รู้หรือยัง ? หว้า (Jambolan ) มีประโยชน์มากตั้งแต่รากยันผล พืชสมุนไพรสรรพคุณล้านแปด

แชร์ให้เพื่อน

รู้หรือยัง ? หว้า (Jambolan ) มีประโยชน์มากตั้งแต่รากยันผล พืชสมุนไพรสรรพคุณล้านแปด

หว้า เป็นต้นไม้ยืนต้นแถบเอเชีย ผลหว้าเป็นสีม่วงออกเป็นพวง   รสชาติมีทั้งแบบหวาน หวานผสมฝาด มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษหลายชื่อตามท้องถิ่นนั้น เช่น jambolan,  jamun, jambul, jambolao, Java plum, Indian blackberry, and black plum หว้าจะออกผลและสุกช่วงเดือน มิถุนายน ถึงเดือน กรกฎาคม หว้ามีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันผล วันนี้เราจะชวนคุณไปดูประโยชน์ของต้นหว้า ลูกหว้า ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง

ในอดีตมีการใช้ส่วนต่างๆของหว้าเป็นสมุนไพรในการรักษาโรคเช่น

  • ใช้น้ำจากผลหว้า ในการรักษาโรคเบาหวาน  แก้อาการท้องเสีย
  • เมล็ดหว้า นำมาบดใช้ในการรักษาแผล และรักษาโรคเบาหวาน
  • ใบหว้า นำมาต้มรักษาโรคเบาหวาน
  • ใบหว้านำมาบดคั้นเอาน้ำ เพื่อใช้บำบัดอาการติดฝิ่น
  • ใบหว้า นำมาเคี้ยวเพื่อรักษาอาการดีซ่านในเด็ก และผู้ใหญ่
  • เปลือกของต้นหว้า นำมาต้มกับน้ำ ใช้รักษาโรคเบาหวาน แก้อาการท้องเสีย ช่วยเจริญอาหาร เป็นยานอนหลับ แก้อาการปวดศีรษะ

คุณค่าทางสารอาหารของผลหว้า

สำหรับผลหว้า อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิดตามส่วนต่าง ๆ ของหว้า เช่น ในใบ ต้น ผลหว้า นอกจากนั้นในเมล็ดยังอุดมไปด้วยกรดไขมันไลโนเลอิก จำนวนมาก ในผลหว้า พบสารต้านอนุมูลอิสระ  anthocyanins,  tannins, phenolic acids, gallic acid, ellagic acid, carotenoids, flavonoids, myricetin 

ในอดีตมีการใช้หว้ามารักษาโรคในหลายพื้นที่ เช่น ที่ทิเบต อินเดีย ปากีสถาน ต่อไปเรามาดูผลการวิจัยปัจจุบันเกี่ยวกับหว้า ว่ามีสรรพคุณตามตำรายาแผนโบราณดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ ?

1.สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในหว้า

จากการนำส่วนต่าง ๆ ของหว้ามาสกัด พบสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญหลายตัว เช่น ส่วนของใบพบ ascorbic acid, total phenolics, และ anthocyanins ซึ่งมีผลยับยั้งแผลในกระเพาะอาหารในสัตว์ทดลอง ส่วนของลำต้น และผลพบสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่รอการวิจัยต่อไป

2.ประโยชน์ของหว้า ในการลดการอักเสบ

สกัดสารในผลของลูกหว้าช่วยลดการอักเสบได้มากถึง 68.9% เมื่อเทียบกับยาไดโคลฟีแนก (Diclofenac) ที่เป็นยาช่วยการอักเสบประมาณ 75,1% สารสกัดจากใบหว้าช่วยลดทั้งการอักเสบซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นข้อมูลทดลองกับสัตว์ทดลองเท่านั้น

3.ประโยชน์ของหว้าในการป้องกันมะเร็ง

สารสกัดในผลหว้า anthocyanins ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่มะเร็งปอดในสัตว์ทดลองได้จริง

4.ประโยชน์ของหว้าในการลดไขมันในเลือด ป้องกันโรคหัวใจ

สาร ฟลาโวนอยด์ ที่สกัดจากเมล็ด  สามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้นอกจากนั้นสารที่อยู่ในผลหว้ายังสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย

5.ประโยชน์ของหว้าในการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

อัตราผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศกำลังพัฒนาเพิ่มมากถึง 80% โดยเฉพาะในเอเชียใต้ และคาดว่าจะเพิ่มมากถึง 150% ตั้งแต่ปี 2000-2035 จากการนำส่วนต่างๆของหว้ามาสกัดเพื่อดูความสามารถในการป้องกันโรคเบาหวานในสัตว์ทดลองผลเป็นดังนี้

  • สารสกัดจากผลหว้า ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านโรคเบาหวาน
  • สารสกัดจากเมล็ด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดเช่นเดียวกับสารสกัดจากผล นอกจากนั้นสารสกัดจากเปลือกต้นก็ให้ผลในการลดน้ำหนักในสัตว์ทดลองเช่นเดียวกัน และมีบางงานวิจัยที่บอกว่า สารสกัดจากเมล็ดหว้าให้ผลในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
  • สารสกัดจากใบหว้า ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดี ซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นข้อมูลกับสัตว์ทดลองเท่านั้น

6.ประโยชน์ของหว้าในการรักษาอาการท้องเสีย

สารต้านอนุมูลอิสระ tannins ที่พบในหว้า สามารถช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้

จากงานวิจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าหว้ามีประโยชน์ที่ใช้ในการรักษาและป้องกันได้หลายโรคเช่นโรคเบาหวานไขมันในเลือดสูงป้องกันมะเร็งซึ่งนี่เป็นเพียงข้อมูลการวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวประโยชน์ของหว้าเท่านั้นเราคงต้องหันกลับมาให้ความสนใจอาหารใกล้ตัวที่บางอย่างก็สามารถช่วยรักษาและป้องโรคได้ถ้ามีอะไรอัปเดตแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ

ปล. ผู้เขียนเก็บลูกหว้ากินตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าอาหารบ้านๆจะสามารถต้านโรคได้มากมายขนาดนี้

อ้างอิง

Phytochemical Profile, Biological Properties, and Food Applications of the Medicinal Plant Syzygium cumini – PMC (nih.gov)

Syzygium cumini (L.) Skeels: A review of its phytochemical constituents and traditional uses – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

7 ประโยชน์ของใบชะพลู สมุนไพรประจำบ้าน

แชร์ให้เพื่อน

7 ประโยชน์ของใบชะพลู สมุนไพรประจำบ้าน

ต้นชะพลูเป็นต้นพืชเตี้ยๆชอบขึ้นตามดินชื้นแฉะ ขยายพันธ์ได้รวดเร็ว ใบเรียวคล้ายใบพลู มีกลิ่นฉุน  นิยมกินเป็นพืชผักสมุนไพรลดความคาวของอาหาร มีสรรพคุณหลากหลายต่อร่างกาย ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

สรรพคุณ​ประโยชน์ทางสมุนไพรของใบชะพลูมีดังต่อไปนี้คือ
1ใบชะพลูเป็นสมุนไพรช่วยลดอาการแน่น อึดอัดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ จากอาการจุกเสียด มีสามารถใช้ใบต้มดื่มเพื่อช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้
2.ใบชะพลูมีฤทธิ์​ทางยาช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยใช้ใบชะพลูต้มน้ำดื่มแทนชา กาแฟ ทั้งนี้ควรควบคุมอาหารด้วยเพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
3.ลำต้นหรือดอกช่วยลดเสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง โดยใช้ลำต้นและดอกนำมาต้มในน้ำเดือด ดื่มหลังอาหารวันละ 3 ครั้ง หลังเวลา
4.ใบชะพลูช่วยลดกลิ่นปากได้ดี เก็บใบชะพลูมา3ใบเคี้ยวกลืนช่วยให้ลมหายใจสดชื่น ลดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
5.ใบชะพลูช่วยประคบแผลอักเสบ ปวดบวมจากการกระแทก โดยใช้ใบชะพลูต้มให้ร้อนใช้ผ้าห่อ ประคบตรงแผลฟกช้ำ แถมลดอาการปวดทุเลาลงได้อีกด้วย
6.รากใบชะพลูนำมาผึ่งแดดให้แห้ง ฝนกับหินละลายน้ำ ใช้เช็ดตัวเด็กเวลามีไข้สูง หรืออาบสำหรับผู้ที่มีอาการผื่นคันจากลมพิษ
7.ใบชะพลูมีเส้นใยและกากอาหาร ช่วยระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก

เมนูอาหารของใบชะพลูได้แก่
1.เมี่ยงคำ เป็นเมนูที่ได้รับความนิยม เป็นอาหารทางภาคเหนือ กินอร่อย เคี้ยวเพลิน ลมหายใจ เย็น สดชื่น
2.เมนูเมี่ยงปลาเผา หมู ปลาทู หอยแครง ลาบ น้ำตก ช่วยลดกลิ่นคาวได้ดีมากๆ
3.เมนูไขเจียวใบชะพลู เป็นเมนูที่ทำง่ายๆแต่ดีต่อสุขภาพทั้งได้ประโยชน์จากไข่และสมุนไพรใบชะพลูอีกด้วย
4.เมนูชาใบชะพลู เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน

แม้ว่าใบชะพลู​จะมีสรรพคุณทางยาสมุนไพร เราควรกินแต่พอประมาณ ควรเลือกรับประทานให้หลากหลายครบห้าหมู่คะ

หากชอบบทความอย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามเราได้นะคะ จะได้ไม่พลาดบทความใหม่ด้านสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

ตะลึง  มะระ มีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันใบ

แชร์ให้เพื่อน

ตะลึงมะระ” มีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันใบ

ประโยชน์ของมะระ เราเคยได้ยินมานานว่าสามารถต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ โรคเอดส์ได้ วันก่อนได้ไปอ่านงานวิจัยของต่างประเทศเกี่ยวกับประโยชน์ของมะระถึงกับต้องอยากมาแชร์รัวๆเราไปดูกันค่ะว่ามะระมีประโยชน์อะไรบ้าง

10 ประโยชน์ของมะระ

1.มะระมีฤทธิ์ทางยา ใช้รักษาโรคเบาหวาน

ในหลายประเทศที่มีการใช้มะระเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานและมีการใช้มานานนับพันปีเพราะมะระมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินและยังช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายซึ่งก็จะช่วยให้คนที่เป็นเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดียิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามคนที่กำลังกินยารักษาเบาหวานต้องระวังน้ำตาลจะลดลงมากเกินปกติจนอยู่ในระดับน้ำตาลต่ำได้นะคะ

2.มะระอุดมด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ

มะระมีสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับผักและผลไม้ชนิดอื่น แต่ในมะระจะอุดมด้วย ซาโปนิน (Saponins) และฟีโนลิก (Phenolics) ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยปล่อยอนุมูลอิสระ  นอกจากนั้นมะระยังเป็นผักที่ให้พลังงานน้อย เส้นใยมาก และยังอุดมไปด้วยวิตามินซี และโฟเลต หรือ วิตามินบี 9

โดยในมะระ 100 กรัม ให้พลังงาน 37 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยอาหาร 2,8 กรัม มีวิตามินซีมากถึง 84 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 105% ของปริมาณวิตามินซีที่แนะนำต่อวัน และโฟเลต 36%ของปริมาณที่แนะนำต่อวันซึ่งถือว่ามะระให้คุณค่าทางสารอาหารสูงมาก

3.สารสกัดจากมะระสามารถต้านเชื้อไวรัสได้

จากรายงานการวิจัยในห้องทดลองพบว่าสารสกัดจากใบและลำต้นของมะระมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อไวรัสได้หลายชนิด เช่น ไรวัส  SINV ที่ระบาดมากในแอฟริกาใต้และยุโรปเหนือ มะระมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส HSV-1ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเริม  สารสกัดจากรากของมะระมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเอดส์

4.สารสกัดในมะระสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้

จากการสกัดสกัดน้ำมันจากเมล็ดมะระพบว่า สารในเมล็ดสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ เช่น เชื้อ S. Aureus ซึ่งเชื้อแบคทีเรียตัวนี้สามารถพบได้ตามผิวหนังของคน แต่ก็อาจจะปล่อยสารพิษออกมาทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ แต่จากการทดลองพบว่า สารสกัดจากเมล็ดมะระให้ผลในการต้านเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ได้น้อยกว่าส่วนอื่น ๆ ของมะระ

5.มะระช่วยป้องกันการอักเสบของเซลล์สมอง

มะระช่วยลด Oxidative stress ที่เป็นสาเหตุของการอักเสบของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์สมอง ซึ่งจากการทดลองพบว่ามะระช่วยป้องกันการอักเสบของเซลล์สมองได้ดีซึ่งก็คาดว่าจะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน

6.มะระช่วยต้านมะเร็ง

จากการทดลองสกัดสารที่อยู่ในผลและเมล็ดของมะระพบว่า สามารถต้านมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งเมล็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง มะเร็งต่อมลูกหมาก  สารสกัดในใบมะระพบว่าสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของมะเร็งต่อมลูกหมากและสารสกัดจากน้ำมะระช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับอ่อนได้

7.มะระช่วยลดไขมันในเลือด

การรับประทานมะระจะช่วยลดไขมันในเลือดชนิดเลว หรือ LDL และจะช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL มะระถือเป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดไขมันในเลือด

8.มะระช่วยเสริมภูมิต้านทาน

มะระช่วยเสริมภูมิต้านทานโดยในมะระพบวิตามินซีปริมาณมากซึ่งวิตามินซีก็สามารถช่วยเสริมภูมิต้านทานได้เช่นกัน

9.มะระช่วยสมานแผล

จากการทดลองใช้ขี้ผึ้งที่สกัดจากมะระไปทาแผลเบาหวานในหนูทดลองพบว่าแผลเบาหวานในหนูทดลองหายได้เร็วกว่าปกติดังนั้นจึงคาดว่ามะระมีฤทธิ์ช่วยสมานแผลได้ด้วย

10.ประโยชน์อื่น ของมะระ

นอกจากนี้ยังพบว่า มะระยังช่วยควบคุมความดัน ช่วยต้านเชื้อ H.Pyroli ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและเป็นหนึ่งในเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารตามมา

และทั้งหมดนี้คือ ประโยชน์ทั้งหมดของมะระ เรียกได้ว่า มะระมีประโยชน์มาก ตั้งแต่รากยันผลก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก รู้แบบนี้แล้วครั้งต่อไปก็อย่าลืมรับประทานต้มจืดมะระ ก๋วยเตี๋ยวไก่ใส่มะระ กุ้งแช่น้ำปลาก็อย่าเขี่ยมะระทิ้งกันนะคะ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้มะระจะมีประโยชน์มาก แต่มะระก็มีโทษเช่นกัน ซึ่งคนที่มีโรคบางชนิดก็ต้องระวังเช่นกัน แล้ววันหลังจะนำมาฝากกันใหม่ ฝากกดไลก์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

อ้างอิงข้อมูล

Recent Advances in Momordica charantia: Functional Components and Biological Activities – PMC (nih.gov)

Bitter Melon (Momordica Charantia), a Nutraceutical Approach for Cancer Prevention and Therapy – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

  10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

แชร์ให้เพื่อน

10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดทั่วโลก วันนี้เราจะมารู้จัก 10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งผลไม้เหล่านี้เป็นผลไม้ที่มีการเก็บข้อมูลและวิจัยว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีเรามาดูกันเลยค่ะ

1.แอปเปิ้ล (Apple)

แอปเปิ้ลมีมากมายหลายสายพันธุ์ เช่น แอปเปิ้ลฟูจิ แอปเปิ้ลกาล่า ซึ่งแต่ละชนิดก็มีแคลอรี่ต่างกันเล็กน้อย เช่น ฟิจิจะให้แคลอรี่มากกว่ากาล่า จากรายงานการวิจัย ระบุว่า การรรับประทานแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก สามารถช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง อย่างสโตรก  เนื่องจากการรับประทานแอปเปิ้ลช่วยลดระดับไขมันในเลือดโคเลสเตอรอล (Cholesterol) และไขมันชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) นอกจากนั้นยังช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตได้ เนื่องจากในเนื้อและเปลือกแอปเปิ้ลมีโฟลีฟีนอล (polyphenols) และสาร pectin ในเปลือกของแอเปิ้ล ที่ช่วยลดความเสี่ยงไขมันเกาะที่เส้นเลือด  อย่างไรก็ตามจากรายงานพบว่าการดื่มเฉพาะน้ำแอปเปิ้ล ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เช่นการรับประทานแอปเปิ้ลทั้งลูกรวมทั้งเปลือกแอปเปิ้ลของแอปเปิ้ลด้วย


2.อโวคาโด (Avocado)

อโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีเส้นใย และไขมันเชิงเดี่ยวที่จำเป็นต่อร่างกายจำนวนมาก จากรายงานการวิจัยพบว่า การรับประทานอโวคาโด จะช่วยลดไขมันในเลือดอย่างโคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันชนิดเลว LDL และช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี HDL โดยจากรายงานการวิจัยพบว่าสาร quercetin ที่มีประสิทธิภาพช่วยลดไขมันในเลือด และ acetogenin ช่วยป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นอโวคาโดจึงเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ได้ผลดี อโวคาโดมีรสชาติค่อนข้างมัน อาจจะยากต่อการรับประทานเดี่ยว ดังนั้นการนำอโวคาโดมาใส่รวมกับสลัดจะทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น

 

3.องุ่น (Grape)

องุ่น เป็นผลไม้มีรสหวาน องุ่นเป็นผลไม้ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะฟลาวาโนล (flavanols) ที่อยู่ในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์( flavonoids) ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดและหัวใจ รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมองได้ดีเช่นเดียวกับ แอปเปิ้ล อโวคาโด ซึ่งจากรายงานการวิจัยให้ผู้ป่วยสโตรกกินองุ่นเป็นประจำพบว่า การบาดเจ็บที่สมองลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ สารต้านอนุมูลอิสระในองุ่นช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือดสูง ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และลดการอักเสบของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจ จากรายงานการวิจัยพบยังพบอีกว่าสารสกัดจากเปลือกองุ่นนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้ป่วยเบาหวานเช่นกัน

4.มะม่วง (Mango)

จากรายงานวิจัยพบว่า มะม่วงเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากมะม่วงประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อย่างวิตามินซี แคโรทินอยด์ (carotenoids) โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน และโฟลิฟีลิก (polyphenolic) ซึ่งสารเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีนอกจากนั้นในมะม่วงยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแต่มะม่วงจะมีน้ำตาลและพลังงานค่อนข้างมากดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป

5.ส้ม (Oranges)

ส้มเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จำนวนมาก และมีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่าส้มเป็นผลไม้ที่สามารถป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากการรับประทานส้มจะช่วยลดสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ช่วยลด Oxidative stress ลดระดับน้ำตาลในเลือดลดไขมันและความดันในเลือดสูงรวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอ้วน

จากรายงานวิจัยของต่างประเทศพบว่าการดื่มน้ำส้มที่ผลิตและบรรจุขวด ให้ผลในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีกว่าการรับประทานน้ำส้มคั้นสด ซึ่งคาดว่า ในกระบวนการเก็บรักษาน้ำส้มช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสารต้านอนุมูลอิสระ flavanones, carotenoids และ melatoninในน้ำส้มมากกว่าเดิมแต่ทั้งนี้ในการเลือกรับประทานน้ำส้มสำเร็จรูปอาจจะต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไปด้วย

6.กีวี (Kiwi)

กีวีเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยในกีวีอุดมไปด้วยวิตามินอี เค และวิตามินซี รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง flavonols และ anthocyanidins นอกจากนั้นในบางงานวิจัยยังพบว่าในกีวียังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง flavonoids, carotenoids and phenolic โดยจากงานวิจัยของต่างประเทศที่ทดลองให้คนกินกีวีวันละ 2 ลูกเป็นเวลา 4 สัปดาห์พบว่าระดับไขมันในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งการที่กีวีสามารถช่วยลดไขมันในเลือดได้ดี ส่งผลให้กีวี เป็นผลไม้ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากกีวีไปช่วยลดความเสี่ยงไขมันอุดตันตามเส้นเลือด จึงทำให้กีวีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

อีกหนึ่งงานวิจัยที่สนับสนุนว่า กีวีเป็นผลไม้ป้องกันโรคไขมันและหลอดเลือด คือการทดลองให้คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงในระดับปานกลาง กินกีวีวันละ 3 ลูกพบว่าความดันโลหิตลดลง

ซึ่งจากหลายงานวิจัยสรุปว่า กีวีอุดมไปด้วยวิตามิน เส้นใย และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดระดับไขมันในเลือดโดยเฉพาะไตรกลีเซอรไรด์ เพิ่มไขมันดี HDL ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด และช่วยลดความดันโลหิตสูง ทำให้กีวีเป็นผลไม้ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ดี

7.ทับทิม ( Pomegranate)

ทับทิมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ป้องโรคหลอดเลือดและหัวใจ โดยจากการทดลองในหนูทดลองพบว่า ทับทิมช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากทับทิมช่วยลดการอักเสบ และ Oxidative stress ในผนังเส้นเลือดได้ดี โดยสารต้านอนุมูลอิสระตัวหลักที่พบในทับทิม คือ Punicalagina ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจโดยเฉพาะโรคหัวใจขาดเลือดช่วยลดความดันโลหิตและยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณส่วนปลายได้ดีอีกด้วย

8.มะละกอ (Papaya)

มะละกอเป็นอีกหนึ่งผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ที่มีงานวิจัยรองรับ โดยในเนื้อมะละกอพบทั้งวิตามิน เอ บีรวม ซี และอี  pantothenic acid, folic acid และเกลือแร่อย่างแมกนีเซียม และโพแทสเซียม ที่ทำให้มะละกอเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี โดยเฉพาะโรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมองอย่าง สโตรก สิ่งที่น่าสนใจคือการกินมะละกอดิบจะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ดีกว่าการกินมะละกอสุก ซึ่งความดันโลหิตสูงก็เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นการกินมะละกอจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีเช่นเดียวกัน


9.สับปะรด (Pineapple)

สับปะรดเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด สับปะรดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร phytochemicals อย่าง bromelain, gallic acid, catechin, epicatechin และ ferulic acid ซึ่งจากหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่า การกินสับปะรดจะช่วยลดระดับไขมันในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงการถูกทำลายผนังหัวใจ ซึ่งก็ทำให้สับปะรดเป็นผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อย่างดี โดยเฉพาะสาร bromelain ที่พบมากในสับปะรด เป็นตัวที่ช่วยป้องกันการเกาะตัวของไขมัน และเกร็ดเลือด ซึ่งจากประโยชน์ดังกล่าวทำให้สับปะรดเป็นผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี โดยข้อมูลจากรายงานวิจัยพบว่า การกินสับปะรดทุกวัน ได้ผลในการลดไขมันในเลือด เช่นเดียวกับการกินยาลดไขมัน Simvastatin

10.แตงโม (Watermelon)

แตงโมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยแตงโมอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ เส้นใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ อย่าง  L- citrulline, lycopene และ alpha ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้แตงโมเป็นผลไม้ที่ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี  มีหลายงานวิจัยที่ระบุว่า การกินแตงโมช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคอ้วน ซึ่งการกินแตงโมจะช่วยให้

  • การลดน้ำหนักได้ผลดี
  • ช่วยลดพุงและรอบเอว
  • ช่วยควบคุมความดันโลหิต
  • ช่วยลดไขมันในเลือด

โดยจากรายงานพบว่าประโยชน์ที่ได้ดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้แตงโมเป็นผลไม้ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี

ทั้งหมดนี้คือ 10 ผลไม้ป้องกันโรคหัวใจ ที่เราเอามาฝากวันนี้ อย่างไรก็ตามผลไม้บางชนิดอย่างส้ม หรือ กีวี เป็นผลไม้ที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ อ่านต่อใน 12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!! ใครที่เป็นภูมิแพ้ และเพิ่งเริ่มกิน อาจจะจำเป็นกินอย่างระมัดระวัง และสังเกตอาการตัวเองด้วย วันนี้ลาไปก่อน แล้วจะนำเนื้อหาน่าสนใจมาฝากครั้งต่อไป

อ้างอิงข้อมูล

Promising Nutritional Fruits Against Cardiovascular Diseases: An Overview of Experimental Evidence and Understanding Their Mechanisms of Action – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

7 อาหารป้องกันโรคสมองเสื่อม ป้องกันไว้จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน

แชร์ให้เพื่อน

7 อาหารป้องกันโรคสมองเสื่อม ป้องกันไว้จะได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน

โรคความจำเสื่อม (Dementia)เป็นโรคที่มีผู้ป่วยประมาณ 57 ล้านคนทั่วโลกในปี 2019 และคาดว่าตั้งแต่ปี 2019-2050 จะมีผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมเพิ่มขึ้นเป็น 152,8 ล้านคน โดยมีสาเหตุหลักจากโรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease) ประมาณ 60-80% หากใครอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะกำลังตั้งคำถามว่า แล้วโรคความจำเสื่อมกับโรคอัลไซเมอร์ไม่ใช่โรคเดียวกันเหรอ ? ผู้เขียนขออธิบายแบบนี้ว่าโรคความจำเสื่อมเป็นชื่อเรียกรวมของผู้ป่วยที่มีอาการความจำเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ก็เป็นหนึ่งในหลายส่วนของโรคความจำเสื่อมจะเรียกว่าโรคอัลไซเมอร์เป็นสับเซ็ทของโรคความจำเสื่อมก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก

และถ้าเราดูจากตัวเลขที่องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้ ภายในระยะเวลาประมาณ 30 ปีมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า เท่าที่ผู้เขียนทำงานกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมมาหลายปี เจอคนป่วยด้วยโรคความจำเสื่อมอายุน้อยที่สุด 50 ปี และดูเหมือนว่าจะเจอคนป่วยด้วยโรคนี้อายุน้อยลงเรื่อย ๆ

ปัญหาที่ทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมอัลไซเมอร์ ก็คือเซลล์สมองเกิดการเสื่อม โดยมีสาเหตุทั้งจากความเสื่อมตามวัยโดยกรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนดให้เกิดโรคความจำเสื่อม หรือ มีปัญหาสุขภาพ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังพบว่าอาหาร และพฤติกรรมการดำรงชีวิตก็มีส่วนทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม และนี่คือ 7 อาหารป้องกันโรคความจำเสื่อม

  • อาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันโอเมก้า 3: ถั่ว น้ำมันมะกอก

อาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันโอเมก้า 3  เช่น ถั่ว น้ำมันมะกอก ซึ่งจากรายงานการวิจัยของต่างประเทศพบว่า การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ความจำดีขึ้น  ลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้มากถึง 21%


  • ปลา

ปลาเป็นอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงเช่นเดียวกับถั่วและน้ำมันมะกอก ซึ่งจากการเก็บข้อมูลพบว่าการรับประทานปลา (ไม่ใช่ปลาทอด) ช่วยลดความเสี่ยงไขมันในเลือดสูง ช่วยเพิ่มความไวของอินซูลินซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน นอกจากนั้นในบางงานวิจัยพบว่า การรับประทานปลาอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ดี เนื่องจากปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงเช่นเดียวกับถั่วและน้ำมันมะกอก

  • ผักผลไม้สด

จากงานวิจัยในประเทศฮ่องกง พบว่า การรับประทานผักผลไม้สด โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอรี่ เช่น ลูกหม่อน บลูเบอรี่ ราสเบอรี่ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้ดี นอกจากนั้นในผักใบเขียว ประกอบด้วยเส้นใยอาหาร (fiber),  วิตามินบี 9 (folate), phylloquinone, และ lutein  ที่ช่วยเรื่องความจำ ดังนั้นการรับประทานผักและผลไม้สดอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นการป้องกันโรคความจำเสื่อมเช่นกัน


  • ไวน์แดง

เนื่องจากในไวน์แดงมีสารประกอบฟีโนลิก (Phenolic) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ จากรายงานการวิจัยพบว่าการดื่มไวน์แดงในปริมาณที่เหมาะสมจะสามารถป้องโรคสมองเสื่อมได้แต่หากดื่มมากเกินไปก็จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมเช่นกัน

  • เครื่องปรุงรสต่าง

เครื่องปรุงรสต่าง เช่น พริก อบเชย ขมิ้นชัน มีส่วนช่วยในการบำรุงความจำ และลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมได้ ซึ่งจากการทดลองพบว่าสาร curcumin ในขมิ้นชัน ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม แต่ทั้งนี้ขมิ้นชัน ก็มีผลเสียเช่นกันเดี๋ยววันหลังจะมาแชร์ให้ฟังค่ะ หรือ พริกที่เป็นอาหารคู่ครัวไทยก็มีสาร Capsaicin  ก็ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามพริกมีประโยชน์มากมาย ซึ่งเราเคยเขียนไปแล้วในบทความ 8 ประโยชน์ของพริก ที่ไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ช!

  • โกโก้ หรือ ช็อกโกแลต

สำหรับโก้โก้ หรือช็อกโกแลตก็ช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม เนื่องจากในโก้โก้อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) โดยเฉพาะ epicatechin และ catechin ที่ทำให้โก้โก้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และมีประโยชน์กับร่างกายหลายอย่าง รายละเอียดอ่านต่อได้ใน  8 ประโยชน์ของโกโก้

  • อาหารคีโต

อาหารคีโต ( Keto) ซึ่งเป็นการรับประทานอาหารที่คาร์โบไฮเดรตต่ำ ไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไขมันจากถั่ว น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ซึ่งจากเก็บข้อมูลพบว่า อาหารคีโตช่วยลดการอักเสบของเซลล์สมอง และป้องกันอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังพบว่าอาหารคีโตนอกจากช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมแล้ว ยังลดความเสี่ยงโรคจิตเภทอีกด้วย

และทั้งหมดนี้คือ 7 อาหารป้องกันโรคความจำเสื่อมที่เอามาฝากวันนี้ อย่างไรก็ตามโรคสมองเสื่อมปัจจุบันก็ยังไม่มียารักษา หากใครที่เคยมีญาติเป็นโรคนี้จะรู้ว่า ผู้ป่วยจะเดิน ไม่หลับไม่นอน หรือ บางคนนอนกลางวัน แต่ไม่ยอมนอนกลางคืน บางครั้งก็เดินหายไปจากบ้านเฉย ๆ และเมื่ออาการเป็นมาก ๆ ผู้ป่วยจะลืมแม้กระทั่งการกลืนอาหาร โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า การหันมาสนใจดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคสมองเสื่อมแต่เนิ่น ๆ น่าจะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง และครอบครัว แล้วพบกันฉบับหน้านะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Diet and lifestyle impact the development and progression of Alzheimer’s dementia – PMC (nih.gov)

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของโกโก้

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของโกโก้

บทความก่อนหน้าเราได้รู้ประโยชน์ของชาเขียว และชาเขียวมัทฉะกันไปแล้ว วันนี้ถึงคิวของเครื่องดื่มโกโก้โกโก้เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์โพลีฟีนอล (Polyphenals) สูงมาก โกโก้มีต้นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ โดยชาวมายาโบราณรู้จักการใช้ประโยชน์จากโกโก้มาช้านาน ในปัจจุบันมีการนำผงโกโก้มาดัดแปลงเป็นช็อกโกแลตซึ่งก็เป็นที่นิยมไปทั่วโลกเช่นเดียวกับผงโกโก้ เรามาดูกันค่ะว่าสารอาหารในโกโก้มีอะไรบ้าง

ในผงโกโก้ 100 กรัม ให้คุณค่าทางสารอาหารที่จำเป็นมากถึง 25% ประกอบด้วย

  • พลังงาน 370 กิโลแคลอรี
  • โปรตีน 19,8%
  • คาร์โบไฮเดรต 28% (เป็นเส้นใยอาหาร 30,4 กรัม หรือคิดเป็น 73,4% ของคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด ไม่มีน้ำตาล )
  • ไขมัน 52,2%

 วิตามินและเกลือแร่ที่พบในโก้โก้ (100 กรัม) แนบตาราง

จากตารางจะพบว่าผงโกโก้มีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยในการซ่อมแซม และเสริมสร้างเนื้อเยื่อ นอกจากนั้นในผงโกโก้ 100 กรัมยังพบธาตุเหล็กสูงถึง 78,60% ซึ่งมากกว่าปริมาณธาตุเหล็กที่พบในผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง อ่านต่อได้ใน 7 ผลไม้บำรุงเลือด มีธาตุเหล็กสูง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือน นอกจากประโยชน์ที่ได้จากวิตามินและเกลือแร่แล้ว โกโก้ยังมีประโยชน์อีกมากมาย


8 ประโยชน์ของผงโกโก้

อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า โกโก้ มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ โพลีฟีนอล (Polyphenals) สูงมากซึ่งสารนี้มีผลดีกับสุขภาพหลายอย่างเช่นช่วยลดการอักเสบของเซลล์ช่วยเรื่องระบบไหลเวียนเลือดช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและนี่คือประโยชน์ของผงโกโก้

  • ช่วยลดความดัน จากรายงานพบว่าคนที่ดื่มผงโกโก้มีความดันต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กินโกโก้
  • ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ช่วยปกป้องเซลล์จาการอักเสบและถูกทำลาย รวมถึงเซลล์หัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลเลือด ลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก ถึงแม้โกโก้จะมีพลังงานค่อนข้างมาก แต่จากรายงานการวิจัยพบว่า คนที่กินช็อกโกแลตจะควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่าคนที่คุมน้ำหนักด้วยวิธีอื่น นอกจากนั้นการรับประทานโกโก้ทำให้รู้สึกอิ่ม จึงทำให้ความรู้สึกหิวน้อยลง
  • ช่วยบำรุงสมอง มีหลายงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการกินช็อกโกแลต หรือ โกโก้ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองเสื่อม
  • ทำให้อารมณ์ดี  จากการที่ผงโกโก้มีสารทริปโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถนำไปสร้างสารเซโรโทนิน ซึ่งจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี
  • ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
  • ช่วยให้อาการหอบหืดดีขึ้น ในงานวิจัยใหม่บอกว่า โกโก้มีสาร Theobromine และ theophylline ที่ช่วยให้อาการหอบหืดดีขึ้น เท่าที่อ่านเจอในงานวิจัยของต่างประเทศคือโกโก้จากแถบอเมซอน ประเทศเปรูมีสารตัวนี้เยอะกว่าโกโก้ที่ปลูกในพื้นที่อื่น

เมนูที่เราชอบคือ การชงโกโก้กับนมอุ่น ซึ่งช่วยเพิ่มพลังในวันที่อ่อนล้า และทั้งหมดนี้คือ 8 ประโยชน์ของโกโก้ที่เราอยากแชร์ให้อ่านวันนี้ถึงแม้โกโก้จะมีประโยชน์มากมายแต่เราก็ยังจำเป็นต้องรับประทานอาหารชนิดอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วนครั้งต่อไปจะมาแชร์เรื่องประโยชน์ของกาแฟให้อ่านกันแล้วพบกันเร็วๆนี้นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

กินแป้งอย่างไร ? ไม่ให้ร่างพัง

แชร์ให้เพื่อน

กินแป้งอย่างไร ? ไม่ให้ร่างพัง

วิธีเปลี่ยนแป้ง ให้ทำหน้าที่เหมือนเส้นใยอาหาร ช่วยให้พุงยุบ ขับถ่ายสะดวก

แป้ง เป็นหนึ่งในสารอาหารที่อยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพลังงานหลักของร่างกาย และอย่างที่เราทราบกันดีว่าคาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย แป้ง น้ำตาล เส้นใยอาหาร เมื่อพูดถึงแป้ง เราก็จะนึกถึง ข้าว มันเทศ มันฝรั่ง ขนมปัง และแป้งเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ให้พลังงานสูง ถ้าเรากินเข้าไปในปริมาณมากจะเกิดการสะสม น้ำหนักเพิ่ม รอบเอวเพิ่ม พุงใหญ่ วันนี้เราจะขอแชร์ วิธีกินแป้งอย่างไร ไม่ให้ร่างพัง โดยเราจะมาแชร์วิธีเปลี่ยนแป้ง ให้ทำหน้าที่เหมือนเส้นใยอาหาร ซึ่งจะช่วยให้พุงยุบ ขับถ่ายสะดวกเรามาดูพลังงานจากอาหารหลักเหล่านี้กันก่อนค่ะ

  • ข้าวหอมมะลิสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 114 กิโลแคลอรี่ ไม่มีเส้นใยอาหาร
  • มันฝรั่งต้มสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์ 2,1 กรัม
  • มันม่วงต้มสุก 100 กรัม ให้พลังงาน 146 กิโลแคลอรี่ มีเส้นใยอาหาร 3,5 กรัม

ซึ่งถ้าเราดูจากตัวเลขพลังงานข้างต้นจะเห็นว่าข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทย ไม่มีเส้นใยอาหาร ดังนั้นเมื่อเรารับประทานข้าวหอมมะลิเข้าไปสารอาหารคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง จะถูกย่อยและเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย หากเรากินข้าวหอมมะลิเข้าไป 300 กรัม เท่ากับว่าเราได้พลังงานจากข้าวทั้งหมด 342 กิโลแคลอรี่ หากเราไม่ได้ออกกำลังกาย แต่ทำกิจวัตรประจำวันเล็กน้อย พลังงานส่วนนี้อาจจะหายไป 100 กิโลแคลอรี่ ที่เหลืออีก 200 กิโลแคลอรี่ก็จะถูกสะสมตามตัวรอบเอว

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เราสามารถเปลี่ยนแป้งเหล่านี้ให้ทำหน้าที่เหมือนเส้นใยอาหารนั่นก็คือ การทำให้สุก แล้วปล่อยให้เย็น จะเรียกว่าเปลี่ยนจากกินข้าวร้อน เป็นกินข้าวเย็น จะดีต่อสุขภาพมากกว่า ซึ่งจากงานวิจัยระบุว่า ข้าวที่ปล่อยให้เย็น จะเปลี่ยนจากแป้งธรรมดา เป็นแป้งที่ทนต่อการย่อย (Resistant Starch) ดังนั้นเมื่อเรากินเข้าไปข้าวจะไม่ถูกย่อยและเปลี่ยนเป็นพลังงานในทันทีที่ลำไส้เล็กเนื่องจากเป็นแป้งที่ทนต่อการย่อยดังนั้นแป้งเหล่านี้จะถูกลำเลียงต่อไปยังลำไส้ใหญ่และเกิดการหมักโดยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ดังนั้นแป้งในข้าวที่ลำไส้ใหญ่จะเปลี่ยนเป็นพรีไบโอติกซึ่งวิธีนี้ก็จะทำให้ร่างกายของเราได้พลังงานจากแป้งน้อยลงช่วยให้ขับถ่ายสะดวกป้องกันโรคมะเร็งลำไส้และยังช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากการเปลี่ยนแป้งจากข้าวแล้ว การเปลี่ยนแป้งจากมันฝรั่ง หรือ มันต้ม โดยการรับประทานเมื่อปล่อยให้เย็น ก็จะได้ผลดีเช่นเดียวกับการกินข้าวเย็น เพราะแป้งจากมันฝรั่ง หรือ มันต้มจะถูกเปลี่ยนเป็นแป้งที่ทนต่อการย่อย (Resistant Starch) ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่า

สำหรับแป้งที่ทนต่อการย่อย สามารถพบได้ เช่น ในกล้วยดิบ ถั่ว สำหรับกล้วย เมื่อกล้วยสุกแป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นแป้งธรรมดา ที่สามารถย่อยได้ง่าย ดังนั้นการรับประทานกล้วยดิบจะได้แป้งที่ทนต่อการย่อยมากกว่า กับคำถามที่ว่า หากเราหุงข้าวสุก ปล่อยให้เย็น แล้วเอามาอุ่นใหม่ ได้ผลอย่างไร ? คำตอบคือแป้งที่ทนต่อการย่อยจะเปลี่ยนเป็นแป้งธรรมดาซึ่งก็จะย่อยง่ายและให้พลังงานมากกว่าเช่นเดียวกันกับการกินข้าวร้อนๆและทั้งหมดนี้คือหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายของเราได้รับพลังงานน้อยลงซึ่งก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนหรือเบาหวาน

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังหาทางลด หรือควบคุมน้ำหนัก หรือ คุณมีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือดสูง หรือ มีแนวโน้มว่าจะเป็นเบาหวาน เนื่องจากมีกรรมพันธุ์ของเบาหวาน ถ้าหากต้องการให้ร่างกายได้รับพลังงานและน้ำตาลน้อยลง ก็ลองเปลี่ยนมารับประทานข้าวสุก มันต้มที่ปล่อยให้เย็น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณมากกว่า อย่างไรก็ตามการรับประทานผัก ผลไม้ ก็เป็นการเพิ่มเส้นใยอาหาร ซึ่งก็จะลดทั้งความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคอ้วน เบาหวาน นอกจากนั้นเครื่องดื่มอย่างชาเขียว 6 ประโยชน์ที่ไม่ควรพลาดดื่มชาเขียว หรือ 5 ประโยชน์ของชาเขียวมัทฉะ Matcha Green Tea ก็เป็นเครื่องดื่มที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงช่วยให้สุขภาพดีร่างกายแข็งแรงป้องกันได้หลายโรคเช่นกัน

สุขภาพดีไม่มีขาย เราต้องทำเอง วันนี้ขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่นะคะ

(อ้างอิงข้อมูลโภชนาการจากกรมควบคุมอาหารประเทศสวีเดน)

แชร์ให้เพื่อน

12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!!

แชร์ให้เพื่อน

12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!!

สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ มีโอกาสที่จะเกิดการแพ้อาหารมากกว่าคนทั่วไป อาหารที่กินเข้าไปบางครั้งเกิดอาการแพ้ในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่แพ้ซึ่งในอาหารบางอย่างมีสิ่งปนเปื้อนที่ทำให้ร่างกายต่อต้าน จนทำให้เกิดอาการแพ้ได้ และอาหารบางอย่างแค่ไปช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮีสตามีน ในคนปกติ ร่างกายจะสร้างฮีสตามีน เพื่อขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย และสารฮีสตามีนจะถูกกำจัดได้เอง แต่ในคนที่ไม่สามารถกำจัดฮีสตามีนได้ ทำให้ร่างกายมีฮีสตามีนมากเกินไป ส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ เกิดการบวม อักเสบ ส่งผลให้ร่างกายแสดงอาการแพ้ มีอาการเช่น น้ำมูก น้ำตาไหล ผื่นลมพิษ คัน ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หรือ เกิดหายใจไม่ออก ช็อค หมดสติได้  ดังนั้นคนที่เป็นภูมิแพ้จึงต้องระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไป เและนี่ คือ 12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!!

12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!!

  • อาหารทะเล

อาหารทะเล จัดเป็นอาหารที่มีการรายงานว่าเกิดอาการแพ้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะอาหารทะเลที่มีเปลือกแข็งอย่างกุ้งหอยปูหรืออย่างปลาทูน่าปลาแมคคาริลก็มีรายงานว่าเกิดการแพ้บ่อย


 

  • เนยแข็ง หรือ เนยกึ่งเหลว กึ่งแข็ง

เนยแข็ง เป็นอาหารที่ถูกแนะนำให้คนเป็นภูมิแพ้เลี่ยงเนื่องจากมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้ง่ายเช่นกันบ้านเราไม่ค่อยกินเนยอยู่แล้วแต่ก็เผื่อใครที่เป็นภูมิแพ้ไปเที่ยวต่างประเทศจะได้ระวังค่ะ


  • อาหารหมักดอง

แบคทีเรียบางชนิดสามารถสร้างสารบางอย่างในกระบวนการหมักดองเมื่อกินเข้าไปจะเกิดอาการแพ้ได้เช่นปลาดิบที่เอามาหมักเป็นปลาร้าก็เสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้หรือผักดองเช่นแตงกวาดองกิมจิอาหารหมักดองเหล่านี้ก็เสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้ง่ายเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีผักและผลไม้ที่ไม่ได้ผลิตสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แต่ผักและผลไม้เหล่านี้ไปกระตุ้นให้อาการภูมิแพ้กำเริบซึ่งคนเป็นภูมิแพ้ต้องระวังเช่นกัน

  • ผักโขม

ผักโขมเป็นผักที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกายหลายอย่าง แต่ผักโขมก็เป็นหนึ่งในผักที่ถูกแนะนำให้เลี่ยง สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เนื่องจากผักโขมสามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนได้

  • มะเขือเทศ

มะเขือเทศเป็นผักที่เป็นส่วนประกอบในหลาย เมนู เช่น ส้มตำ ต้มยำ อาหารประเภทยำ สำหรับมะเขือเทศเป็นผักที่มีวิตามินซีและสารแอนตี้ออกซิแดนซ์หลายตัวเช่นไลโคปีนเบต้าแคโรทีนซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์กับสุขภาพมากแต่สำหรับคนที่ภูมิแพ้การกินมะเขือเทศอาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮีสตามีนทำให้เกิดอาการแพ้ได้

  • มะเขือ

มะเขือเป็นผักที่เป็นส่วนประกอบหลายอย่างในอาหารบ้านเรารวมทั้งเอามากินดิบคู่กับน้ำพริกก็อร่อยมากสำหรับมะเขือสามารถไปช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนทำให้มีอาการแพ้ได้เช่นเดียวกับมะเขือเทศ


  • ผลไม้ตระกูลส้ม

สำหรับผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้ม มะนาว มะนาวสีเหลืองซึ่งผลไม้เหล่านี้มีรสเปรี้ยวมีวิตามินซีสูงช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแต่สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ก็อาจจะเกิดอาการแพ้ได้ซึ่งครั้งหนึ่งหลานของผู้เขียนก็เคยแพ้น้ำมะนาวลมพิษขึ้นเต็มตัวหน้าบวมตาบวมจนต้องเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล

  • มะละกอ

สำหรับมะละกอ เป็นผลไม้มีรสหวาน มีวิตามินซีและวิตามินเอ เบต้าแคโรทีนสูงมะละกอสุกนิยมเอามากินเพื่อช่วยให้การขับถ่ายสะดวกส่วนมะละกอดิบนิยมเอามาทำส้มตำหรือทำแกงมะละกอเป็นอีกหนึ่งในผลไม้ที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้เช่นกันคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จึงต้องระวังเช่นกัน

  • สับปะรด

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีทั้งรสหวาน หวานอมเปรี้ยว หรือ บางพันธุ์ก็รสชาติเปรี้ยวมากสับปะรดเป็นผลไม้ที่คนนิยมกินเพื่อช่วยย่อยอาหารซึ่งเราก็คิดว่าได้ผลดีมากสำหรับสับปะรดไม่ได้มีสารฮีสตามีนสูงแต่สับปะรดสามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนจนแสดงอาการแพ้ได้เช่นเดียวกับผลไม้ตระกูลส้มหรือมะละกอ

  • กีวี

กีวีเป็นผลไม้อมเปรี้ยวอมหวานรสชาติอร่อยกีวีจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงย่อยง่ายสบายท้องกีวีเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนเช่นกันโดยเฉพาะคนที่เป็นภูมิแพ้การกินกีวีช่วงที่ไม่สบายอาจจะให้อาการเป็นหวัดน้ำมูกไหลไอแย่ลงได้

  • กล้วย

เป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดีกล้วยเป็นผลไม้ที่แนะนำให้คนเป็นเบาหวานกินระหว่างมื้อเพื่อช่วยการควบคุมน้ำตาลในเลือดคงที่อย่างไรก็ตามกล้วยก็เป็นผลไม้ที่ไม่ดีกับคนเป็นภูมิแพ้มากนักเพราะกล้วยจะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนได้เช่นเดียวกับกีวีดังนั้นคนที่เป็นภูมิแพ้อาจจะต้องระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ

  • สตรอเบอรี่

สตรอเบอรี่เป็นผลไม้ที่มีน้ำมากรสชาติอมเปรี้ยวอมหวานสำหรับสตรอเบอรี่เป็นผลไม้ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารฮีสตามีนได้เช่นเดียวกับกีวีหรือกล้วยซึ่งคนเป็นภูมิแพ้ก็ควรต้องระวังเช่นกัน

ทั้งหมดนี้คือ 12 อาหารที่คนเป็นภูมิแพ้ ต้องระวัง!! อย่างที่ผู้เขียนกล่าวตั้งแต่ต้นว่า ร่างกายของคนเราจะปล่อยสารฮีสตามีนเพื่อขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายและปกติแล้วสารฮีสตามีนจะถูกกำจัดออกได้เองแต่ในคนที่ไม่สามารถกำจัดสารฮีสตามีนได้ก็ส่งผลให้เกิดอาการแพ้อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นดังนั้นคนที่เป็นภูมิแพ้หรือเคยมีประวัติภูมิแพ้ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษถ้าชอบผลงานของผู้เขียนฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

เปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหารของเสาวรส สีม่วง & สีเหลือง กินแล้วลดน้ำหนักได้จริงมั้ย ?

แชร์ให้เพื่อน

เปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหารของเสาวรส สีม่วง & สีเหลือง กินแล้วลดน้ำหนักได้จริงมั้ย ?

12 สรรพคุณของ เสาวรส (Passion fruit)

บทความที่แล้ว เราเขียนเกี่ยว 12 สรรพคุณของเสาวรสไปแล้ว ซึ่งเมื่อคุณอ่านจบจะทำให้คุณหลงรักเสาวรส ไปเลย อย่างที่บอกในตอนที่แล้วว่ามีงานวิจัยเกี่ยวกับเสาวรส ว่าจะสามารถช่วยลดและควบคุมน้ำหนักได้ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม วันนี้เราจะชวนคุณมาดูคุณค่าทางสารอาหาร และพลังงานของเสาวรส โดยเราจะเปรียบเทียบระหว่างเสาวรสสีม่วง และ เสารสสีเหลือง ว่าถ้ากินแล้วจะมีโอกาสลดน้ำหนักได้จริงมั้ย ?

อย่างที่เราเขียนในบทความที่ผ่านมาว่า เสาวรสมีมากมายหลายสายพันธุ์ แต่ที่เราเห็นบ่อย ๆ ในท้องตลาด ก็เป็นเสาวรสพันธุ์สีม่วง ซึ่งมีการวิจัยและเก็บข้อมูลมากที่สุด เสาวรสพันธุ์สีเหลือง และพันธุ์สีส้มซึ่งก็มีขายในท้องเช่นกัน  แต่วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหารของเสาวรส สีม่วง & สีเหลือง เท่านั้น สำหรับเสาวรสมีมากมายหลายสายพันธุ์ คุณค่าทางสารอาหารหลายอย่างก็แปรผันตามพื้นที่ที่ปลูกเสาวรส ดังนั้นการวิเคราะห์หาคุณค่าทางสารอาหารของเสาวรสจึงอาจจะไม่เป๊ะเท่าที่ควร เราจึงขอเทียบคุณค่าทางสารอาหารจากน้ำเสาวรสพันธุ์สีม่วง และน้ำเสาวรสพันธุ์สีเหลืองดังนี้ค่ะ

เสาวรสพันธุ์สีม่วง

พลังงาน 51 กิโลแคลอรี่

วิตามินซี ประมาณ 37,20%


เสาวรสพันธุ์สีเหลือง

พลังงาน 60 กิโลแคลอรี่

วิตามินซี ประมาณ 30%


สำหรับสารอาหารอื่น ในเสาวรส ดูได้จากตารางที่แนบมานี้ ( แนบตาราง )

ทั้งหมดนี้เป็นสารอาหารหลักในเสาวรสซึ่งเป็นการวิเคราะห์โดยใช้น้ำจากเสาวรสเท่านั้น ซึ่งจากข้อมูลเราจะพบว่าเสาวรสพันธุ์สีม่วงจะให้พลังงานน้อยกว่าพันธุ์สีเหลืองประมาณ 9 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนักเสาวรส 100 กรัม และเสาวรสพันธุ์สีม่วงให้วิตามินซีมากกว่าพันธุ์สีเหลืองพอประมาณ อย่างไรก็ตามในงานวิจัยมีการใช้สารสกัดจากเปลือกเสาวรส และทดลองในสัตว์ทดลอง ปรากฏว่าสัตว์ทดลองน้ำหนักลดลง แต่ก็ยังรอการวิจัยและเก็บข้อมูลต่อไป

นอกจากนี้ในเสาวรสยังมีสารอาหารรอง หรือ สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ซึ่งจะเรียกว่าเป็นตัวชูโรงของเสาวรสเลยก็ว่าได้ เรื่องสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในเสาวรส เราเขียนไว้อย่างละเอียดในบทความ12 สรรพคุณของเสาวรส

โดยส่วนตัวเราเอง แม้ตอนนี้จะไม่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าเสาวรสสามารถกินเพื่อลดน้ำหนักได้ในคนแต่เราก็เชื่อว่าด้วยพลังงานที่น้อยมากของเสาวรสก็เป็นผลดีต่อการลดและควบคุมน้ำหนัก

สำหรับใครที่น้ำหนักเกิน ควรต้องตระหนักและหาทางควบคุมและลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน เพราะมีงานวิจัยล่าสุดที่บอกว่า โรคอ้วน ทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น สามารถติดตามอ่านต่อได้ โรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง

อย่างไรก็ตามการเลือกรับประทานผักและผลไม้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการควบคุมและลดน้ำหนัก เรายังจำเป็นต้องออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง สูตรการลดน้ำหนักก็มีอยู่ 3-4 อย่างนี้เท่านั้น

กินพลังงานจากอาหารเข้าไป แต่ไม่เอาพลังงานออก (จากการออกกำลังกาย )= น้ำหนักเพิ่ม

กินพลังงานจากอาหารเข้าไป เอาพลังงานออกมากกว่าที่กินเข้าไป = น้ำหนักลด

กินพลังงานเข้าไป และเอาออกเท่า ๆ กัน = น้ำหนักคงที่

หรือถ้าเราต้องการลดน้ำหนักโดยการกินน้อยลงเราก็ลงเทียบดูว่าเข้ากับออกอันไหนมากกว่ากันถ้าเข้ามากกว่าออกก็ไม่มีทางที่จะลดได้แต่ถ้าออกมากกว่าเข้ายังไงน้ำหนักก็ต้องลงสักวันแต่จะลงแบบเฟิร์มหรือจะลงแบบเผละก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ

วันนี้ขอลาไปก่อนแล้วจะนำเนื้อหาดีๆมาฝากกันใหม่นะคะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงกันทุกคนนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

6 ประโยชน์ที่ไม่ควรพลาดดื่ม ”ชาเขียว”

แชร์ให้เพื่อน

6 ประโยชน์ที่ไม่ควรพลาดดื่มชาเขียว

ชาเป็นเครื่องดื่มที่นิยมทั่วโลก ซึ่งชามีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาขาว ชาเหลือง ชาอู่หลง ชาดำ ซึ่งชาแต่ละชนิดก็มีกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างกันโดยชาเขียวมีกรรมวิธีการผลิตที่น้อยกว่าชาชนิดอื่น  ซึ่งจากงานวิจัยในประเทศจีนพบว่า ชาเขียวเป็นชาที่มีสาร Catechins มากกว่าชาชนิดอื่น

Catechins เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ที่ช่วยลดการอักเสบของเซลล์สามารถป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวานได้ ซึ่งสาร Catechins ยังสามารถพบได้ในไวน์แดง ช็อกโกแลต แอปเปิ้ล และผลไม้ตระกูลเบอรี่ ถ้าใครยังไม่รู้ว่า สารแอนตี้ออกซิแดนซ์คืออะไร ผู้เขียนเคยอธิบายไว้ในบทความมันม่วง (Purple sweet potato) ประโยชน์มากล้น จนต้องอยากกินทุกวัน

สำหรับ Catechins ในชาเขียวมีประโยชน์มากมายหลายอย่างและนี่คือ 6 ประโยชน์ที่ไม่ควรพลาดดื่มชาเขียว

1.ชาเขียวช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

ในชาเขียวอุดมด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ โพลีฟีนอล ( polyphenols) Catechins ซึ่งสามารถป้องกันโรคมะเร็ง ได้หลายชนิด เช่น

  • มะเร็งกระเพาะอาหาร จากงานวิจัยในประเทศจีนระบุว่าคนที่ดื่มชาวเขียวเป็นประจำมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารลดลงถึง 50%
  • มะเร็งเต้านม  การดื่มชาเขียวเป็นประจำลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมถึง 15%
  • มะเร็งชนิดอื่นนอกจากนั้นยังมีอีกหลายงานวิจัยที่ระบุว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งช่องปากมะเร็งต่อมลูกหมากมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

2.ชาเขียวช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

การดื่มชาเขียว ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด การเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด สโตรก นอกจากนั้นยังสามารถลดไขมันในเลือดชนิดเลว หรือ LDL ได้ด้วย โดยจากรายงานระบุว่าการดื่มชาเขียววันละ 3-4 แก้วสามารถลดการตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดประมาณ 40%  สารที่ช่วยปกป้องโรคหัวใจและหลอดเลือดก็คือสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่มีอยู่ในชาเขียวที่ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ในร่างกายรวมทั้งเซลล์ในหัวใจและหลอดเลือดด้วยและนี่ก็เป็นประโยชน์ดีๆที่ไม่ควรพลาดดื่มชาเขียว

3.ชาเขียวช่วยให้กระปรี้กระเปร่า

ในชาเขียวมีสารคาเฟอีนเช่นเดียวกับกาแฟดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าช่วยให้ผ่อนคลายเช่นเดียวกับการดื่มกาแฟ

4.ชาเขียวช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม

   ในหลายงานวิจัยที่บอกว่า สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในชาเขียว ช่วยชะลอการถูกทำลายของเซลล์สมองที่  เป็นสาเหตุของการเกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์โรคพาร์คินสัน

5.ชาเขียวช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ในชาเขียวไม่มีพลังงานแต่การดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดการดื้ออินซูลิน จากการเก็บข้อมูลพบว่า การดื่มชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และยังลดความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานด้วย

6.ชาเขียวช่วยลดน้ำหนักได้

มีบางงานวิจัยที่ระบุว่า สารคาเฟอีน และสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ Catechins ในชาเขียวช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้นดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงช่วยลดในการลดน้ำหนัก

และนี่คือ 6 ประโยชน์ที่ไม่ควรพลาดดื่มชาเขียว ที่เอามาฝากวันนี้ อย่างไรก็ตามชาเขียวมีสารคาเฟอีนเช่นเดียวกับกาแฟ จึงอาจจะทำมีอาการติดชาเช่นเดียวกับการติดกาแฟ อย่างไรก็ตามสำหรับการดื่มชาเขียวแบบไร้พลังงานต้องไม่มีการเพิ่มน้ำตาลหรือสารเพิ่มความหวาน หรือความมันอื่น ๆ ลงไป เพราะไม่อย่างนั้น การดื่มชาเขียวอาจจะกลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักมากกว่าการช่วยลดน้ำหนักหากท่านผู้อ่านชื่นชอบบทความของผู้เขียนสามารถกดไลก์กดแชร์บทความเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน