ผลไม้ ผักสีเขียว ช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ

แชร์ให้เพื่อน

ผลไม้ ผักสีเขียว ช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ

สวัสดีคะเพื่อนๆวันนี้เรามาชวนกินผลไม้ ผักใบเขียว ช่วยชะลอวัยและบำรุงผิวพรรณให้สวยจากภายในสู่ภายนอก ผลไม้ ผักเขียวอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว และช่วยบำรุงผิพรรณ ลดอาการแก่ก่อนวัย อันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ของสตรี ในผลไม้ ผักใบเขียวมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยในระบบการขับถ่าย มีบางคนถึงขั้นซื้อผงคลอโรฟิลล์มาละลายน้ำดื่มแทนน้ำเลยก็มี การกินผลไม้ ผักใบเขียวเป็นอาหารหรือเมนูอาหารก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว เรามาดูว่าในผลไม้ ผักใบเขียวที่มีคลอโรฟิลล์สูงนั้นมีอะไรกันบ้าง

1.ผักบุ้ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ลดการเกิดริ้วรอย ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยในการมองเห็นและบำรุงสายตา

2.ผักคะน้า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ มีสารต้านการเกิดเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้

3.บล็อคโคลี เป็นดอกกะหล่ำสีเขียว ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ไม่เหี่ยวย่นดูเด็กกว่าวัย มีรสชาติหวานกรอบทานได้ทั้งสดและปรุงสุก มีเส้นใย

4.ฝรั่ง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยเหี่ยวย่น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ช่วยปรับสมดุลของร่างกายแก้อาการท้องเสีย

5.แอปเปิ้ลเขียว เป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง มีน้ำตาลน้อย ช่วยในระบบการขับถ่ายป้องกันอาการท้องผูกและลดปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยบำรุงผิวพรรณ

6.น้ำใบย่านาง ช่วยในการล้างพิษในร่างกายจากในระบบเลือด ตับ ไต  และเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรง น้ำของใบย่านางจึงได้รับความนิยมน้ำมาประกอบอาหารพวกหน่อไม้เพิ่มรสชาติอาหารและช่วยลดอาการปวดข้อ แกงขี้เหล็กช่วยความขมลงได้

จะเห็นว่าผลไม้ ผักใบเขียว ช่วยชะลอวัย มีสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิต้านทานให้เก็บร่างกาย เราสามารถใช้ผลไม้ ผักใบเขียวปั่นเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพได้เช่นกัน จึงเหมาะสำหรับกลุ่มที่ป่วยเป็นมะเร็งชนิดต่างๆ ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

แชร์ให้เพื่อน

3 วิธีดื่มกาแฟ ให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

3 วิธีดื่มกาแฟ ให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ

เครื่องดื่มชา กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่นิยมทั่วโลก โดยในอดีตชาจะได้รับความนิยมมากแถบประเทศจีน ญี่ปุ่น ส่วนกาแฟจะได้รับความนิยมในประเทศฝั่งตะวันตก ยกเว้นอังกฤษที่มีวัฒนธรรมการดื่มชา ที่เรียกว่า ”British tea” แต่ปัจจุบันพบว่า การดื่มกาแฟได้แพร่หลายไปในหลายพื้นที่ และพบว่ามีคนดื่มกาแฟเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้จึงอยากมาแชร์วิธีการดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพเรามาดูกันเลยค่ะ

  • วิธีเลือกชนิดของกาแฟ ให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ

กาแฟอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งพบมากถึงพันชนิด แต่หลัก ๆ ก็คือ Chlorogenic acid (มีคาเฟอีนอยู่ในนี้ ) กับ โฟลีฟีนอล (Polyphenal) โดยจากงานวิจัยในประเทศนอร์เวย์ พบว่า ร่างกายของคนเราได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากกาแฟ มากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระจาก ชา ผัก และผลไม้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะเลือกชนิดของกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์ จากหลายงานวิจัยที่สรุปว่า กาแฟดำคือกาแฟ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด ทั้งนี้เพราะกาแฟดำไม่มีน้ำตาลและพลังงานให้กวนใจ การดื่มกาแฟดำโดยปราศจากน้ำตาลและสารให้ความหวานจึงทำให้ปลอดภัยจากโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน และโรคหัวใจมากที่สุด

  • วิธีเลือกเวลาในการดื่มกาแฟ ให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ

เวลาที่แนะนำให้ดื่มกาแฟ คือ หลังจากตื่นนอน 1 ชั่วโมง เช่นหากเราตื่นนอนตอนเช้าประมาณ 8 โมงเช้า ก็ควรจะดื่มกาแฟหลังจากเวลา 09:00 เนื่องจากช่วงเวลาหลังจากตื่นนอนใหม่ ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ยังสูง ฮอร์โมนคอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำให้ร่างกายตื่นตัว ดังนั้นการดื่มกาแฟตอนเช้าทันทีหลังจากตื่นนอน จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ เวลาที่ควรดื่มกาแฟอีกครั้ง คือประมาณช่วงบ่าย และควรงดเว้นการดื่มกาแฟประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนเข้านอนเว้นแต่คุณเป็นคนดื้อต่อคาเฟอีนคาเฟอีนไม่ได้มีผลต่อการนอนหลับ

  • วิธีเลือกปริมาณของกาแฟในการดื่มต่อวัน ให้ดีต่อสุขภาพ

แม้กาแฟจะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่กาแฟก็มีคาเฟอีนเป็นสารประกอบหลัก ที่หากได้รับมากเกินไปก็อาจจะทำให้เป็นผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกันโดยปริมาณของสารคาเฟอีนที่แนะนำว่าจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ คือ ไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน

โดยกาแฟแต่ละชนิดมีปริมาณของสารคาเฟอีนที่แตกต่างกัน โดยพบว่ากาแฟคั่ว หรือ กาแฟดริปพบสารคาเฟอีนมากถึง 100 มิลลิกรัมต่อการชง 180 ml ส่วนกาแฟสำเร็จรูปพบคาเฟอีน 90 มิลลิกรัมต่อการชง 180 ml แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการชง ขั้นตอน และแหล่งที่ผลิตกาแฟด้วย ดังนั้นหากเราดื่มกาแฟบดก็ไม่ควรเกิน  3-4 แก้วต่อวัน

คาเฟอีนในเครื่องดื่มชา และกาแฟ อ่านต่อได้ใน ชาเขียว กับ กาแฟ  อะไรมีสารคาเฟอีน มากกว่ากัน ?

