5 ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม​ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

แชร์ให้เพื่อน

5 ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม​ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมีความเกี่ยวข้องกับ5 พฤติกรรม​ที่อาจปรับเปลี่ยนได้
ปัจจัย​เสี่ยง คือต้นเหตุ​หรือสาเหตุ​ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
พฤติกรรม​(Behavior) หมายถึง การกระทำที่บุคคลแสดงออกเพื่อตอบสนองสิ่งกระตุ้นซึ่งการกระทำนั้นอาจมีทั้งที่พึงประสงค์​และไม่พึงประสงค์ การแสดงออกนั้นสามารถสังเกตเห็น​และวัดผลได้

1.ความอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินนิสัยหรือพฤติกรรม​ที่ทำให้อ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองลองปรับเปลี่ยนดูนะคะ

  • ให้รางวัลกับชีวิตด้วยการกินอาหาร เช่นเมื่อทำอะไรสำเร็จหรือได้โบนัส​เลือกไปกินเลี้ยงอาหารามร้านชาบู​ หมูกะทะ โดยกินทั้งทีต้องคุ้มค่าภายในเวลาที่จำกัดจึงต้องกินเร็ว เสียดายของ เมื่อกินของคาวแล้วตามด้วยขนมหวาน หรือไอศกรีม​ทำให้ได้จำนวนแคลอรี่​ต่อวันมากเกินไปจึงเกินการสะสมในรูปของไขมันทำให้อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
  • ประเภทของอาหารชอบกินอาหารมัน ทอด ขบเคี้ยวที่นั่งกินเล่นขณะดูทีวีหรือเล่นอินเทอร์เน็ต​ อ่านหนังสือทำให้มีความเช่นกินป๊อบคอร์น​1 ถังใหญ่กับโค๊กหรือมันฝรั่งทอดมีความสุขและเพลิดเพลิน​ในการกินทำให้อ้วนหรือน้ำหนักเกินได้
  • เครียดแล้วกินอาหาร หลังออกกำลังกายแล้วกินอาหารตามใจโดยไม่ได้ควบคุมหรือจำกัดอาหารที่ทำให้อ้วนง่าย

2.ภาวะเครียด​ เมื่อเกิดความเครียดทำให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง​หรือหลายส่วนของร่างกายทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมอง

  • หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น หายใจเร็วและแรงขึ้นแต่หายใจตื้นๆ
  • มีการขับฮอร์โมน​และอะดรีนาลีน​เข้าสู่กระแสเลือด
    การลดความเครียดโดยการฝึกบริหารการหายใจสูดหายใจเข้าช้าๆและยาวๆและเป่าลมออกทางปาก หรือฝึกสวดมนต์​นั่งสมาธิ เดินจงกรม ลดอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำให้เครียด ฝึกเป็นคนมองโลกในแง่ดี​เปลี่ยนแปลง​นิสัยให้มีความยืดหยุ่น​มากขึ้น

3.ขาดการออกกำลังกาย การไม่ออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงาน หรือลดกระตุ้นการทำงานของหัวใจ เกิดปัจจัย​เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองดังนี้คือ

  • หลอดเลือดแข็งตัวมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะลดไขมัน LDL cholesterol ซึ่งไปจับที่ผนังหลอดเลือด​ ลดหลอดเลือด​แข็งตัวและตีบแคบนำไปสู่​โรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองได้
  • ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ มีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้อ้วน เพิ่มการสะสมของไขมันเหลวในร่างกาย​สูงขึ้น
  • ทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ลดการหลั่งสารความสุขเช่นเอนโดรฟิน​ หรือซีโรโทนินในสมองที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
  • ทำให้ร่างกาย​มีความดันเลือดสูงขึ้น

4.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์​ การดื่ม​แอลกอฮอล์​ที่มากเกินไปเกิดปัจจัย​เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองดังนี้

  • ทำให้หัวใจเต้นและบีบตัวไม่ปกติ เต้นเร็วเกินไป​และทำให้ขาดวิตามินบีหนึ่งส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  • ทำให้หลอดเลือดขยายตัว​ ไขมันในหลอดเลือดแข็งตัว​ได้ง่าย​ขึ้น​เกิดเส้นเลือดตีบหรือแตกง่ายเกิดอัมพฤกษ์​อัมพาต​

5.พฤติกรรม​การสูบบุหรี่​ การสูบบุหรี่ทำให้มีปัจจัย​เสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด​สมองดังนี้คือ

  • สารนิโคติน​ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติและมีความดันเลือดสูง​ขึ้นส่งผลให้เกิดหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบ ขาดเลือดไปเลี้ยง ในระยะยาว
  • มีสารนิโคติน​ในควันบุหรี่​ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง​ของหลอดเลือด​ทั่วร่างกาย​โดยค่อยๆตีบและเกิดการหนาตัวของผนังหลอดเลือด จนเกิดการตีบตันของเส้นเลือดทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆร่างกาย​ได้น้อยลงเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองตีบตามมาได้
    ทำไมคนถึงเลือกสูบบุหรี่? เนื่องจากไม่ตระหนักถึง​ผลร้ายที่อาจเกิดขึ้น คิดว่าตนเองแข็งแรงและเป็นค่านิยม ความเชื่อว่าการ​สูบบุหรี่​ช่วยลดอารมณ์เครียด ช่วย​ผ่อนคลาย​ความเครียด​ เป็นนิสัยความเคยชินหลังอาหารต้องสูบบุหรี่​

เรารู้แล้วว่าพฤติกรรม​ทั้งห้าเป็นต้นเหตุ​ที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ​และหลอดเลือด​สมองฉะนั้นเราควรปรับเปลี่ยน​พฤติกรรม​ดังกล่าวเพื่อช่วยให้ร่างกาย​แข็งแรงและมีชีวิต​ที่ยืนยาว​ขึ้น

แชร์ให้เพื่อน

6 โรคเรื้อรัง   โรคร้ายใกล้ตัว

แชร์ให้เพื่อน

6 โรคเรื้อรัง โรคร้ายใกล้ตัว

การใช้ชีวิต​ในปัจจุบันนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค​เรื้อรัง​ต่างๆ ทำให้เกิดความเครียด​และส่งผลกระทบต่อร่างกาย​  จิตใจ​  อารมณ์​และสังคม
โรคเรื้อรัง หมายถึงภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังที่มีองค์ประกอบ​ดังต่อไปนี้คือ

  • เป็นความเจ็บป่วยอย่างถาวร
  • การดำเนินของโรคไม่แน่นอน
  • ภาวะความเจ็บป่วยไม่หายขาด แต่อาการทุเลาลงได้ โดยไม่ปรากฏ​อาการ
  • เกิดความพิการหลงเหลืออยู่
  • ต้องการการดูแลรักษา​และฟื้นฟู​สภาพ​อย่างต่อเนื่อง​เป็นระยะเวลายาวนานหรือตลอดชีวิต
  • ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ติดตามการรักษาและให้การช่วยเหลือเป็นเวลานาน

6 โรคเรื้อรังมีโรคอะไรบ้าง? เรามาดูกันเลยคะ

 


1.โรคเบาหวาน เป็นกลุ่มอาการที่ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือด​สูงเนื่องจากขาดอินซูลิน อันเป็นผลจากตับอ่อนผลิตบกพร่องหรืออินซูลิน​ออกฤทธิ์​ที่ขาดประสิทธิภาพ​
สาเหตุ​ของโรคเบาหวาน​

  • โรคเบาหวาน​ชนิดพึ่งอินซูลิน​เกิดจากพันธุกรรม​
  • โรคเบาหวาน​ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน​เกิดจากโรคอ้วน  โรคตับ ความเครียด ความผิดปกติ​ในการผลิตฮอร์โมน​ การขาดเบต้าเซลล์​  ยาบางชนิด และขาดการออกกำลังกาย​

อาการของโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง?

  • ปัสสาวะ​บ่อยและมีปริมาณมาก​
  • คอแห้ง​ กระหาย น้ำ​ดื่มน้ำมาก
  • น้ำหนักลด กินเก่ง อ่อนเพลีย​ เหนื่อยง่ายและไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

การ​รักษา​โรคเบาหวาน​

  • การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับสู่ภาวะปกติ หรือใกล้เคียง​ปกติโดยระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้าไม่เกิน 140 มิลลิกรัม​เปอร์เซ็นต์​ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร​เช้า 2 ชั่วโมง​ไม่เกิน 180 มิลลิกรัม​เปอร์เซ็นต์​ และ​ระดับ​น้ำตาลในเลือด​หลังอาหารกลางวัน​ 2 ชั่วโมง​ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม​เปอร์เซ็นต์​ ไม่พบน้ำตาลและสารอะซีโตนในปัสสาวะ​ก่อนอาหารเช้าและเย็น  มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์​ปกติ

2. โรค​ความดัน​โลหิต​สูง​ เป็นภาวะความดันโลหิต​ช่วงบนมีค่าสูงกว่า 140 มิลลิเมตร​ปรอท​ขึ้นไป และค่าความดัน​โลหิต​ช่วงล่างมีค่าสูงกว่า 90 มิลลิเมตร​ปรอทขึ้นไป
สาเหตุ​ของโรค​ความดัน​โลหิต​สูง​

  • ภาวะความดันโลหิต​สูงที่ไม่ทราบสาเหตุ​ พบได้ร้อยละ 90 มีความเกี่ยวข้องกับความอ้วน อาหารที่มีโซเดียม​  ไขมัน  คอเลสเตอรอล​สูง การดื่มเครื่องดื่ม​แอลกอฮอล์​ ความเครียด  และกรรมพันธุ์​
  • ความดัน​โลหิต​สูงชนิดทราบสาเหตุ​ พบได้ร้อยละ 10 เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะ​ต่างๆ​ของร่างกาย เช่น ไต ต่อมไร้ท่อ โรคครรภ์​เป็นพิษ​ ยาคุมกำเนิดหรือยาสเตียรอยด์​
    อาการของโรคความดันโลหิตสูง​
  • ความดันโลหิตสูงระดับเล็กน้อย (ช่วงบน 140-149 มิลลิเมตร​ปรอทช่วงล่าง 90-99 มิลลิเมตร​ปรอท)​ จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง​ของอวัยวะ​ใดๆ
  • ความดันโลหิต​สูง​ระดับปานกลาง​ (ช่วงบน 160-179 มิลลิเมตร​ปรอท ช่วงล่าง 100-109 มิลลิเมตร​ปรอท)​จะตรวจพบหัวใจซีกซ้ายโตขึ้น ไตทำหน้าที่เสียไปในระดับปานกลาง​
  • ความดันโลหิต​สูงระดับรุนแรง(ช่วงบนสูงกว่า 180 มิลลิเมตร​ปรอทขึ้นไป ช่วงล่าง​ตั้งแต่ 110 มิลลิเมตร​ปรอทขึ้นไป)​มีการทำลายของหัวใจ สมอง ไต และหลอดเลือดหลังลูกตา​
    การรักษาโรคความดันโลหิตสูง​

มีเป้าหมายในการลดความดันโลหิต​สูงในการรักษาคือ

  • เพื่อให้ระดับความดันสูงในช่วงปกติและต่อเนื่อง
  • ลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ตามปกติทั่วไป

การรักษาโรคความดันโลหิต​สูงมีหลายวิธีดังนี้
1.การควบคุมความดันให้ปกติโดยไม่ใช้ยา สามารถ​ทำได้โดย

  • การออกกำลังกายวันละ 30 นาที สัปดาห์​ละ 3-5 ครั้ง
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​การกินอาหาร เลี่ยงอาหารไขมันจากสัตว์  ลดกินแป้ง น้ำตาล เพิ่มผักใบเขียว และจำกัดอาหารรสเค็ม
  • งดเครื่องดื่ม​แอลกอฮอล์​  บุหรี่  ผ่อนคลายอารมณ์​เครียด
  • การ​ควบคุม​น้ำหนักให้ปกติ
  • ติดตามตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง

2.การ​ควบคุม​ความดันโลหิต​สูงโดยการใช้ยา โดยแพทย์​แผนปัจจุบัน​เป็นผู้สั่งยาให้รับประทาน


3.โรคหัวใจ  เป็นกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจจำแนกได้ดังนี้คือ

  • กลุ่มอาการที่เจ็บหน้าอก​คงที่และเรื้อรัง​
  • กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดโคโรนารีเฉียบพลัน
  • กลุ่มอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

สาเหตุ​ของโรคหัวใจ
พบร้อยละ 90 เกิดจากภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือดโคโรนารี โดยมีไขมันเกาะผนังหลอดเลือดและสร้างเนื้อเยื่อมาหุ้ม ฉีกขาดได้  เลือดเกิดการแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด เข้าไปอุดตันภายในหลอดเลือด เมื่อเกิดการตีบแคบทำให้เลือดผ่านไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลงเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด

อาการของโรคหัวใจ​

  • กลุ่มอาการที่เจ็บหน้าอก​คงที่และเรื้อรัง มีอาการเจ็บกลางอก ร้าวไปแขนด้านใน คอ กรามและหัวไหล่
  • กลุ่มอาการโรคหลอดเลือด​โคโรนารีเฉียบพลัน​ มีอาการเจ็บหน้าอก​ขณะพัก   ร่วมกับอาการเหงื่อแตก หน้ามืดเป็นลม ใจสั่น คลื่นไส้​อาเจียน และหายใจหอบเหนื่อย
  • กลุ่มอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีอาการเหนื่อย นอนราบไม่ได้ เจ็บแน่นหน้าอก เป็นลม หมดสติ

การรักษาโรคหัวใจ 
มีเป้าหมายเพื่อลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน​ได้แก่

  • การรักษาโดยการใช้ยา กลุ่มรักษาอาการเจ็บหน้าอก  ยาต้านการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด​ ยาละลายลิ่มเลือด ยาควบคุมระดับไขมันในเลือด
  • การเปิดขยายหลอดเลือดแดงด้วยบอลลูน​ การใส่โครงตาข่าย  การตัดเอาคราบไขมันออก การตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ การขยายหลอดเลือด​ด้วยแสงเลเซอร์​เป็นหัตถการในโรงพยาบาล
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​และควบคุมปัจจัย​เสี่ยง เนื่องจากการใช้ยารักษาอย่างเดียวอาจไม่มีประสิทธิภาพ​เต็มที่ เพื่อช่วยยับยั้ง​และชะลอความก้าวหน้า ลดภาวะแทรกซ้อนและความรุนแรงของโรค การปรับเปลี่ยน​พฤติกรรม​การกินอาหาร การออกกำลังกาย​การผักผ่อนนอนหลับ  การผ่อนคลายความเครียด  การปฏิบัติ​ตัวให้สัมพันธ์​กับแนวทางการรักษา

6 โรคเรื้อรัง โรคร้ายใกล้ตัว อ่านต่อ ตอนที่ 2

แชร์ให้เพื่อน