เทคนิคเล่านิทาน ช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยนั้นเริ่มต้นที่อายุ 0-6ปี นับเป็นวัยวิกฤตของมนุษย์ซึ่งมีความสำคัญในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ การเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งจะช่วยให้เด็กปรับตัวกับเพื่อนและสังคมได้อย่างราบรื่น ถ้าเด็กไม่สามารถปรับตัวได้จะเกิดความคับข้องใจและแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางลบที่เป็นปัญหาสำหรับเด็กปฐมวัยโดยสามารถสังเกตุได้จากพฤติกรรมต่างๆ เช่น พูดจาหยาบคาย หยิก กัด ไม่เคารพผู้อื่น ทำลายข้าวของ พฤติกรรม ก้าวร้าว อาละวาดในเด็กอายุ 2-6 ปี เกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากเด็กขาดการควบคุมอารมณ์
พฤติกรรมก้าวร้าว หมายถึง อารมณ์โกรธ ไม่พอใจอย่างรุนแรง เนื่องจากผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจในสิ่งที่คาดหวังไว้ โดยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว 2 แบบ คือ
- พฤติกรรมก้าวร้าวต่อตนเอง เช่น ตีอกตัวเอง ดึงผมตัวเอง การทำร้ายร่างกายตนเอง เป็นต้น
- พฤติกรรมก้าวร้าวต่อผู้อื่น เช่น ตีคนอุ้ม ตีเด็กคนอื่น ขว้างปาสิ่งของใส่ผู้อื่น เป็นต้น
การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบ่อยๆ เช่น กระวนกระวายใจ อารมณ์เก็บกด โมโหร้าย เบื่อหน่าย ไม่เชื่อฟัง การขโมยของ เนื่องจากพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กวัย 3-5ขวบ มักเจ้าอารมณ์ มีความกลัวสุดขีด อิจฉาอย่างไม่มีเหตุผล โมโหร้าย เกิดจากเด็กได้รับความรัก การเอาใจใส่ ดูแล จากพ่อแม่หรือคนไกล้ชิด เมื่อต้องพบปะกับคนนอกบ้านที่ไม่ได้เอาใจใส่เด็กได้เท่าคนในบ้าน ทำให้เด็กรู้สึกขัดใจ โดยแสดงอารมณ์ออกมาทางคำพูดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เด็กแต่ละคนมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ สิ่งแวดล้อมภายในบ้านและการอบรมเลี้ยงดู
เทคนิคการเล่านิทานช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว
เลือกนิทานที่เหมาะสมสำหรับเด็ก วิธีการเล่านิทานเพื่อให้เด็กเกิดความสนใจ ติดตามฟังเนื้อเรื่องจนจบมี 2 วิธี ดังนี้
1.การเล่านิทานด้วยปากปล่าว ไม่มีอุปกรณ์ ต้องอาศัยน้ำเสียง และลีลาของผู้เล่า มีรายละเอียดดังนี้
- การเริ่มต้นเล่า ควรดึงดูดความสนใจของเด็ก โดยเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน เล่าช้าๆ และเริ่มเร็วขึ้น จนเป็นการเล่าปกติ
- น้ำเสียงดังฟังชัด ประโยคสั้นๆได้ใจความ ควรเล่าต่อเนื่องเพื่อลดความเบื่อหน่าย ไม่ควรมีคำถามแทรกเพราะทำให้เด็กหมดสนุก
- อุ้มหรือกอดเด็กขณะเล่านิทาน หรือถ้ามีเด็กหลายควรนั่งในระดับสายตาเด็ก
- ใช้เวลาในการเล่านิทานประมาณ15 นาที เพราะเด็กมีความสนใจในช่วงเวลาสั้น
- ให้โอกาสเด็กได้สอบถาม แสดงความคิด
2.การเล่านิทานโดยมีอุปกรณ์ช่วย เช่น สิ่งแวดล้อมรอบตัว ได้แก่ สัตว์ พืช ต้นไม้ ภาพประกอบ หุ่นมือ หน้ากากทำเป็นรูปละคร นิ้วมือประกอบการเล่า
ประโยชน์ที่ได้จากการฟังนิทานของเด็ก
1.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย
ขณะฟังนิทานบางเรื่องอาจมีการทำท่าประกอบเนื้อหานิทานที่เล่า เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย ช่วยพัฒนาทางด้านกล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก
2.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ
ขณะฟังนิทานเด็กมีสมาธิ ใจจดจ่อในเนื้อเรื่อง มีอารมณ์สงบ สุขุมเยือกเย็น มีภาพจินตนาการตามเนื้อเรื่อง กล้าแสดงออก สร้างความเชื่อมั่น และได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
3.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
ขณะเล่านิทานเด็กมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่าและเด็กด้วยกัน ทำให้เด็กเรียนรู้เข้าใจตนเองและผู้อื่นมากขึ้น นอกจากนี้ในเนื้อหาบางเรื่องส่งเสริมคุณธรรมทางสังคม เช่น การส่งเสริมด้านความซื่อสัตย์ จากนิทานเรื่อง เทวดากับคนตัดต้นไม้
4.ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา
การฟังนิทานช่วยให้เด็กมีทักษะด้านภาษา การฟัง การพูด การอ่านและการเขียน ทั้งนี้ยังได้เคล็ดลับของนิทานแต่ละเรื่องด้วยเช่น นิทานเรื่องลูกหมูสามตัว เด็กได้เรียนรู้เรื่องวัสดุอุปกรณ์มีความแข็งแรงที่แตกต่างกันในการสร้างบ้าน เด็กได้เรียนรู้จดจำคำศัพท์ใหม่ๆที่มีในนิทานเป็นการขยายประสบการณ์ของเด็กให้กว้างขึ้น
การเลี้ยงเด็กถ้าสังเกตุว่าเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวผู้ดูแลเด็กลองนำเทคนิคการเล่านิทานให้เด็กฟังเพื่อช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวได้ เช่นนิทานเรื่อง สามสหายกับเจ้าของฟาร์ม
ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com