ประโยชน์ของกาแฟ อ่านต่อได้ใน 8 ประโยชน์ของกาแฟ ที่ไม่ได้แค่แก้ง่วง

อย่างที่บอกค่ะว่า กาแฟแม้จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษต่อสุขภาพเช่นกัน ดังนั้นการเลือกวิธีดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงจำเป็นเช่นกัน และทั้ง 3 วิธีดื่มกาแฟนี้จะช่วยให้ร่างกายเราได้ประโยชน์มากกว่าได้โทษจากกาแฟแถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วยวันนี้ลาไปก่อนแล้วกลับมาพบกันใหม่นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

ชาเขียว กับ กาแฟ  อะไรมีสารคาเฟอีน มากกว่ากัน ?

แชร์ให้เพื่อน

ชาเขียว กับ กาแฟ  อะไรมีสารคาเฟอีน มากกว่ากัน ?

ชา และกาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ซึ่งทั้ง ชา และกาแฟ ก็เป็นเครื่องดื่มที่มีที่มีส่วนผสมของสารคาเฟอีนทั้งคู่ และคุณรู้หรือไม่ว่า ชาเขียว กับ กาแฟ อะไรมีคาเฟอีนมากกว่า ?

สำหรับประโยชน์ของชา กาแฟ อ่านต่อได้ที่นี่

ทำความรู้จักสารคาเฟอีนกันก่อน

สารคาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารที่พืชสร้างขึ้นมา โดยสารคาเฟอีนไม่ได้มีคุณค่าทางสารอาหารอะไรต่อพืชโดยตรง เพียงแต่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อขับไล่แมลงไม่ให้มารบกวน ซึ่งพบได้ในพืชมากกว่า 60 ชนิดทั่วโลก แต่ที่เรารู้จักกันดีว่ามีสารคาเฟอีนอยู่ตามธรรมชาติ เช่นใน ชา กาแฟ เมล็ดโกโก้ และอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ เช่น ช็อกโกแลต โซดา เครื่องดื่มชูกำลัง ยาบางชนิด โค้ก หรือหมากฝรั่ง ก็มีคาเฟอีนเช่นกันต่อไปเรามาดูประโยชน์ของคาเฟอีนต่อร่างกายเรากันค่ะ

ประโยชน์ของคาเฟอีน

ประโยชน์ของคาเฟอีนหลัก เลยก็คือ ทำให้รู้สึกตื่นตัว ลดอาการอ่อนเพลีย ทำให้มีแรงทำกิจกรรมต่าง นอกจากนั้นงานวิจัยล่าสุดพบว่า คนที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์

เทียบปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มชาเขียว และกาแฟ

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มชาเขียวและกาแฟพบปริมาณของสารคาเฟอีนที่แตกต่างกันดังนี้

  • ในชาเขียวมัทฉะอยู่ในช่วงประมาณ 18.9 – 44.4 mg/g
  • ในชาเขียวทั่วไปอยู่ในช่วงประมาณ 11.3–24.67 mg/g
  • ในกาแฟบดในอยู่ช่วงประมาณ 10.0–12.0 mg /g

จากข้อมูลดังกล่าวจะพบว่า เมื่อเทียบกับน้ำหนักของเครื่องดื่มชา และกาแฟที่ปริมาณเท่ากันจะพบว่า ชาเขียวมัทฉะมีสารคาเฟอีนมากที่สุด รองลงมาเป็นชาเขียวทั่วไป และกาแฟมีปริมาณของคาเฟอีนน้อยที่สุด แต่เมื่อเราไปเทียบปริมาณสารคาเฟอีนเมื่อชงด้วยน้ำขนาด 180 ml เท่ากันพบว่า

  • ขาเขียวชง 180 ml พบสารคาเฟอีน 35 มิลลิกรัม
  • ชาดำชง 180 ml พบสารคาเฟอีน 70 มิลลิกรัม
  • กาแฟดริป 180 ml พบสารคาเฟอีน 100 มิลลิกรัม
  • กาแฟสำเร็จรูป 180 ml พบสารคาเฟอีน 90 มิลลิกรัม
  • โกโก้ชง 180 ml พบสารคาเฟอีน 13 มิลลิกรัม

ข้อสังเกต 1: ทั้งนี้ปริมาณของสารคาเฟอีนในเครื่องดื่มชาและกาแฟ อาจมีความแตกต่างกันบ้างโดยขึ้นกับพื้นที่วิธีการปลูกขึ้นตอนและวิธีการผลิต

ข้อสังเกต 2: กาแฟดริป เป็นการชงกาแฟโดยการเทน้ำร้อนผ่านผงกาแฟ ซึ่งจะสามารถดึงรสชาติของกาแฟได้เป็นอย่างดี 

หลายคนอาจจะเห็นตัวเลขแล้วสงสัยว่า ทำไมตัวเลขข้างบนพบว่าชาเขียวมีปริมาณสารคาเฟอีนมากกว่า แล้วทำไมเมื่อชงที่ปริมาณน้ำเท่ากัน 180 ml ทำไมชาเขียวถึงได้มีสารคาเฟอีนน้อยกว่าคำตอบก็คือเวลาเราชงชาหรือกาแฟเราจะใช้น้ำหนักของชาในการชงน้อยกว่ากาแฟนั่นจึงสนับสนุนว่าทำไมเมื่อชงสำเร็จชาจึงมีปริมาณของสารคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ

คุณรับสารคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายมากน้อยแค่ไหน ?

ปริมาณคาเฟอีนที่รับเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะจากเครื่องดื่ม ชา กาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 ระดับดังนี้ค่ะ

  • ผู้บริโภคคาเฟอีนระดับอ่อน (Low caffeine)   น้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้บริโภคคาเฟอีน ระดับกลาง (Moderate caffeine)  200 – 400 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ผู้บริโภคคาเฟอีน ระดับสูง (High caffeine) มากกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน

สำหรับปริมาณคาเฟอีนที่แนะนำในผู้ใหญ่ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง คือไม่เกิน  400 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งหากได้รับในคาเฟอีนในปริมาณนี้โอกาสจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายค่อนข้างน้อยแต่ถ้าร่างกายได้รับสารคาเฟอีนเกินนี้ก็อาจจะมีผลเสียต่อสุขภาพได้เดี๋ยววันหลังจะเอามาฝากนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7796401/

Caffeine: Cognitive and Physical Performance Enhancer or Psychoactive Drug? – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

มะเฟือง ประโยชน์ และโทษ โรคอะไรห้ามกินมะเฟือง ?

แชร์ให้เพื่อน

มะเฟือง ประโยชน์ และโทษ โรคอะไรห้ามกินมะเฟือง ?

มะเฟืองเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหาร มีรสชาติอมเปรี้ยว อมหวาน หรือ บางพันธุ์ก็เปรี้ยวมาก วันนี้จะชวนคุณผู้อ่าน ไปดู ประโยชน์และโทษของมะเฟือง โรคอะไรที่ไม่ควรกินมะเฟือง เพราะอะไรเราไปดูกันเลยค่ะ

มะเฟืองมีการนำมาใช้เป็นสมุนไพรในหลายประเทศ เช่น ที่ประเทศจีน บราซิล อินเดีย มาเลเซีย ไต้หวัน โดยมีการนำมาใช้ ลดไข้ รักษาอาการเจ็บคอ ไอ หอบหืด อาการปวดศีรษะเรื้อรัง และ รักษาอาการอักเสบของผิวหนัง มะเฟืองอุดมด้วยสารอาหารมากมาย ซึ่งจะดีต่อคนที่มีปัญหาโรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และมะเฟืองยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เรามาดูกันค่ะว่ามะเฟืองมีสารอาหารอะไรน่าสนใจบ้าง

สารอาหารในมะเฟือง 100 กรัม ประกอบด้วย

  • พลังงาน 31 กิโลแคลอรี่
  • เส้นใยอาหาร 2,8 กรัม 
  • วิตามินซี 43% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ต่อไปเราไปดูประโยชน์ และสรรพคุณของมะเฟืองกันค่ะ

ประโยชน์ และสรรพคุณของมะเฟือง

  • มะเฟืองอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

มะเฟืองอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่าง ซาโปนิน (Saponins), ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), อัลคาลอยด์ (Alkaloids), และแทนนิน (tannins) โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่พบในมะเฟือง คือ โปรแอนโทไซยานิน (proanthocyanins เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์) วิตามินซี และ Gallic acid 

การกินมะเฟืองจะช่วยล้างสารพิษจากร่างกาย เสริมสร้างภูมิต้านทาน และยังช่วยต้านมะเร็งอีกด้วยเห็นว่าประโยชน์เยอะขนาดนี้ก็มีโทษกับบางโรคนะคะซึ่งเราจะกล่าวถึงในตอนท้ายของบทความค่ะ

  • มะเฟืองอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์

ในผลของมะเฟืองประกอบไปด้วย เซลลูโลส (Cellulos) 60%, Hemicellulos 27% และ Pectin 13% ซึ่งจากการที่มะเฟืองมีเส้นใยอาหารจำนวนมากโดยจะส่งผลต่อการดูดซึมน้ำตาลไขมันช่วยลดน้ำตาลในเลือดซึ่งก็ดีต่อผู้ป่วยเบาหวานรวมทั้ง

  1. ช่วยลดไขมันในเลือด
  2. ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
  3. ช่วยป้องกันมะเร็งสมอง
  4. ช่วยแก้อาการท้องผูก ขับถ่ายง่าย
  • มะเฟืองช่วยต้านการอักเสบ และออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

จากการใช้สารสกัดจากใบมะเฟือง พบว่า ช่วยลดการอักเสบของผิวหนังหนูทดลอง นอกจากนั้นยังช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย E. Coli ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร และเป็นหนึ่งในสาเหตุของมะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้นการกินมะเฟืองจะช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ได้ดี

  • มะเฟืองช่วยป้องกันแผล

ในอดีตมีการใช้ผลมะเฟืองในการช่วยป้องกันแผล และ ลดความอึดอัดในช่องท้อง  โดยจากการทดสอบพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในมะเฟืองช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้

*โทษที่ควรระวังในมะเฟือง*

คนที่ไม่ควรกินมะเฟือง คือ คนที่มีปัญหาโรคไตเรื้อรัง และคนที่มีกรดยูริคในเลือดสูง เนื่องจากในมะเฟืองมีสารออกซาเลตสูงจึงทำให้เมื่อร่างกายรับสารตัวนี้เข้าไปและไตไม่สามารถกำจัดออกซาเลตออกได้ทำให้เกิดเป็นพิษต่อร่างกายโดยส่งผลให้เกิดอาการสะอึกอาเจียนสับสนหมดสติและเสียชีวิตได้ซึ่งจากการเก็บข้อมูลงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังและรับประทานมะเฟืองมีอัตราการตายสูงกว่าผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไม่ได้กินมะเฟือง

และทั้งหมดนี้คือประโยชน์และโทษของมะเฟืองที่เราเอามาฝากวันนี้แล้วพบกันใหม่เร็วๆนี้นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

สรรพคุณทางยาของ ”ยี่หร่าฝรั่ง” สมุนไพรรักษาสารพัดโรค

แชร์ให้เพื่อน

สรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่ง” สมุนไพรรักษาสารพัดโรค

ยี่หร่าฝรั่ง  หรือผักชีล้อมหรือผักชีเดือนห้ามีชื่อในภาษาอังกฤษว่า ”Fennel” ผักสมุนไพรที่ใช้มานับพันปีที่เราเขียนไปแล้วในหลายบทความเช่น

วันนี้จะชวนคุณผู้อ่านไปดูงานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่งกันค่ะ เราไปดูกันค่ะว่าเราได้อะไรมาจากงานวิจัยเกี่ยวกับยี่หร่าฝรั่งบ้าง

สรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่ง

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อโรค

จากกงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา และเชื้อไมโคแบคทีเรีย โดยจากการสกัดสารจากเมล็ดของยี่หร่าฝรั่ง มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S. Aurius ที่อยู่ตามผิวหนัง และเชื้อ E.Coli ที่พบในลำไส้ และเป็นหนึ่งในสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหาร และโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนั้นยี่หร่าฝรั่งยังสามารถต้านเชื้อ K. Pneumonia ที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบภาวะติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะนอกจากนั้นยังพบว่าสารสกัดจากยี่หร่าฝรั่งยังสามารถต้าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเริมได้ด้วย

ถ้าเราไปอ่านสรรพคุณของยี่หร่าฝรั่งจะพบว่าในอดีตมีการนำยี่หร่าฝรั่งมาใช้รักษาไข้หวัดรักษาตาอักเสบรักษาอาการท้องเสียซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับสรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่ง

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยจากการนำสารสกัดที่ได้จากยี่หร่าฝรั่งไปทดสอบกับหนู พบว่า สารสกัดจากยี่หร่าฝรั่งสามารถต้านการอักเสบทั้งการอักเสบแบบเฉียบพลัน และการอักเสบกึ่งเฉียบพลัน โดยพบว่า สามารถลดอาการบวมน้ำได้ประมาณ 69% และลดอาการอักเสบบวมที่หูได้ 70% นอกจากนี่ยังพบว่ายี่หร่าฝรั่งยังมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของข้อได้ด้วย

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ต้านอาการแพ้
  • ยี่หร่าฝรั่งออกฤทธิ์ช่วยบำรุงรักษาตับ

