9 สตอรี่ชีวิตกับเก้าลูกสตรอเบอรี่                    

แชร์ให้เพื่อน

9 สตอรี่ชีวิตกับเก้าลูกสตรอเบอรี่                                                                 

ทำไมถึงชื่อเรื่องว่า 9 สตอรีชีวิตกับเก้าลูกสตรอเบอรี่ เพราะว่าการเกิดมาบนโลกใบนี้ของมนุษย์โดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มต้นตั้งแต่อาศัยอยู่ในท้องแม่เป็นระยะเวลาเก้า เดือน  ซึ่งภายในระยะเวลาเก้า เดือนนั้นคนที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบดูแลลูกในครรภ์คือผู้หญิงที่ได้รับการขนาดนามว่า “มารดา หรือแม่ ม๊ะ แม๊ะ มาม้า แม  Mom มามี้ แม่เอง”  หรือศัพท์อื่นๆ  อีกมากมายที่ใช้เรียกคำว่าแม่นั่นเอง  (ดังเพลง  พระคุณแม่ “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวง ห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเห ไปจนไกล” 

เรามาดูกันเลยว่าทั้ง 9 สตอรี่นั้นจะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างไร ? เราจะต้องวางแผนชีวิตอย่างไรเกี่ยวกับสินทรัพย์ด้านการเงิน การลงทุน  ภาวะความเจ็บป่วย และปัญหาด้านสุขภาพ หากเมื่อลูกสตรอเบอรี่ทั้งเก้าลูกเราต้องหยิบมากินตามช่วงวัย เราจะต้องเก็บสะสมลูกสตรอเบอรี่ให้เพียงพอตอนที่เราไม่สามารถหาเงินได้นั่นเอง

  1. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่หนึ่ง” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับการกำเนิดเกิดมาของมนุษย์บนโลกใบนี้  โดยเริ่มตั้งแต่การเกิดแบบธรรมชาติและการเกิดแบบหลอดแก้ว รวมถึงการบำรุงครรภ์ของมารดา  และการติดตามการตรวจครรภ์  เรื่องเล่าต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสตรีมีครรภ์ พัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์มารดา ความเชื่อด้านสุขภาพต่างๆ จนถึงการคลอดออกมาสู่โลกภายนอก รวมอยู่ในสตอรี่นี้ทั้งหมด (สำหรับสตรอเบอรี่ลูกที่หนึ่งนั้น  เราไม่ได้หาเองหากแต่เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ที่ให้กำเนิดเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว)
  2. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่สอง” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวเด็กหลังคลอดแรกเกิดจนอายุถึงสิบขวบโดยจะกล่าวถึงพัฒนาการด้านต่างๆ  ซึ่งในสตอรี่นี้จะมีพัฒนาการของวัยเด็กก่อนเรียน และเด็กวัยเรียนประถมศึกษา เนื้อหาสามารถติดตามได้ในสตอรี่นี้(สำหรับสตรอเบอรี่ลูกที่สองนั้น พ่อแม่หรือบรรพบุรุษจัดเตรียมไว้ให้แล้ว หากเด็กไม่ได้เกิดมาแบบโชคดีแล้ว เด็กจะต้องหากเก็บลูกสตรอเบอรี่กินเอง)
  3. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่สาม” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับเด็กอายุสิบเอ็ดขวบถึงอายุยี่สิบปีโดยจะกล่าวถึงพัฒนาการของเด็กวัยรุ่น เรื่องเล่าต่างๆของเด็กวัยรุ่น หรือโรคที่พบบ่อยๆ ในวัยนี้ (สำหรับลูกสตรอเบอรี่ที่สามนั้น พ่อแม่หรือบรรพบุรุษจัดเตรียมไว้ให้แล้ว หากเด็กไม่ได้เกิดมาแบบโชคดีแล้ว เด็กจะต้องหากเก็บลูกสตรอเบอรี่กินเองเช่นกัน)
  4. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่สี่” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวัยผู้ใหญ่ตอนต้นตั้งแต่อายุยี่เอ็ดปีถึงอายุสามสิบปี ซึ่งวัยนี้จะเป็นวัยที่เริ่มต้นทำงานหลังจากการเรียนจบในระดับปริญญาตรี โดยจะต้องวางแผนในการหาลูกสตรอเบอรี่เพื่อกินในชีวิตประจำวัน และวางแผนในการแบ่งเก็บลูกสตรอเบอรี่ไว้กินในยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือในวัยที่ไม่สามารถทำงานได้แล้ว รวมถึงการดูแลด้านสุขภาพและโรคที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ  ในวัยนี้
  5. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่ห้า” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวัยผู้ใหญ่อายุสามสิบเอ็ดปีถึงอายุสี่สิบปี นับเป็นวัยที่เริ่มต้นสำหรับการวางแผนมีครอบครัว พร้อมกับเริ่มมีลูกๆ จำเป็นต้องแบ่งลูกสตรอเบอรี่ที่หามาได้
  6. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่หก” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุสี่สิบเอ็ดปีถึงอายุห้าสิบปี นับเป็นวัยที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น  ต้องเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับลูกเข้าสู่วัยรุ่นและตนเองก็เริ่มต้นเข้าสู่วัยทองนับเป็นสตอรี่ชีวิตที่มีความอลเวงมากทีเดียว
  7. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่เจ็ด” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวัยทองที่มีอายุห้าสิบเอ็ดปีถึงอายุหกสิบปี เป็นช่วงชีวิตที่ลูกๆ ประสบความสำเร็จ เริ่มแยกตัวไปสร้างครอบครัวของตนเองเพื่อสะสมสตรอเบอรี่ลูกที่หนึ่งต่อไป (พ่อแม่ต้องหาจัดเตรียมลูกสตรอเบอรี่หลังเข้าสู่วัยเกษียร)
  8. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่แปด” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวัยที่มีอายุหกสิบเอ็ดปีถึงอายุเจ็ดสิบปีหรือที่เรียกว่าวัยเกษียรนั่นเอง (วัยนี้นับว่าเป็นวัยที่ไม่ต้องหาลูกสตรอเบอรี่แล้ว  หากเราได้จัดเตรียมลูกสตรอเบอรี่ไว้เพียงพอ  ก็เป็นวัยที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว)
  9. “สตอรี่ชีวิตกับลูกสตรอเบอรี่ที่เก้า” เป็นเนื้อหาที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวัยที่มีอายุเจ็ดสิบเอ็ดปีถึงตลอดจนเสียชีวิตจากโลกใบนี้ไป (เป็นวัยชราที่เริ่มเดินเหินลำบาก จำเป็นต้องมีผู้ดูแล มีภาวะสมองเสื่อมตามวัย ร่างกายเสื่อมตามวัย)

หากใครที่สนใจบทความนี้สามารถติดตามตอนต่อได้ในบทความเรื่อง  “9 สตอรี่ชีวิตกับเก้าลูกสตรอเบอรี่”  ว่าเนื้อหาจะมีความน่าสนใจ และมีเรื่องเล่าสนุกๆ อย่างไรบ้าง? โดยติดตามอ่านได้ตามช่วงวัยของตนเอง 

แชร์ให้เพื่อน

เทคนิคสวย สดใส ในวัยทอง

แชร์ให้เพื่อน

เทคนิคสวย สดใส ในวัยทอง

วัยทองเป็นวัยที่มีความเปลี่ยนแปลงคล้ายๆกับวัยรุ่นเพียงแต่กลับทิศทาง  เพราะวัยรุ่นเป็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตช่วงพัฒนาการเจริญเติบโตเต็มที่ ขณะที่วัยทองเป็นความเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตที่เริ่มเสื่อมถอยลง ทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ (อ่านได้ในบทความก่อนหน้า)​ ถ้าเปรียบกับนกอินทรีย์​ก็เป็นช่วงชีวิตที่มีอุปสรรคในการดำรงชีวิตอย่างใหญ่หลวงของมันคืออายุ 40ปี ปากจะงองุ้ม  เล็บยาว  และโค้งงอ  ปีกมีขนปกคลุมและหนาเตอะ ทำให้บินล่าหาอาหารได้ลำบาก
แต่นกอินทรีย์​ก็มีวิธีการจัดการกับปัญหาอันใหญ่หลวงในวงรอบชีวิตด้วยการบินไปบนภูเขาหินสูงอันไกลโพ้น เพื่อให้ผ่านพ้นแบบทดสอบที่ยากลำบากคือ

●นกอินทรีย์​จะใช้ปากจิกขนที่ปกคลุมร่างกายที่หนาเตอะออกแม้มันจะเจ็บปวดแค่ใหนก็ตาม
●นกอินทรีย์จะต้องเคาะจงอยปากที่งองุ้มกับหินแข็งให้หลุดออก
●นกอินทรีย์จะต้องเคาะเล็บกับหินแข็งทีละนิ้วเพื่อให้เล็บหลุดออกมา

ระยะเวลาทั้งหมดของนกอินทรีย์ที่ใช้ในช่วงของการปรับเปลี่ยนผ่านช่วงชีวิตอันแสนทุกข์ทรมาน​ใช้เวลา 150 วัน หากนกอินทรีย์ตัวใหนที่ไม่ผ่านแบบทดสอบก็จะตายไปในที่สุด ขณะที่นกอินทรีย์ตัวใหนที่ผ่านแบบทดสอบนี้ภายใน 150 วัน ถือว่าเป็นรางวัลชีวิตที่มีค่าใหญ่หลวงในอีก 30 ปีข้างหน้า เพราะ จงอยปาก เล็บ ขนที่ปกคลุมร่างกาย จะงอกออกมาใหม่ สวยสง่างามกว่าเดิม พร้อมที่จะบินอย่างสง่างามบนท้องฟ้าอีกครั้งเพื่อล่าเหยื่อ และเป็นของขวัญอันมีค่าที่จะใช้ชีวิตในอีก 30 ปีข้างหน้าอย่างสง่างาม และมีเกียรติ สู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล​อีกครั้ง ด้วยปีกที่ทรงพลัง

หากเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์​แล้วก็เป็นช่วงของวัยทองพอดี  มีคนจำนวนมากที่ครอบครัวต้องแยกทาง อยู่กับลูกๆ สร้างความเจ็บปวด แต่เราก็ต้องข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้

สวย สดใส ใช้ชีวิตอย่างสง่างามในวัยทองต้องทำอย่างไร?

1.รักตัวเองให้มากๆ หากเรายังรักตัวเองได้ไม่มากพอ เราจะแบ่งปันความรักให้คนอื่นได้อย่างไร? ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง  เลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ลดแป้ง น้ำตาล ไขมันสูง เพิ่มผัก ผลไม้ที่มีกากใยสูง และดื่มน้ำสะอาดมากๆ
2.การควบคุมอารมณ์ เนื่องจากวัยทองมีอารมณ์​เหวี่ยงวีนพร้อมเกิดได้ทุกเมื่อ การฝึกมองโลกแง่บวก เอาใจเขา มาใส่ใจเรา  เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และมีอารมณ์​แจ่มใสอยู่เสมอ
3.ออกกำลังกาย อยู่เสมอๆ สัปดาห์​ละ 3 ครั้ง
4.ค้นหาสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ทำแล้วมีความสุข เช่น การปลูกต้นไม้ วาดรูป ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ หรือการเขียนหนังสือนอกจากจะช่วยระบายอารมณ์​เครียดผ่านตัวหนังสือแล้ว ยังสร้างผลงานดีๆ ออกมาให้คนอื่นได้อ่านแบบเพลินๆ ขำๆ อีกด้วย
5.แสดงอารมณ์​ออกมาอย่างเหมาะสม เช่น ถ้าโกรธก็บอกว่าโกรธ ไม่ใช่เก็บกดไว้ ไม่มีใครเข้ามารู้จิตใจของเราได้ เพราะการใช้ชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่เกมปริศนาคำทาย

ช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ มันไม่ได้อยู่ตลอดไป อุปสรรคเป็นแค่กำแพงให้เราข้าม เพื่อที่เราจะเติบโต แข็งแกร่งและงดงามมากขึ้น


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่าของผู้ชายวัยทอง

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่าของผู้ชายวัยทอง

ปัญหาวัยทองเกิดขึ้นได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิง การเข้าสู่วัยทองนั้นมักพบเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป  ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ของคนวัยทองให้ฟังหลังจากได้สัมภาษณ์มาแบบสดๆร้อนๆ

เริ่มต้นบทสนทนากับผู้ชายวัยทอง

 ( A):  “เธอๆ ฉันอยากให้เธอช่วยหาครีมบำรุงผิวหน้ายี่ห้อ AA. ให้หน่อยน่ะว่ามีขายที่ใหนบ้าง ? ฉันอยากได้มาใช้เพื่อบำรุงผิวหน้า” พร้อมกับยื่นจดหมายน้อยที่เขียนด้วยลายมือตัวเล็กๆ ส่งมาให้ 

(Rom): “ได้ได้ เด่วค้นหาในเน็ตให้นะ (อยู่หน้าจอคอมพอดีเลย) พร้อมกับชำเลืองชม้ายตามองเจ้าของเสียงพร้อมกับถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ขอโทษค่ะตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่แล้วค่ะ(สอดรู้นิดหน่อย เพื่อประเมินผู้ป่วยนึกว่าตัวเองทำงานพยาบาลอยู่)”

(A): “ฉันอายุ 70 ปีละ ฉันเป็นคนรักสุขภาพนะ ฉันกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ชอบกินผลไม้ ดื่มน้ำผลไม้ แต่กินเบียร์ประจำ และสูบบุหรี่ (เห็นมาด้วยตาเลย)

(Rom) นึกในใจ จริงๆ อยากให้มีเสียงออกมาให้ได้ยิน “นี่คือพฤติกรรมคนรักสุขภาพแล้วหรือ ?” พร้อมกับค้นหาในชอบปี้สักพัก “ฉันเจอละ” พร้อมกับยื่นหน้าจอดูด้วยกัน แต่ฉันว่าเราไปหาดูตามร้านขายเครื่องสำอางน่าจะดีกว่านะ ราคาอาจจะถูกกว่า หรือร้านเซเว่นอาจจะมีก็ได้นะ(เนื่องจากไม่ค่อยได้ซื้อครีมบำรุงราคาแพงมาก่อน

(เหตุการณ์ที่ร้าน  711 ณ เวลาพลบค่ำๆ)

(A): “ช่วยฉันดูหน่อยนะว่ายี่ห้อใหนดี”

(Rom): ได้ได้ พร้อมกับเดินวนใน 711 ไป 1 รอบ“ฉันเจอละเซรัมพร้อมกับมีรูปแตงโมที่หน้าซอง ฉันว่าอันนี้ได้นะ ลองใช้ดู ราคาไม่แพงนะ 139 บาท พร้อมกับเรียกพนักงานมาปลดล็อคเพื่อรับสินค้าไปจ่ายเงิน ” เราก็เลือกมา1 ลองมาใช้ดู

วันรุ่งขึ้น (ณ ชายหาดเวลาบ่ายคล้อย)

(A): “เธอว่าหน้าฉันดีขึ้นไหมละ”  พร้อมกับนั่งดื่มเบียร์ และสูบบุหรี่ในเวลาเดียวกัน

(Rom): นึกในใจ”ฉันทาครีมมาจนอายุ 50 กว่าเหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ รับควันจากเธอวันนี้แหละ แต่ก็ตอบแบบให้กำลังใจคนไข้ เด่วเสียกำลังในการดูแลผิวหน้า (วิญญาณพยาบาลยังมีอยู่ในตัว) “เอ่อ ดีขึ้นอยู่นะ” วันนี้เธอไปใหนมาช่วงเช้า

(A): “ฉันไปฟิตเนส  ว่ายน้ำมา และรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ” พร้อมกับยื่นจดหมายน้อยมาให้ “ฉันไปคลินิกผิวพรรณมา สอบถามราคาการทำ HIFU พร้อมกับบอกราคา XXXXX บาท”

(Rom): “ฉันว่ามันแพงมากนะ  ชั้นไม่มีเงินจ่ายหรอก” พร้อมกับแสดงสีหน้าละห้อย

(A): “ฉันว่าถ้าเธอผิวขาวเธอสวยมากเลยนะ”

(Rom): นึกในใจ เธอมายุ่งอะไรกับผิวกระดำกระด่างของชั้นนนน 

(A): “ฉีดโบท็อกที่หน้าก็ดีนะ ช่วยให้หน้าเต่งตึง” นางชี้จุดตำแหน่ง หน้าผาก แก้ม และคาง

(Rom): “ไม่ดีหรอกค่ะ หลังจากฉีดไประยะหนึ่งผิวหนังหย่อนคล้อย ต้องฉีดบ่อยๆ ไม่ชอบให้สารเคมีเข้าใต้ผิวหนัง” แต่ความจริงไม่มีเงินฉีด 555

(A): “งั้น HIFU นี่แหละปลอดภัยว่า” ชั้นซื้อครีมทาผิวมาพร้อมโชว์ให้ดู และนางก็หยิบมาทาผิว เป็นครีมบำรุงไม่มีกันแดดแต่อย่างใด

(Rom): “ชั้นก็ซื้อมา คราวนี้ขิงกันละ ของฉันมีกันแดด 50% เลยดูซิ  เธอซื้อมาราคาเท่าไหร่ละ”

(A): “ชั้นซื้อราคา 159 บาท ดูหลอดใหญ่กว่าของเธอนะ” งานนี้ไม่จบง่าย

(Rom): “ของฉันมีกันแดดซื้อมา 139 บาท  ทาแล้วกันแดดป้องกันมะเร็งผิวหนัง” ขิงกับใครไม่ขิง มาขิงกับอดีตพยาบาลอย่างชั้น

(A): “ชั้นอยากให้ผิวดำ พร้อมโชว์ผิวขาวมาก่อนแต่โดนแดดเลียให้ดำ”

(Rom): “งั้นเธอก็ชอบผิวชั้นนะซิ  หรือไม่ก็แอบชอบชั้นหรือเปล่า”

(A): ทำหน้าเลิกลัก พร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน

(Rom) นึกในใจ วันวาเลนไทน์เหลืออีก 2 วัน ระวังตัวไว้ละ

ติดตามตอนต่อไป  หลังวันวาเลนไทน์เด่วเล่าให้ฟังต่อคะ

 


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่าผู้ป่วยโรคเบาหวาน

แชร์ให้เพื่อน

เรื่องเล่าผู้ป่วยโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคยอดฮิตที่พบเจอได้บ่อยในวัยทำงานหลังอายุ40ปีขึ้นไป หากเกิดแล้วควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาเช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ แผลที่เท้าหายยาก  โรคเบาหวานขึ้นตา โรคหัวใจและหลอดเลือด  โรคความดันโลหิตสูง หรือมักพูดสั้นๆว่า ตา ไต ตีน เป็นต้น ดีนะที่เราไม่มีโรคเบาหวานมารุมเร้า ไม่งั้นคงแย่ แต่ก็ไม่วายมีคนไกล้ตัวเป็นโรคเบาหวานซึ่งตรวจพบเมื่อไม่นานมานี่เอง เรามาดูกันเลยว่าผู้ป่วยรายนี้มีความเข้าใจและรู้เรื่องโรคเบาหวานมากน้อยแค่ใหน

(พยาบาล)​” คุณตรวจพบว่ามีโรคเบาหวานนานหรือยังคะ”
(ผู้ป่วย)​”ฉันเพิ่งตรวจพบเมื่อ2วันก่อนนี้เอง หมอให้กินยาเบาหวาน เช้า1เม็ด และเย็น 1 เม็ด
(พยาบาล)” แล้วตอนนี้มีอาการเป็นยังงัยบ้างค่ะ”
(ผู้ป่วย)” ฉันรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรงเลย”
(พยาบาล)” คุณมีเครื่องมือตรวจเบาหวานเองไหม ฉันจะได้ตรวจให้” (วิญญาณพยาบาลเข้าสิง)​
(ผู้ป่วย)​”ฉันไม่มีหรอก เราไปตรวจที่โรงพยาบาลกันตอนนี้เลยไหม”
(พยาบาล)​”ฉันว่า  คุณซื้อเครื่องตรวจเลยดีกว่าเพราะอย่างไร คุณต้องตรวจบ่อยๆอยู่แล้ว”
(ผู้ป่วย)” ได้  เด่วฉันไปซื้อมาจากร้านขายยา ขายส่ง ราคาน่าจะถูกกว่านะ”
(พยาบาล)” ได้คะ ถ้าได้เครื่องตรวจมาบอกฉันแล้วกัน เด่วฉันตรวจให้นะ”

หลังตรวจระดับน้ำตาลปลายนิ้ววันแรก
(พยาบาล)​”ผลระดับน้ำตาลปลายนิ้วก่อนอาหารเช้า 94 นะคะ” หลังจากนั้นกินกาแฟดำ2แก้ว น้ำผลไม้ 2 แก้ว นม 1 แก้ว
(พยาบาล)” คุณกินข้าวหน่อยไหม”
(ผู้ป่วย)” ฉันไม่กินข้าวเพราะไม่ดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด”
(พยาบาล)” คุณกินได้นะแต่ให้จำกัดปริมาณเน้นกินผักให้มากขึ้น”
วันต่อมา
(ผู้ป่วย)” ฉันรู้สึกอ่อนเพลียไม่มีแรงเลยนะ”
(พยาบาล)​”ฉันว่าคุณต้องกินอาหารเช้า ทานยาควบคุมน้ำตาลนะ ไม่งั้นคุณจะได้พลังงานมาจากใหน”
(ผู้ป่วย)​โทรปรึกษาเพื่อน” ฉันไม่ค่อยมีแรงเลย อ่อนเพลีย”
(เพื่อน)” เธอไปซื้อวิตามินบีรวมมากินซิ น่าจะช่วยเธอได้นะ”
(พยาบาล)​ หูไวตาไวรีบพูดสวนไปทันทีว่า” เค้ากินอาหารเช้าน้อย แล้วกินยาคุมระดับน้ำตาล จะเอาแรงมาจากใหนละ”
(ผู้ป่วยและเพื่อน)​ ต่อไปฉันจะกินอาหารเช้าและกินระหว่างมื้อด้วย
(พยาบาล)​ แอบยิ้มอย่างมีเลขนัย อยากคิดออกมาดัง ดีแล้วที่ไม่เจอภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

ติดตามตอนต่อไปว่าการดูแลรักษารายนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

คำว่า “แบตเตอรี่เสื่อม หรือแบตเตอรี่หมด” เกี่ยวโยงกับการใช้ชีวิตอย่างไร?

แชร์ให้เพื่อน

คำว่า “แบตเตอรี่เสื่อม หรือแบตเตอรี่หมด” เกี่ยวโยงกับการใช้ชีวิตอย่างไร?

ในยุคดิจิทัล กลุ่มคนที่ให้ความสำคัญคือ กลุ่มผู้เยาว์วัย กลุ่มผู้หญิงและชาวเน็ต คงไม่มีใครที่ไม่มีอุปกรณ์และเครื่องมือสื่อสารที่ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารและทำธุรกรรมผ่านมือถือหรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โน้ตบุค แท็ปเลต เป็นต้น

การซื้อของออนไลน์   การโอนเงิน  การจ่ายเงินผ่านแอฟการเงิน   การลงทุนผ่านแอฟต่างๆ  รวมถึงการตรวจรักษาสุขภาพผ่านแอฟพลิเคชันอื่นๆ  หากแบตเตอรี่หมดอาจทำให้เกิดปัญหาในการทำธุระกรรมต่างๆได้ การเตรียมแบตเตอรี่สำรองจะช่วยให้เราสมารถใช้งานอุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารได้ยาวนานขึ้น 

การใช้ชีวิตก็เช่นเดียวกัน  หากเราใช้ชีวิตในแต่ละวันจนลืมดูแลสุขภาพของตนเองก็ทำให้สุขภาพร่างกายของเราเสื่อมลงได้ก่อนเวลาอันควร ฉะนั้นเราจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างไรเพื่อให้เราไม่เกิดปัญหาเหมือนแบตเตอรี่เสื่อมหรือแบตเตอรี่หมดในแต่ละวัน  เพราะคนเราทุกคนนั้นมีเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วัน แต่กลับมีบางคนมักพูดว่า ไม่มีเวลาอยู่เสมอๆ แล้วเราสามารถบริหารเวลาอย่างไร เพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เกิดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมหรือแบตเตอรี่หมด

  1. การจัดตารางเวลา  การจัดตารางเวลาในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์ แต่ละเดือน จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับชีวิตได้ว่าเราจะทำอะไร เวลาไหน เดินทางไปพักผ่อนหรือท่องเที่ยว เพื่อให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนจากความตึงเครียดในการทำงานโดยไม่ต้องพึ่งการสูบบุหรี่เพื่อคลายเครียด การดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายเครียด การใช้ยาเสพติดเพื่อคลายเครียด เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนล้าหนักขึ้นกว่าเดิม มักจะได้ยินคนกลุ่มวัยทำงานพูดบ่อยๆว่า  เย็นนี้เลิกงานเจอกันหน่อยไหม กินเหล้าเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานเป็นต้น หากเราไม่สามารถบริหารจัดการเวลาในแต่ละวันได้ ซักวันหนึ่งปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมหรือแบตเตอรี่หมดอาจเกิดขึ้นกันตนเองได้
  2. การเรียงลำดับความสำคัญ การกำหนดลำดับความสำคัญของงานจะช่วยให้เรารู้ว่าเรื่องใหนจำเป็นต้องทำก่อนหลัง โดยทั่วไปเราต้องจัดการแก้ปัญหาที่สำคัญก่อน ปัญหาเล็กน้อยให้แก้ไขทีหลัง เป็นต้น
  3. การแบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวให้เหมาะสม เราต้องเข้าใจก่อนว่า เราไม่สามารถทำงานได้ทั้งชีวิต แต่เราทำงานได้แค่อายุ 60-70 ปี  และแบ่งเก็บไว้ใช้ช่วงหลังอายุ 60 ปี เราจึงจำเป็นต้องวางแผนชีวิต  ดั่งลูกสตรอเบอรี่  9 ลูกที่เราต้องหยิบมากิน  ลูกที่หนึ่งและสองเราจะหยิบมากินได้ในช่วงที่มีอายุ 1-10 ปี และ10-20 ปี ซึ่งหากเราโชคดีก็เป็นลูกสตรอเบอรี่ที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้แล้ว ขณะที่ลูกที่สามเราจำเป็นต้องหาเองเพื่อหยิบมากินในช่วงชีวิต 20-30 ปี หากเรากินหมดทั้งลูกแสดงว่าเวลาในการหาเงินของเราอาจหมดไปโดยไม่ได้วางแผนสำหรับอนาคตที่เหลืออยู่  หลังจากไม่ได้ทำงานแล้ว สตรอเบอรี่ลูกที่สี่หยิบมากินในช่วงชีวิต 30-40 ปี รวมถึงการจัดสรรเพื่อตนเองยามแก่ชราและแบ่งให้สำหรับพ่อแม่ที่แก่ชราอีกด้วย สำหรับคนที่มีครอบครัวและลูกนั้นจำเป็นต้องแบ่งปันลูกสตรอเบอรี่ในครอบครัว สตรอเบอรี่ลูกที่ห้าหยิบมากินในช่วงชีวิต 40-50 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้น้อยลง ปัญหาด้านสุขภาพเริ่มเกิดขึ้น เราจึงต้องแบ่งลูกสตรอเบอรี่ไว้กินในยามแก่ชราหากไม่มีใครแบ่งลูกสตรอเบอรี่ให้  สตรอเบอรี่ลูกที่หกหยิบมากินในช่วงชีวิต 50-60 ปี ซึ่งเป็นช่วงของสิบปีสุดท้ายของการทำงานจำเป็นต้องวางแผนเพื่อจัดเตรียมลูกสตรอเบอรี่ลูกที่เจ็ด ลูกที่แปด และลูกที่เก้าไว้กินในยามแก่ชราในยามที่ไม่สามารถทำงานได้  เอาไว้กินในช่วงสุดท้ายของชีวิต 
  4. การจัดการงานยากให้เสร็จก่อน กล่าวคือหากเราทำงานที่ยากเสร็จก่อน  หลังจากนั้นจะช่วยให้เราจัดการงานที่ง่ายได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น
  5. การหาเวลาพักผ่อนบ้าง การพักผ่อนในแต่ละวันอย่างน้อย 10-15 นาทีจะช่วยให้สมองปลอดโปร่งคิดงาน หรืองานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ได้ดีขึ้น

จะเห็นได้ว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้น   ถ้าหากเราไม่จัดสรรเวลาอย่างเหมาะสมแล้ว เราอาจเกิดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม หรือแบตเตอรี่หมดลงได้  โดยที่ไม่สามารถชาร์ตไฟกลับมาคึนได้อีกเลย


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ภาวะสมองเสื่อมกับทะเลบำบัดช่วยได้อย่างไร?

แชร์ให้เพื่อน

ภาวะสมองเสื่อมกับทะเลบำบัดช่วยได้อย่างไร?

ถึงแม้ว่าการรักษาภาวะสมองเสื่อมยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้  แต่การดูแลสุขภาพของตนเองและการบำบัดด้วยธรรมชาติจะช่วยคงระดับของภาวะสมองเสื่อมไม่ให้มีความเสื่อมถอยลง   เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมนั้นเป็นความผิดปกติด้านความจำ การรับรู้ อารมณ์ สังคมและพฤติกรรม การเดินทางท่องเที่ยวทะเลก็สามารถช่วยบำบัดภาวะสมองเสื่อมได้ ซึ่งสามารถจัดกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นสมอง ปล่อยอารมณ์ตามคลื่นทะเล พบปะผู้คน เป็นต้น

เริ่มต้นกิจกรรมยามเช้าด้วยการดูแลตัวเองด้านกิจวัตรประจำวัน  นั่งสมาธิหรือนับลูกปะคำ (นับเงินตามความชื่นชอบ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและมีทัศนคติที่ดีต่อเงิน) รับประทานอาหารมื้อเช้า จัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อเที่ยวทะเลและชายหาด อธิเช่น ชุดว่ายน้ำ  มือถือ อาหารกินเล่น เม็ดทานตะวันแทะคลายอารมณ์  ผลไม้อบแห้ง หรือตามแต่ความชอบของบุคคล

เมื่อเดินทางมาถึงทะเล  ให้ถ่ายรูปตำแหน่งที่นั่งลงในสตอรี่  หากหลงทางญาติจะได้ติดตามได้ มองหาที่นั่งริมชายหาดถอดรองเท้าให้ฝ่าเท้าสัมผัสเม็ดทรายเดินเล่นริมน้ำทะเลมีคลื่นน้ำซัดมากระทบชายฝั่ง  มองดูซากเปลือกหอย สัตว์น้ำต่างๆ หรือสิ่งของชนิดอื่นๆเพื่อช่วยรื้อฟื้นความจำ และคิดชื่อในรูปแบบของภาษาเช่น เขมร  ไทย ลาว อังกฤษ หรือตามความชอบโดยในแอปแปลภาษาช่วย

เรามาดูกันเลยคะว่า  ภาวะเสื่อมสมองสามารถใช้ทะเลบำบัดช่วยได้จริงหรือไม่?

  1. ท้องฟ้าสีคราม คลื่นลมทะเลกระทบชายฝั่ง หาดทรายสีขาว  ช่วยบำบัดภาวะสมองเสื่อม การมองท้องฟ้าสีคราม มีเมฆหมอกเป็นรูปสัตว์ สิ่งของตามจินตนาการ  ช่วยให้สมองคิดเชื่อมโยงชื่อสัตว์ สิ่งของที่เคยเห็นตั้งแต่ในอดีต  เกิดการรื้อฟื้นความทรงจำต่างๆ  ฝ่าเท้าสัมผัสเม็ดทรายสีขาวเนียนหยาบสลับกันไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของร่ายตามชายฝั่งทะเล สายตามองคลื่นน้ำกระทบแสงแดดระยิบระยับดั่งเกล็ดเพชรเหนือผืนน้ำทะเลอันกว้างใหญ่ เปรียบเสมือนอารมณ์ของคนที่มีบางช่วงเวลามีความรุนแรง บ้าคลั่งดั่งคลื่นซึนนามิ ที่ทำลายล้างสิ่งแวดล้อมริมทะเล ขณะที่บางช่วงของอารมณ์เกิดความเงียบสงบ สยบความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบกาย  การอยู่ในสถานการณ์นี้จะทำให้ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมเข้าใจโลกและสิ่งแวดล้อมตามความเป็นจริงมากขึ้น   เข้าใจอารมณ์ เพราะการระบายอารมณ์ออกมาในรูปแบบที่เหมาะสมจะช่วยให้เกิดความผ่อนคลายไม่เก็บกด หลีกเลี่ยงการระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีและยาวนาน
  2. ท้องฟ้าสีคราม  คลื่นลมทะเลกระทบชายฝั่ง  หาดทรายสีขาว ช่วยบำบัดภาวะสมองเสื่อมด้านอารมณ์  ความรู้สึก การมองท้องฟ้าช่วยให้สมองได้รับการพัก   หยุดคิดไปชั่วขณะเกิดอารมณ์สงบ  การมองคลื่นทะเลกระทบเรือที่จอดอยู่ริมชายฝั่ง เรือลำน้อยหรือจะสู้คลื่นลมทะเลได้ฉันใด  เปรียบเสมือนการใส่อารมณ์กับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องฉันนั้น  เรือลำน้อยจอดริมชายฝั่งหากคลื่นลมทะเลเกิดอารมณ์บ้าคลั่ง เรือก็จมหายไปในน้ำทะเลได้ฉันนั้น เปรียบเสมือนชีวิตคนเราหากคลื่นลมทะเลเป็นอารมณ์ที่สาดใส่กัน ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้น เว้นแต่การรู้จักให้อภัย การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ช่วยให้รักษาความสัมพันธ์ที่ยืนยาวอยู่ได้
  3. ท้องฟ้าสีคราม คลื่นลมทะเลกระทบชายฝั่ง หาดทรายสีขาว ช่วยบำบัดภาวะสมองเสื่อมด้านสังคม  การนั่งเล่นบนเก้าอี้ผ้าใบริมหาดทรายสีขาว ได้พบปะ เจอเพื่อนใหม่ พูดคุย แลกเปลี่ยนด้านความคิด การเดินทาง ประสบการณ์ชีวิต แม้ต่างกันด้วยเชื้อชาติ ต่างภาษา สีผิว เพศ และวัยที่แตกต่างทั้งเด็กเล็กมีจำนวนไม่มากนัก วัยทำงานมีในระดับปานกลาง วัยเกษียร มีมากที่สุดบนชายหาดริมชายทะเล แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวริมชายหาด  ช่วยลดความก้าวหน้าของภาวะสมองเสื่อมได้จริง  การได้พูดคุยกับกลุ่มคนวัยเกษียรทำให้เกิดมุมมองด้านการใช้ชีวิตที่มีความหลากหลาย บางคนเกษียรจากการทำงานประจำ ขณะที่บางคนเกษียรจากการทำธุระกิจส่วนตัวมีมุมมองที่จะดำเนินชีวิตท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ขณะที่ตัวเรานั้นเกษียรจากภาวะสุขภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานแบบเต็มเวลา  การเดินทางท่องเที่ยวร่วมกับการทำงานก็เป็นทางเลือกหนึ่ง  (แต่ไม่มีรายได้ประจำ)
  4. ท้องฟ้าสีคราม คลื่นลมทะเลกระทบชายฝั่ง หาดทราย ช่วยบำบัดภาวะสมองเสื่อม ด้านพฤติกรรม การลงเล่นน้ำทะเลเป็นการแสดงออกด้านพฤติกรรมอย่างหนึ่ง เมื่อผิวกายสัมผัสความเย็นของน้ำเราจะแสดงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่น หากเรามุดน้ำทะเลโดยการลืมตาทำให้แสบตาพฤติกรรมที่เหมาะสมคือขณะมุดน้ำต้องหลับตาพร้อมกับหุบปากเพื่อไม่ให้น้ำทะเลเข้าตาและเข้าปากเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ป้องกันอันตรายโดยใช้สัญชาตญาณ  การใช้ชีวิตของผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมหรือคนทั่วไป  ในบางช่วงเวลาก็ต้องปิดปากพูดให้น้อยลง หรือปิดตามองบางอย่างในสภาวะที่เป็นจริง ไม่มีใครมีชีวิตแบบสุขตลอดกาลหรือทุกข์ตลอดกาลเพียงแต่เราไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาในบางช่วงเวลาของเค้า  ดังนั้นจงใช้ชีวิตในแบบฉบับที่เราชอบ และถนัด ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น  แค่เรารู้ว่าใช้ชีวิตแบบนี้  เรามีความสุขและผ่อนคลายมากที่สุด หากเรามีความสุขแล้วสิ่งอื่นๆจะตามมาเอง

การใชเทคนิคบำบัดภาวะสมองเสื่อมโดยอาศัยธรรมชาติบำบัด  ในรูปแบบของท้องฟ้าสีคราม คลื่นลมทะเล ชาดหาดสีขาว  ช่วยให้รื้อฟื้นทั้งด้านความจำ การรับรู้ด้านสิ่งแวดล้อม  การปรับด้านอารมณ์และทัศนคติ   สังคม และพฤติกรรม รวมถึงคนที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อมก็ลองมองหาแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ในรูปแบบนี้เช่น เขื่อน แม่น้ำลำคลอง หรือลำธาร เพื่อช่วยให้ร่างกายและจิตใจพร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปในเส้นทางของอนาคตที่ดีขึ้น


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ป่วยทางกายแต่ไม่ป่วยทางใจต้องทำอย่างไร?

แชร์ให้เพื่อน

ป่วยทางกายแต่ไม่ป่วยทางใจต้องทำอย่างไร?

มนุษย์เราทุกคนต้องพบเจอกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ถ้าหากเราป่วยทางกายแล้วให้รำลึกไว้เสมอว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” จะช่วยให้ร่างกายเราได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วยให้น้อยที่สุด ความเจ็บป่วยทางกายอาจทำอะไรเราได้ไม่มากนัก หากใจเราพร้อมที่จะจัดการกับความเจ็บป่วย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของแต่ละบุคคล ซึ่งเรียกว่าปัจเจกบุคคล เราไม่สามารถให้ใครมาเหมือนเรา และเราเองก็ไม่เหมือนใคร แต่ละคนชอบแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน เช่น บางคนผิวคล้ำอยากได้ผิวขาวก็พยายามกินยา ฉีดยาเพื่อให้ได้ผิวขาว ขณะที่บางคนผิวขาวก็อยากได้ผิวคล้ำ ก็มานั่งกลางแดดร้อนจัด หรือใช้ยาทาให้ผิวคล้ำโดยไม่กลัวต่อมะเร็งผิวหนังเลย

เราเองตั้งแต่เกิดมาร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด  ไม่เคยเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในซักครั้งเดียว  จนกระทั่งอายุย่างเข้า 36 ปี ร่างกายเริ่มแสดงอาการเจ็บป่วยเริ่มด้วยปัญหาด้านปอดก่อนเลย พอป่วยก็บุกอวัยวะสำคัญ หลังกินยารักษาก็เจอปัญหาผลข้างคียงของยา ตับได้รับผลกระทบจากยาต้องเปลี่ยนแผนการรักษามาฉีดยาทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นก็กินยารักษามาตลอด 2 ปีกว่า ผิวที่ดำคล้ำอยู่เดิมก็ดำหนักเข้าไปอีก สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นก็คือทำใจอย่างเดียว หลังรักษาโรคแรกผ่านไป ก้อนในมดลูกก็แสดงอาการออกมาให้เห็นเมื่ออายุย่างเข้า 42 ปี  ใจเราก็อยากตัดมดลูกออกเลย แต่หมอก็ให้เรากลับมาคิดก่อนว่าจะตัดมดลูกออกไหม เนื่องจากยังไม่มีลูก(สามี) เผื่ออนาคตอยากมีลูก เราก็ไม่มีแฟนแล้วจะมีลูกตอนใหน  แต่ก็คล้อยตามหมอขึ้นมาทันที รู้สึกมีความหวังเผื่อมีลูกเป็นของตัวเองเข้าสำนวน  (คนในอยากออก  คนนอกอยากเข้าขึ้นมาทันที) ปัญหาที่พบเรื่องมีเลือดประจำเดือนออกมาก ซีด อ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือนนี่ต้องทำใจ แต่ก็พยายามให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับปัญหาเลือดออกให้ได้ ปัญหาสืบเนื่อง  เกิดผลกระทบกับการทำงานมีภาวะอ่อนเพลีย อ่อนล้า อาการสมองเสื่อมเริ่มมาเยือน ความจำและการตัดสินใจเริ่มแย่ลง เราก็หวังว่าประจำเดือนหมด  ก้อนคงหายไป แต่โรคโควิด 19 ก็มาระบาดช่วงที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มที่ เจอวิกฤติโรคใหม่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งปัญหาทางกายและทางจิตใจสุดท้ายต้องออกจากงานเพื่อดูแลตนเองร่วมหกเดือนเต็มแต่  เราก็ผ่านวิกฤติมาได้อย่างยากลำบาก สุดท้ายก็หวังว่าไม่เจอวิกฤติหนักๆอีกจนแก่ชราเพราะผ่านมาเยอะแล้ว

เรามาดูวิธีการปรับสภาพจิตใจกับการดูแลสุขภาพร่างกายอย่างไรเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนมีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันนี้

  1. การทำใจยอมรับ ว่าร่างกายเราเจอปัญหาความเจ็บป่วยแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายกับปัญหาการเจ็บป่วยเรื้อรังตลอดระยะเวลา 15 ปีมาแบบต่อเนื่อง สุดท้ายเราก็ทำได้โดยอาศัยหลักของธรรมชาติที่ว่า “สรรพสิ่งเกิดขึ้น คงอยู่ และดับไป”
  2. การนั่งสมาธิ ฝึกการหายใจ การเล่นโยคะเพื่อช่วยให้จิตใจสงบลง การนับลูกปะคำเพื่อให้จิตใจมีสมาธิ การเขียนบันทึกประจำวันเพื่อช่วยด้านความจำช่วยรื้อฟื้นความจำระยะสั้น
  3. การงดรับประทานอาหารที่มีผลเสียต่อสุขภาพทุกชนิด หรือกินให้น้อยที่สุด เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  กาแฟ  อาหารหมักดอง  อาหารที่เพิ่มระดับโฮโมนเพศ นมถั่วเหลือง  น้ำมะพร้าว  ดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น ลดการดื่มนมไปโดยปริยาย เพราะหากเดือนใหนร่างกายมีระดับโฮโมนสูงผลกระทบที่ตามมา คือเลือดประจำเดือนจะออกมากกว่าปกติ ถึงขั้นกินยาลดเลือดออกเลยทีเดียว
  4. การสร้างกำลังใจให้กับตนเอง หาแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ที่สามารถทำได้และใกล้ตัว เช่น การดูหนัง ฟังเพลง ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากขาดรายได้ ไม่มีงานประจำ
  5. การได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง และครอบครัวที่เข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น

จะเห็นได้ว่า การทำใจยอมรับกับปัญหาด้านสุขภาพนั้น นอกจากจะเสริมสร้างด้วยตนเองแล้ว การได้กำลังจากครอบครัว และคนรอบข้างเป็นกำลังใจที่ทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติต่างๆมาได้ด้วยดีเลยทีเดียว


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

 

แชร์ให้เพื่อน

อาหารมื้อเช้าช่วยกระตุ้นสมองของมนุษย์แม่ (มนุษย์เมีย) วัยทำงาน

แชร์ให้เพื่อน

อาหารมื้อเช้าช่วยกระตุ้นสมองของมนุษย์แม่ (มนุษย์เมีย) วัยทำงาน

มนุษย์แม่ (มนุษย์เมีย) วัยทำงานมีภารกิจแต่เช้าหลังตื่นนอน (อาจหลับพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ)  เริ่มจากตื่นนอนแต่เช้ารีบเข้าห้องครัว (สำหรับมนุษย์แม่ชอบทำอาหาร) ดูแลกิจวัตรประจำวันของตัวเองและลูกๆ (รวมถึงสามีอีก) อธิเช่น  เตรียมอาหารมื้อเช้า  ช่วยลูกอาบน้ำ  แต่งตัว ส่งลูกไปโรงเรียน หลังเสร็จภาระกิจดูแลลูกกับสามีแล้วทีนี้ก็ถึงคิวดูแลตัวเอง วันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับการเลือกรับประทานอาหารมื้อเช้าสำหรับมนุษย์แม่ (มนุษย์เมีย) วัยทำงาน ที่ต้องการทั้งความฉลาดในการบริหารเงินให้เพียงพอในการใช้จ่ายแต่ละเดือน (แอบเก็บไว้บ้างก็ดีนะเผื่อใช้ในวัยเกษียร) มีความมั่นใจ และความสวย เพื่อมัดใจคุณสามี (อันนี้คิดเอง 555)  เรามาดูกันเลยคะว่าอาหารมื้อเช้าที่มนุษย์แม่ (มนุษย์เมีย) ควรสรรค์หามารับประทานในมื้อเช้านั้นมีอะไรกันบ้าง

  1. อาหารประเภทที่มีสารอาหารโปรตีนสูง  สารอาหารโปรตีนที่มนุษย์แม่  (มนุษย์เมีย) ควรเลือกรับประทานนั้นมีความจำเป็นสมองและร่างกาย  การไม่รับประทานอาหารมื้อเช้าจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ สมองตื้อ ไม่แล่น คิดอะไรไม่ค่อยออก หากเกิดปัญหาเรื้อรังส่งผลให้เกิดสมองเสื่อมตามมาได้  (หาอ่านในบทความอื่นๆเพิ่มเติม)  เช่น กลุ่มโปรตีนจากเนื้อปลา ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ผลิตภัณฑ์จากนม  เนื้อสัตว์เน้นไม่ติดมัน (หากใครชื่นชอบหมูสามชั้นสไลด์ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินโดยด่วน (เด่วจะหาว่าไม่เตือนสิ่งที่ขึ้นแล้วลงยากก็น้ำหนักนี่แหละพร้อมทั้งปัญหาโรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดตามา)  เพราะมนุษย์แม่ (มนุษย์เมีย) เริ่มมีฮอร์โมนเพศที่ลดลง ผิวพรรณไม่เต่งตึงเหมือนสมัยเป็นสาวๆ การรับประทานอาหารทีมีฮอร์โมนเพศก็เป็นสิ่งจำเป็น อาหารมื้อเช้าสำหรับเมนูที่เร่งรีบเช่น ขนมปังโฮวีท 2 แผ่น ไข่ดาวรีดน้ำมันออก  โยเกิร์ต  น้ำแก้วใหญ่ๆ หนึ่งแก้ว หรือน้ำผลไม้สด (กาแฟซักถ้วยสำหรับใครที่เป็นคอกาแฟ) แค่นี้ก็มีพลังงานเพียงพอถึงมื้อเที่ยงละ
  2. อาหารประเภทแป้ง คาร์โบไฮเดรต  ควรเน้นข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง  ขนมปังโฮวีทมีวิตามินและเส้นใยอาหารมากกว่าขนมปังขาว ปัญหาที่พบในวัยทำงานเช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง อ้วนลงพุง การจำกัดอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลจะพอช่วยได้ เพราะหากเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงก็ทำให้รู้สึกง่วง ขาดความกระปรี่กระเปร่าลงได้
  3. อาหารประเภทผักและผลไม้  กลุ่มนี้จะให้สารอาหารและแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะผักและผลไม้นั้นอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุและเส้นใยอาหารช่วยให้ร่างกายรักษาสมดุล สดชื่น เสริมพลังความคิดสร้างสรรค์ สังเกตได้จากเรารู้สึกอ่อนเพลีย อ่อนล้า เมื่อเรารับประทานผลไม้หรือน้ำผลไม้จะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวเนื่องจากน้ำตาลในผลไม้ร่างกายสามารถดึงออกมาใช้ได้เลย

ขอบคุณภาพจาก สสส. 

 

อยากเป็นมนุษย์แม่  (มนุษย์เมีย) ที่มีพลังความคิดในการทำงานนอกบ้านรวมถึงเป็นผู้บริหารจัดการในบ้านแบบมือโปร พร้อมๆกับการมีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้า พร้อมตา พ่อแม่ลูก เราแนะนำสูตรการเลือกรับประทานอาหารที่คู่ควรสำหรับมนุษย์แม่  (มนุษย์เมีย) 2:1:1 (ไม่ใช่ใบ้หวยนะ) ดังต่อไปนี้ คือ

เลข 2 คือ เลือกกินอาหารประเภทผักและผลไม้ให้ได้วันละ 2 ส่วน โดยเน้นผักต้มหรือผักสดได้ตามความชอบหรือดื่มน้ำผลไม้

เลข 1 คือ เลือกกินอาหารประเภทโปรตีนให้ได้วันละ 1 ส่วน ควรเน้นโปรตีนจากปลา  หมูเนื้อแดง ไม่ติดมัน เนื้อไก่ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เมนูน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ใส่ธัญญพืช

เลข 1 คือ เลือกกินอาหารประเภทแป้งและคาร์โบไฮเดรตให้ได้วันละ 1 ส่วน เน้นอาหารไม่ขัดสี หรือการแปรรูป เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท  หรือขนมปังธัญพืช เป็นต้น

สำหรับมนุษย์แม่(มนุษย์เมีย) ทั้งหลายควรใส่ใจด้านสุขภาพนอกจากจะทำให้เรามีความสุข และความสวยแล้วยังทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย ติดตามบทความอื่นได้ต่อไปนะคะ


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

การจัดที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้ป่วยสมองเสื่อมทำอย่างไร?

แชร์ให้เพื่อน

การจัดที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้ป่วยสมองเสื่อมทำอย่างไร?

ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมนับวันยิ่งมีปัญหาเพิ่มมากขึ้น หลังจากโรคโควิด 19 ระบาดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณะสุขเป็นอย่างมาก  ทั้งด้านงบประมาณในการดูแลรักษาภาวะสุขภาพกายและสุขภาพจิต  หลังปัญหาโควิด19 ชะลอการระบาดลงผู้ป่วยที่ได้รับการติดเชื้อได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพจิต  พร้อมๆกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงักลงแบบทันทีทันใด คนหยุดการเดินทางทั่วโลก ประเทศที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเดียวเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กต้องปิดตัวลงอย่างเช่น เมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา เดิมทีเป็นเมืองไม่เคยหลับใหล แต่เมื่อเจอวิกฤติเศรษฐกิจจากโรคโควิด 19 ทำให้เมืองพัทยาเป็นเมืองเงียบสงบ โรงแรมหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็นการรับดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้  ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนักแบบต่อเนื่องรวมถึงตลาดทองคำและตลาดเงิน แม้แต่ธุระด้านการแพทย์เองก็เกิดวิกฤติเช่นกัน  แต่ธุระกิจการผลิตหน้ากากอนามัยและถุงมือยางกลับเติบโตขึ้นเป็นร้อยเท่าตัว  หลังปัญหาโรคโควิด 19 สงบกลับเกิดปัญหาทางด้านสุขภาพจิตตามมา  ทั้งประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์

เรามาดูกันเลยว่าการจัดสถานที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมอย่างไร? ถึงจะเหมาะสมกับผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม

  1. ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมนั้นควรจัดในพื้นที่ชั้นล่างของบ้าน ลดการขึ้นบันไดบ้าน ควรมีหน้าต่างให้สามารถมองเห็นวิวภายนอก มีแสงสว่างที่เพียงพอเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเห็นสิ่งของต่างๆ รอบตัวได้ดี  ไม่เกิดความหวาดระแวง หรือเห็นภาพหลอน เพื่อช่วยลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ  ควรมีนาฬิกา ปฏิทิน หรือรูปถ่ายเก่าๆ เป็นต้น
  2. การจัดวางสิ่งของในห้องให้มีความเป็นระเบียบ ไม่เกะกะทางเดิน ไม่ควรเคลื่อนย้ายที่ในการจัดเก็บสิ่งของในบ้านบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมเกิดความสับสน หาข้าวของไม่พบ เกิดความวิตกกังวลและเครียดได้
  3. การจัดแสงสว่างให้เพียงพอ โดยเฉพาะทางเดินเข้าห้องน้ำต่างๆ เพราะผู้ป่วยสมองเสื่อมอาจตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกหากแสงไฟไม่เพียงอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย  แสงไฟสลัวทำให้เกิดหูแว่วหรือเห็นภาพหลอนได้
  4. ลักษณะของพื้นบ้าน ควรเป็นพื้นราบ พื้นไม่ลื่นหรือเป็นพื้นต่างระดับ หากพื้นลื่นควรใช้วัสดุกันพื้นลื่นเป็นต้น
  5. ควรจัดเก็บสิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมให้พ้นสายตาเพราะผู้ป่วยอาจเข้าใจผิด นำมากินทำให้เกิดอันตรายตามมาได้ เช่น สารเคมี ของมีคม เตาแก๊ส เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ตัวอย่างอันตรายเช่น ผู้ป่วยสมองเสื่อมนำเม็ดปุ๋ยซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสาคูนำมาต้มใส่น้ำตาลรับประทาน เป็นต้น
  6. อุปกรณ์ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวร่างกาย ควรมีความพร้อมในการใช้งาน เช่น ไม้เท้า คอกสี่ขาในการช่วยเดิน ไฟฉายช่วยในการส่องแสงสสว่างในทางเดินหากกรณีเกิดปัญหาไฟดับ ไม่ควรใช้เทียนหรือตะเกียงเพราะอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้
  7. มีสิ่งช่วยเตือนด้าน วัน เวลาให้กับผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม เช่น นาฬิกาที่มีตัวเลขชัดเจน ปฏิทิน รูปถ่ายเก่าๆ  ติดสัญลักษณ์บอกตำแหน่งห้องน้ำ  ห้องนอนเป็นต้น
  8. ลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงเช่น เสียงดังรบกวนต่างๆ เป็นต้น

การจัดการด้านที่อยู่อาศัยอาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับครอบครัวที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ การขอความช่วยเหลือจากแหล่งภายในชุมชน อาจได้รับการช่วยเหลือด้านนี้ได้


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

4 กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการสมองของผู้ป่วยสมองเสื่อม

แชร์ให้เพื่อน

4 กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการสมองของผู้ป่วยสมองเสื่อม

สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่วบคุม, สั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และภาวะธำรงดุล (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

การใช้กิจกรรมกระตุ้นสมองเพื่อให้สมองคงระดับการทำงาน ชะลอภาวะเสื่อมถอยเร็วกว่าเวลาอันควร ช่วยลดความแปรปรวนทางอารมณ์  เพิ่มทักษะทางสังคม ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

กิจกรรมกระตุ้นสมองช่วยภาวะสมองเสื่อมได้อย่างไร?

  1. กิจกรรมกระตุ้นสมองช่วยการทำงานของสมองในด้านความสามารถในการจดจำ การรับรู้  ความสนใจ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองในการทำกิจกรรมที่มีเป้าหมายในชีวิต สามารถจัดรูปแบบในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งการดูแลตนเอง การทำงาน และการพักผ่อนหย่อนใจ
  2. กิจกรรมกระตุ้นสมองช่วยให้สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้นในด้านของอารมณ์และการแสดงออกด้านพฤติกรรม ส่งผลให้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลรอบข้างได้อย่างราบรื่น
  3. กิจกรรมกระตุ้นสมองช่วยส่งเสริมให้เข้าใจโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น 
  4. กิจกรรมกระตุ้นสมองช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ให้เกิดความสมดุลในการเคลื่อนไหว

กิจกรรมกระตุ้นสมองที่นิยมนำไปใช้เพื่อช่วยกระตุ้นภาวะสมองเสื่อมมีอะไรบ้าง?  แม้ว่าสมองบางส่วนอาจเกิดภาวะเสื่อมตามวัย การขาดสารอาหาร หรือการได้รับอุบัติเหตุ  แล้วส่งผลให้สมองทำงานได้น้อยลง กิจกรรมแต่ละอย่างช่วยกระตุ้นสมองแต่ละส่วนแตกต่างกันไป ฉะนั้นการเลือกทำกิจกรรมให้เหมาะสมและความชอบของผู้ป่วยจะช่วยลดความเบื่อหน่ายในการทำกิจกรรมลงได้ 

เรามาดูกันเลยว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง?

  • กิจกรรมกระตุ้นด้านการรับรู้สิ่งแวดล้อมต่างๆ และทักษะความสามารถการรับรู้ด้านอื่นๆ  เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสมองเสื่อมได้รับรู้เรื่องของ  วัน เวลา สถานที่  บุคคล ทำให้มีความจำที่ดีขึ้น เช่น  การดูละครทีวีช่วยการรื้อฟื้นชื่อนักแสดงต่างๆ  การติดตามเกมการแข่งขันฟุตบอลช่วยรื้อฟื้นชื่อของนักเตะฟุตบอล  การบันทึกข้อมูลผ่านแอบพลิเคชันต่างๆ ช่วยในการบันทึกสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยประจำวันเป็นต้น   การอ่านหนังสือช่วยให้ผู้ป่วยมีสมาธิและฝึกสายตา การดูหนังซีรีต่างๆ   ฟังเพลงตามที่ตนเองชื่นชอบช่วยจดจำชื่อศิลปิน นักร้อง  การเขียนบทความช่วยทักษะการประมวลเนื้อหาและเป็นการระบายความเครียดออกมาทางการเขียน   การวาดรูปเป็นการระบายความเครียดโดยช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และผ่อนคลาย หรือการสะสมแสตมป์ เป็นต้น
  • กิจกรรมกระตุ้นด้านความทรงจำ เพื่อช่วยรักษาความทรงจำให้อยู่ในระดับเดิม เช่น การจำหน้าคนพาผู้ป่วยพบปะเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง คนรอบๆบ้าน  การทายสิ่งของต่างๆในชีวิตประจำวันเช่น ชื่อผลไม้ สัตว์ สิ่งของ   การฟังเพลงช่วยผ่อนคลายอารมณ์  การสวดมนต์ การนับลูกปะคำช่วยให้มีสมาธิจดจ่อ  ทั้งนี้ควรใช้เวลาในแต่ละกิจกรรมอย่างพอเหมาะ  เพื่อลดความกังวลและความตึงเครียด  เป็นต้น
  • กิจกรรมกระตุ้นด้านอารมณ์และสันทนาการ โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตของผู้ป่วย  เช่น การใช้รูปภาพ ดนตรี การเล่นเกม  ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเพื่อช่วยรื้อฟื้นความทรงจำ  และ เป็นการช่วยปรับอารมณ์และพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ หากผู้ป่วยแสดงอารมณ์และพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม  ควรให้คำชมเชยเพื่อให้มีกำลังใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม
  • กิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อช่วยด้านการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้ป่วย และเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีโดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น การเดินออกกำลังกาย  รำมวยจีน  การเล่นโยคะ เป็นต้น

แม้ว่ากิจกรรมดังกล่าวอาจดูว่าเป็นภาระสำหรับผู้ดูแล  แต่ผู้ดูแลสามารถปรับเปลี่ยนกิจกรรมดังกล่าวให้เหมาะสมเพื่อผลลัพธ์ในการทำกิจกรรมเกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยสมองเสื่อมและผู้ดูแลในเวลาเดียวกันได้  ดังสุภาษิตที่ว่า  “ยิงนกนัดเดียวตายสองตัว”


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน