8 ประโยชน์ของพริก ที่ไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ช!

แชร์ให้เพื่อน

8 ประโยชน์ของพริก ที่ไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ช!

หลายวันมานี้เรานั่งอ่านงานวิจัยเกี่ยวกับผักและผลไม้ต่าง ๆ ของต่างประเทศ ระหว่างนั่งอ่านเพลิน ๆ เจองานวิจัยเกี่ยวกับพริก ที่เห็นแล้วต้องอึ้ง จึงอยากเอามาแชร์ให้อ่านกัน และนี่คือที่มาของบทความ ” 8ประโยชน์ของพริก ที่ไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ช!”

สมัยเราเป็นเด็ก เมื่อมีอาการเป็นหวัด คัดจมูกแม่มักจะทำอาหารรสจัด เช่น ทำส้มตำ น้ำพริก ต้มแซ่บมาให้กิน เราก็ฝืนกินตามที่แม่บอก และอาการเป็นหวัดก็มักจะดีขึ้นภายในไม่กี่วัน เมื่อโตขึ้นหลายครั้งที่เราป่วยเป็นหวัด แม่มักจะบอกว่า เพราะเราไม่ค่อยกินพริก จึงทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เราก็แอบแย้งในใจ แม่จะไปรู้อะไร แม่ไม่ได้จบโภชนาการมาสักหน่อย จนเมื่อเราได้อ่านบทความงานวิจัยเกี่ยวกับพริกเราก็ย้อนไปคิดถึงคำพูดของแม่ในวันนั้นข้อมูลที่ได้เกี่ยวกับพริกแทบจะตบทั้งหน้าและตัวเราให้ชากันไปข้างหนึ่งเรามาดูกันเลยค่ะว่าพริกมีประโยชน์อะไรบ้าง

ข้อมูลโภชนาการของพริกสดสีเขียว ขนาด 100 กรัม

  • พลังงาน 47 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 2 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 9,2 กรัม มีน้ำตาล 4,5 กรัม หรือประมาณน้ำตาลก้อน 1 ก้อน ไม่มีเส้นใยอาหาร
  • ไขมัน 0,2 กรัม

วิตามินที่สำคัญในพริก

  • วิตามิน เอ ประมาณ 4,8% ของปริมาณวิตามินเอที่ควรได้รับต่อวัน
  • เบต้าแคโรทีน 460 ไมโครกรัมในพริกสดสีเขียวแต่ในพริกแดงพบเบต้าแคโรทีนสูงกกว่าแครอทซึ่งเป็นผักที่อุดมได้ด้วยเบต้าแคโรทีน
  • วิตามินอี ประมาณ 24,2% ของปริมาณวิตามินอีที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินบี 1 ประมาณ  8,2%  ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินบี 2 ประมาณ  6,4% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินบี 3 ประมาณ  8,3% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินบี 6 ประมาณ  20%  ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินบี 9 ประมาณ  11,5%   ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินซี ประมาณ  300% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันซึ่งมากกว่าปริมาณวิตามินซีในผลไม้ตระกูลส้มและฝรั่งที่จัดว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก

เกลือแร่ที่สำคัญในพริก

โพแทสเซียมประมาณ 17% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน

ธาตุเหล็ก 8,6% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน

แมกนีเซียม 6,7% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน

ฟอสฟอรัส 6,6 %ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน


8 ประโยชน์ของพริก ที่ไม่ได้มีดีแค่ความเผ็ช!

พริกเป็นผักที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ”Capsaicin” ใครยังไม่รู้จักสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สามารถย้อนกลับไปทำความรู้จักได้ในบทความ มันม่วง ประโยชน์มากล้น จนอยากกินทุกวัน โดยสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวนี้ มีประโยชน์มากมายเช่นเดียวกัน ผู้เขียนขออ้างอิงงานเวิจัยเกี่ยวกับพริกของต่างประเทศที่อ่านเจอเป็นหลักดังนี้

  1. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  2. สามารถลดการเจริญเติบโตของไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อราต่าง
  3. ใช้รักษาอาการเจ็บปวด และลดการอักเสบ (ใช้ในทางการแพทย์) โดยเฉพาะการอักเสบของข้อ
  4. คาดว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้ดี เช่นเดียวกับสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวอื่นๆ
  5. ช่วยป้องกันเลือดเป็นลิ่ม
  6. ช่วยบำรุงเส้นเลือด ลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดขอด
  7. ช่วยบำรุงตับ
  8. ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร

จากรายงานการวิจัยเกี่ยวกับพริก ประโยชน์ในข้อ 6-8 ต้องมีการรับประทานพริกอย่างสม่ำเสมอทุก ๆ วัน สำหรับผู้เขียนเอง แม้ไม่ใช่สายส้มตำพริก 10 เม็ดแต่ก็ขาดพริกไม่ได้เช่นกันจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เจ็บป่วยด้วยโรคโควิดที่ต่างประเทศทำให้ไม่ได้รับประทานพริกเป็นช่วงๆสังเกตุได้ว่าตัวเองจะมีอาการของโรคโควิดเช่นมีไข้ไอเจ็บคอมากขึ้นแต่เมื่อเราลุกขึ้นมาทำยำตำแตงต้มยำเผ็ดๆกินรู้สึกว่าอาการโควิดดีขึ้นจนผู้เขียนคิดว่าเราอาจจะมโนไปเองแต่พอมาอ่านเจองานวิจัยหลายๆงานก็พอจะสนับสนุนได้พริกอาจจะเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้อาการเป็นหวัดหรือโควิดดีขึ้นก็เป็นไปได้แหมเราก็วิ่งหาวิตามินซีมาตั้งนานที่แท้ก็มีของดีอยู่ใกล้ตัววันนี้ลาไปก่อนเดี๋ยววันหลังจะหาข้อมูลพริกอื่นๆมาให้อ่านกันถ้าอ่านแล้วชอบฝากกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

มันม่วง (Purple sweet potato) ประโยชน์มากล้น จนต้องอยากกินทุกวัน

แชร์ให้เพื่อน

มันม่วง (Purple sweet potato) ประโยชน์มากล้น จนต้องอยากกินทุกวัน

มันเป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน มันมีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะมันขาว มันเหลือง มันม่วง การกินมันนอกจากอิ่มท้องแล้ว ยังมีประโยชน์มากมายโดยเฉพาะสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่สูงมาก ซึ่งจากงานวิจัยของต่างประเทศพบว่า มันม่วงมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงกว่า มันขาว มันเหลือง โดยมันม่วงมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงที่สุด และมันขาวมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ต่ำที่สุด อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะเริ่มงงว่าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์คืออะไร ?

สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ (Anti-oxidation)  คืออะไร ทำหน้าที่อะไร ?

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักว่า สารแอนตี้ออกซิแดนซ์คืออะไร  เราขออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้ค่ะ เมื่อร่างกายของคนเราเจอความเครียด ไม่ว่าจะจากความเครียดด้านจิตใจ ความเครียดจากการเจ็บป่วย ความเครียดจากการได้รับรังสีต่าง ๆ เช่น รังสีจากดวงอาทิตย์ รังสีจากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ตาม ร่างกายของคนเราจะทำปฏิกิริยากับสิ่งเหล่านั้น เรียกว่าเกิดการออกซิเดชัน (Oxidation) ใครคิดไม่ออกก็คิดถึงเหล็กที่อยู่บนรถยนต์ที่อาจจะถูกเฉี่ยวชนมีรอยถลอก เมื่อโดนน้ำ โดนแดด เกิดการออกซิเดชัน เป็นสนิมไปเรื่อย ๆ จนเหล็กเกิดการผุพังหากเราไม่มีการเคลือบ หรือซ่อมแซมบำรุง ร่างกายของคนเราก็เช่นกัน เมื่อเซลล์ถูกทำลายไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีอะไรมาปกป้อง ร่างกาย และอวัยวะต่าง ๆ ก็เสื่อมโทรม อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ได้น้อยลง ผิวก็แลดูแก่ เหี่ยวย่น ถึงตอนนั้นโรคต่าง ๆ ก็ตามมาเช่นกัน

สำหรับสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ก็ทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้เซลล์ในร่างกายถูกทำลาย ซึ่งเจ้าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวนี้ที่ว่า พบมากในมันม่วง หรือ Purple sweet potato” นี่แหละค่ะ

6 ประโยชน์เน้น ๆ ของมันม่วง หรือ Purple sweet potato

ประโยชน์ต่าง ๆ ของมันม่วง มีรายงานวิจัยของต่างประเทศรองรับจำนวนมาก ซึ่งจากการทดลองต่าง ๆ พบว่าการกินมันม่วง มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง หลัก ๆ มีดังนี้ค่ะ

1.อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร

ในมันม่วง 100 กรัม ให้พลังงานทั้งหมด 87 กิโลแคลอรี่ นอกจากนั้นในมันม่วงยังมีวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมายหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินเอที่มากถึง 183% ของปริมาณที่ควรได้รับได้ต่อวัน วิตามินซีประมาณ 38% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน และมีวิตามินบี 6 ประมาณ 29% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันนอกจากนั้นในมันม่วงยังมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายเช่นโพแทสเซียมสังกะสีแมกนีเซียมธาตุเหล็ก

2.มีสารแสนแอนตี้ออกซิแดนซ์สูง

สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในมันม่วง ที่พบมาก เช่น ฟีโนลิกแอซิด (Phenolic acid), แอนโทไซยานีน (Anthocyanins) เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene)

สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่พบในมันม่วงช่วยปกป้องร่างกายจากโรคต่างๆเหล่านี้

  • โรคมะเร็ง
  • โรคความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ ที่เราเขียนแบบนี้ เพราะโรคความจำเสื่อมมีหลายสาเหตุ อัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในโรคความจำเสื่อมที่คาดว่าเซลล์ในสมองถูกทำลาย
  • โรคพาร์คินสัน
  • โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  • โรคเบาหวาน
  • โรคอ้วน

3.สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในมันม่วง พบว่า ช่วยยับยั้งก้อน หรือมะเร็ง

ข้อมูลนี้เป็นยังเป็นงานวิจัยที่ยังอยู่ในช่วงของการทดลองในห้องแลป ซึ่งรอการทดลองอื่น ๆ ต่อไป

4.ช่วยรักษาสุขภาพของตับ

จากการเก็บข้อมูลในงานวิจัย พบว่ามันม่วง ช่วยลดไขมันเกาะตับ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน สำหรับโรคไขมันเกาะตับเกิดได้ทั้งในคนที่มีไขมันในเลือดสูง คนอ้วน หากไขมันไปเกาะตับมาก ๆ ก็ทำให้ตับเกิดการอักเสบ เกิดตับแข็ง ตับวายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจากงานวิจัยระบุว่ามันม่วงไปช่วยลดไขมันเกาะตับในกลุ่มคนโรคอ้วน นอกจากนั้นยังไปช่วยลดไขมันชนิดเลว LDL อีกด้วย

5.ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

จากรายงานการวิจัยพบว่า มันม่วง ช่วยลด และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนที่เป็นเบาหวานได้ดีขึ้น

6.มันม่วงช่วยปรับปรุงความสมดุลในลำไส้

สำหรับมันม่วงมีเส้นใยอาหารประมาณ 20% ของเส้นใยอาหารที่ควรได้รับต่อวัน โดยในมันม่วง 100 กรัม มีเส้นใยประมาณ 3,5 กรัมซึ่งเส้นใยอาหารในมันม่วงสูงเกือบพอๆกับกะหล่ำดาวซึ่งเป็นผักที่มีเส้นใยสูงและมีงานวิจัยสนับสนุนว่ากะหล่ำดาวช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ซึ่งเราเคยเขียนไปแล้วในบทความเกี่ยวกับกะหล่ำดาว

สำหรับมันม่วงถือเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีมีราคาถูกหาซื้อได้ง่ายสำหรับผู้เขียนที่ชอบกินมันต้มมันเผามาตั้งแต่เด็กครอบครัวของผู้เขียนมักจะปลูกมันไว้กินเองพอถึงช่วงหน้าหนาวก็ขุดเอามาเผากินเราก็ได้กินมันและได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์มาตลอดโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าของดีก็มีอยู่ใกล้ตัวแล้ววันหลังจะนำของดีมีประโยชน์ที่อยู่ใกล้ตัวมาเล่าให้ฟังใหม่วันนี้ขอลาไปก่อนนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

กะหล่ำดาว Brussels sprout เส้นใยสูง ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

แชร์ให้เพื่อน

กะหล่ำดาว Brussels sprout เส้นใยสูง ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

กะหล่ำดาว หรือภาษาอังกฤษ เรียกว่า Brussels sprout เป็นหนึ่งในผักกลุ่มกะหล่ำ ที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง โดยผักในกลุ่มนี้อุดมไปด้วยสารแคโรทินอยด์ ( เบต้าแคโรทีน ลูเตอีน เซแซนทีน ) วิตามินซีวิตามินอีและวิตามินเคสูงนอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหารซึ่งจะช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและระบบขับถ่าย

จากข้อมูลงานวิจัยของต่างประเทศ ระบุว่า ผักในกลุ่มกะหล่ำ รวมทั้งกะหล่ำดาว ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ดังนี้

  • มะเร็งต่อมลูกหมาก
  • มะเร็งลำไส้
  • มะเร็งปอด
  • มะเร็งเต้านม

คุณค่าทางสารอาหารของกะหล่ำดาว

สำหรับกะหล่ำดาว 100 กรัม ให้คุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อวันประมาณ 15% โดยให้สารอาหารหลักๆดังนี้

  • พลังงาน 44 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 3.4 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 8.9 กรัม  แยกเป็นเส้นใยอาหาร 4,2 กรัม และน้ำตาล 2,6 กรัม เทียบเท่าน้ำตาลก้อนประมาณ 3 ใน 4 ก้อน ถ้าเราเปรียบเทียบผักในกลุ่มเดียวกัน ถือว่ากะหล่ำดาวให้เส้นใยสูงมากกว่ากะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี หรือผักกลุ่มคะน้า ผักกวางตุ้ง
  • มีวิตามินเอประมาณ 4,5% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน เบต้าแคโรทีน 430 ไมโครกรัม ซึ่งถ้าเทียบกับผักในกลุ่มเดียวกัน ก็ถือว่ากะหล่ำดาวไม่มีความโดดเด่นมากนัก
  • มีวิตามินเคสูงมากถึง 220 ไมโครกรัม หรือ เกือบ 300% ของปริมาณวิตามินเคที่ควรได้รับต่อวัน ซึ่งวิตามินเคช่วยในการห้ามเลือด และช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกเปราะง่าย ผักในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีวิตามินเคสูง ยกเว้นกะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี ที่มีวิตามินเคไม่ถึง 100% ซึ่งตรงนี้เราเคยแชร์ไปแล้วในบทความก่อนหน้า
  • มีวิตามินซีสูงมากถึง 85 มิลลิกรัม หรือประมาณ 106% ของปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน
  • วิตามินบี 9 หรือโฟเลตสูง 159 ไมโครกรัม หรือประมาณ 80% ของปริมาณโฟเลตที่ควรได้รับต่อวัน
  • มีธาตุเหล็กประมาณ 1,4 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 10% ของปริมาณธาตุเหล็กที่ควรได้รับต่อวัน ซึ่งธาตุเหล็กในกะหล่ำดาวมีมากพอ กับ ราสเบอรี่ที่เป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง ซึ่งธาตุเหล็กและโฟเลตจะช่วยบำรุงเลือด และสร้างเม็ดเลือดแดง

สรุปประโยชน์หลัก ของกะหล่ำดาว

  • เส้นใยอาหารสูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จากหลายงานวิจัยระบุว่า การรับประทานกะหล่ำดาวต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่
  • เป็นผักที่มีวิตามินซีสูง ที่ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ คอลลาเจนให้ร่างกาย และวิตามินซียังช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก นอกจากนั้นวิตามินซียังถือเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรือ สารต้านความแก่ที่เรารู้จักกันดี
  • วิตามินเคสูง ช่วยเรื่องการห้ามเลือด แต่ต้องระวังในคนที่กินยากลุ่มสลายลิ่มเลือด สำหรับสาว ที่มีประจำเดือนมามากกว่าปกติ การกินกะหล่ำดาว อาจจะช่วยให้ประจำเดือนมาน้อยลง

ถึงแม้กะหล่ำดาวจะเป็นหนึ่งในผักที่มีประโยชน์ และคุณค่าทางสารอาหารสูง อย่างไรก็ตามเราก็จำเป็นต้องรับประทานผักและผลไม้ชนิดอื่นเพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

เปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหาร กะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี อะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน ?

แชร์ให้เพื่อน

เปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหาร กะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี อะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน ?

กะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี เป็นอาหารคู่ครัวคนไทยมายาวนาน เนื่องจากเป็นผักที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง วันนี้จะมาเปรียบเทียบคุณค่าทางสารอาหาร กะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี อะไรมีประโยชน์มากกว่ากัน ? เผื่อจะได้เลือกกินให้ถูกใจมากขึ้น เรามาดูกันเลยค่ะ

1.เปรียบเทียบพลังงานระหว่างกะหล่ำดอก และกะหล่ำปลี

  • กะหล่ำดอก 100 กรัมให้พลังงานทั้งหมด 24 กิโลแคลอรี่ โดยมี
    -โปรตีน 1,9 กรัม
    -ไขมัน 0,2 กรัม
    -คาร์โบไฮเดรต 4,9 กรัม
  • กะหล่ำปลี 100 กรัมให้พลังงานทั้งหมด 30 กิโลแคลอรี่ โดยมี
    -โปรตีน 1,1 กรัม
    -ไขมัน 0,1 กรัม
    -คาร์โบไฮเดรต 7,3 กรัม

หากเราเปรียบเทียบในแง่พลังงาน กะหล่ำปลีให้พลังงานเยอะกว่า กะหล่ำดอก นอกจากนั้นกะหล่ำปลียังให้คาร์โบไฮเดรต หรือแป้งเยอะกว่ากะหล่ำดอกอีกด้วย หากใครที่ต้องการลด หรือควบคุมน้ำหนักอย่างจริงจัง จะเอากะหล่ำดอกมาต้มจิ้มน้ำพริกแทนการกินกะหล่ำปลี ก็น่าจะดีกว่า

2.กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอกมีวิตามินเคสูง
วิตามินเคช่วยในการสร้างลิ่มเลือด ทำให้เลือดหยุดไหล เช่น หากมีอาการขาดวิตามินเค จะทำให้เลือดหยุดไหลช้ากว่าคนปกติ คนปกติอาจจะหยุดได้ภายใน 2 นาที แต่คนที่ขาดวิตามินเค อาจจะต้องใช้เวลาในการห้ามเลือดประมาณ 10 นาที หรือในคนที่มีประจำเดือนมามาก จะใช้ประโยชน์จากวิตามินเคมาช่วยทำให้ประจำเดือนมาน้อยลงก็ได้เช่นกัน
กะหล่ำดอก มีวิตามินเค 27 ไมโครกรัม หรือ 0,027 มิลลิกรัม เทียบเท่าประมาณ 36% ของปริมาณวิตามินเคที่ควรได้รับต่อวัน
กะหล่ำปลี มีวิตามินเค 44 ไมโครกรัม หรือ 0.044 มิลลิกรัม เทียบเท่าประมาณ 57,8 % ของปริมาณวิตามินเคที่ควรได้รับต่อวัน

3. กะหล่ำดอกมีวิตามินซีมากกว่ากะหล่ำปลี
กะหล่ำดอก มีวิตามินซี 79,1 มิลลิกรัม เทียบเท่าประมาณ 98,9% ของปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน
กะหล่ำปลี มีวิตามินซี 46,2 มิลลิกรัม เทียบเท่าประมาณ 57,8 % ของปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน
แม้กะหล่ำดอกจะมีวิตามินซีสูงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับต่อวัน แต่วิตามินซีถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน วิตามินซีจะหายไปช่วงของการปรุงอาหาร โดยยิ่งปรุงนาน และอุณหภูมิสูงเท่าไร วิตามินซีก็หายไปมากเท่านั้น

4. กะหล่ำดอกมีโฟเลต หรือวิตามินบี 9 และ ธาตุเหล็กสูงกว่ากะหล่ำปลี
กะหล่ำดอกมีธาตุเหล็ก และโฟเลต ที่ช่วยในการเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงมากกว่า โดยกะหล่ำดอกมีธาตุเหล็กมากกว่ากะหล่ำปลีเพียงเล็กน้อย แต่กะหล่ำดอกมีวิตามินบี 9 หรือ โฟเลตมากกว่ากะหล่ำปลีถึง 4 เท่า
อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นผักทั้งสองชนิดมีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย ทำให้เป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ สิ่งที่ต้องระวังคือ กะหล่ำปลีไม่ควรกินดิบ แต่เราก็กินกะหล่ำปลีดิบจิ้มกับส้มตำ ที่ถือว่าเป็นอาหารหลักของคนไทยมาช้านาน อีกอย่างที่สำคัญผักทั้งสองชนิดเมื่อกินเข้าไปจะทำให้มีลมในท้องมาก อาจจะต้องระวังเป็นพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ วันนี้เอามาเปรียบเทียบให้อ่านกัน เผื่อจะได้เลือกผักมารับประทานให้ตรงใจมากขึ้น วันหลังจะนำข้อมูลอื่น ๆ มาเปรียบเทียบให้อ่านกันอีกครั้งค่ะ
ปล อ้างอิงข้อมูลโภชนาการจากเว็บไซต์ กรมควบคุมอาหารในประเทศสวีเดน

 

แชร์ให้เพื่อน

10 ผลไม้ไม่ถูกกับโรค คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!!

แชร์ให้เพื่อน

10 ผลไม้ไม่ถูกกับโรค คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!!

แม้ผักและผลไม้จะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกกับทุกคน ถูกกับทุกโรค เพราะผักผลไม้ และอาหารที่เรารับประทานในแต่ละวัน มีผลโดยตรงกับสุขภาพของเราเอง วันนี้จะชวนมาอ่าน 10 ผลไม้ไม่ถูกกับโรค คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง  เรามาดูกันเลยค่ะ
10 ผลไม้ไม่ถูกกับโรค คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!!

  • ผลไม้ตากแห้ง
  • อโวคาโด
  • ทุเรียน
  • กล้วย
  • ฝรั่ง
  • กีวี่
  • ราสเบอรี่
  • อินทผาลัมตากแห้ง
  • มะเฟือง
  • เกรปฟรุต

10 ผลไม้ไม่ถูกกับโรค คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!!
ผลไม้ไม่ถูกกับโรคไต ต้องระวัง!!
สำหรับคนเป็นโรคไต ทั้งไตวายแบบเฉียบพลัน หรือไตวายเรื้อรัง ทำที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง หรือ บางกรณีไตไม่สามารถทำงานได้ จนต้องเข้ารับการฟอกไตที่โรงพยาบาล การเลือกกินอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญ และนี่คือ 5ผลไม้ที่ไม่ถูกกับโรคไต ที่ระวัง ไม่กินดีที่สุด



ผลไม้ตากแห้ง
ผลไม้ตากแห้งต่าง ๆ ก็มีปริมาณโพแทสเซียมสูงมาก ตัวอย่างองุ่นตากแห้ง หรือลูกเกด ในปริมาณ 100 กรัม มีโพแทสเซียมสูงถึง 750 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 37,5% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน หรืออย่างอินทผาลัมตากแห้ง 100 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 650 มิลลิกรัม หรือประมาณ 32,5% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน  



อโวคาโด
อโวคาโดเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญหลายชนิด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า อโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงมาก โดยอโวคาโดขนาด 100 กรัมมีโพแทสเซียมสูงถึง 600 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 30% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน  โดยถ้าเป็นอโวคาโดลูกเล็กมีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม ถ้าลูกกลาง ๆ น้ำหนักประมาณ 120 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 720 มิลลิกรัม



ทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ซึ่งมีทั้งพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน โดยทุเรียน 100 กรัมให้พลังงานมากถึง 147 kcal และมีโพแทสเซียมสูงถึง 436 มิลลิกรัม หรือประมาณ 21,8% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน และถ้าเราเป็นโรคไตวายหมอจำกัดโพแทสเซียมไม่เกิน 2000 มิลลิกรัมต่อวัน หากวันนั้นเรากินทุเรียนไปสองพูใหญ่นำหนักทุเรียนที่มากเกิน 500 กรัม ร่างกายเราก็จะได้รับโพแทสเซียมเกินอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนเป็นโรคไตจึงต้องระวังการกินทุเรียนให้มากค่ะ และไม่ใช่แค่คนเป็นโรคไตเท่านั้นที่ต้องระวัง คนเป็นเบาหวานก็ต้องระวังเช่นกันค่ะ



กล้วย
กล้วย เป็นผลไม้ที่หาได้ง่าย มีประโยชน์มากมาย แต่กล้วยก็อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ที่คนเป็นโรคไตวายต้องระวังอย่างมากเช่นกัน โดยในกล้วย 100 กรัม มีโพแทสเซียมสูงถึง 395 มิลลิกรัม หรือประมาณ 19,8% ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวัน โดยกล้วยลูกเล็กถึงกลางน้ำหนักประมาณ 120-125 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 470 มิลิกรัม ถ้ากล้วยหอมลูกใหญ่น้ำหนักประมาณ 150 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 590 มิลลิกรัม



ฝรั่ง
สำหรับฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก แต่ฝรั่งก็ไม่ถูกกับโรคไต โดยเฉพาะไตวายเช่นกัน โดยฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม มีโพแทสเซียม 285 มิลลิกรัม หรือประมาณ 14,2% ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวัน สำหรับฝรั่ง 1 ลูกมีน้ำหนักประมาณ 150 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 430 มิลลิกรัม



กีวี่
กีวี่เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่ไม่ถูกกับโรคไต โดยเฉพาะไตวาย เนื่องจากในกีวีมีปริมาณโพแทสเซียมสูง เช่นเดียวกับกล้วย โดยในกีวี่ 100 กรัม มีโพแทสเซียม 270 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 13,5% ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวัน สำหรับกีวี่นอกจะไม่ถูกกับโรคไตแล้ว หากคุณเป็นภูมิแพ้และรู้สึกไม่สบายก็ควรเลี่ยงหรือกินในปริมาณน้อย อ่านต่อได้ใน 10 ผลไม้ไม่สบาย ห้ามกิน! ไม่สบายห้ามกินผลไม้อะไร? | TrueID Creator
สำหรับคนไข้โรคไต ส่วนใหญ่หมอจะจำกัดปริมาณโพแทสเซียมเนื่องจากโพแทสเซียมที่กินเข้าไปไม่สามารถขับออกทางไตได้ และในอาหารที่เรากินในแต่ละวันส่วนใหญ่ก็จะมีส่วนผสมของโพแทสเซียม ทำให้ถ้าเรากิน 6 ผลไม้ที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะทำให้ร่างกายเราได้รับโพแทสเซียมที่มากเกินไป โดยอาการที่เกิดจากโพแทสเซียมสูง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายอ่อนล้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจจะทำให้เป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตได้เช่นกัน
นอกจากนั้นยังมีผลไม้ที่ไม่ถูกกับคนเป็นโรคนิ่วในไต ซึ่งบางคนอาจมีนิ่วที่ไต แต่อาจจะเป็นก้อนเล็ก ๆ ที่อาจจะเคยมีอาการ แล้วนิ่วหลุดไปเอง หรือ อาจจะตรวจพบโดยบังเอิญ แต่ยังไม่มีอาการจนต้องได้รับการรักษา และนี่คือผลไม้ที่ไม่ถูกกับโรคนิ่วที่ไต


ผลไม้ที่ไม่ถูกกับคนเป็นโรคนิ่วในไต ต้องระวัง!!


ราสเบอรี่
ราสเบอรี่เป็นผลไม้ของทางตะวันตก ซึ่งมีสาร Oxalates สูงมาก โดยราสเบอรี่ 1 ถ้วย มีอ็อกซาเลตสูงถึง 48 มิลลิกรัม โดยสารอ็อกซาเลตตัวนี้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดนิ่วในไตได้เช่นกัน
อินทผาลัมตากแห้ง
อินทผาลัมตากแห้ง เป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีรสหวาน ชาวอาหรับนิยมเอามาทำขนม หรือเป็นส่วนประกอบในอาหาร สำหรับอินทผาลัมตากแห้ง 1 เม็ด มีอ็อกซาเลตสูงถึง 24 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าเรากินเข้าไปสัก 10 ลูกก็รับอ็อกซาเลตเข้าไปเต็ม ๆ 240 มิลลิกรัม นอกจากอ็อกซาเลตที่สูงแล้วในอินทผาลัมแห้งยังมีแคลอรี่สูงถึง 299 kcal ต่ออินทผาลัม 100 กรัม เทียบเท่ากับกินน้ำตาลก้อนเข้าไปถึง 17 ก้อน ดังนั้นคนเป็นโรคไต เบาหวาน นิ่วก็อย่ากินเลยดีกว่าค่ะ



มะเฟือง
สำหรับมะเฟืองเป็นผลไม้ที่มีอ็อกซาเลตสูง และถ้ากินนาน ๆ อาจจะไปทำลายไตได้ ดังนั้นสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไต หรือ กินยาบางชนิดอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะมะเฟืองจะมีฤทธิ์ต่อยาบางชนิดเช่นเดียวกับเกรปฟรุต



เกรปฟรุต
เกรปฟรุตเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่และสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูง ซึ่งเราเคยเขียนถึงในบทความ 10 ผลไม้ น้ำตาลน้อย แคลอรี่ต่ำ สำหรับคนต้องการลดน้ำหนัก ไปแล้ว แต่อย่างที่บอกค่ะว่าเกรปฟรุตมีสารบางชนิดไปขัดขวางการทำงานของเอ็นไซม์ในลำไส้ที่ช่วยในการทำลายยา ดังนั้นถ้าเรากินเกรปฟรุตเข้าไปจะทำให้ยาที่เรากินเข้าไปไม่มีเอนไซม์ไปช่วยทำลาย อาจจะทำให้ปริมาณยาในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งจากรายงานวิจัยของต่างประเทศ พบว่าแม้จะดื่มน้ำเกรปฟรุตเข้าไปแค่ 100-200 ml ก็ทำให้ประสิทธิภาพของยาเพิ่มสูงขึ้นได้ โดยยาที่มีผลกับเกรปฟรุต หรือน้ำเกรปฟรุต ได้แก่
– ยาลดไขมันกลุ่ม Statin เช่น Simvastatin, Atorvastatin และ Lovastatin
– ยาลดความดัน เช่น Losartan, felodipin, amlodipin ฯลฯ
– ยาคลายเครียด เช่น Diapam หรือ Daizepam อาจจะทำให้ปริมาณยาในร่างกายมีปริมาณสูงขึ้น อาจจะทำให้เกิดอาการเหนื่อยเพลีย ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อการขับขี่ได้

ดังนั้นคนไข้ที่มีโรคประจำตัว และกินยาเหล่านี้อยู่ จึงต้องระมัดระวังในการกิน หรือ ดื่มน้ำเกรปฟรุต และอย่างที่เรากล่าวถึงในบทความก่อนหน้าว่า เกรปฟรุตเป็นผลไม้ผสมสายพันธุ์ระหว่างส้มและส้มโอ ดังนั้นการจะกินส้มโอเมื่อมีโรคประจำตัวและกินยาเหล่านี้อยู่ก็ต้องระวังเช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือ 10 ผลไม้ไม่ถูกกับโรคที่เราเอามาฝากวันนี้

หากอ่านแล้วชื่นชอบ รบกวนแชร์ให้เพื่อนฝูงหรือคนที่เป็นโรคเหล่านี้ได้อ่านกัน แล้วจะพยายามหาเรื่องอื่นที่น่าสนใจมาฝากกัน แล้วพบกันใหม่นะคะ

แชร์ให้เพื่อน

7 ผลไม้บำรุงเลือด มีธาตุเหล็กสูง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือน

แชร์ให้เพื่อน

7 ผลไม้บำรุงเลือด มีธาตุเหล็กสูง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือน

สำหรับผู้หญิงช่วงวันมีประจำเดือน เป็นอะไรที่ทั้งเหนื่อย อ่อนเพลีย จากการสูญเสียเลือด สูญเสียธาตุเหล็ก ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารเพื่อช่วยเสริมสร้างธาตุเหล็กให้ร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้เรามี 7 ผลไม้บำรุงเลือด มีธาตุเหล็กสูง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือน และถ้าคุณพอจะรู้ช่วงที่มีประจำเดือน จะเริ่มกินล่วงหน้าก่อนมีประจำเดือน ช่วงมีประจำ และหลังจากมีประจำเดือน ก็อาจจะพอช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากการมีประจำเดือนไปได้บ้าง เรามาดูกันเลยค่ะ


• มะเขือเทศตากแห้ง
มะเขือเทศเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง โดยเฉพาะมะเขือเทศตากแห้ง ที่ถ้าเทียบจากน้ำหนัก 100 กรัม มีธาตุเหล็กสูงถึง 9 mg ซึ่งมากกว่า 50% ของปริมาณธาตุเหล็กที่ควรได้รับต่อวัน แต่ในมะเขือเทศสด พบธาตุเหล็กเพียงแค่ 0,19 มิลลิกรัม เทียบจากน้ำหนักมะเขือเทศสด 100 กรัมเช่นกัน นอกจากนั้นในมะเขือเทศแห้งยังมีวิตามินบี 9 หรือ โฟเลตที่ช่วยในการเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย แม้มะเขือเทศตากแห้งจะมีธาตุเหล็กสูง แต่ก็มีโพแทสเซียมสูงมาก ซึ่งพบได้ในผลไม้ตากแห้งทั่วไป ดังนั้นคนที่มีปัญหาโรคไต ก็ไม่ควรกินค่ะ


• ลูกเกด
ลูกเกดเป็นผลไม้ตากแห้งที่มีแคลอรี่และน้ำตาลสูง จากน้ำหนักลูกเกด 100 กรัม มีแคลอรี่ 318 กิโลแคลอรี่มีน้ำตาลมากถึง 59,5 กรัม เทียบเท่ากับน้ำตาลก้อนประมาณ 15 ก้อน และเช่นเดียวกับผลไม้ตากแห้งอื่น ๆ ที่พบโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวาน โรคไต ก็ไม่ควรกิน สำหรับลูกเกดมีธาตุเหล็ก 2,4 mg หรือประมาณ 27% ของปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำต่อวัน หากใครที่รู้สึกอ่อนเพลีย ช่วงมีประจำเดือน จะกินลูกเกดเป็นอาหารว่างแทนการกินขนมขบเคี้ยวก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกันค่ะ
นอกจากมะเขือเทศตากแห้ง และลูกเกดแล้ว ยังมีอินทผาลัมตากแห้ง ที่มีธาตุเหล็กสูงเช่นกัน แต่ก็น้อยกว่าทั้งมะเขือเทศตากแห้ง และลูกเกด ข้อควรระวังในการกินอินทผาลัมตากแห้งก็มีทั้งน้ำตาล และโพแทสเซียมในปริมาณมากเช่นเดียวกับผลไม้ตากแห้งอื่น ๆ ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานและโรคไตก็ไม่ควรกิน ต่อไปเรามาดูผลไม้สด ๆ กันบ้างค่ะ



• ลูกหม่อนสุก (Mulburry)
ลูกหม่อนสุกเป็นผลไม้ที่ได้รับการพูดถึงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูง คนทางยุโรปนิยมกินเป็นผลไม้แห้ง ในลูกหม่อนสด 100 กรัมพบธาตุเหล็กสูงมากถึง 1,8 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 13,2% ของประมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนั้นในลูกหม่อนสุกยังมีวิตามินซีสูงมาก ซึ่งจะช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างคอลาเจนให้ชั้นผิวอีกด้วย



• ราสเบอรี่ (Rasburry)
ราสเบอรี่เป็นผลไม้ของทางยุโรป มีแคลอรี่ต่ำ สำหรับราสเบอรี่ 100 กรัม มีธาตุเหล็ก1,1 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 7,9 % ของปริมาณธาตุเหล็กที่แนะนำต่อวัน นอกจากนั้นผลไม้ในกลุ่มเบอรี่ยังมีวิตามินซี โฟเลต และสารแอนตี้ออกซิแดนซ์สูงมากเช่นเดียวกับผลไม้ในกลุ่มเบอรี่อื่น ๆ แต่ถ้ามีราคาแพงมากเราก็มากินผลไม้ไทย ตัวอื่น ๆ กันดีกว่าค่ะ


• มังคุด
มังคุดเป็นผลไม้ในถิ่นคาบสมุทรมลายู ที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นผลไม้มีคุณค่าทางสารอาหารสูง สำหรับมังคุด 100 กรัม มีธาตุเหล็กประมาณ 0,3 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 3,75% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน นอกจากนั้นในมังคุดยังมีโฟเลตที่ช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงอีกด้วย แม้จะมีคำกล่าวว่ามังคุดเป็นผลไม้ชั้นเลิศแต่ก็ยังมีงานวิจัยรองรับค่อนข้างน้อย ที่เราหาได้ มีเพียงงานวิจัยของต่างประเทศเมื่อปี 2018 ที่บอกว่า มังคุดช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคอ้วนและเบาหวานที่ดื้อต่ออินซูลิน นอกจากนั้นในการวิจัยยังพบว่า การรับประทานมังคุดต่อเนื่องทำให้น้ำหนักตัวและพุงของผู้ป่วยลดลง แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยอื่น ๆ มารองรับ เอาเป็นว่าใครที่มีประจำเดือน จะหามังคุดมากิน เพื่อช่วยเพิ่มธาตุเหล็กและเพิ่มความสดชื่นก็ลองดูค่ะ



• ทับทิม
เป็นผลไม้อมเปรี้ยวอมหวาน ที่มีธาตุเหล็กสูงพอสมควร โดยในทับทิม 100 กรัม มีธาตุเหล็ก 0,3 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2,1% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน และมีโฟเลตที่ช่วยในการสเริมสร้างเม็ดเลือดแดงถึง 19% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน ถึงแม้ทับทิมจะมีธาตุเหล็กน้อยกว่าผลไม้อื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้น แต่ทับทิมยังพบวิตามินเคสูง ซึ่งวิตามินเค ก็เป็นตัวช่วยในการห้ามเลือด เหมาะสำหรับคนที่ประจำเดือนมามาก ก็อาจจะเลือกกินทับทิมช่วงมีประจำเดือน เพื่อช่วยในการห้ามเลือด และยังเพิ่มธาตุเหล็กไปพร้อม ๆ กัน

 

• ผลไม้อื่น ๆ ที่มีธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด
สำหรับผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่มีธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ลดอาการอ่อนเพลียช่วงมีประจำเดือน เช่น กีวี่ ซึ่งถึงแม้ปริมาณของธาตุเหล็กจะไม่สูงมาก แต่กีวี่ก็มีวิตามินเคสูงเช่นเดียวกับทับทิม แตงโมแม้มีธาตุเหล็กไม่มาก แต่แตงโมก็เป็นผลไม้ที่น้ำเยอะ ดังนั้นการกินแตงโมนอกจากช่วยเสริมสร้างธาตุเหล็กให้ร่างกายแล้ว อาจจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่อ่อนเพลียมากเกินไป

ปัญหาความอ่อนเพลียช่วงมีประจำเดือน อาจจะเป็นปัญหาของผู้หญิงหลาย ๆ คน บางคนประจำเดือนมามาก ร่างกายขาดทั้งน้ำ ขาดทั้งธาตุเหล็ก หลาย ๆ คน ร่างกายยังไม่ทันได้พักฟื้น ประจำเดือนรอบใหม่ก็มาเยือน จนแทบไม่มีแรงจะทำงาน หรือ ทำกิจกรรมนอกบ้าน การเลือกรับประทานผลไม้เพื่อช่วยเสริมสร้างธาตุเหล็ก บำรุงเลือดก็เพียงแค่ส่วนหนึ่ง เพราะธาตุเหล็กยังพบได้ทั้งในผักและอาหารชนิดอื่น ๆ อีกมาก แล้วจะทยอยเขียนให้อ่านกัน แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้านะคะ

แชร์ให้เพื่อน

เกรปฟรุต ผลไม้แคลอรี่ต่ำ แอนตี้ออกซิแดนซ์สูง ต้านมะเร็ง แต่คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!

แชร์ให้เพื่อน

เกรปฟรุต ผลไม้แคลอรี่ต่ำ แอนตี้ออกซิแดนซ์สูง ต้านมะเร็ง แต่คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!

เกรปฟรุต ผลไม้แคลอรี่ต่ำ แอนตี้ออกซิแดนซ์สูง ต้านมะเร็ง แต่คนมีโรคประจำตัวต้องระวัง!

เกรปฟรุต (Grapefruit) เป็นผลไม้ที่มีความส่วนผสมระหว่างส้ม และส้มโอ ซึ่งเป็นผลไม้ที่ถูกพูดถึงมาก เนื่องจากเกรปฟรุต เป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก นอกจากนั้นเกรปฟรุตยังมีคุณค่าทางสารอาหารสูง โดยเฉพาะสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ รวมถึงไลโคพีน (Lycopen) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้
สำหรับ เกรปฟรุต ให้พลังงาน 36 kcal โดยมีน้ำตาล 6,5 กรัม หรือเทียบกับน้ำตาลก้อน ประมาณ 1.5 ก้อน เท่านั้น
วิตามิน และเกลือแร่ที่สำคัญในเกรปฟรุต
• มีวิตามินซีสูง
• มีวิตามิน B1, B2, B3, B6,B9 และวิตามิน A &E
• นอกจากนั้นยังมีทั้งธาตุเหล็กและไอโอดีน
แม้เกรปฟรุตจะมีประโยชน์มากมาย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดก็ต้องระวัง เพราะในเกรปฟรุตมีสารบางอย่างไปขัดขวางการทำลายยาในกระเพาะอาหารและลำไส้ จึงอาจจะทำให้ปริมาณยาที่เรากินเข้าไปไม่ถูกทำลาย จึงทำให้ยามีฤทธิ์เพิ่มขึ้นได้ และนี่คือ 5 โรคประจำตัวที่ต้องระวังเมื่อจะกิน หรือ ดื่มน้ำเกรปฟรุต
• โรคไขมันในเลือดสูง กำลังกินยาลดไขมันในเลือดสูง ยาลดไขมันกลุ่ม Statin เช่น Simvastatin, Atorvastatin และ Lovastatin
• โรคความดันโลหิตสูง กำลังกินยาลดความดัน เช่น Losartan, felodipin, amlodipin ฯลฯ
• โรคเครียด กำลังกินยาคลายเครียด เช่น Diapam หรือ Daizepam
• โรคลมชัก ที่ต้องกินยาประจำ
• โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอดส์ หรือ คนที่ทำการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะและกำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
ดังนั้นใครที่มีโรคประจำตัว และกำลังกินยาต่อเนื่องควรเลี่ยงการกินเกรปฟรุต หรือ เลี่ยงการดื่มน้ำเกรปฟรุต หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร

แชร์ให้เพื่อน

5 ผลไม้ไม่ถูกกับโรคไต ต้องระวัง

แชร์ให้เพื่อน

5 ผลไม้ ไม่ถูกกับโรคไต ต้องระวัง

สำหรับคนเป็นโรคไต ทั้งไตวายแบบเฉียบพลัน หรือไตวายเรื้อรัง ทำที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง หรือ บางกรณีไตไม่สามารถทำงานได้ จนต้องเข้ารับการฟอกไตที่โรงพยาบาล การเลือกกินอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญ และนี่คือ 5ผลไม้ที่ไม่ถูกกับโรคไต ที่ระวัง ไม่กินดีที่สุด


• ผลไม้ตากแห้ง
ผลไม้ตากแห้งต่าง ๆ ก็มีปริมาณโพแทสเซียมสูงมาก ตัวอย่างองุ่นตากแห้ง หรือลูกเกด ในปริมาณ 100 กรัม มีโพแทสเซียมสูงถึง 750 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 37,5% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน


• อโวคาโด
อโวคาโดเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญหลายชนิด แต่คุณรู้หรือไม่ว่า อโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงมาก โดยอโวคาโดขนาด 100 กรัมมีโพแทสเซียมสูงถึง 600 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 30% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน โดยถ้าเป็นอโวคาโดลูกเล็กมีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม ถ้าลูกกลาง ๆ น้ำหนักประมาณ 120 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 720 มิลลิกรัม



• ทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ซึ่งมีทั้งพลังงานที่ได้จากคาร์โบไฮเดรตและไขมัน โดยทุเรียน 100 กรัมให้พลังงานมากถึง 147 kcal และมีโพแทสเซียมสูงถึง 436 มิลลิกรัม หรือประมาณ 21,8% ของปริมาณโพแทสเซียมที่ควรได้รับต่อวัน และถ้าเราเป็นโรคไตวายหมอจำกัดโพแทสเซียมไม่เกิน 2000 มิลลิกรัมต่อวัน หากวันนั้นเรากินทุเรียนไปสองพูใหญ่นำหนักทุเรียนที่มากเกิน 500 กรัม ร่างกายเราก็จะได้รับโพแทสเซียมเกินอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนเป็นโรคไตจึงต้องระวังการกินทุเรียนให้มากค่ะ



• กล้วย
กล้วย เป็นผลไม้ที่หาได้ง่าย มีประโยชน์มากมาย แต่กล้วยก็อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ที่คนเป็นโรคไตวายต้องระวังอย่างมากเช่นกัน โดยในกล้วย 100 กรัม มีโพแทสเซียมสูงถึง 395 มิลลิกรัม หรือประมาณ 19,8% ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวัน โดยกล้วยลูกเล็กถึงกลางน้ำหนักประมาณ 120-125 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 470 มิลิกรัม ถ้ากล้วยหอมลูกใหญ่น้ำหนักประมาณ 150 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 590 มิลลิกรัม



• ฝรั่ง
สำหรับฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก แต่ฝรั่งก็ไม่ถูกกับโรคไต โดยเฉพาะไตวายเช่นกัน โดยฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม มีโพแทสเซียม 285 มิลลิกรัม หรือประมาณ 14,2% ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำต่อวัน สำหรับฝรั่ง 1 ลูกมีน้ำหนักประมาณ 150 กรัม มีโพแทสเซียมประมาณ 430 มิลลิกรัม

สำหรับคนไข้โรคไต ส่วนใหญ่หมอจะจำกัดปริมาณโพแทสเซียมเนื่องจากโพแทสเซียมที่กินเข้าไปไม่สามารถขับออกทางไตได้ และในอาหารที่เรากินในแต่ละวันส่วนใหญ่ก็จะมีส่วนผสมของโพแทสเซียม ทำให้ถ้าเรากินผลไม้ทั้ง 5 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะทำให้ร่างกายเราได้รับโพแทสเซียมที่มากเกินไป โดยอาการที่เกิดจากโพแทสเซียมสูง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายอ่อนล้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจจะทำให้เป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตได้เช่นกัน

 

แชร์ให้เพื่อน

อร่อยกับน้ำยาขนมจีนตีนไก่สูตรนางพยาบาล

แชร์ให้เพื่อน

อร่อยกับน้ำยาขนมจีนตีนไก่สูตรนางพยาบาล

หลังจากไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอดมาเมื่อวาน รู้สึกขมคอมากเนื่องจากการฉีดสารทึบแสง อยากกินขนมจีนน้ำยาตีนไก่ขึ้นมาทันทีเพราะงดน้ำงดอาหารตั้งแต่หกโมงเช้าถึงบ่ายสองเลย จึงลงมือเข้าครัวทำขนมจีนน้ำยาตีนไก่สูตรนางพยาบาลเรามาดูกันเลยว่ามีส่วนผสมและวิธีทำยังไงบ้าง

ส่วนประกอบของน้ำยาขนมจีนตีนไก่สูตรนางพยาบาล

* มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม
* เนื้อปลาช่อน ½ กิโลกรัม
* ปลาทู 1 ตัวใหญ่
* กระเทียม 2 หัว
* หอมแดง 10 หัว
* ข่า ตะไคร้ รากผักชี
* กระชายขาว 1 กำมือ
* พริกแห้ง 20 เม็ด
* ใบมะกรูด 1 กำมือ
* ปลาร้า 2 ช้อนโต๊ะ กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
* เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ
* ผงนัว 1 ช้อนโต๊ะ
* ขนมจีน 5 กิโลกรัม
* ตีนไก่ 1 กิโลกรัม
* ถั่วฝักยาว โหระพา แตงกวา หรือตามชอบ เน้นผักริมรั้ว
* ต้นหอม 5 ต้น

วิธีทำน้ำยาขนมจีนตีนไก่สูตรนางพยาบาล

* ตั้งหม้อต้มส่วนผสมของน้ำยาตีนให้เดือดกับเตาถ่าน
* เมื่อต้มน้ำเดือดใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด รากผักชี กระชายขาว หอมแดง กระเทียม พริกแห้ง เกลือ ปลาร้า กะปิ
* หลังจากนั้นใส่ปลาช่อน ปลาทูต้มจนเนื้อปลาและเครื่องปรุงจนสุก
* ตักเนื้อปลาและปลาทูหอมแดงตำให้ละเอียดแยกไว้
* ตำพริกให้ละเอียดพักไว้
* ตำกระชายขาวให้ละเอียดพักไว้
* คั้นน้ำมะพร้าวตั้งไฟจนแตกน้ำกะทิ ใส่พริก กระชาย เนื้อปลาลงผัด ใส่น้ำต้มเครื่องปรุงโดยกรองเอาแต่น้ำใส่ลงไป
* เติมผงนัว น้ำปลา ชิมรสชาติตามชอบ ใส่ต้นหอมหั่น
* ใส่ตีนไก่ที่ต้มเปื่อยลงไป แค่นี้ก็ได้น้ำยาตีนไก่สูตรนางพยาบาลพร้อมเสิร์ฟกับผักริมรั้วรสชาติอร่อยเลยคะ
* สามารถเสิร์ฟได้ประมาณ 30 จาน

วิธีต้มตีนไก่ให้หอม อร่อย ไม่มีกลิ่นคาว

* ตั้งไฟเดือด ใส่ตะไคร้ ข่า ใบเตยหอม เกลือเล็กน้อย
* ต้มจนตีนไก่เปื่อยยกลงพักไว้
* ตีนไก่เปื่อย มีกลิ่นหอมใบเตย ไม่มีกลิ่นคาว

น้ำยาตีนไก่สูตรนางพยาบาลอุดมไปด้วยสมุนไพรไทยแถมได้คอลลาเจนจากตีนไก่ช่วยชะลอวัยอีกด้วย กระชาย ตะไคร้ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งต้านโควิด รสชาติอร่อย ได้ประโยชน์จากผักริมรั้วช่วยระบบการขับถ่ายอีกด้วย

เครดิตภาพ จากผู้เขียนทั้งหมด สูตรดัดแปลงจากคุณแม่ยุคเบบี้บูม

แชร์ให้เพื่อน

การเตรียมตัวก่อนไปเอกซเรย์ร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

การเตรียมตัวก่อนไปเอกซเรย์ร่างกาย

เตรียมตัวเพื่อรับการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยการฉีดสี (CT with contrast)

ในกรณีที่เรามีพยาธิสภาพที่ปอดหลังจากตรวจพบด้วยผลเอกซเรย์ปอดแล้ว การตรวจเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยโรคให้มีความแม่นยำมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันถัดมาคือ การตรวจพิเศษทางรังสีร่วมกับการฉีดสารทึบแสงนั่นเอง (CT Scan with contrast)

CT Scan เป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ใช้วิธีการตรวจวินิจฉัยหาความผิดปกติอวัยวะต่างๆ ในร่างกายด้วยการปล่อย X-Ray ผ่านอวัยวะที่ต้องการตรวจร่วมกับการฉีดสารทึบแสง แล้วใช้คอมพิวเตอร์สร้างเป็นภาพอวัยวะภายในร่างกาย ได้ภาพแบบ 3 มิติ ในกรณีที่ต้องดูเนื้องอกหรือเส้นเลือด ซึ่งอาจมีผู้รับการตรวจบางรายแพ้สารทึบรังสี หรือมีโอกาสทำให้เกิดพิษกับไตได้ โดยเฉพาะ ในผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม ผู้สูงอายุ จึงต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับการตรวจครั้งนี้ผู้เขียนได้รับการตรวจอวัยวะที่ปอดเพื่อช่วยในการวินิจฉัย วางแผนการรักษา และติดตามผลในการรักษาของแพทย์เนื่องจากตรวจพบปัญหารอยโรคของก้อนที่ปอดนั่นเอง

ระยะเวลาในการตรวจ CT scan ใช้เวลานานมากน้อยแค่ไหน?
CT Scan หลอดเอกซเรย์จะปล่อย X-Ray ไปพร้อมๆ กับการหมุนรอบอวัยวะที่ต้องการตรวจ โดยระยะเวลาที่ใช้ในการหมุนให้ครบรอบนั้น ใช้เวลาเพียง 1-2 วินาที ซึ่งรวมแล้วจะใช้เวลาตรวจอยู่ประมาณ 10-15 นาที ต่อในการตรวจอวัยวะนั้นๆ

การเตรียมตัวเพื่อรับการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วยการฉีดสารทึบแสง (CT with contrast)
1. งดน้ำและอาหารก่อนการตรวจ 6 ชั่วโมง สำหรับผู้เขียนนัดตรวจเวลา 14.00 น จึงต้องงดน้ำและอาหารตั้งแต่เวลา 7.00 นเป็นต้อนไปจนกว่าจะตรวจเสร็จ
2. แจ้งเจ้าหน้าที่เวลามานัดหรือก่อนรับการตรวจในกรณีต่อไปนี้

  • ผู้ป่วยต้องแจ้งประวัติการแพ้ยาอื่นๆ
  • ผู้ป่วยต้องแจ้งหากมีประวัติแพ้อาหารทะเล
  • ผู้ป่วยต้องแจ้งหากเคยมีประวัติแพ้สารทึบรังสีมาก่อน
  • สตรีตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ในกรณีนัดตรวจ
  • ผู้ป่วยต้องแจ้งหากมีประวัติโรคประจำตัวต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด และลมบ้าหมู เป็นต้น เพื่อแพทย์พิจารณาให้กินยาแก้ก่อนรับการตรวจ
  • ผู้ป่วยอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปหรือมีโรคประจำตัวควรมีผลค่าการทำงานของไตก่อนการตรวจไม่เกิน 1 เดือน

 

แล้วพบกันในบทความต่อไป จะรีวิวประสบการณ์ในการตรวจให้ทราบหลังจากตรวจเสร็จนะคะ

แชร์ให้เพื่อน