โดยน้ำมันจากเมล็ดยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ช่วยฟอกและบำรุงตับโดยจากการทดลองกับสัตว์ทดลองพบว่าผลเลือดตับที่เคยผิดปกติดีขึ้นหลังจากได้รับน้ำมันจะเมล็ดยี่หร่าฝรั่ง

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์คลายเครียด ลดความวิตกกังวล

จากการทดสอบประสิทธิภาพสารสกัดจากยี่หร่าฝรั่งพบว่า หนูทดลองมีอาการเครียดลดลง ซึ่งยี่หร่าฝรั่งจะออกฤทธิ์คล้ายยาคลายเครียด Diazepam ซึ่งถ้าเราไปดูจากสรรพคุณของยี่หร่าฝรั่งมีการใช้เพื่อคลายเครียดในประเทศอิหร่านข้อมูลตรงนี้ก็น่าจะสอดคล้องเช่นกัน

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ช่วยบำรุงความจำ ป้องกันโรคความจำเสื่อมอัลไซเมอร์

ในประเทศอินเดียนิยมให้เด็กรับประทานยี่หร่าฝรั่ง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เด็กความจำดี และเรียนเก่งมากขึ้น จากการนำสารสกัดยี่หร่าฝรั่งทดสอบกับหนูทดลองก็พบว่า หนูมีความจำดีขึ้น ซึ่งก็คาดว่ายี่หร่าฝรั่งจะช่วยบำรุงความจำ และป้องกันโรคความจำเสื่อมอัลไซเมอร์ได้

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นน้ำนม และช่วยให้ประจำเดือนมาตามปกติ

มีการใช้ยี่หร่าฝรั่งในการกระตุ้นน้ำนมมาตั้งแต่สมัยอดีตและมีการใช้ยี่หร่าฝรั่งในการช่วยให้ประจำเดือนมาตามปกตินอกจากนี้บางงานวิจัยยังบอกว่ายี่หร่าฝรั่งยังสามารถช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนได้ด้วยโดยการจากการใช้น้ำมันจากยี่หร่าฝรั่งพบว่ายี่หร่าฝรั่งออกฤทธิ์ลดการบีบรัดตัวของมดลูก

  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ
  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ช่วยลดอาการปวดท้อง

ในน้ำมันของยี่หร่าฝรั่งจะช่วยลดแกสในลำไส้ช่วยปรับลำไส้ลดอาการจุกเสียดแน่นท้องและลดอาการปวดท้องได้

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการปวด

อย่างที่บอกค่ะว่า มีบางงานวิจัยที่สนับสนุนว่ายี่หร่าฝรั่งช่วยลดอาการอาการป้องท้อง ปวดท้องประจำเดือนได้ดี

  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยบำรุงหัวใจ

โดยในบางประเทศใช้ยี่หร่าฝรั่งในการลดความดันโลหิตสูง จากงานวิจัยก็พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระสารประกอบฟีนอล จากยี่หร่าฝรั่งสามารถช่วยลด Oxidative stress, ลดการอักเสบและลดความดันโลหิตซึ่งจะช่วยลดการทำงานของหัวใจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจในอนาคตได้

  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยลดความดันลูกตา

จากการทดสอบสรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่งพบว่า มีฤทธิ์ช่วยลดความดันลูกตา ซึ่งให้ผลคล้ายกับยา Timolol ที่ใช้ในการรักษาต้อหิน

  • ยี่หร่าฝรั่งป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด
  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยต้านมะเร็ง ต้านการกลายพันธุ์ของยีนส์

จากการทดลองพบว่ายี่หร่าฝรั่งช่วยยับยั้งมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก

  • ยี่หร่าฝรั่งมีช่วยปกป้อง และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ช่วยลดไข้
  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยลดไขมันในเลือด

โดยจากการทดลองพบว่า ยี่หร่าฝรั่ง ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ และไขมันชนิดเลว LDL แต่ช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL

  • ยี่หร่าฝรั่งมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

จากการทดลองใช้น้ำมันจากยี่หร่าฝรั่ง พบว่าช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง

  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยชะลอความแก่

เนื่องจากยี่หร่าฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากซึ่งช่วยปล่อยและต้านอนุมูลอิสระ

  • จากการทดลอง ยังไม่พบว่ายี่หร่าฝรั่งมีผลข้างเคียงแต่อย่างใด

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มีการค้นพบสรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่งในเบื้องต้น อย่างที่บอกค่ะ ว่ายี่หร่าฝรั่งมีการใช้เป็นสมุนไพรแก้อาการและรักษาโรคมากกว่า 40 โรคและใช้ในหลายประเทศและใช้มานานนับพันปีอย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงการทดสอบประสิทธิภาพทางยาของยี่หร่าฝรั่งในเบื้องต้นเท่านั้นซึ่งจำเป็นต้องมีการค้นคว้าเก็บข้อมูลกับคนจริงหลายครั้งก่อนจะมีการนำสารต่างๆเหล่านี้มาพัฒนาเป็นยารักษาคนจริงๆต่อไป

แชร์ให้เพื่อน

เช็กที่นี่ 5 อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อสงสัยว่าเป็น หรือ เป็นไข้เลือดออก

แชร์ให้เพื่อน

เช็กที่นี่ 5 อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อสงสัยว่าเป็น หรือ เป็นไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ มักจะระบาดช่วงหน้าฝน อาการที่พบบ่อย เช่น ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย ตามตัว มีจุดแดงตามร่างกาย มีเลือดออกตามอวัยวะต่าง   บางรายจนถึงขั้นช็อก หมดสติ หรือ เสียชีวิต สาเหตุที่ทำให้โรคไข้เลือดออกมีเลือดออกตามร่างกาย เนื่องจากร่างกายมีเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดออกได้ง่าย เพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่า เกล็ดเลือดช่วยให้เลือดเป็นลิ่ม และหยุดไหล วันนี้เรามี 5 อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อสงสัยว่าเป็น หรือ เป็นโรคไข้เลือดออก เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีสารบางอย่างที่ป้องกันเลือดแข็งตัว และอาหารบางอย่างทำให้ความดันต่ำ ดังนั้น เราจึงควรเลี่ยงเมื่อสงสัยว่าเป็น หรือ รู้ตัวว่าเป็นไข้เลือดออก  เราไปดูกันเลยค่ะ

1.ขิง

ขิงมีสรรพคุณมากมาย และดีต่อสุขภาพ บ้านเราจึงนิยมนำขิงมารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานขิงสด ทำเมนูน้ำขิง หรือ เมนูผัดขิงต่าง ๆ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ขิงมีสาร salicylates ที่ทำให้เลือดเจือจาง และยังมีสารบางชนิดไปต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งสารทั้งสองอย่างนี้ จะยิ่งไปทำให้เลือดเป็นลิ่มได้ช้าลง แล้วถ้าเรามีเกล็ดเลือดต่ำอยู่แล้ว เสริมด้วยเลือดเจือจาง ก็อาจจะไปเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดไหลไม่หยุด ดังนั้นเมื่อสงสัยว่าเป็น หรือ รู้ตัวว่าเป็นไข้เลือดออกจึงควรเลี่ยงกินขิงไปก่อนดีที่สุดค่ะ


2.ขมิ้น รวมทั้งสารสกัดจากขมิ้น

สารเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่อยู่ในขมิ้นมีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบ และทำให้เลือดเจือจาง ป้องกันเลือดเป็นลิ่มเช่นเดียวกับขิง ดังนั้นการกินขมิ้น โดยเฉพาะสารสกัดจากขมิ้น จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดไหลไม่หยุด ดังนั้นเมื่อสงสัย หรือ รู้ตัวว่าเป็นไข้เลือดออก จึงควรเลี่ยงกินขมิ้น หรือสารสกัดจากขมิ้นไปก่อนจากงานวิจัยของต่างประเทศพบว่าการรับประทานอาหารที่มีขมิ้นเป็นส่วนผสมเพียงเล็กน้อยอาจจะไม่มีผลหรือเป็นอันตรายต่อร่างกายเท่าไรนักแต่ก็อย่างว่าเลี่ยงไปก่อนดีที่สุด


3.กระเทียม

กระเทียม ปกติเราเอามาทำอาหารในปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ได้มีผลต่อร่างกายเท่าไรนัก แต่ในบางคนที่กินกระเทียมโทน เพื่อหวังผลลดความดันโลหิต อันนี้อาจจะต้องระวังเช่นกันค่ะ เพราะในกระเทียมมีสารที่ป้องกันเลือดแข็งตัว และมีสารที่ไปลดความดันโลหิต ดังนั้นคนที่สงสัยว่าเป็น หรือ รู้ตัวว่าเป็นไข้เลือดออกจึงควรหยุดกินกระเทียมในปริมาณมากไปก่อน

4.สับปะรด

สับปะรด มีเอนไซม์บรอมเมเลน (bromelain ) ที่เป็นเอนไซม์ช่วยย่อย และยังช่วยเรื่องลดอาการปวด อักเสบในข้อ จากโรคข้อเข่าเสื่อม นอกจากนั้นเอนไซม์ตัวนี้ยังทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง โดยจากการทดลองกับหนูทดลองพบว่า บรอมเมเลนทำให้การแข็งตัวของเลือดช้าลง ข้อมูลนี้ยังอยู่ในการทดลองกับสัตว์ทดลองเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าเป็น หรือเป็นไข้เลือดออก และอยู่ในช่วงที่เกล็ดเลือดต่ำ อาจจะไปเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกตามอวัยวะต่าง โดยเฉพาะอวัยวะภายในดังนั้นจึงควรเลี่ยงรับประทานสับปะรดไปก่อนค่ะ

5.น้ำว่านหางจระเข้

ในว่านหางจระเข้มีสาร salicylates เช่นเดียวกับขิง ซึ่งก็เป็นสารที่ทำให้เลือดเจือจาง หากสงสัยว่าเป็น หรือเป็นไข้เลือดออก ก็ควรลดกินน้ำว่านหางจระเข้ไปก่อน สมัยก่อนไม่ค่อยมีใครเอามากิน แต่สมัยนี้น้ำผักผลไม้ รวมทั้งน้ำจากว่านหางจระเข้ก็มีจำหน่ายตามร้านทั่วไป ดังนั้นหากไม่สบาย และสงสัยว่าเป็น หรือรู้ตัวว่าเป็นไข้เลือดออก ก็ควรเลี่ยงดื่มน้ำว่างหางจระเข้ไปก่อนเช่นกันค่ะ

และทั้งหมดนี้ คือ 5 อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อสงสัยว่าเป็น หรือ เป็นไข้เลือดออก ถ้าไม่อยากเสี่ยงก็ต้องเลี่ยงไว้ก่อนไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องลองเพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าไข้เลือดออกเป็นโรคที่อันตรายกับทุกเพศทุกวัยและปัจจุบันก็เป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้นหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านหากชื่นชอบบทความนี้ฝากกดไลก์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

เช็กเลย! ยี่หร่าฝรั่ง พืชสมุนไพรใช้ได้ทุกส่วน รักษาได้มากกว่า 40 โรค

แชร์ให้เพื่อน

เช็กเลย! ยี่หร่าฝรั่ง พืชสมุนไพรใช้ได้ทุกส่วน รักษาได้มากกว่า 40 โรค

ช่วงนี้อยากแนะนำให้รู้จักยี่หร่าฝรั่ง” เนื่องจากผู้เขียนได้รับประทานยี่หร่าฝรั่งแล้วอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อดีขึ้นแบบทันตาเห็น และพอไปค้นหาในงานวิจัยของต่างประเทศ ก็ได้พบกับ สรรพคุณล้านแปดของยี่หร่าฝรั่ง ที่มีการนำมาใช้เป็นยาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณหรือเมื่อหลายพันปีก่อนจนมาถึงปัจจุบัน

ยี่หร่าฝรั่ง หรือ มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่นผักชีล้อม”  “ผักชีเดือนห้า” ภาษาอังกฤษเรียก “Fennel” เป็นผักที่ชอบขึ้นในที่มีสภาพอากาศเย็น โดยในเมืองไทยนิยมปลูกกันทางภาคเหนือ ประโยชน์และสรรพคุณของยี่หร่าฝรั่ง เราเขียนไปแล้วบางส่วน วันนี้อยากชวนคุณผู้อ่าน มาดูต่อว่า แต่ละส่วนของ ยี่หร่าฝรั่ง หลายประเทศบนโลกใบนี้เค้าใช้ทำอะไรรักษาโรคอะไรกันบ้างเรามาดูกันเลยค่ะ

วิธีใช้ ยี่หร่าฝรั่ง มาเป็นสมุนไพรรักษาโรคและอาการต่าง

  • ยี่หร่าฝรั่งรักษาแผลในปาก บางพื้นที่ในประเทศอิตาลีนิยมใช้ใบอ่อนมาเคี้ยวอมเพื่อรักษาแผลในปาก
  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยให้เจริญอาหาร  ในกรุงโรมประเทศอิตาลีนิยมนำส่วนที่อ่อนเช่นใบอ่อนหัวอ่อนมากินสดหรือนำมาต้มเพื่อช่วยให้เจริญอาหาร
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาโรคเหงือกที่ประเทศเซอร์เบียใช้ผลและเมล็ดมาแช่เพื่อใช้สำหรับบ้วนปาก
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการท้องผูก  ประเทศในแถบยุโรปและอินเดียใช้เมล็ดยี่หร่ามาต้มสกัดเอาน้ำใช้ดื่มหรือนำมาเมล็ดมาผสมรวมกับน้ำตาลเพื่อรักษาอาการท้องผูก
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการนอนไม่หลับที่ประเทศบราซิลใช้ใบยี่หร่าฝรั่งมาชงดื่มเป็นชาเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้ในการรักษาโรคมะเร็งที่ประเทศเอกวาดอร์ใช้ใบและดอกของยี่หร่าฝรั่งมาแช่น้ำดื่มเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการตาแดงที่ประเทศเอกวาดอร์ใช้ใบและดอกของยี่หร่าฝรั่งมาแช่น้ำดื่มเพื่อรักษาอาการตาแดง
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารที่ประเทศเอกวาดอร์ใช้ใบและดอกของยี่หร่าฝรั่งมาแช่น้ำดื่มเพื่อรักษาโรคกระเพาะอาหาร
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้เป็นยาขับปัสสาวะที่ประเทศอเมริกาใช้รากและเมล็ดมาต้มเพื่อช่วยขับปัสสาวะ
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการปวดท้องมีการใช้หลายส่วนมาใช้ในการรักษาอาการปวดท้องเช่นที่อิตาลีจอร์แดนตุรกี
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาไข้หวัดที่ประเทศอิตาลีใช้ดอกและผลมาต้มน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการหวัด
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้เพิ่มความสดชื่นที่ประเทศอิตาลีใช้ทุกส่วนมาต้มน้ำดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการท้องบวมโดยที่ประเทศอิตาลีใช้ใบมาต้มน้ำผสมน้ำผึ้งเข้าไปเล็กน้อยเพื่อรักษาอาการท้องบวม
  • ยี่หร่าฝรั่งช่วยบำรุงเส้นผม โดยการนำน้ำมันจากเมล็ดมาใช้เพื่อช่วยบำรุงผม
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยการนำเมล็ดมาบด รับประทาน
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้ลดความดันและไขมันในเลือดสูง  โดยนำใบมาเคี้ยว
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้ในการทำความสะอาดผิว ที่ประเทศสเปนใช้ใบ และลำต้นมาทำความสะอาดผิว
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้ในการทำให้ง่วงที่ประเทศอิหร่านจะใช้เมล็ดใบลำต้นมาชงดื่ม
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้แก้อาการท้องเสียมีการใช้หลากหลายส่วนของยี่หร่าฝรั่งในการแก้อาการท้องเสียและใช้ที่หลายประเทศเช่นโปรตุเกสอินเดีย
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาความผิดปกติของไต  เช่นที่ประเทศปากีสถานจะใช้เมล็ดมาต้มดื่ม
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการปวดท้องโคลิกในเด็กที่ประเทศบราซิลจะใช้ใบและผลมาชงให้ดื่ม
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาภาวะแปรปรวนของลำไส้ เช่นที่ประเทศจอร์แดนจะใช้ใบและเมล็ดมาชงดื่ม
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการปวดท้องที่ประเทศสเปนใช้ใบยี่หร่าฝรั่งมาต้มดื่ม
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้เป็นยาถ่าย ยาระบายโดยที่ประเทศปากีสถานจะใช้เมล็ดมาแช่น้ำแล้วกินทั้งน้ำและเมล็ดเพื่อช่วยระบาย
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการปวดที่ตับ ที่ประเทศบราซิล ใช้เมล็ดในการรักษาอาการปวดที่ตับ
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้รักษาอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ ที่ประเทศแอฟริกาใต้ใช้ใบชง เพื่อรักษาอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้เพื่อแก้อาการไข้  ประเทศแอฟริกาใต้ใช้ใบชง เพื่อรักษาอาการไข้
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้เพื่อช่วยลดไขมันโดยที่ประเทศแอฟริกาใต้ใช้ใบเขียวมาเคี้ยวเพื่อช่วยลดไขมัน
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้บรรเทาอาการไอ  มีวิธีการใช้ที่หลากหลายพื้นที่
  • ยี่หร่าฝรั่งใช้ในการช่วยกระตุ้นน้ำนมโดยมีการใช้หลายส่วนและในหลายประเทศ

ทั้งหมดนี้เป็นแค่สรรพคุณบางส่วนของยี่หร่าฝรั่งที่เราเอามาฝากวันนี้ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นการนำยี่หร่าฝรั่งมาใช้ในเชิงสมุนไพรบทความถัดไปเราจะมาดูกันค่ะว่ายี่หร่าฝรั่งมีสารอะไรทำไมถึงมีสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้วพบกันนะคะ

Foeniculum vulgare Mill: A Review of Its Botany, Phytochemistry, Pharmacology, Contemporary Application, and Toxicology – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

11 ประโยชน์ของ ยี่หร่าฝรั่ง ผักที่ใช้ได้ทุกส่วน โดยไม่ต้องทิ้ง

แชร์ให้เพื่อน

11 ประโยชน์ของ ยี่หร่าฝรั่ง ผักที่ใช้ได้ทุกส่วน โดยไม่ต้องทิ้ง

ยี่หร่าฝรั่ง หรือ มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น ผักชีล้อม” ”ผักชีเดือนห้าภาษาอังกฤษเรียก ”Fennel” เป็นผักที่ชอบขึ้นในที่มีสภาพอากาศเย็น โดยในเมืองไทยนิยมปลูกกันทางภาคเหนือ ยี่หร่าฝรั่ง เป็นหนึ่งในผักของโครงการหลวง ที่มีสรรพคุณมากมาย นับไม่ถ้วน ยี่หร่าฝรั่งมีการใช้รักษาโรคและอาการต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ  และได้มีการใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในอีกหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น ที่จีน อินเดีย โบลิเวีย บราซิล ฯลฯ

ยี่หร่าฝรั่งเป็นผักที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และสรรพคุณมากมาย อ่านต่อได้ใน ทึ่ง!!! พืชสมุนไพรฝั่งยุโรปยี่หร่าฝรั่ง Fennel”  สรรพคุณมากมายนับไม่ถ้วน วันนี้จะพาคุณผู้อ่านไปดูประโยชน์ของยี่หร่าฝรั่งกันค่ะ เรามาดูกันเลยค่ะ

11 ประโยชน์ของ ยี่หร่าฝรั่ง

ยี่หร่าฝรั่ง สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทั้งส่วนหัว ลำต้น ใบ เมล็ด จะกินเป็นผักสด หรือ นำมาปรุงสุกก็ได้เรามาดูกันค่ะว่ายี่หร่าฝรั่งมีประโยชน์อะไรบ้าง ?

  • ยี่หร่าฝรั่งใช้เป็นยาสมุนไพร รักษาโรคและอาการได้มากกว่า 40 โรคซึ่งเราจะเขียนแยกอีกหนึ่งบทความว่าส่วนไหนเค้าใช้ทำอะไรนะคะ
  • ส่วนของหัวยี่หร่าฝรั่ง สามารถนำมากินสด ๆ รวมกับผักสลัด จะช่วยเพิ่มรสชาติให้ผักสลัดมากยิ่งขึ้น
  • ทุกส่วนของยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมารับประทานหรือปรุงอาหารคู่กับปลาหรือเนื้อสัตว์เพื่อลดกลิ่นคาว
  • ส่วนของเมล็ดยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมาผสมรวมกับแป้งเพื่อใช้ในการอบขนมปัง
  • ยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมาทำเป็นชาดื่มได้โดยใช้ส่วนของก้านดอกผสมรวมกับส่วนที่นิ่มๆ
  • ยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมาใส่เพิ่มรสชาติให้ไอศกรีมได้
  • ยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมาทำเหล้าผสมรวมกับเครื่องดื่มต่างๆได้
  • ยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมาถนอมอาหารได้
  • ยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมาตกแต่งอาหารให้มีกลิ่นหอม และมีสีสันสวยงาม
  • เมล็ดของยี่หร่าฝรั่ง สามารถนำมาสกัดเอาน้ำมันและน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในการสูดดมช่วยลดอาการเครียดและอาการซึมเศร้า
  • ยี่หร่าฝรั่งสามารถนำมากินเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนม

ทั้งหมดนี้เป็นประ 11 ประโยชน์ของยี่หร่าฝรั่งผักมากสรรพคุณที่ไม่ควรพลาดแล้วพบกันใหม่กับบทความหน้ากับการใช้ประโยชน์แต่ละส่วนของยี่หร่าฝรั่งส่วนไหนใช้แก้อาการอย่างไรเรามาเจอกันครั้งหน้านะคะแล้วพบกันค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Foeniculum vulgare Mill: A Review of Its Botany, Phytochemistry, Pharmacology, Contemporary Application, and Toxicology – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

ทึ่ง!!! พืชสมุนไพรฝั่งยุโรป ”ยี่หร่าฝรั่ง Fennel”  สรรพคุณมากมายนับไม่ถ้วน

แชร์ให้เพื่อน

ทึ่ง!!! พืชสมุนไพรฝั่งยุโรปยี่หร่าฝรั่ง Fennel”  สรรพคุณมากมายนับไม่ถ้วน

ปกติเราจะคุ้นเคยกันดี กับพืชสมุนไพรไทย วันนี้ผู้เขียนจะพาไปทำความรู้จักกับสมุนไพรฝั่งยุโรป ”Fennel”ภาษาไทยเรียกว่า ยี่หร่าฝรั่ง” ”ผักชีล้อม” ”ผักชีเดือนห้า แรกเริ่มเราไปรู้จักพืชชนิดนี้ว่า ช่วยแก้อาการปวดท้องประจำเดือนได้ดี ความที่ไม่มีอาการปวดท้องประจำเดือนให้กวนใจ แต่ก็อยากซื้อ ยี่หร่าฝรั่งมาลองกิน บังเอิญอีกเช่นกัน ที่วันก่อนไปเดินเล่น เดินมากจนปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ จนเดินแทบไม่ไหว คิดว่าอาจจะต้องพึ่งพายาแก้ปวดแผนปัจจุบัน แต่ความที่ไม่ชอบกินยาเป็นทุนเดิมเลยขอทนอีกนิด

ซื้อยี่หร่าฝรั่งมาแล้ว เลยเอามาลองชิม กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยในยี่หร่าฝรั่งแรงมาก เลยเอาไปผสมรวมกับผักสลัดกินตอนเย็น ตื่นเช้าขึ้นมาตกใจที่ อาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ได้กินอาหารไทยในวันนั้น เลยมั่นใจว่ายังไงก็ต้องเป็นสรรพคุณของยี่หร่าฝรั่ง ที่ช่วยให้อาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อดีขึ้นแบบทันตาเห็นเลยต้องไปค้นหาความจริงถึงสรรพคุณของยี่หร่าฝรั่งและต้องทึ่งเพราะยี่หร่าฝรั่งมีสรรพคุณมากมายนับไม่ถ้วน

ยี่หร่าฝรั่ง มีการนำมาใช้เป็นพืชสมุนไพรนานนับพันปี ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ อาณาจักรโรมัน มาจนถึงปัจจุบัน แพทย์แผนโบราณใช้ยี่หร่าฝรั่ง รักษาโรคทางเดินอาหาร โรคที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินหายใจ และใช้ยี่หร่าฝรั่งในการกระตุ้นน้ำนม ซึ่งจากรายงานพบว่ายี่หร่าฝรั่งสามารถแก้อาการได้ประมาณ 40 อาการ

คุณค่าทางสารอาหารของยี่หร่าฝรั่ง

ในยี่หร่าฝรั่ง 100 กรัม มีโปรตีน 39,2% คาร์โบไอเดรต  48,3% และไขมัน 12,5%

  • พลังงาน 28 กิโลแคลอรี่
  • เส้นใยอาหารหรือไฟเบอร์ 3,3 กรัม
  • วิตามิน A             21,9%
  • วิตามิน B1           20,9%
  • วิตามิน  C            38,8%
  • ธาตุเหล็ก              19,3%

นอกจากนั้นยี่หร่าฝรั่งยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมโซเดียมฟอสฟอรัสแคลเซียม

มีสารอาหารที่สำคัญอื่น หรือไฟโตนิวเทรียนท์ที่สำคัญต่อสุขภาพ เช่น

  • น้ำมันหอมระเหย
  • สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids)
  • สารประกอบฟีนอล (Phenolic compound)
  • กรดไขมัน โดยพบกรดไขมันมากกว่า 20 ชนิดและพบทุกส่วนของยี่หร่าฝรั่ง
  • กรดอะมิโน

สรรพคุณของยี่หร่าฝรั่ง

ซึ่งสารอาหารและสารประกอบที่สำคัญในยี่หร่าฝรั่ง ทำให้ยี่หร่าฝรั่งออกฤทธิ์ได้หลากหลาย เช่น

  • ต้านเชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัสเชื้อแบคทีเรีย
  • ต้านการอักเสบ
  • ป้องกันการกลายพันธุ์ ต้านมะเร็ง และลดการแพร่กระจายมะเร็ง
  • ลดไข้
  • ลดปวด
  • ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
  • ป้องกันโรคหัวใจ
  • ช่วยบำรุงตับ
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • ช่วยลดไขมันในเลือด
  • ช่วยบำรุงความจำ

ยี่หร่าฝรั่ง นอกจากมีการใช้มากในแถบยุโรปแล้ว มีการใช้ในตำรายาจีน อินเดีย โบลิเวีย เอธิโอเปีย และอีกหลายประเทศ สำหรับยี่หร่าฝรั่งสามารถใช้เป็นยาได้ทุกส่วนของพืช ไม่ว่าจะโดยการสกัดสารหอมระเหย หรือ จากการนำมารับประทานสด ๆจากรายงานพบว่าในอดีต ยี่หร่าฝรั่งถูกนำมาใช้รักษาอาการต่าง ได้ประมาณ 40 อาการเช่น

  • รักษาอาการปวดท้อง
  • รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
  • รักษาอาการปวดอักเสบตามข้อ
  • รักษามะเร็ง
  • รักษาอาการปวดท้องในเด็ก
  • รักษาอาการตาแดง
  • รักษาอาการท้องผูกท้องอืดท้องเฟ้อ
  • รักษาโรคกระเพาะอาหาร
  • รักษาอาการท้องเสีย
  • รักษาไข้
  • รักษาอาการนอนไม่หลับ
  • รักษาอาการปวดที่ตับ
  • รักษาแผลในปาก
  • นอกจากนี้ยังมีการใช้เพื่อกระตุ้นน้ำนมในหญิงตั้งครรภ์

ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสรรพคุณทางยาของยี่หร่าฝรั่งวันหลังเราจะชวนคุณผู้อ่านไปเจาะลึกเกี่ยวกับรายละเอียดว่าสารตัวไหนในยี่หร่าฝรั่งที่ช่วยรักษาอาการได้มากมายขนาดนี้วันนี้ขอลาไปก่อน

แชร์ให้เพื่อน

เจาะลึก 5 โรคที่ควรกิน”กระเจี๊ยบเขียว”

แชร์ให้เพื่อน

เจาะลึก 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียว” 

กระเจี๊ยบเขียว มีชื่อเรียกมากมายตามท้องถิ่นนั้น เช่น okra หรือ แถบอังกฤษเรียกว่า lady’s finger กระเจี๊ยบเขียวคาดว่ามีต้นกำเนิดจากประเทศเอธิโอเบีย ทวีปแอฟริกา ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศเขตร้อน บางพื้นที่ในประเทศเอธิโอเปีย นิยมให้หญิงตั้งครรภ์รับประทานกระเจี๊ยบเขียว เพื่อบำรุงครรภ์และลดอาการอ่อนเพลีย ซึ่งผู้หญิงหลายคนก็บอกว่าได้ผลดี วันนี้เราจะชวนคุณผู้อ่านมาดู เจาะลึก 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวโดยเนื้อหาในบทความส่วนใหญ่ ผู้เขียนอ้างอิงจากงานวิจัยของต่างประเทศ เรามาดูกันค่ะว่าโรคอะไรที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวบ้าง ?

5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียว” 

1.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคเบาหวาน

ในกระเจี๊ยบเขียวมีโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccaride) และเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าเส้นกระแสเลือดได้ดี โดยจากการวิจัยกับสัตว์ทดลองที่ประเทศจีน พบว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยลดทั้งน้ำตาลในเลือด และยังช่วยให้ภาวะแทรกซ้อนที่ไตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

2.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคกระเพาะอาหาร

เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียว เวลาต้มจะทำให้มีเมือกออกมามาก ซึ่งในเมือกของกระเจี๊ยบเขียวมีฤทธิ์ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ดี จากงานวิจัยพบว่าสารที่อยู่ในเมือกของกระเจี๊ยบเขียวออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยา Omeprazole ที่เป็นยารักษาโรคกระเพาะอาหารนั่นเองค่ะ

3.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคไขมันในเลือดสูง

เนื่องจากในกระเจี๊ยบเขียวมีปริมาณของเส้นใยอาหารจำนวนมาก โดยในกระเจี๊ยบเขียว 100 กรัม มีเส้นใยอาหารมากถึง 3,2 กรัม หรือประมาณ 13% ทำให้กระเจี๊ยบเขียวช่วยลดไขมันในเลือดได้อย่างดี ประสิทธิภาพในการรักษาโรคไขมันในเลือดสูงของกระเจี๊ยบเขียวถึงขนาดที่เว็บไซด์มหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกแนะนำให้คนที่มีไขมันในเลือดสูงรับประทานกระเจี๊ยบเขียวเพิ่มขึ้นเลยนะคะ

4.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคอ่อนเพลีย (Fatique)

จากข้อมูลงานวิจัยพบว่ากระเจี๊ยบเขียวช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย (Fatique) ได้ โดยจากการให้สัตว์ทดลองรับประทานน้ำกระเจี๊ยบเขียวต่อเนื่องพบว่า สัตว์ทดลองมีแรงในการทำกิจกรรมมากขึ้น ลดอาการอ่อนเพลีย และจากการศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ที่ประเทศเอธิโอเปียหญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานกระเจี๊ยบเขียวอย่างต่อเนื่องมีอาการอ่อนเพลียน้อยลง สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จึงช่วยลดอาการอ่อนเพลียก็เป็นได้ แต่จากรายงานการทดลอง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสารตัวใดในกระเจี๊ยบเขียวที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย

5.ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวกับการรักษาโรคท้องผูก

โรคท้องผูกถือเป็นหนึ่งในปัญหาของหลายๆคนในกระเจี๊ยบเขียวมีเมือกและเส้นใยอาหารจำนวนมากจึงทำให้กระเจี๊ยบเขียวสามารถช่วยรักษาโรคท้องผูกได้ดีทีเดียวค่ะ

และทั้งหมดนี้คือ 5 โรคที่ควรกินกระเจี๊ยบเขียวอย่างที่เรากล่าวตั้งแต่ต้นว่ากระเจี๊ยบเขียวถูกนำไปใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งนอกจากประโยชน์ในการรักษา 5 โรคดังกล่าวแล้ว กระเจี๊ยบเขียวยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูกและจากงานวิจัยยังพบว่าการรับประทานกระเจี๊ยบเขียวจะช่วยในการควบคุมและลดน้ำหนักได้อย่างดีอีกด้วยใครที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวก็อย่าลืมจัดกระเจี๊ยบเขียวจิ้มน้ำพริกสักเดือนดูนะคะวันนี้ขอลาไปก่อนแล้วพบกันฉบับหน้าค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก

Okra ameliorates hyperglycaemia in pre-diabetic and type 2 diabetic patients: A systematic review and meta-analysis of the clinical evidence – PMC (nih.gov)

Antioxidant and Anti-Fatigue Constituents of Okra – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน