช่น ฉันต้องไปวัดทุกวันพระ ฉันต้องมีกุมารทอง หรือตักบาตรทุกเช้า แต่หากเราสามารถปรับตัวได้ อาจเลือกการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ก่อนนอน เราก็สามารถที่จะเลือกคู่ครองที่เป็นคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา หรือขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกันออกไปได้
  2. การศึกษา จะเห็นได้ว่าการศึกษาเป็นตัวหล่อหลอมด้านความคิด จิตใจ อารมณ์และสังคม สติปัญญา อันนี้ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงทั้งหมดว่าการศึกษาจะทำให้คนเป็นคนดีตามระดับการศึกษาที่สูงขึ้น หากแต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการอบรมการเลี้ยงดูในวัยเด็กด้วย ตามสำนวนไทยที่ว่า “ซื้อวัวให้ดูหาง เลือกนางให้ดูแม่” แต่ก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางคนอาจเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นออกไป แต่เบื้องต้นนั้นให้ดูหลักเกณฑ์นี้ก่อนได้ เราย้อนมาที่ระดับการศึกษาก่อนคะ เพราะการศึกษาจะทำให้คนมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป เช่น ผู้ที่มีการศึกษาด้านการตลาดมักจะเข้าใจหลักการทำตลาดเพื่อค้าขายจูงใจ ผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้ซื้อ  หรือ ผู้ที่มีความรู้ด้านการเงิน การลงทุนย่อมมีความรู้เรื่องของค่าเงินในปัจจุบันและอนาคต และมีแนวคิดด้านการลงทุนที่หลากหลาย หากอีกฝ่ายไม่เข้าใจก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการครองเรือนได้เช่นกัน
  3. ฐานะทางเศรษฐกิจ หากคู่ครองไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย อาจทำให้เกิดปัญหาหนี้สินตามมาได้ หรือสำหรับคู่ครองที่เริ่มต้นครอบครัวแบบต้องมีลูกตามมาอาจเกิดปัญหาการหย่าร้าง ส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูกๆ ตามมาได้เช่นกัน
  4. บุคลิกภาพ กริยาท่าทาง อุปนิสัยใจคอ  ความสนใจ ค่านิยม อุดมคติ ความประพฤติ ดังนั้นการได้เรียนรู้ด้านนี้ก่อนการตัดสินใจเลือกคู่จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการใช้ชีวิตสมรสที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนั้น จะต้องมีบุคลิกที่เข้ากันได้
  5. วุฒิภาวะทางอารมณ์ ประเด็นของวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่มีใครจะรองรับอารมณ์อีกฝ่ายได้ตลอดไป หากไม่มีการปรับตัว ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าไม่ให้แสดงอารมณ์ทางลบออกมา หรือเก็บกด เพราะหากเราเก็บกดอารมณ์ไว้ ยิ่งทำให้เมื่อเกิดการระเบิดขึ้นมาภายหลัง เกิดความรู้สึกหดหู่ เสียใจทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้เกิดปัญหาแยกทางกันได้ง่ายขึ้น คู่ครองต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน โดยการประนีประนอม ปรองดอง หากเรื่องใหนไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่โตก็ไม่ต้องใส่ใจ หรือสนใจนำมาเป็นประเด็นในการใช้ชีวิตคู่

ในการใช้ชีวิตคู่นั้น หลายคนอาจมีเหตุผลในการอยู่ด้วยกัน บางคนอาจเลือกแบบมีความรักอย่างเดียวเมื่อความรักหมดไปก็ต้องแยกทางกันไป ขณะที่บางคนเลือกอยู่แบบเข้าใจซึ่งกันและกัน ไว้วางไว้ เชื่อใจกัน ย่อมส่งผลให้มีความรักที่ยั่งยืนได้

@@@ ( ปล.ผู้เขียนเองก็ยังไม่ได้ผ่านการครองเรือนมาก่อน รบกวนใช้วิจารญาณในการอ่านเนื้อหาอย่างรอบคอบ หากผู้ครองเรือนท่านใดอยากเสนอแนะ หรือแสดงความเห็นเพิ่มเติม  รบกวนอินบอกเข้ามาได้ เผื่อว่าผู้เขียนจะได้มีแนวทางเพิ่มขึ้นในการใช้ประกอบการเขียนบทความหรือเลือกคู่ครองต่อไป) @@@


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

Episodes 1 (กักตัวในวัด เวลากลางคืน ที่เงียบสงบและวังเวง)

แชร์ให้เพื่อน

Episodes 1 (กักตัวในวัด เวลากลางคืน ที่เงียบสงบและวังเวง)

ประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย (ติดเชื้อโควิด 19)

หลังจากผ่านการเดินทางจากกรุงเทพกลับต่างจังหวัดเพื่อการกักตัวและรักษาความเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโรคโควิด 19  โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางร่วม 5 ชั่วโมง โดยไม่ได้หยุดพักช่วงตลอดการเดินทางแม้แต่เข้าแวะพักเข้าห้องน้ำใดใด  เรามองบรรยากาศข้างทางแบบหดหู่และเศร้าสร้อย ทั้งที่เรากำลังจะได้เดินทางกลับบ้าน แต่สุดท้ายปลายทางนั้นกลับเป็นวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกุฏิอยู่ใกล้เมรุเผาศพตรงข้ามกัน เมื่อรถฉุกเฉินไปถึงที่กักตัว เราสังเกตเห็น ข้าวของที่น้องสาวได้จัดเตรียมไว้ให้เพื่อกักตัวที่กุฏิวัด ซึ่งเป็นเพียงการกักตัวชั่วคราวก่อนส่งตัวไปรักษาต่อที่ศูนย์กักตัวประจำจังหวัด น้องสาวจัดเตรียม อาหารการกินที่เราเคยชอบได้แก่ น้ำพริกปลาทู ผักต้มหลากหลายอย่าง ขนมเทียนไส้มะพร้าว แต่เรากลับไม่ได้แตะต้องอาหารเหล่านั้นเลยแม้ผ่านมาทั้งวันโดยไม่ได้กินอาหาร  มีแค่น้ำดื่มเพื่อประทังความหิวกระหายตลอดการเดินทางที่เหนื่อยเพลียและอ่อนล้า   การเดินทางมาถึงที่พักเป็นเวลา พลบค่ำ บรรยากาศโพล้เพล้ ผีออกมาตากผ้าอ้อม (คิดเองเพราะอยู่ใกล้เมรุเผาศพอาจมีผีเป็นจำนวนมาก  ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบเจอซักครั้งเดียว พบเจอแค่ศพคนตายเท่านั้น) รีบกางมุ้งเตรียมที่นอนให้เรียบร้อย พร้อมอาบน้ำ ชำระร่างกาย ภายในห้องน้ำมีสายยางขนาดเล็กๆ เมื่อเปิดน้ำไหลออกมาน้อยมาก เราจินตนาการว่าน้ำที่ออกจากท่อน้ำนั้น เป็นน้ำยาฟอร์มาลินเพื่อมาล้างทำลายเชื้อโควิด เรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆหลังอาบในห้องน้ำ จึงรับวิ่งออกจากห้องน้ำเพื่อไปล้างตัวข้างนอก เพราะคิดว่าเป็นน้ำยาฟอร์มาลิน (เกิดจากอาการหลอนนั่นเอง) หลังจากนั้นต้องแอดไลน์เพื่อเข้าระบบการรายงานตัวเข้ากลุ่มการกักตัวและรายงานผลการวัดอุณหภูมิของร่างกาย และการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด

ณ.เวลาค่ำคืนนั้นอันเงียบสงบและวังเวง  ท่ามกลางเสียงนกร้อง แมลง จิ้งหรีด กบร้อง ระงมไปทั่วบริเวณเนื่องจากเป็นหน้าฝนและคืนฝนตกพรำๆ เรานอนหลับๆ ตื่นๆ ด้วยความวิตกกังวล ทั้งที่เพื่อนที่นอนร่วมกุฏิเดียวกันหลับไหลในเวลากลางคืนอันเงียบสงบในเวลาดึกสงัด  แต่เรานอนลืมตาโพรงพร้อมได้เย็นเสียงเพื่อนร่วมกุฏินอนกรนเป็นระยะๆ  หากสำหรับเราแล้ว คืนนั้นเวลาแค่ 12 ชั่วโมงแต่เหมือนเวลา 12 ปีเลยทีเดียว หูแว่วได้ยินเสียงลมตีหน้าต่าง จินตนาการเป็นผีหรือคนมาเคาะหน้าต่างยิ่งกลัวและหวาดระแวงไปใหญ่ จินตนาการยาวถึงการทำลายล้างคนติดเชื้อโรคโควิด 19 โดยการนำคนติดเชื้อไปเผาทั้งเป็นเพื่อเป็นการจัดการทำลายเชื้อให้หมดไปจากโลกนี้(อาการหลอนและจินตนาการ) มีอาการปวดร้อนตามกล้ามเนื้อขาและเป็นตะคริวเป็นระยะ น่าจะเกิดจากร่างกายขาดแคลเซียมหรือแร่ธาตุอื่นๆ ทำให้เกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกายนั่นเอง

ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าสร้อยและวังเวง จนถึงเวลาเช้าตรู่พร้อมกับเสียงพระสวดมนต์ยามเช้า ระฆังดังก้องกังวานเข้ามาในหู ได้เวลาต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของและเสื้อผ้าเพื่อเดินทางเข้าศูนย์กักตัวในตัวจังหวัดต่อไป  การเดินทางมีคนไปด้วยกันประมาน  10 ชีวิต นั่งแบบติดกันและแออัด อาจเป็นจากการใส่หน้ากากอนามัยทำให้เราหายใจได้ไม่สะดวกนั่นเอง การเดินทางเข้าตัวจังหวัดใช้เวลาประมาณ 30 นาทีท่ามกลางบรรยากาศฝนตกพรำๆอีกครั้ง ขณะที่เราไม่สามารถจดจำเส้นทางได้เลย ทั้งที่เส้นทางนี้เราเคยเดินทางมาตลอด

ณ.สถานที่กักตัวประจำจังหวัด

ผู้คนมากมายเดินเข้าสถานกักตัวแบบเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมายนัก  พูดคุยกันสนุกสนานเหมือนการไปพักผ่อนหรือการพักแรมนั่นเองเล่นมือถือ หัวเราะสนุกสนาน  ขณะที่เรานั้นกินอาหารไม่ได้ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับมีอาการหวาดระแวง หลังจากไม่ได้หลับพักผ่อนมาเป็นเวลาหลายคืนแล้ว (น้องสาวบอกไม่หลับไม่นอนเดินทั้งคืน)

ขั้นตอนแรกในการเข้ากักตัว

ทุกคนต้องแอดเพื่อเข้าสู่ระบบการเข้ากลุ่ม  เพื่อการสื่อสารข้อมูลต่างๆ เช่น การส่งข้อมูลการวัดไข้ การวัดระดับออกซิเจนในเลือด หลังจากนั้นทุกคนเข้าวัดความดัน ตรวจเชคเอ็กซเรย์ปอด รอแพทย์โทรมาสอบถามอาการทางโทรศัพท์ โดยการซักประวัติ และการตรวจพบเชื้อ รวมถึงการได้รับการรักษาอะไรมาบ้าง (เราในฐานะอดีตทำงานพยาบาลมาก่อนเราเล่าประวัติการเจ็บป่วยที่มี เช่น วัณโรคปอด ก้อนเนื้อในมดลูก การได้รับภาวะแทรกซ้อนจากยาวัณโรค และการรับยา Klacid ก่อนการรักษาโควิด 19 ในครั้งนี้) หลังจากนั้นเป็นการแยกเข้ารักษาตัวตามโซนต่างๆ ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นแบ่งตามอาการหนักเบานั่นเองเพราะเรากับน้องสาวได้อยู่ห่างกันออกไป

หากสนใจบทความนี้โปรดติดตามบรรยากาศการกักตัวต่อไปได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

9 สัญญานบ่งบอกว่าคุณกำลังมีความรักหรือความหลงกันแน่

แชร์ให้เพื่อน

9 สัญญานบ่งบอกว่าคุณกำลังมีความรักหรือความหลงกันแน่

เดือนนี้ยังคงเป็นเดือนแห่งความรักอยู่คงไม่สายเกินไปที่จะเขียนบทความเรื่องการแสดงอาการของคนกำลังมีความรัก หากแต่ความรักนั้นเป็นสิ่งที่สวยงาม ทำให้คนมีความสุข การรักแบบไม่มีเงื่อนไขใดใด จะเป็นความรักที่ยั่งยืนหรือคงทนถาวร แต่หากความรักที่มีการส้างเงื่อนไขกำหนดขึ้นมาแล้ว จะจบลงเมื่อเงื่อนไขนั้นสิ้นสุดลง เช่น รักเพราะรูปร่างหน้าตา ถึงแม้ว่ารูปร่างและหน้าตาจะเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่รูปร่างและหน้าตาจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เมื่อรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปเช่น อ้วนขึ้น ผอมลง หน้าตาแก่ขึ้น หรือรักเพราะเงิน ทรัพย์สินที่มี อาจพบเห็นข่าวตามหน้าเฟสบุ๊คอยู่บ่อยๆ ที่หลอกลวงว่า ลงรูปหน้าตาหล่อ(คนอื่น) มีบ้านหลังใหญ่ มีรถหรู ผู้หญิงจึงโดนหลอกเรื่องนี้ได้บ่อยๆ  หากเราไม่ได้สร้างเงื่อนไขเรื่องเงินมาเป็นประเด็นหลักแล้ว เราจะมองโลกของคนตามความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น ไม่ถูกหลอกได้ง่าย เรามาดูกันเลยนะคะว่าสัญญาณใดบ้างที่บอกว่าคนคนนั้นกำลังมีความรัก (ความรักทั้งหลายทั้งมวลนี้รวมถึงการรักตัวเองด้วยนะคะ)

  1. คุณรักสุขภาพและดูแลตนเองในทุกๆ ด้าน เช่น คุณจะลุกมาปฏิวัติตัวเองเรื่อง การออกกำลัง ดูแลรักษาหุ่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การดูแลด้านเสื้อผ้า หน้าผม ชนิดที่ว่า ก่อนก้าวเดินออกจากบ้านนั้นฉันต้องสวย มักกังวลเรื่องของความสวย ความงามต่างๆ เป็นต้น
  2. คุณมักจะโพสต์ข้อความ หรือรูปภาพที่สวยงาม มีจินตนาการเกี่ยวกับความรักออกมาซึ่งเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก ในขณะที่บางคนอาจเก็บเงียบ ไม่ยอมเปิดเผยตามสื่อใดใด จะทราบอีกทีก็โพสต์รูปภาพวันแต่งงานให้เพื่อนๆ ได้เห็นและประหลาดใจกันไป ว่าแอบมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้เพื่อนๆ ในกลุ่มก็ไม่ทราบเลย
  3. คุณมักจะโพสต์รูปคู่อยู่บ่อยๆ หรือขึ้นภาพหน้าโปรไฟล์ เป็นรูปคู่ สีหน้ามีความสุข หรือบางคนอาจไม่ได้โพสต์หรือเปลี่ยนแปลงรูปใดใดเลย เก็บเงียบเพื่อสยบความเคลื่อนไหว เหมือนจะกลัวว่าคนอื่นหรือเพื่อนจะทราบว่าตนเองกำลังมีความรักนั่นเอง อาจเป็นเพราะว่าคนคนนั้นอาจไม่ได้เป็นคนที่แสดงออกด้านความรัก หรือพูดคำหวานไม่ค่อยเป็นนั่นเอง
  4. คุณมักจะเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยโพสต์รูปภาพที่มีรูปคน(แฟน)ติดมาให้เห็นเลยซักครั้งเดียว มีแค่ภาพธรรมชาติที่สวยงาม จนทำให้คนสงสัยว่าคุณไปเที่ยวคนเดียวจริงๆ หรือ หากแต่ว่าถ้าไปเที่ยวกับเพื่อนก็ต้องมีเพื่อนคนใดคนหนึ่งโพสต์รูปภาพออกมาให้เห็นบ้างละ แต่ก็ไม่เสมอไปเพราะมีคนบางคนที่อาจรักตนเองมากและไม่ได้มีความรัก(แฟนจริง) จึงไม่สามารถนำรูปดังกล่าวมาโพสต์ได้
  5. คุณมักจะมีการวางแผนการในอนาคตของชีวิตที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เช่น ฉันจะต้องอาศัยอยู่ที่ใหนในอนาคต  ฉันจะประกอบอาชีพอะไรเพื่อการยังชีพ ฉันจะต้องวางแผนด้านการเงินเรื่องของการเก็บออมและการลงทุนไว้ใช้ในยามที่ไม่สามารถทำงานหาเงินมาใช้ได้ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน จับต้องได้ จะไม่อยู่ในโลกของการจินตนาการ
  6. คุณจะมีความมั่นใจในตนเอง และเชื่อใจ หากคุณใช้สมองในการคิดวิเคราะห์ตามหลักธรรมชาติของคนจริงๆ หากแต่บางคนนั้นรักด้วยความลุ่มหลง อาจเกิดจาก ความรักด้วยหน้าตาเช่น คนสวย คนหล่อ คนรวย แต่เมื่อสิ่งนี้หมดไปแล้ว ความรักก็ย่อมหมดตามไปด้วย ดังเห็นอยู่บ่อยๆ เช่น บางคนยอมอดทนเพื่อให้ผ่านปัญหาที่เกิดขึ้นถึงแม้ว่าคนใดคนหนึ่งได้ประสบกับปัญหานั้น เช่น ปัญหาด้านสุขภาพ ปัญหาด้านการเงิน เป็นต้น
  7. คุณจะรับฟังข้อคิดเห็นจากคนรอบข้างเพื่อนำมาคิดและวิเคราะห์ โดยที่คุณไม่ได้ใช้อารมณ์ เพราะการใช้อารมณ์นั้นจะเป็นตัวบดบังการมองคนตามความเป็นจริงเพราะว่าคนคนหนึ่งในการดำเนินชีวิตนั้น จะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเช่น มีปัญหาบ้าง ก็แก้ปัญหากันไป หากแต่ไม่เคยเกิดปัญหาอะไรเลยนี่ซิคือแปลกไปจากธรรมชาติของมนุษย์คนเดินดิน
  8. คุณจะปรับตัวในการใช้ชีวิตแบบมีเพื่อนร่วมทาง และใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น รู้จักแบ่งปัน คุณรู้จักรอ อดทนมากขึ้น ไม่สามารถทำตามใจตนเองได้เหมือนตอนอยู่คนเดียวได้
  9. ข้อสุดท้ายและท้ายสุดก็คือ คุณจะมีความสุขในการใช้ชีวิต และคนรอบข้างสามารถสัมผัสได้ว่า คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่า คุณอาจไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีรถคันหรูราคาแพง แต่คุณสามารถใช้ชีวิตได้ตามศักยภาพของตนเองหรือครอบครัวโดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อแข่งขันกับบุคคลอื่น แต่คุณจะแข่งขันกับตนเอง คุณจะมองตัวตนของตนเองและคนรักเป็นหลัก  คนอื่นเป็นแค่ภาพประกอบฉากในการแสดงบทละครของชีวิต หากแต่คุณหรือคู่ครอง(ถ้ามี)เป็นตัวเอกของบทละครของชีวิตนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการมีความรักนั้นไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้ใคร แต่ถ้าหากคุณกำลังมีความรักแล้วคุณต้องอดทนอย่างมากมาย เปรียบเทียบ หรือสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ ให้ถอยออกมาและใช้สมองในการมองว่าความรักครั้งนี้คุณจะไปต่อหรือพอกันแค่นี้ หากสนใจบทความดี ติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า “สัญญานเตือนภัยลูกน้อยวัยเรียนไม่ปลอดภัย”

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า “สัญญานเตือนภัยลูกน้อยวัยเรียนไม่ปลอดภัย”

เด็กวัยเรียนนั้นมีช่วงอายุ 6-12 ปี นับเป็นวัยที่มีความเปลี่ยนแปลงจากสังคมในบ้านเข้าสู่สังคมนอกบ้าน เด็กจะเรียนรู้ในทุกๆ ด้าน ส่วนใหญ่แล้วเด็กๆ มักใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ เรียนรู้ด้านภาษาการสื่อสาร กฎระเบียบต่างๆ การปรับตัวกับเพื่อนๆ และการแก้ปัญหา นับเป็นช่วงวัยที่ต้องสอน ด้วยหลักการและเหตุผล เด็กๆ มักจะถามว่า ทำไมถึงไม่ให้ทำสิ่งนี้ ทำไมถึงไม่ให้ทำสิ่งนั้น ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องมีความรู้รอบด้าน เพื่อจะสามารถอธิบายเด็กๆ ได้ เพื่อให้เด็กเกิดความมั่นใจว่าสิ่งที่รับรู้นั้นมีเหตุและมีผล การพูดคุยกับเด็กต้องกระชับ ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่พูดซ้ำๆ เพราะจะทำให้เด็กมีความรู้สึกว่า บ่น เกิดความรำคาญได้ พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบในการรู้จักชื่นชมเมื่อทำสิ่งที่ดี และขอโทษเมื่อตัวเองทำผิด ส่งเสริมให้ลูกรักการอ่านและการเขียน การวาดรูป เปิดโอกาสให้ได้คิดและตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยมีผู้ใหญ่ควบคุมดูแล การปลูกฝังด้านวินัยให้มีความรับผิดชอบในด้านการเรียนและชีวิตส่วนตัวของเด็กเอง ส่งเสริมให้มีการออกกำลังการเล่นกีฬา การเล่นกับเพื่อนวัยไกล้เคียงกัน ประเด็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยนี้เช่น
การติดเกม สื่อออนไลน์ ทีวี
พฤติกรรมก้าวร้าว แกล้งเพื่อน
ชอบโกหก ขโมยของ ล้อเลียน แยกตัว ซึมเศร้า
ไม่ยอมไปโรงเรียน

สถานการณ์ที่แสดงถึงพฤติกรรมความอยากรู้อยากเห็นของเด็กอาจทำให้เด็กได้รับอันตรายได้ เช่น

ณ.บริเวณสระว่ายน้ำของตึกแห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำ

(ผู้ปกครองและเด็กๆ): เตรียมอุปกรณ์พร้อมเพื่อว่ายน้ำ ประกอบด้วย ห่วงยาง ลูกบอล เพื่อเล่นและว่ายน้ำไปในตัว ช่วยผ่อนคลายความเครียดและเป็นการออกกำลังกาย
(พี่สาว) “เรามาว่ายน้ำแข่งกันไหม ใครชนะได้เล่นมือถือก่อน (เนื่องจากมีมือถือเครื่องเดียว สร้างนิสัยให้รู้จักแบ่งปันและการรอคอย)
(น้องสาว) “ได้เลย ยอมรับคำท้าทันที ทั้งที่ตัวเองนั้นเล็กกว่าพี่มากแม้อายุห่างกันแค่เกิดหัวปีท้ายปี”
(พี่สาว) “แม่ๆ เป็นกรรมการให้หน่อยคะ (น้องชอบโกงและเจ้าเล่อยู่บ่อยๆ พี่จึงต้องหาตัวช่วยประกอบในการตัดสิน)
(แม่) “ได้ ๆ พร้อมแจ้งว่าให้เริ่มออกตัวหลังนับหนึ่งถึงสาม พร้อมนับ 1 2 3 ไป” เป็นการฝึกนิสัยให้เคารพกติกาการแข่งขัน
(น้องสาว) “เย้ เย้ ฉันชนะแล้ว ได้ดูมือถือก่อนวันนี้”
(พี่สาว) “ยอมรับในกฎกติกาในเรื่องการรู้จักแพ้ ชนะและการให้อภัย”

ว่ายน้ำต่อไปสักพักเริ่มดึกละผ่านมาประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วได้เวลาอาหารเย็น
(แม่) “เด็กๆ เราเลิกว่ายน้ำกันเถอะเดี่ยวกินข้าวเสร็จมีเวลา อ่านหนังสือ ดูมือถือ เตรียมตัวเข้านอน พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนกันแต่เช้าตามปกติ เพราะโรงเรียนอยู่ไกลจากบ้านพอสมควรและรถติด”
(น้องสาว) “ได้คะ พร้อมรีบขึ้นจากสระว่ายน้ำก่อนใครรีบแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อ ผ้า ด้วยความรีบร้อนเหมือนจะไปทำอะไรซักอย่างหนึ่ง”
(พี่สาว) “รอด้วยไปพร้อมกัน แต่ไม่ทันละ”
(แม่) “รอแม่ก่อนนะเด่วไปพร้อมกัน เชื่องช้า อืดอาด เริ่มเข้าสู่วัยทอง” มัวแต่ล้างตัวในห้องน้ำ ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ ดังทั่วตึก กริ๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เฮ้ยยย ไฟไหม้นี่รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำ”
(คนในตึก) “ตกใจแตกตื่น วิ่งออกมาจากตึกกันจ้าละหวั่น ไฟไหม้ที่ไหน”
(รปภ) ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ภายในอาคาร เห็นเด็กคนหนึ่ง ยืนอยู่หน้าตู้คอนโทรลไฟไหม้คงทำอะไรซักอย่างหนึ่ง ถึงเกิดเรื่องขึ้น พร้อมมีพี่สาวยืนมองห่างๆ คงสงสัยมานานแล้วว่าสิ่งนี้คืออะไร?
(รปภ) “ลูกสาวคุณดึงสัญญาณเตือนไฟไหม้ในตึก พร้อมส่งหลักฐานแบบมัดตัวคนทำ คือ(น้องสาวตัวแสบ) อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คุณต้องจ่ายเงินค่ารีเซตระบบใหม่เป็นเงิน 4000 บาทนะครับ
(แม่) “น้อมรับความผิดที่ลูกวัยเด็กได้กระทำผิดเพราะเด็กอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีพ่อแม่ต้องรับผิดในสิ่งที่ลูกทำ อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
(แม่) “ทำไมหนูถึงไปดึงละลูก”
(น้องสาว) “หนูอยากรู้ว่า มันคืออะไร ทำสีหน้ายอมรับผิด น้ำตาไหลพราก ต่อไปหนูจะไม่ทำอีกแล้วคะ”
(แม่) “หนูต้องรับผิดชอบนะคะ แม่จะเอาเงินเก็บของหนูมาจ่ายค่าปรับ ถ้าหนูทำอะไรไม่บอกแม่ หนูทำผิดโดนจ่ายค่าปรับหนูก็จะไม่มีเงินเก็บเลยนะคะ”
(แม่) แจ้งเรื่องราวให้ที่บ้านทราบข่าว
(คนที่บ้าน) “เดือนก่อนเค้าส่งจดหมายมา เธอขับรถเกินความเร็วกำหนด ต้องจ่ายค่าปรับ 500 บาทนะ”
(แม่) “เออใช่ ขนาดฉันเป็นผู้ใหญ่ การขับรถเร็วก็ผิดกฎจราจร แล้วทำไมฉันจึงทำ”

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องราวนี้คือ
เด็กเมื่อย้ายที่อยู่อาศัยจากที่ที่ไม่เคยอยู่ พ่อแม่ต้องสอนการใช้ชีวิตในเมืองเช่น การข้ามถนน การระวังคนแปลกหน้า ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นห่างสายตา
เด็กๆ มักจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่หรือคนรอบข้าง ดังนั้น พ่อแม่ต้องระวังในการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
เด็กอายุไม่เกิน 20 ปีกระทำผิดกฎหมายจะได้รับผิดตามกฎหมายเด็ก แต่จะมีผลกระทบถึงผู้ปครองด้วย
บทเรียนนี้เป็นแค่พื้นฐานในการใช้ชีวิต แต่ให้มีความตระหนักว่าที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรที่สูญเสียแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่เป็นตราบาปที่ติดตัวตลอดไป

หากรักและห่วงใยลูกหลานต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่มีใครยินดีกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น จงทำเหตุการณ์ต่างไว้เพื่อเป็นบทเรียนในการดำรงชีวิตคะ


สนใจบทความดีดี หาอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า ผู้ชายวัยทอง (ตอน ที่ 3)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า ผู้ชายวัยทอง (ตอน ที่ 3)

วันนี้หลังจากครบกำหนดการล้างหูและหยอดยาฆ่าเชื้อที่หูครบเจ็ดวันแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นจึงตัดสินใจ
เข้ารักษาที่โรงพยาบาลต่อ
เพื่อจะได้ตรวจรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก ต่อไป ผู้ป่วยเลือกเข้ารักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่ง
หนึ่งเนื่องจากประกันสามารถเบิกได้กับโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น
การเข้ารับการบริการของโรงพยาบาลของรัฐบาลนั้นเราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปรับบัตรคิวก่อน 10 โมงครึ่ง
แต่เราไปเกินเวลาจึงแจ้งขอตรวจคลินิกนอกเวลาโดยเริ่มตรวจหลัง 4 โมงเย็น
เมื่อถึงเวลานัดจึงเข้าไปที่คลินิกพิเศษ ณ โรงพยาบาลแห่งนี้ตึกผู้ป่วยนอกดูดีมากมีร้านกาแฟที่ยี่ห้อดังอยู่ด้วย
ภายในแผนกหู คอ จมูก ดูดีมาก สะอาดดี เจ้าหน้าที่พยาบาลให้คำแนะนำและให้บริการดีมากพอๆกับ
โรงพยาบาลเอกชนเลยทีเดียว

เหตุการณ์ ณ ห้อง ตรวจวัดความดัน

(เจ้าหน้าที่): เรียกชื่อผู้ป่วยเพื่อเข้าตรวจวัดความด้น โดยเครื่องมือนั้นสามารถวัดจบในครั้งเดียวเลย เริ่มตั้งแต่
ให้ผู้ป่วยถอดรองเท้า นั่งสอดมือเพื่อวัดความดัน ใช้หน้าผาก
สัมผัสผ่านเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิ ลุกขึ้นยืนพร้อมชั่งน้ำหนักและส่วนสูง ได้ข้อมูลเบื้องต้นครบถ้วนใน
ครั้งเดียวเลย พร้อมได้ใบแจ้งเลขที่ในการรอตรวจซึ่งเป็นเลข VN นั่นเอง

(ผู้ชายวัยทอง)  แล้วผมจะได้เข้าตรวจ พบแพทย์ตอนไหนครับ หลังจากหันซ้าย แลขวามองผู้ป่วยคนอื่นๆ
ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว เริ่มแสดงอาการวัยรุ่นใจร้อนว่างั้นเถอะ
(เจ้าหน้าที่): เดี่ยวรอเรียกชื่อตรวจตามคิวนะคะ นั่งรอต่อไปสักพักถึงคิวตรวจ จึงเข้าไปตรวจในห้องแพทย์
เฉพาะทางหู คอ จมูก เราสังเกตุอุปกรณ์ล้วนทันสมัยและดูดีเลยทีเดียว
ต้องเข้ามารับบริการบ้างแล้ว

(แพทย์เฉพาะทาง):วันนี้มีอาการอะไรมาครับ
(ผู้ชายวัยทอง) ผมมีอาการหูอื้อ เวลาพูดฟังเสียงตัวเองไม่ค่อยได้ยิน หลังว่ายน้ำทะเลแล้วน้ำเข้าหูมา 2 สัปดาห์
(แพทย์เฉพาะทาง): งั้นเดี่ยวหมอขอตรวจหูก่อนนะครับ. พร้อมหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาส่องหูพร้อมพูดว่า
.เดี่ยวหมอล้างหูให้นะครับ มีขี้หูเยอะครับ.
หลังแพทย์ล้างทำความสะอาดช่องหูเสร็จ แนะนำให้ไปวัดระดับการได้ยินที่ห้องวัด หลังวัดเสร็จ
เจ้าหน้าที่แจ้งผลการวัด
(เจ้าหน้าที่วัดการได้ยิน): ผลการวัดของคุณมีระดับการได้ยินลดลงนะค่ะ อาจเกิดจากการเสื่อมตามวัยนะคะ.
เรานึกในใจมิน่าละเวลาคุยโทรศัพท์ หรือเปิดทีวีทำไมต้องเปิดดังมาก
.เดี่ยวกลับไปตรวจกับแพทย์ท่านเดิมนะคะ.
(แพทย์แฉพาะทาง):.ผมว่าหูอาจมีอาการติดเชื้อหลังจากน้ำทะเลเข้าหูนะครับ เดี่ยวผมสั่งยาฆ่าเชื้อที่แรงกว่า
ไปหยอดหูเช้าเย็นหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์เดี่ยวมาติดตามการรักษาอีกครั้งนะครับ.
(ผู้ชายวัยทอง):. แล้วผมสามารถว่ายน้ำได้ไหมครับ. ยังห่วงเรื่องการว่ายน้ำเพราะเป็นการออกกำลังกาย

ที่ชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ ช่วยคลายความร้อนของอาการวัยทองอีกด้วย
(แพทย์เฉพาะทาง):.ผมแนะนำให้หยุดพักไปก่อนช่วงหนึ่งสัปดาห์นะครับ เพราะอาจมีน้ำเข้าหู เกิดอาการ
ติดเชื้อเพิ่มได้.
(ผู้ชายวัยทอง):.ผมใช้ที่อุดหูว่ายน้ำป้องกันน้ำเข้าหู ว่ายได้ไหมครับ. สีหน้าแสดงความพยายามเพื่อต้องการ
ว่ายน้ำ
(แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ):.ไม่ได้ครับ เพราะไม่สามารถป้องกันน้ำเข้าได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ.
(ผู้ชายวัยทอง): แสดงสีหน้าเข้าใจ สิ่งที่หมอพูด
ณ.ห้องรอรับยา
(ผู้ชายวัยทอง):.ฉันว่าหมอเค้าหน้าตาเด็กมากเลยนะ. ไม่มั่นใจในการตรวจรักษาของหมอเนื่องจากหมอ
หน้าเด็กเกินไป อยากตรวจกับหมอวัยทองเหมือนตัวเองว่างั้นเถอะ
(ฉัน):.อารมณ์เริ่มขึ้นเพราะวัยทองเหมือนกัน .หน้าเด็กแล้วงัย แต่หมอมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง
นะคะ. พูดดักไว้ก่อนเดี่ยวไปตามหาหมอที่มีอายุมากอีก
(ผู้ชายวัยทอง):.พูดเสียงอ่อยๆ ก็ฉันเห็นเค้ายังเด็กอยู่เลย อาจไม่ค่อยรู้อะไร. ฉันนึกในใจ จะประเมินคนจาก
วัยและตัวเล็กว่ามีความรู้น้อยแบบนี้ไม่ได้นะลุง (เริ่มลามปามเหมือนกัน)
(เภสัชกร):.เรียกชื่อเพื่อจ่ายยาฆ่าเชื้อสำหรับหยอดหู พร้อมซักถามประวัติการแพ้ยา และแนะนำวิธีหยอดยา
ให้หยอดเช้าเย็นครั้งละ 5 หยดนะคะ อย่าให้ปลายขวดสัมผัสผิวหนังเพราะอาจทำให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
(ฉัน):.รับยา พร้อมกล่าวขอบคุณ.

รอติดตามตอนต่อไปนะคะว่าหลังหยอดยาครบหนึ่งสัปดาห์แล้วผลการรักษาจะเป็นอย่างไร


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ประสบการณ์หลังความตาย (ตอน ติดเชื้อโควิด 19) Episode 1  

แชร์ให้เพื่อน

Episode 1  

ประสบการณ์หลังความตาย (ตอน ติดเชื้อโควิด 19)

เชื้อโรคโควิด 19 เป็นเชื้อไวรัสตัวใหม่ที่ระบาดในช่วงปี 2019 (แม้ต้นตอของโรคยังคลุมเครือ?) สร้างความปั่นป่วนแก่ชาวโลกด้านการใช้ชีวิตไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ถือว่าเป็นวิกฤติทางภาวะด้านสุขภาพและเศรษฐกิจที่ต้องจดจำในกินเนสบุ๊ค  กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคงหนีไม่พ้นธุรกิจการท่องเที่ยวและตลาดทุน แต่ฉันก็เป็นคนหนึ่งละ ที่ได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อโควิด 19 โดยอ้อม (ฉันคิดว่าลำพังเชื้อไวรัสโควิดอย่างเดียว ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก หากแต่ร่างกายฉันได้รับผลกระทบจากยาบางตัวมากกว่า อาการจึงหนักกว่าคนทั่วไป)

อาการที่บ่งบอกว่าเป็นภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน ได้แก่ 

  • ผื่นแดงตามผิวหนัง ลมพิษ มีอาการคัน ผิวหนังแดงหรือซีด (มีอาการคันที่ผิวหนัง)
  • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม 
  • คลื่นไส้ อาเจียน (มี)
  • ปวดท้องหรือท้องเสีย (มี)
  • ความดันโลหิตลดต่ำลง (ไม่ได้วัดเพราะช่วงกักตัวไม่มีเครื่องวัดที่บ้าน)
  • ลิ้น ปาก หรือคอบวม (มี)
  • หายใจติดขัด (มี)
  • อาจมีเสียงดังหวีด (มี)
  • รู้สึกเหมือนมีสิ่งอุดตันในลำคอ กลืนลำบาก (มี)
  • แน่นหน้าอก ใจสั่น (มี)
  • ชีพจรอ่อน หัวใจเต้นเร็ว (มี)
  • ไอ จาม น้ำมูกไหล (มี)

ในเมื่อฉันรักษาตัวอยู่ที่บ้านการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการไม่มี จะเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ได้(เตียงเต็ม) ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาคือเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุลอาการของภาวะเกลือแร่ของร่างกายไม่สมดุลมีดังนี้คือ

อาการที่บ่งบอกถึงความเป็นกรดของร่างกาย 

1.น้ำหนัก (Weight) เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายเป็นกรด ของเสียที่ได้รับจะไม่ถูกขับออก ซึ่งนำไปสู่การสร้างของเสียส่วนเกิน นอกจากนี้ความเป็นกรดในร่างกายและอวัยวะที่รับผิดชอบในการล้างสารพิษ (ไต ลำไส้ใหญ่, ผิวหนังและระบบน้ำเหลือง) จะทำงานหนักเกินไป ดังนั้นความเป็นกรด จึงทำให้คุณมีน้ำหนักมากขึ้น (น้ำหนักเพิ่มไป 10 กิโลกรัมช่วงป่วยโควิด19)

2.กระดูกเปราะบาง ถ้าหากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป แร่ธาตุที่สำคัญถูกทำลายจากอวัยวะและเนื้อเยื่อเพื่อให้ใช้งานได้ในท้ายที่สุดจะนำไปสู่โครงสร้างกระดูกเปราะบาง หนึ่งในแร่ธาตุเหล่านั้นก็คือแร่ธาตุแคลเซียมนั่นเอง

3.ปัญหาเกี่ยวกับฟัน โครงสร้างกระดูกฟันก็เช่นเดียวกับกระดูกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อร่างกายมีสภาพเป็นกรด แคลเซียมจะถูกดึงออกไป เกิดอาการปวดฟัน ปวดตามกราม ปวดตามกระดูก จากการขาดแร่ธาตุแคลเซียม

4.ไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะติดไวรัส เชื้อราและแบคทีเรีย สิ่งที่แย่ที่สุดคือการที่จุลินทรีย์เหล่านี้พัฒนาในสภาพที่เป็นกรด พวกเขามักจะสร้างขึ้นภายในเหงือก ระบบทางเดินอาหาร เนื้อเยื่อและอวัยวะอื่น ๆ

5.ผัวหนังมีปัญหา ความเป็นกรดในร่างกายมีผลในการสร้างสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผิวอย่างมาก นอกจากนี้การไหลเวียนของเลือดและผิวหนังไม่สามารถกำจัดสารพิษได้ โรคที่เกิดขึ้นจากสภาพร่างกายเป็นกรดนี้ทำให้มีผื่นสิว กลาก และโรคภูมิแพ้ตามมาได้

6.มีเสมหะ น้ำมูก เมือก สะสมภายในร่างกาย เมื่อร่างกายมีสภาพเป็นกรด จมูกไม่สามารถขับเมือกออกมาได้ ส่งผลให้เกิดอาการไอ ปัญหาไซนัส หายใจเจ็บหน้าอก และปัญหาทางเดินหายใจอื่นๆเป็นต้น

7.การนอนหลับพักผ่อน เมื่อใดก็ตามที่คุณเกิดความเมื่อยล้า และอ่อนเพลีย ส่งผลถึงปัญหาการนอนไม่หลับบ่งชี้ระดับความเป็นกรดในร่างกายได้ สาเหตุหนึ่งเกิดจากร่างกายขาดแร่ธาตุแคลเซียม

8.ปวดกล้ามเนื้อ เป็นผลจากความเป็นกรดในกล้ามเนื้อ เกิดความเจ็บปวดและความรุนแรง นอกจากนี้คุณยังอาจพบความเมื่อยล้าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความเป็นกรดในร่างกายสูง


เหตุการณ์ที่กรุงเทพมหานคร ( เดือนกรกฎาคม 2021)

ฉันอาศัยอยู่กับน้องสาวซึ่งป่วยโรคโควิด 19 ด้วยกัน  น้องสาวบอกว่า ฉันไม่หลับไม่นอนหลังจากป่วยโรคโควิด 19 ผ่านมาไม่กี่วัน ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการดูแลกักตัวที่บ้าน เมื่อน้องสาวเห็นว่าฉันอาการหนักและผิดปกติ จึงปรึกษาสถานพยาบาลแถวบ้านเกิดเพื่อขอย้ายไปรักษาตัวที่ต่างจังหวัด โดยประสานงานรถฉุกเฉินเพื่อส่งตัว ระหว่างทาง ฉันมีอาการหวาดระแวง กลัว แม้แต่อยู่ในลิฟท์ การเตรียมตัวเพื่อไปกักตัวนั้นต้องเตรียมความพร้อมเช่น เสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ขณะที่น้องสาวเตรียมพร้อม แต่ฉันมีเสื้อผ้าไปแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น (กระบวนการคิดและจัดการมีปัญหา) มีอาการสับสน แม้เส้นทางกลับบ้านต่างจังหวัดเป็นเส้นทางที่คุ้นเคย แต่ฉันคิดว่าเค้าจะนำฉันและน้องสาวไปทิ้งในสถานที่ที่ห่างไกลออกไป โดยไม่ได้นำตัวกลับบ้าน (หวาดระแวงอย่างหนัก) แต่สุดท้ายรถฉุกเฉินก็นำตัวฉันและน้องสาวไปส่งถึงบ้านเกิดอย่างปลอดภัย แต่อาการของฉันไม่ได้ดีขึ้น 

ติดตามตอนต่อไป  ในการกักตัวที่วัดไกล้เมรุเผาศพ ณ เวลากลางคืนอันน่ากลัวและวังเวงที่เงียบสงบ


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า ความรักของเด็กวัยอนุบาล (หนุ่มสาววัยกระเตาะ)

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่า ความรักของเด็กวัยอนุบาล (หนุ่มสาววัยกระเตาะ)

วันวาเลนไทน์ผ่านมาแล้วสองวัน บทความยังเป็นเรื่องของความรักนี่แหละ คงไม่ช้าจนเกินไปนะคะ  เด็กวัยอนุบาลเค้าก็มีความรักในแบบฉบับของโลกจินตนาการของเค้า ทำให้เค้ามีความสุขในชีวิตของการเริ่มต้นการเข้าสู่สังคมโรงเรียนหลังออกจากสังคมครอบครัวและมีโลกส่วนตัวของเด็กด้านความรัก

อย่างหนังเรื่องของความรักของเด็กวัยอนุบาลเรื่อง “The Pursuit of Happiness

หนึ่งในหนังชีวิตสุดซาบซึ้งที่สร้างความประทับใจให้กับคนดูทั่วโลก แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะออกฉายเมื่อปี 2006 นานมาเกือบ 17 ปีแล้ว  แต่เนื้อหาที่แสดงความรักอันลึกซึ้งระหว่างสองพ่อลูก ซึ่งนำแสดงโดย วิลล์ สมิธ ยังน่าดูตลอดมา เรื่องราวบอกเล่าถึงชีวิตของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวกับลูกวัยอนุบาลที่ต้องฝ่าฝันกับความยากจนและอุปสรรคมากมายในชีวิต ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงพลังความรักของพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกชายวัยอนุบาลมีชีวิตที่ดีขึ้น ขอบอกเลยว่ามีหลายฉากอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้แบบท่วมจอกันเลยทีเดียว  

หนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้กับคนที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว  พร้อมทิ้งแนวคิดดีๆไว้ให้กับคนดูว่า “อย่าให้ใครบอกว่าลูกทำตามความฝันไม่ได้ แม้แต่ตัวพ่อเอง” น่าจะเป็นข้อคิดดี ๆ ที่เก็บไว้สอนลูกได้ด้วยสำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ หรือใครที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว  

เรามาดูเรื่องเล่าดีดีสำหรับความรักของหนูน้อยวัยอนุบาลกันเลยคะ

ณ เวลาสองทุ่มก่อนนอนหลังฟังนิทานก่อนนอนจบไปสองเรื่อง

(แม่เลี้ยงเดี่ยว) “วันนี้ไปโรงเรียนสนุกไหมลูก ได้ทำกิจกรรมที่โรงเรียนอะไรบ้างคะ”

(ลูกวัยอนุบาล) “เยอะแยะเลยคะแม่  วันนี้มีกิจกรรมลูกเสือเนตรนารีที่โรงเรียน คุณครูพาเดินนอกสถานที่ สนุกมากเลยคะได้เห็นลิง นกแก้ว ช้าง เสือ ตะภาพน้ำ จระเข้ และ บลาๆ”

(แม่เลี้ยงเดี่ยว) “ได้โอกาสสอนภาษาอังกฤษเกี่ยวกับสัตว์ละ พร้อมกับถามลูกว่า จระเข้ ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรค่ะ แม่คิดไว้ในใจ Crocodile”

(ลูกวัยอนุบาล) “ตอบว่า Alligators พร้อมกับมี S ตามมา”

(คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว) คิดในใจสมัยแม่ก็เรียนภาษาอังกฤษตอนเรียน ป 5 ได้แค่ A B C ก็หรูละ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือเปิดแอปแปลภาษาพร้อมกับยื่นให้ลูกออกเสียงอีกครั้ง Alligators แม่รีบดูคำแปล ออ จระเข้ น้ำเค็มนี่เอง แม่เลยได้คำศัพท์เพิ่มมาอีกคำหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยถาม “แล้วหนูเดินเที่ยวกับใครคะ”

(ลูกวัยอนุบาล) “หนูเดินกับแฟนหนู เค้าช่วยหนูถือกระเป๋าด้วยคะ” งานเข้าละคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกริมีแฟนตั้งแต่เรียนอยู่อนุบาล หนูน้อยเล่าต่อ “เค้ารอรับหนูที่ชั้นล่างแล้วเดินขึ้นห้องเรียนพร้อมกัน”

(แม่เลี้ยงเดี่ยว) “แล้วหนูมีเพื่อนผู้หญิงไหมคะ”

(ลูกวัยอนุบาล)”บอกชื่อเพื่อนในห้อง พร้อมเล่าต่อว่า เพื่อนคนนี้เป็นแฟนคนนั้น เพื่อนคนนั้นเป็นแฟนคนนี้

(แม่เลี้ยงเดี่ยว) ถึงบางอ้อ สงสัยเป็นแฟชั่นการมีแฟนของเด็กวัยอนุบาลนั่นเอง พร้อมกับยิ้มอย่างสุขใจที่ลูกแม่มีความสุขในการเรียนหนังสือกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน

วันต่อมา

(แม่ของเด็กผู้ชาย) ส่งรูปลูกชายและลูกสาวเดินจูงมือกัน  เดินขึ้นบันไดด้วยกัน นั่งเก้าอี้ข้างๆ กัน สีหน้าเด็กผู้ชายดูอายๆ นิดหน่อย แต่ลูกสาวแม่ดูมีความสุขมาก

(แม่เลี้ยงเดี่ยว) คิดในใจ มันก็แค่ความรักแบบเด็กๆ ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก

ปีต่อมาเด็กผู้ชายย้ายห้องเรียนไปเรียนห้องอื่นลูกสาวก็ไม่ได้พูดถึงแฟนหนุ่มสมัยอนุบาลอีกเลย

ลูกสาวย้ายโรงเรียนไปเรียนโรงเรียนสตรีคุณแม่จะสบายใจหรือกังวลใจต่อไปละคราวนี้ ติดตามตอนต่อไปถ้า

ชอบบทความแนวนี้สามารถ   อ่านได้เพิ่มเติมที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน