หัวใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ

แชร์ให้เพื่อน

หัวใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ

หัวใจเป็นอวัยวะ​ที่มีพลังอย่างมากและมหัศจรรย์​ที่สุดของร่างกายมนุษย์​เพราะว่าหัวใจมีหน้าที่ในการสูบฉีดโลหิตออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายประมาณ 5 ลิตรต่อนาที  หัวใจเป็นอวัยวะ​ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ตั้งอยู่ในทรวงอกด้านซ้าย มีโครงสร้างกระดูกซี่โครง​ครอบคลุมไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับหัวใจ  หัวใจของ

มนุษย์ ประกอบด้วย ห้องทั้งหมด 4 ห้องคือ
1.เอเทรียม 2 ห้อง ได้แก่ เอเทรียมขวาและซ้ายซึ่งเป็นหัวใจห้องบนนั่นเอง
2.เวนทริเคิล  2 ห้อง ได้แก่ เวนทริเคลขวาและซ้าย ซึ่งเป็นหัวใจห้องล่าง
มีผนังที่กั้นแยกระหว่างเวนทริเคิลเรียกว่า Septum
การทำงานของหัวใจนั้นมีความเกี่ยวข้องกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจผ่านระบบเหนี่ยวนำไฟฟ้าโดยเซลล์​กล้ามเนื้อหัวใจที่มีคุณสมบัติพิเศษ​สามารถทำให้หัวใจทำงานได้เองทั้งการหดตัวและคลายตัวอย่างเป็นจังหวะเพื่อให้เลือดบีบตัวออกจากห้องหัวใจและรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจโดยไม่ต้องใช้สมองในการควบคุมการทำงาน  ขณะที่ความรู้สึก ความคิด การตระหนัก​รู้ การวิเคราะห์ นั้นใช้สมองและระบบประสาท​ควบคุมทั้งสิ้นรวมถึงการเคลื่อนไหวหรือหยุดการเคลื่อน

หน้าที่ของหัวใจทั้ง4ห้องมีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลย

1.หัวใจของมนุษย์มีหน้าที่ในการรับเลือดจากส่วนต่างๆของร่างกายหลังจากนั้นส่งไปที่ฟอกที่ปอดเพื่อให้มีออกซิเจน​และสารอาหารในเลือดพร้อมที่จะส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป
2.หัวใจของมนุษย​์มีหน้าที่ในการส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายหลังจากรับเลือดกลับจากปอดเพื่อส่งผ่านทางหลอดเลือดแดงใหญ่ส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
3.หัวใจมีระบบไฟฟ้าควบคุมเพื่อให้เต้นอย่างมีจังหวะในการรับและส่งเลือดหากการเต้นที่ผิดจังหวะก็ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาซึ่งจะกล่าวถึงในบทความต่อๆไป
4.หัวใจทำหน้าที่เป็นระบบไหลเวียนเลือดคล้ายระบบประปาคือมีเลือดและหลอดเลือดเป็นท่อในการส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ
5.หัวใจทำหน้าที่คล้ายปั๊ม​น้ำที่ใช้การบีบตัวของหัวใจที่เป็นจังหวะและมีความต่อเนื่องเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ

ความผิดปกติหรือปัญหา​ที่เกิดขึ้นกับหัวใจมีในประเด็นใหนบ้าง?
1.ความผิดปกติด้านโครงสร้างของหัวใจเช่น ลิ้นหัวใจรั่วชนิดต่างๆ
2.ความผิดปกติด้านระบบเหนี่ยวนำไฟฟ้าที่กระตุ้นหัวใจส่งผลด้านจังหวะในการเต้นของหัวใจเช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นช้า
3.ระบบหลอดเลือดมีปัญหาเช่นหลอดเลือดอุดตัน ฉีกขาดส่งผลให้ทำงานของหัวใจมีปัญหาตามมาได้
4.โรคที่เกิดขึ้นจากปัญหาการทำงานของหัวใจและระบบหลอดเลือดได้แก่

  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย(Myocardial Infraction) คือภาวะที่กล้ามเนื้อ​หัวใจตาย เพราะเลือดจากหลอดเลือดโคโรนารี่ไปเลี้ยงกล้ามกล้ามหัวใจไม่เพียงพอกับความต้องการซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดโคโรนารี่เป็นต้น
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขณะออกแรงและการทดสอบด้วยการออกกำลังกาย​( Angina Pectoris and Exercise Test) คือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขณะออกแรงเท่านั้น 
  • โรคหัวใจเต้นเร็วและหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดเร็ว(Tachycardia and Tachyarrhythmia)  คือภาวะที่หัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาทีโดยที่จังหวะการเต้นยังปกติอยู่  ส่วน Tachyarrhythmia  ​นั้นมีความผิดปกติทั้งอัตราการเต้นที่เร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาทีร่วมกับจังหวะการเต้นที่ผิดปกติ
  • โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบระยะต่างๆทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง
  • โรคหัวใจ​เต้นช้าและหัวใจ​เต้นผิดจังหวะ​ชนิดช้า( Bradycardia and Brady arrhythmia) คือภาวะที่หัวใจเต้นช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาทีโดยที่จังหวะการเต้นยังปกติ ส่วน Brady arrhythmia นั้นหัวใจเต้นช้ากว่า 60 ครั้งต่อนาทีและจังหวะการเต้นก็ผิดปกติด้วยเช่นกัน
  • ภาวะเกลือและแร่ธาตุไม่สมดุล(Electrolyte imbalance) โดยเฉพาะโพแทสเซียม​
  • ผลของการใช้ยาโดยเฉพาะยาโรคหัวใจ เช่น ผลการให้ยาดิจิตาลิสหรือควินิดีน เป็นต้น
  • ความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจในโรคและภาวะบางชนิด ได้แก่
    a.โรคต่อมธัยรอยด์​ทำงานน้อยกว่าปกติ (Hypothyroid)
    b.โรคต่อมธัยรอยด์​ทำงานมากกว่าปกติ (Hyperthyroidism)
    c.โรคเลือดออกหรือเลือดคั่งในสมอง (Intracerebral Hemorrhage)
    d.Hypothermia คือภาวะที่อุณหภูมิ​ของร่างกายต่ำกว่ากว่าปกติ
    e.โรคถุงลมโป่งพอง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease) สามารถอ่านได้ในบทความที่ผ่านมา
    f.ภาวะโพแทสเซียม​ในเลือดสูงกว่าปกติ (Hyperkalemia)​
    g.ภาวะโพแทสเซียม​ในเลือดต่ำกว่าปกติ (Hypokalemia)​
    h.ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง(Hypercalcemia)​
    i.ภาวะแคลเซียม​ในเลือดต่ำ(Hypocalcemia)​
    เนื้อหารายละเอียดเกี่ยวกับโรคและภาวะผิดปกติต่างๆนั้นสามารถอ่านได้ในบทความต่อๆไป

จะเห็นได้ว่าหัวใจของมนุษย์หรือสัตว์ทุกชนิดนั้นหากหัวใจหยุดทำงานอย่างถาวรนั่นคือการเสียชีวิตแม้แต่สมองเองก็ต้องพึ่งหัวใจเพื่อให้มีเลือดมาเลี้ยงเช่นกัน  ดังนั้นหากมนุษย์​ต้องการให้มีชีวิตที่ยาวนานขึ้นก็ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงร่วมกับการมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย  ดังนั้น 

“ให้รักและดูแลคนที่เรารักดั่งดวงใจของตนเอง”


สนใจบทความอื่นๆเกี่ยวกับหัวใจติดตามอ่านได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

7 เหตุ​ผลที่คนเราต้องตรวจ​เช็ค​สุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

7 เหตุ​ผลที่คนเราต้องตรวจ​เช็ค​สุขภาพ

มนุษย์​เราปกติทั่วไปเกิดมาพร้อมกับการมีอวัยวะในร่างกายครบ 79 ประการที่ปกติ โดยแบ่งแยกเป็นอวัยวะภายนอกที่สามารถ​มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเช่น ตา หู คอ จมูก ปาก หรือ แขน ขา เป็นต้น และส่วนที่เป็นอวัยวะภายในร่างกายเช่น ตับ ไต ใส้  หัวใจ สมอง เป็นต้น หากเกิดมาแล้วมีความพิการมาตั้งแต่กำเนิดแรกว่าโรคพิการมาแต่กำเนิดเช่น โรคหัวใจ​พิการแต่กำเนิด​ซึ่งได้กล่าวไว้​ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว

การตรวจสุขภาพร่างกายเปรียบเสมือนการตรวจสภาพเครื่องยนต์​นั่นเองเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นขณะขับขี่รถยนต์​ที่เป็นอันตรายตามมาได้ ดังนั้นจะกล่าวถึงเหตุ​ผลที่ต้องตรวจสุขภาพ​นั้นมีอะไรบ้าง? มาดูต่อเลยคะ

7 เหตุผลหลักๆที่คนเราต้องตรวจสุขภาพ​มีดังต่อไปนี้คือ
1.เพื่อให้ทราบข้อมูลพื้นฐานของอวัยวะทั้งภายนอกและภายในร่างกายว่ามีการทำงานปกติหรือไม่เช่น การวัดสายตาเพื่อประเมินการมองเห็นสิ่งต่างๆว่าเป็นปกติหรือไม่เพื่อใช้อุปกรณ์​ช่วยในการแก้ปัญหาต่อไป การวัดการได้ยินเสียง การวัดความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ การหายใจ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการประเมินการมีชีวิตของมนุษย​์หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งต้องได้รับความช่วยเหลือเพื่อให้มีสัญญาณ​ชีพกลับมาซึ่งค่าปกติต่างๆนั้นจะขอกล่าวถึงในบทความถัดๆไป
2.เพื่อเป็นการตรวจประเมินด้านพฤติกรรม​การใช้ชีวิตที่อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในร่างกายต่างๆเช่น พฤติกรรม​การใช้ยารักษา​โรคต่างๆรวมถึงพฤติกรรม​การใช้ยาเสพติดอีกด้วย พฤติกรรม​การดื่ม​เครื่องดื่มแอลกอฮอล์​ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ พฤติกรรม​การสูบบุหรี่​ส่งผลกระทบต่อการทำงานของปอด พฤติกรรม​การรับประทานอาหารส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ต่อมไร้ท่อต่างๆ และการออกกำลังกายส่งผลกระทบต่อโรคอ้วน​ โรคไต โรคเบาหวานเป็นต้น
3.เพื่อตรวจประเมินลักษณะ​ที่ผิดปกติภายในร่างกายว่ามีความผิดปกติ ครบหรือไม่ ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่นบางคนอาจมีไตข้างเดียว มดลูก2อัน รังไข่ข้างเดียวเป็นต้น เพื่อจะได้วางแผนการใช้ชีวิตให้มีความเหมาะสมต่อไป
4.เพื่อเป็นการตรวจการทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกายว่ามีความปกติหรือผิดปกติหรือไม่เช่น การตรวจการทำงานของตับหากมีความผิดปกติเราจะได้ตระหนักว่าเราจะใช้ยารักษาโรคอย่างไร ต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์​ เป็นต้น การตรวจการทำงานของไตเพื่อจะได้ระมัดระวังด้านการกิน การใช้ยาเพราะไตนั้นมีหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย หากเราไม่จำกัดหรือระมัดระวังอาจส่งผลให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้
5.เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการตรวจสุขภาพมาวางแผนในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆตามมาได้เช่น โรคตับแข็งเกิดจากพฤติกรรม​การดื่ม​แอลกอฮอล์​ การใช้ยาที่มีผลต่อตับเช่น ยาพาราเซตามอล​ หรือยารักษาโรคอื่นๆมากมายที่ส่งผลต่อการทำงานของตับและไตตามมา
6.เพื่อให้มีความตระหนักในการดูแลสุขภาพของตนเองเบื้องต้นกล่าวคือการดูแลสุขภาพเบื้องต้นก่อนเข้ารับบริการด้านสุขภาพต่างๆเช่น บางคนมีภาวะเครียดแทนที่จะเลือกการจัดการความเครียดที่ต้นตอของสาเหตุ​ของความเครียดกลับใช้ยากินหรือยาฉีด ยาด้านจิตเวชตามมา ซึ่งยารักษาโรค​โดยทั่วไปนั้นมักมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพทั้งสิ้น
7.เพื่อคัดกรองโรคเบื้องต้นหากตรวจพบตั้งแต่เริ่มแรกก็สามารถวางแผนการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนลุกลามไปอวัยวะอื่นๆ เป็นต้น เช่น คนบางกลุ่มมีความรู้ด้านสุขภาพเป็นอย่างดีกลับมีพฤติกรรม​การสูบบุหรี่​ ละเลยการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตรวจพบตอนมะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่นๆตามมาและสุดท้ายทำให้เสียชีวิตตามมาได้

ตัวอย่างการตรวจเช็คสุขภาพนั้นเน้นในประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้คือ
1.ตรวจวัดความดันโลหิต​ การเต้นของหัวใจ การหายใจ การมองเห็น การได้ยิน
2.ตรวจวัดความแข็งแรงของกระดูกหรือที่เรียกว่าการตรวจวัดดัชนีมวลกาย ตรวจวัด BMI เพื่อประเมินโรคอ้วน
3.การตรวจวัดค่าความผิดปกติของเม็ดเลือดเพื่อประเมินถึงปัญหาจากการผลิตเม็ดเลือด การเสียเลือด หรือภาวะขาดสารอาหารเป็นต้น
4.การตรวจวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อประเมินการทำงานของต่อมไร้ท่อหรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารประเภท แป้ง น้ำตาลเป็นต้น
5.การตรวจวัดค่าระดับคอเลสเตอรอล​ในเลือดเพื่อประกอบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​การรับประทานอาหารเพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองตามมาซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะโรคอัมพฤกษ์​และอัมพาต​ที่เป็นการเจ็บป่วยเรื้อรังที่เป็นปัญหา​ระดับประเทศ
6.การตรวจวัดระดับค่าการทำงานของตับเพราะตับเป็นอวัยวะภายใน​ที่สำคัญทำหน้าที่ทั้งการผลิตเม็ดเลือดและล้างพิษออกจากร่างกายเป็นต้น
7.การตรวจวัดระดับค่าการทำงานของไตเพราะไตของคนเรานั้นทำหน้าที่กรองของเสียและขับของเสียออกจากร่างกายหากไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและเกิดปัญหาไตวายอาจต้องรักษาโดยการล้างไตซึ่งต้องใช้เงินในการรักษาจำนวนมาก
8.การตรวจวัดมวลกระดูกและกรดยูริคในร่างกายซึ่งมีผลต่อโรคกระดูกและข้อหากค่ายูริคสูงเกินมาตรฐาน
9.การตรวจโดยเน้นเฉพาะทางเช่น คัดกรองมะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด เป็นต้น
10.การตรวจสุขภาพนั้นเน้นการตรวจเช็คตามวัยซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อมีอายุมากขึ้นจะมีการตรวจคัดกรองมากขึ้นตามมาทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจมากขึ้นตามมาได้เช่นกัน

คนเรานั้นการจะมีสุขภาพกายที่ดีนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตด้วย เนื่องร่างกายและจิตใจไม่สามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจน ดังคำกล่าวที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ตัวอย่างที่พบบ่อยคนบางคนตรวจสุขภาพแล้วร่างกายปกติดีทุกอย่างแต่มีปัญหาสุขภาพ​จิตสุดท้ายร่างกายเจ็บป่วยตามมา ขณะที่บางคนตรวจสุขภาพ​อาจมีความผิดปกติแต่มีสุขภาพจิตที่ดีร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​ต่างๆก็ทำให้คนๆนั้นหายจากโรคร้ายแรงได้เช่นกัน

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

โรคหัวใจ​พิการแต่กำเนิด

แชร์ให้เพื่อน

โรคหัวใจ​พิการแต่กำเนิด ที่พบบ่อย (Common Congenital Heart Disease)

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital​ Heart Disease :CHD) หมายถึง ความผิดปกติของหัวใจและหรือหลอดเลือด​  ทำให้การทำหน้าที่หรือการไหลเวียนเลือดมีความผิดปกติตั้งแต่หลังคลอด  โดยความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ในครรภ์มารดาโดยไม่ได้แสดงความผิดปกติ​ให้เห็น มีน้อยรายที่มีความรุนแรง​และเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  โรคหัวใจ​พิการแต่กำเนิดนี้ รวมถึงการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ​ตั้งแต่ในครรภ์​มารดาและหลังคลอดด้วย

การเกิดของโรคหัวใจพิการ​แต่กำเนิดนั้นบอกได้ยากเพราะมีจำนวนไม่น้อยที่วิเคราะห์​ได้ตอนโตหรือจาก autopsy
โรคหัวใจ​พิการแต่กำเนิดบางชนิดพบในเพศหญิง​มากกว่าเพศชาย​เช่น Patent ductus arteiosus (PDA)

Ventricular Septal Defect (VSD)
เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบบ่อยที่สุด โดยพบในเด็กหญิงมากกว่าเด็กชายเล็กน้อยและพบมากในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ​ในโครโมโซมทั้งหลายอีกด้วย

อาการและอาการแสดง
มักไม่แสดงอาการ สามารถเติบโต​ได้ตามปกติ และตรวจพบโดยบังเอิญ​ในช่วง2-4เดือนหลังคลอดตอนตรวจสุขภาพหรือเข้าโรงเรียน โดยตรวจพบจากคลื่นหัวใจและ Echocardiography เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรค

การรักษา
ผู้ป่วยที่ VSD ขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด เพราะอาจสามารถปิดได้เอง
ผู้ป่วยที่ VSD ขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ต้องได้รับผ่าตัดปิดทุกรายหากขนาดใหญ่​มากต้องผ่าตัดปิดทุกรายช่วงอายุ 2-4 ปี

โรคหัวใจพิการมาแต่กำเนิดอื่นๆ เช่น

  • Patent Ductus Arteriosus
  • Secundum Arterial Septal Defect
  • Pulmonic Stenosis(PS)
  • Coaretation of the Aorta (CA)
  • Tetralogy of Fallot(T of F)
  • Transposition of the Great Arteries

โดยทั่วไปแล้วกลุ่มโรคที่เกิดจากความพิการแต่กำเนิดนั้นจะไม่ได้รับความคุ้มครองในการซื้อประกันถึงแม้ว่าเป็นการตรวจพบภายหลังซื้อประกันไปแล้วดังนั้นความเจ็บป่วยจากโรคพิการแต่กำเนิดจะไม่สามารถเบิกประกันได้เว้นแต่มีการสลักหลังให้ความคุ้มครองได้

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com


5 ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม​ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

แชร์ให้เพื่อน

การดูแลตัวเองเมื่อเจ็บป่วยเรื้อรัง

แชร์ให้เพื่อน

การดูแลตัวเองเมื่อเจ็บป่วยเรื้อรัง

ภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรังนั้นเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญอันดับแรกของเกือบทุกประเทศ
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง คือ ความบกพร่องที่เบี่ยงเบนจากปกติอาจมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างต่อไปนี้
1.มีการเปลี่ยนแปลง​อย่างถาวร
2.มีความพิการหลง​เหลืออยู่​
3.พยาธิสภาพ​ที่เกิดขึ้นไม่กลับคืนสู่ปกติ
4.ต้องอาศัยการฟื้นฟู​สภาพเป็นพิเศษ
5.ต้องมีการดูแลหรือช่วยเหลือแนะนำในระยะยาว
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังต้องใช้เวลายาวนานเป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิต ผลของโรคทำให้เกิดความไม่สุขสบาย ความเจ็บ​ปวด การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ​ของร่างกาย มีเลือดออกและโลหิตจาง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมักมีหลายๆโรคเกิดขึ้นพร้อมกันเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไตวายเรื้อรัง​ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจเป็นต้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังได้แก่
1.ความเจ็บปวด อาจเกิดขึ้นตลอดเวลาหรือบางครั้งส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า​ไม่มีชีวิตชีวา หงุดหงิด แยกตัว สูญเสีย​พลังอำนาจและก้าวร้าว
2.ความสามารถลดลงจากเดิม ประเมินคุณค่า​ตนเองลดลง
3.เกิดการแยกตัวและโดดเดี่ยว ด้อยค่ากว่าคนอื่น ไม่เข้าสังคม มีข้อจำกัดการเคลื่อนไหว
4.ความโกรธ​ เป็นปฏิกิริยา​ต่อความเจ็บป่วยเรื้อรังที่พบได้บ่อย โกรธตนเอง อิจฉา​คนอื่นที่สุขภาพดี

ขั้นตอนในการจัดการเมื่อเกิดภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังมีดังนี้
1.แสวงหาความช่วยเหลือจากบุคคลที่เชื่อถือได้​
2.รับรู้ สนใจ และจัดการดูแลเบื้องต้นเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อน​เฉียบพลันหรือระยะยาว
3.ติดตามรับการรักษาต่อเนื่อง และฟื้นฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ​และเหมาะสม​เช่น การปรับเปลี่ยนยา
4.ยอมรับการพึ่งพาบุคคลอื่น ตามความจำเป็น
5.ปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน​ให้เหมาะสม​กับสภาวะสุขภาพ
6.เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ​
7.แสวงหาและใช้แหล่งประโยชน์​ในชุมชนเพื่อช่วยพัฒนาการดูแลตนเอง

ลักษณะ​เฉพาะ​ของกลุ่มช่วยเหลือ​ตนเองในผู้ป่วยเรื้อรังมีดังนี้
1.กลุ่มบุคคล​ที่มีประสบการณ์​คล้ายกัน ฉะนั้นผู้ช่วยเหลือและรับความช่วยเหลือ​มีปัญหา​ที่คล้ายคลึง​กัน
2.สมาชิกให้ความช่วยเหลือ​ให้กำลังใจ​ ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน​ในกลุ่ม
3.สมาชิก​ได้ประโยชน์​สูงสุดจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์​ซึ่งกันและกัน​ตามที่แต่ละคน​ประสบมา ทำให้มีกำลังใจและเกิดความศรัทธา
4.กลุ่มช่วยให้สมาชิก​ได้รับข้อมูล​ข่าวสาร​ที่สำคัญ ทำให้สมาชิก​เข้าใจปัญหา​ของตนเอง

แนวคิดการทำงานของกลุ่มช่วยเหลือตนเอง
1.1.สมาชิก​ของกลุ่มมาจากบุคคล​ที่มีปัญหา​อย่างเดียวกัน​ ทำให้​เกิดความรู้สึก​เหมือน ลงเรือลำ​เดียวกัน​
2.มีผู้แนะนำ​โดยคำแนะนำ​ในระดับที่ปฏิบัติได้โดยง่าย
3.มิตรภาพ​ที่เกิดขึ้น​จากความรู้สึก​เป็นพวกเดียวกัน ทำให้สมาชิก​ยอมรับซึ่งกันและกันบนพื้นฐาน​ของ​ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ทำให้เกิดการยอมรับและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​ต่างๆเพื่อแก้ปัญา​ให้ดีขึ้น
4.การได้พบเห็น​บุคคล​ที่มีปัญหา​เพื่อได้เป็นแบบอย่างเพื่อผ่านพ้นปัญหา​และภาวะวิกฤติ​ต่างๆ
5.การได้พูดคุย​แลกเปลี่ยน​ประสบการณ์​อย่างเป็นกันเอง​กับพวกเดียวกัน ทำให้ได้ระบายความรู้สึกทุกข์​ คับข้องใจ​ ความกลัว ความวิตกกังวล ความสิ้นหวัง​และปัญหาอื่นๆ
6.การได้พบปะ​คนอื่นๆที่มีปัญหา​เดียวกัน​ ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว​หรือสิ้นหวัง ทำให้ลดการแยกตัวจากสังคม
จะเห็นได้ว่าการดูแลผู้ป่วยเจ็บป่วยเรื้อรังนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงานเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงกับคนปกติให้มากที่สุด

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ทักษะการจัดการความเครียดด้วยตนเอง

แชร์ให้เพื่อน

ทักษะการจัดการความเครียดด้วยตนเอง

ชีวิตของมนุษย​์เรานั้นต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆในชีวิตจากเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม​ต่างๆเช่นการตกงาน ภาวะสงคราม​ การเมือง สิ่งแวดล้อม​เป็นพิษ ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ​  การหย่าร้าง และความเจ็บป่วยเป็นต้น ซึ่งความเครียดเหล่านี้ส่งผลต่อภาวะด้านสุขภาพ ดังนั้นความสามารถในการจัดการกับความเครียดของคนแต่ละคนได้ไม่เท่ากัน บางคนปรับตัวกับเหตุการณ์​ต่างๆที่เลวร้ายได้ดีโดยไม่เกิดผลกระทบสุขภาพ ขณะที่บางคนอาจไม่สามารถปรับตัวได้ เกิดความเจ็บป่วย​และสูญเสีย​การทำหน้าที่ของตนเอง

มนุษย์​เราเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้นจะตอบสนองต่อภาวะเครียดตามระยะต่างๆได้แก่
1.ระยะช๊อค ทำให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว  ความดันโลหิตสูงขึ้น  หายใจเร็ว มีอาการคลื่นไส้​อาเจียน​ ม่านตาขยาย เหงื่อออกมากผิดปกติ​การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น
2.ระยะหมดกำลัง เมื่อเกิดความเครียดรุนแรงและไม่สามารถขจัดปัญหา​ออกไปได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือประคับประคองที่เหมาะสม กลไกการปรับตัวจะล้มเหลว​ ทำให้เกิดโรค เจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ในที่สุด  หากความเครียดยังคงมีต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลทำให้ปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ​อาหารอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหาร​ตามมาได้

การจัดการกับความเครียดในแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัย​ภายในและภายนอกเช่น อายุ เพศ กรรมพันธุ์​ ยาและอาหารเป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต​คือความสามารถในการปรับตัวหรือพลังงานในการปรับตัว ซึ่งพลังงานดังกล่าว​มีมากในวัยหนุ่มสาว​แต่จะต่ำในเด็กและผู้สูงอายุ เมื่อเกิดความอ่อนล้า​จากภาวะเครียดอย่างมาก การนอนหลับพักผ่อนจะทำให้มีแรงสู้ แต่ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่างไม่ได้ จึงเกิดการสึกหรอและมีอาการของความชราเกิดขึ้น ฉะนั้นมนุษย์​เราควรรู้จักดึงเอาพลังงานการปรับตัวมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์​สูงสุด

การเผชิญ​กับความเครียดมี 2 ลักษณะ​คือ
1.การมุ่งประเด็นเพื่อแก้ปัญหา​ โดยจัดการกับแหล่งความเครียดหรือจัดการกับตนเองโดยพยายามมุ่งแก้ปัญหาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์​ให้ดีขึ้น
2.การจัดการกับอารมณ์​เป็นการปรับอารมณ์​ความรู้สึกเพื่อไม่ให้เสียขวัญ​หรือกำลังใจ เพื่อสามารถจัดการกับปัญหา​ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ เช่นการปฏิเสธ​โรคร้ายแรง​เพื่อไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์​จนไม่สามารถทำอะไรได้

วิธีการเผชิญ​กับความเครียดมี 5 วิธีคือ
1.การเริ่มต้นแสวงหาข้อมูลโดยการเรียนรู้และเข้าใจปัญหาเพื่อหาทางแก้ไข
2.การกระทำโดยตรงเพื่อจัดการกับเหตุการณ์​ที่ทำให้เครียด
3.การหยุดยั้งการกระทำ หยุดทำในกิจกรรม​ที่คิดว่าเป็นอันตรายหรือกระตุ้นให้เกิดความเครียดรุนแรงขึ้น
4.การแสวงหาความช่วยเหลือจากบุคคล​ภายนอก หรือคนรอบข้างเป็นต้น
5.การใช้กลไกทางจิตเช่น เบี่ยงเบนความสนใจ แสวงหาความพอใจจากสิ่งอื่น รวมถึงการปฏิเสธ​หรือเก็บกด เป็นต้น

ที่พบได้บ่อยเช่น การปฏิเสธ​เมื่อเจ็บป่วยร้ายแรงเพื่อขอเวลาตั้งตัวจึงถือว่าเป็นการจัดการความเครียดได้เหมาะสม เพราะผู้ป่วยสับสนและอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้ในทันทีทันใด การปฏิเสธ​ทำให้มีความหวังเพื่อตระหนักถึงความจริงที่เกิดขึ้น

แหล่งประโยชน์​ในการเผชิญกับความเครียด ได้แก่
1.คนที่มีสุขภาพดี แข็งแรง มีพละกำลัง จะช่วยให้เผชิญ​ความเครียดได้ดี
2.ความเชื่อว่าตนสามารถควบคุมผลที่ตามมาและมีความหวังที่จะจัดการความเครียดด้วยตนเองได้
3.บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล​แสวงหาข้อมูลความรู้เพื่อเผชิญ​กับความเครียด
4.มีทักษะ​ในการขอความช่วยเหลือทางสังคม
5.แหล่งประโยชน์​ทางด้านวัตถุ การมีเงินทองที่เอื้ออำนวยในการเผชิญ​กับความเครียด

การดูแลตนเองเพื่อขจัดความเครียด แบ่งออกเป็น
1.การรู้จักบริหารเวลา รับประทานอาหารที่เหมาะสม​ ออกกำลังกาย หาทางออกเพื่อเผชิญ​ปัญหา งดสูบบุหรี่​ดื่มสุรา รู้จักสร้างสัมพันธภาพ​กับบุคคลอื่นเพื่อจะได้พึ่งพาซึ่งกันและกัน
2.รู้จักมองและประเมินสถานการณ์​ตามที่เป็นจริง โดยไม่ทำให้เหตุการณ์​ปกติทำให้เกิดความเครียด เช่นบุคลิก​ที่จริงจังเกินไป เรียนรู้ข้อจำกัดของตัวเองโดยการแสดงความเห็นและความรู้สึกที่ถูกต้อง
3.เรียนรู้ทักษะ​การผ่อนคลาย ทำสมาธิ การฝึกหายใจ การฝึกจิต เป็นต้น
ประเด็นหลักๆในการจัดการกับความเครียดที่ดีคือต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี สามารถหาแหล่งภายนอกเพื่อช่วยเหลือ ควบคุมอารมณ์​และสถานการณ์​ รวมถึงการฝึกจิตให้ผ่อนคลายเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกายและจิตใจตามมา

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เมื่อฉันต้องรับมือกับลูกสาวย่างเข้าสู่เด็กหญิงวัยรุ่นยุคใหม่ก้าวไกลสู่อนาคต

แชร์ให้เพื่อน

เมื่อฉันต้องรับมือกับลูกสาวย่างเข้าสู่เด็กหญิงวัยรุ่นยุคใหม่ก้าวไกลสู่อนาคต

วัยรุ่นนั้นเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ  ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าตัวเองไม่ได้ผ่านวัยรุ่นมาก่อนเพราะวัยรุ่นนั้นเป็นพัฒนาการตามวัยของมนุษย​์  ขณะที่พ่อแม่บางคนมักจะพูดว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องครึ่งหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมดเพราะสมัยนั้นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี่ไม่ได้รวดเร็วขนาดนี้ดังนั้นการเลี้ยงลูกสาวเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นในยุคสมัยปัจจุบัน​อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมด้วย

พัฒนาการของเด็กหญิงวัยรุ่น
เด็กหญิงวัยรุ่นเริ่มเข้าสู่พัฒนาการทางเพศเมื่ออายุ 8-13 ปีและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่ออายุ 10-14ปี โดยมีความเปลี่ยนแปลงด้าน ส่วนสูงของร่างกายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เริ่มมีนมตั้งเต้า สะโพกมีส่วนเว้าส่วนโค้ง เริ่มมีขนขึ้นที่อวัยวะเพศ​และมีประจำเดือน เมื่อลูกสาวย่างเข้าสู่วัยรุ่นมีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ต้องเดือนร้อนวุ่นวายใจกับการรับมือกับเด็กสาววัยรุ่นในครอบครัว สำหรับบางครอบครัวนั้นอาจไม่ใช่เป็นประเด็นในการรับมือเนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการตามวัยเท่านั้น

ความเครียดที่มีผลกระทบต่อลูกสาวเมื่อย่างเข้าสู่เด็กวัยรุ่นหญิง
1.ด้านอัตลักษณ์​ตัวตนของเด็กหญิงสาววัยรุ่น เนื่องจากเด็กหญิงวัยรุ่นเป็นพัฒนาการต่อจากเด็กหญิงวัยเด็ก ทำให้ต้องเผชิญกับความคาดหวังของผู้อื่นมากขึ้นทั้งในด้านความรับผิดชอบตนเอง พึ่งพาพ่อแม่น้อยลง ถ้าพ่อแม่ได้เตรียมความพร้อมให้ลูกสาวมีความรับผิดชอบตามวัยได้อย่างเหมาะสมก็จะไม่เป็นปัญหามากนัก  เด็กวัยรุ่นหญิงต้องปรับตัวทางอารมณ์​และสังคมเป็นอย่างมาก มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สร้างทัศนคติ​และค่านิยมในชีวิต เริ่มเรียนรู้และยอมรับในความสามารถของตนเอง โดยเด็กวัยรุ่นหญิงที่ใช้สติปัญญาย่อมมองเห็นความแตกต่างระหว่างตัวตนจริงๆกับตัวตนในอุดมคติ ซึ่งการมองตัวตนนี้ได้รับมาจากพ่อแม่ คนในครอบครัว ใกล้ชิด เพื่อนฝูง เนตไอดอล สังคมวัฒนธรรม​ที่แวดล้อมอยู่  ถ้าสังคมรอบข้างยอมรับทำให้เด็กวัยรุ่นหญิงมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น
2.อารมณ์​ของเด็กหญิงวัยรุ่น  อารมณ์​ของเด็กหญิงวัยรุ่นเป็นผลสืบเนื่องจากวัยเด็กหญิง มักมีอารมณ์​รุนแรงเพิ่มขึ้นบ้าง มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ บางครั้งโอบอ้อมอารีหรือมีความเห็นแก่ตัวหรือขัดแย้งแบบเด็กๆ มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับผู้ใหญ่เสมอ พ่อแม่ต้องให้โอกาสเด็กหญิงวัยรุ่นได้แสดงความคิดเห็น​จะสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการขึ้นทีละขั้นไม่ทำให้เกิดความเครียดและปัญหาทางอารมณ์​ตามมา  เมื่ออยู่กับเพื่อนต้องการการยอมรับ  เด็กเองไม่ชอบการบังคับและมีข้อขัดแย้งอยู่ในใจของเด็กเสมอ เช่น บางครั้งทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ จะได้ทำตามใจตนเอง บางครั้งอยากต้องการคนดูแลอยากสบายเหมือนเด็กทำให้เกิดความอิจฉา​น้องตามมา วัยนี้เป็นวัยเริ่มเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่ทำให้เกิดการฝ่าฝืนกฏระเบียบบ้าง ไม่เห็นด้วย เกิดความขัดแย้ง ยกเหตุผล​ต่างๆนานาเนื่องจากต้องการความอิสระนั่นเอง  บ่อยครั้งที่ครอบครัวมีเด็กหญิงวัยรุ่น ทำให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น การแต่งตัว ถ้าพ่อแม่เข้มงวดเด็กหญิงวัยรุ่นจะเกิดความเครียดมากขึ้น ที่สำคัญเด็กหญิงวัยนี้ต้องการการยอมรับความเป็นเพศหญิง​ของตนเอง  เริ่มใส่ใจกับภาพลักษณ์​หน้าตาของตัวเองมากขึ้น มีความกังวลกับรูปร่างที่โตเก้งก้าง​ ขณะที่ผู้ใหญ่มองเป็นเรื่องปกติ แต่เด็กมีความกังวลเนื่องจากต้องการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงของต่อมไร้ท่อและอวัยวะ​ภายในทำให้กินจุขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น ต้องการพักผ่อนมากขึ้นผู้ใหญ่จึงมองว่าเด็กเกียจคร้าน​มีความขัดแย้งตามมาได้  เด็กเริ่มให้ความสนใจเพื่อนต่างเพศ ต้องการพึ่งตนเอง อยู่เป็นแก๊งค์​เป็นกลุ่ม เมื่อผู้ใหญ่ขัดขวางก็ทำให้เกิดความเครียด หงุดหงิด อยากหลบออกจากบ้านหรือเก็บตัวในห้อง ไม่มั่นใจและเกิดความคับข้องใจอยู่เสมอ


3.ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ และจิตวิญญานของ​เด็กวัยรุ่นหญิง มีความต้องการใหม่ๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจทำให้เกิดความอึดอัด โกรธ  มีความรักสวยรักงามต้องการอวดเพศตรงข้าม  กังวลกับการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงของร่างกาย บางคนเดินตัวงอเป็นต้น  ด้านสติปัญญา​เจริญเติบโต​อย่างรวดเร็ว​เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  เริ่มรับผิดชอบและต้องการอิสระ เริ่มหัดตัดสินใจด้วยตนเอง  บางรายมีอารมณ์​เปลี่ยนแปลงง่าย เชื่อมั่นในความถูกต้อง ความดี บางครั้งเกิดความระแวงไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆต้องหาเหตุผลมายืนยันถึงจะเชื่อหรือยอมรับ  สร้างจิตนาการด้านความรัก ความสำเร็จ​ ความปลอดภัย สงสารตนเอง เปรียบเทียบกับพี่หรือน้อง มีความสนใจด้านดนตรี หรือวรรณกรรม​ต่างๆ
4.พัฒนาการด้านสังคมของเด็กวัยรุ่นหญิง ต้องการการยอมรับจากพ่อแม่หรือกลุ่มเพื่อน ครูบาอาจารย์​เป็นต้น
5.ความสนใจของเด็กวัยรุ่นหญิง  เริ่มให้ความสนใจด้านความสวยความงาม เสื้อผ้าอาภรณ์​  เพื่อนต่างเพศ  มีความเพ้อฝันด้านอาชีพ สนใจด้านกีฬา​ ศิลปะ​ดนตรี การแสดง งานอดิเรก​  การค้นคว้า​ทางวิทยาศาสตร์​  งานประดิษฐ์  การเขียนหนังสือ บทประพันธ์​หรือแอนนิเมชั่น​ต่างๆเป็นต้น  เริ่มมีปรัชญา​ของชีวิต​ คิดหลักศีลธรรม​ มีอุดมคติ หลักเกณฑ์​ หรือสร้างไอดอลของตนเอง

จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของเด็กวัยรุ่นหญิงนั้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่หรือบุคคลใกล้ชิด​ต้องให้ความใส่ใจเพื่อให้เด็กวัยรุ่นหญิงสามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงตามวัยได้อย่างเหมาะสมจะได้ไม่เกิดความรู้สึกติดขัดหรือผลกระทบต่อพฤติกรรม​เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สุดท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่าเด็กหญิงวัยรุ่นในวันนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในโลกแห่งอนาคต

สนใจบทความอื่นๆอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้อที่สำคัญที่ต้องระวัง (Clarithromycin)​ ในการรักษาช่วงโควิด19 ระบาด

แชร์ให้เพื่อน

ผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้อ Clarithromycin ที่ต้องระวัง ในการรักษาโรคโควิด 19

ภาวะการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย​์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าไม่ป่วยวันนี้วันหน้าอาจต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างประเด็นของโรคระบาดโควิด19ในรอบ4ปีที่ผ่านมาซึ่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐ​กิจและสุขภาพจากภาวะแทรกซ้อนหลังเจ็บป่วยโรคโควิด 19
ผู้เขียนเองก็มีภาวะติดเชื้อโควิด19 เช่นกันดังนั้นจะขอกล่าวถึงกระบวนการการรักษาและขั้นตอนที่ได้ประสบด้วยตนเองดังต่อไปนี้

เหตุการณ์​เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2021 มีอาการไข้ ไอ และเจ็บคอ ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นว่าเป็นคออักเสบ(pharyngitis) ได้รับยา klacid มารับประทานพร้อมกับคำแนะนำให้ไปตรวจหาเชื้อโควิด19 หลังจากรับประทานยา klacid ไปประมาณ
1 -​2 วันเริ่มมีอาการลิ้นไม่รับรส  จมูกไม่ได้กลิ่นเข้าหลักเกณฑ์​อาการของโรคโควิด19 ผู้เขียนจึงตัดสินใจไปตรวจหาเชื้อโควิด19ซึ่งก็พบเชื้อทันทีที่ตรวจหลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการรักษาโดยการกักตัวอยู่ที่บ้านเนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่มีเตียงเพื่อรองรับต่อมาน้องที่อยู่ห้องเดียวกันก็มีอาการไข้ เจ็บคอจึงไปตรวจหาเชื้อและพบเชื้อเช่นกันแต่น้องสาวไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อเลยซึ่งต่างกับผู้เขียนที่ได้รับยาklacid ช่วงก่อนตรวจพบเชื้อโควิด19
ในขณะที่ผู้เขียนมีอาการรุนแรงกว่าน้องสาวเช่น มีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล ไข้หนาวสั่น เข้าขั้นอาการทางจิตเลยทีเดียว  ขณะที่น้องสาวมีอาการไข้ทั่วไป นอนหลับได้ซึ่งแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน

ยา klacid​ นั้นใช้รักษาโรคอะไรและมี side effects อะไรบ้าง?
ยาคลาริโทรมัยซิน(Clarithromycin)​เป็นยากลุ่มแมคโครไลด์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย​และการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรีย​ โดยที่ยาคลาริโทรมัยซินไม่สามารถรักษาไข้หวัดหรือเชื้อไวรัสได้ซึ่งย่อมรวมถึงเชื้อโควิด19เช่นกัน

คำเตือนในการใช้ยาคลาริโทรมัยซิน
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้ไม่ควรใช้ได้แก่
1.กลุ่มที่มีประวัติโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดลองคิวทีซินโดรม(Long QT syndrome)
2.มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอันตรายถึงชีวิต
3.เป็นดีซ่านหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับจากการใช้ยา Clarithromycin
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคลาริโทรมัยซินมีดังต่อไปนี้
1.คลื่นไส้ อาเจียน  ถ่ายเหลวซึ่งอาการดังกล่าวนี้ผู้เขียนก็มีช่วงเป็นโควิด19เช่นกัน
2.นอนไม่หลับ(Insomnia)​เป็นอาการที่เกิดขึ้นช่วงโควิดเช่นกัน
3.เห็นภาพหลอน(Hallucinations (Seeing or hearing thing that are not there) ซึ่งผู้เขียนก็มีอาการนี้เช่นกันถึงขั้นต้องได้รับการรักษาด้วยยาทางจิตเวชเลยทีเดียวและไม่ได้ไปรับการรักษาในประเด็นนี้ต่อ เนื่องจากมีความเชื่อว่าถ้าเกิดจากภาวะของยาklacid และโควิด19 จริง ปัญหาด้านนี้ย่อมหายไปเองเมื่อหยุดยาklacid และโรคโควิด19 หายแล้ว
4.จากประเด็นปัญหาผลข้างเคียงของยา klacid ไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงทีเนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด19 ซึ่งโรงพยาบาลไม่มีเตียงรองรับที่เพียงพอนั่นเอง
5.ประเด็นปัญหาด้านหายใจลำบากนั้นเป็นทั้งจากการแพ้ยาklacid หรือจากโควิด19ก็ได้รวมกันซึ่งผู้เขียนก็ได้รับผลกระทบมาทั้ง2กรณี

แนวทางการรักษาโรคโควิด19 ในช่วงรอบ 4 ปีที่ผู้เขียนประสบด้วยตนเองคือ
เมื่อตรวจพบเชื้อโควิด19 จึงรับการรักษาตัวอยู่ที่บ้านแต่สำหรับคนทั่วไปนั้นอาจไม่มีอาการอะไรมากมายแต่สำหรับผู้เขียนได้รับยา klacid มากินร่วมด้วยจึงมีผลข้างเคียงที่ตามมาตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น หลังจากนั้นได้ย้ายเข้าไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสนามและโรงพยาบาลประจำจังหวัดรวมถึงอาการต่อเนื่องจากภาวะลองโควิด19รวมๆ แล้วผู้เขียนเองได้รับผลกระทบค่อนข้าง​มากระยะเวลายาวนานร่วม 6 เดือนเลยทีเดียวปัญหาที่พบมีในประเด็นดังนี้คือ
1.ภาวะซึมเศร้า บุคคลรอบข้างมักจะทักว่าทำไมถึงไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนแต่ก่อน อาการนอนไม่หลับนั้นเกิดผลกระทบมายาวนานผู้เขียนเลือกที่จะรับประทานยานอนหลับเป็นครั้งคราวเนื่องจากไม่อยากได้รับผลกระทบด้านการใช้ยานอนหลับต่อเนื่อง
2.ความจำหลงลืม ความจำด้านตัวเลข รหัสผ่านต่างๆ จำไม่ได้ต้องจดไว้ ทั้งที่ก่อนป่วยโควิด19 นั้นความจำดีเลยที่เดียวไม่ได้ยอตัวเองแต่อย่างใด
3.การอ่านหนังสือเพื่อจับประเด็นหรือเขียนเนื้อหาต่างๆไม่มีความต่อเนื่องหรือเชื่อมโยงเลย
4.การเข้าเข้าธุรกรรมการเงินหยุดชะงักใช้จ่ายโดยเงินสดแต่ก็ได้รับผลกระทบด้านลืมรับเงินทอนจ่ายเงินแบงค์ 1000 คิดว่าแบงค์ร้อยต่างๆเป็นต้น
ระยะเวลาผ่านพ้นไป 6 เดือนหลังหายจากอาการป่วยโรคโควิด19
1.ความคิดความจำเกี่ยวกับตัวเลข การวิเคราะห์ตัวเลข เชื่อมโยงกราฟเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
2.การอ่านหนังสือ จับใจความสำคัญ ลำดับเนื้อหาต่างๆเข้าสู่ภาวะปกติสมบูรณ์ถึงขั้นเขียนบทความเนื้อหาด้านสุขภาพ
3.การรับรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัวเข้าสู่ภาวะปกติ
4.ภาวะการนอนหลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีอาการง่วงนอน ซึ่งช่วงหลังโควิดใหม่ๆไม่มีอาการง่วงอยากนอนแต่อย่างใด

จากประสบการณ์​ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ผู้เขียนอยากให้ทุกคนตระหนักถึงการใช้ยาฆ่าเชื้อแม้กระบวนการได้ยาฆ่าเชื้อมาโดยผ่านทางคำสั่งแพทย์หรือซื้อยารับประทานเองถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆไม่ควรใช้แต่อย่างใดร่างกายจะสามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติเพื่อให้สู่ความสมดุลได้เช่นกันเว้นแต่ภาวะนั้นเลวร้ายเกินกว่าร่างกายปรับตัวได้
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดีกันทั่วหน้า

สนใจบทความอื่นๆอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ยำทูน่าเมนูเพื่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

ยำทูน่าเมนูเพื่อสุขภาพ

ปีเก่าผ่านพ้นไปปีใหม่เริ่มต้นขึ้นหลังจากผ่านการเฉลิมฉลองปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยเมนูอาหารประเภทเนื้อสัตว์  อาหารทะเล  กุ้ง หอย ปู ปลา ที่อุดมไปด้วยคอเลสเตอรอลสูงทำให้มีอาการวิงเวียนเราจึงย้อนกลับมาปรับอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพกันบ้างวันนี้เรามาดูกันว่าเมนูยำทูน่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ​อย่างไรกันบ้าง
เมนูอาหารประเภทยำจัดว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติ​ถูกปากในสไตล์​ของ​คนไทยซึ่งอุดมไปด้วยสมุนไพรไทยหลากหลายชนิดเช่น ตะใคร้  หอมแดง  พริกขี้หนู  ใบสาระแหน่ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมะนาวนี่แหละถ้าไม่มีมะนาวก็ไม่ได้รสชาติ​ของยำที่แซ่บจัดจ้าน ก่อนอื่นเรามาดูว่าส่วนประกอบในการทำยำทูน่ามีอะไรบ้าง?


1.ทูน่ากระป๋อง

สำหรับทูน่ากระป๋องนั้นมีหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อเช่น ทูน่ากระป๋องในน้ำมันพืช ทูน่ากระป๋องในน้ำเกลือ และทูน่ากระป๋องในน้ำแร่เราจะเลือกทูน่ากระป๋องในน้ำแร่เพราะมีรสชาติอร่อยกว่าเมื่อทำเมนูยำ ทูน่าจัดว่าเป็นปลาทะเลที่อุดมไปด้วยDHAและโอเมก้า3ที่ช่วยบำรุงเซลล์​สมองด้านความจำ ย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล​

 


2.ตะไคร้

เราเก็บในสวนครัวมีทั้งตะไคร้​สีแดงและสีขาวเราเลือกแบบสีขาวมา2ต้นล้างทำความสะอาดหั่นเป็นแว่นๆพักไว้ ตะใคร้เป็นสมุนไพรไทยช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ มีกลิ่นหอม

3.หัวหอมแดง

เลือกหัวขนาดปานกลาง4-5หัวปอกล้างทำความสะอาดหั่นซอยพักไว้

4.ต้นหอม

เก็บจากสวนครัวปลูกใส่กระถางไว้​เก็บมา2-3ต้นล้างทำความสะอาดหั่นซอยพักไว้

5.พริกขี้หนูสวน

เก็บจากสวนครัวมาประมาณ10เม็ดเด็ดก้านพักไว้หากต้องการเพิ่มความเผ็ดจัดจ้านเพิ่มพริกชี้ฟ้าแดง เขียวหรือพริกกะเหรี่ยง​ได้ค่ะ

6.ใบสาระแหน่

เก็บจากสวนครัวประมาณ​1 กำมือล้างพักสะเด็ด​น้ำ

7.ผักกินเคียงได้แก่

ผักสลัด ผักชีลาว ผักกาดหิ่น แตงกวา หรือตามชอบคะล้างสะด็ดแช่เพื่อความกรอบ

8.ต่อไปเป็นขั้นตอนการเตรียมน้ำยำ การทำน้ำยำประกอบด้วยน้ำตาลทราย1ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ​ มะนาว1ลูกขนาดกลางถ้าไม่มีมะนาวสดใช้ผงมะนาวแทนได้คะ ผงนัวตามชอบคะ ผสมน้ำยำละลายเข้าด้วยกันชิมรสชาติ​เปรียวหวานตามชอบ

9.เตรียมเนื้อทูน่าโดยเทน้ำแร่ออกใช้แต่เนื้อทูน่าใช้ช้อนบี้ให้เป็นชิ้นเล็กพอคำเพื่อให้เข้ากับน้ำยำได้ดี ราดน้ำยำ เติมเครื่องยำเข้าด้วยกันคลุกเคล้าแค่นี้ก็ได้ยำทูน่าเพื่อสุขภาพกินกับผักเคียง ข้าวหอมร้อนๆ รสชาติ​ถูกใจอย่าลืมกดไลน์​กดแชร์กันนะคะ

ประโยชน์ของสมุนไพรไทยสามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความผัดฉ่าปลา​แซลมอน​ และต้มยำกุ้ง
หลังเฉลิมฉลองปีใหม่อย่าลืมปรับสมดุลร่างกายด้านอาหารการกินเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ​และออกกำลังกาย​อย่างสม่ำเสมอกันด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

ฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยให้สมองธรรมดากลายเป็นสมองอัจฉริยะ​ได้

แชร์ให้เพื่อน

ฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยให้สมองธรรมดากลายเป็นสมองอัจฉริยะ​ได้

ในโลกแห่งสังคมออนไลน์​การใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่นั้นจะอยู่กับเครื่องมือสื่อสารเช่น การดู tiktok​ YouTube  การเล่นเกม  การพูดคุยทางออนไลน์​ ถ้าใช้เวลาอยู่กับเครื่องมือสื่อสารมากเกินไปควรหาเวลาผ่อนคลายเช่น การออกกำลังกาย ฟังเพลง  หรืออีกวิธีที่ได้ผลดีคือ การฝึกสมาธิหรือการฝึกจิตเพื่อเป็นการย้อนกลับมาดูพฤติกรรม​ตนเองว่าในแต่ละวันนั้นตนเองสูญเสียเวลาไปกับเรื่องอะไรมากที่สุด มีประโยชน์หรือโทษต่อสุขภาพจิตส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ โดยการฝึกสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติไม่มากไปหรือน้อยไปดูตามความเหมาะสม

ขั้นตอนการทำสมาธิหรือฝึกจิตควรเริ่มต้นอย่างไรบ้าง?
● ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมโดยการรวบรวมข้อมูลในการใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันโดยการจดบันทึก​ประจำวันเพื่อเป็นการช่วยระลึก​ถึงกิจกรรม​ในแต่ละวันว่ามีอะไรบ้าง กิจกรรมใหนที่ช่วยส่งเสริมให้มีความสุขหรือกิจกรรมใหนที่ทำให้มีความทุกข์ ในการเขียนบันทึกประจำวันนั้นให้เราเขียนแบบเรื่อยๆแบบระบายความรู้สึกตามสิ่งที่เราทำหรือเกิดขึ้นจริงโดยไม่ต้องแสดงความคิดเห็นใดๆลงไปหลังจากเขียนบันทึกประจำวัน​เสร็จแล้วลองอ่านเนื้อหาของบันทึกประจำที่เขียนอีกครั้งเพื่อจับประเด็นมาฝึกสมาธิหรือฝึกจิต ทั้งนี้การเขียนบันทึกลงกระดาษหรือพิมพ์​ออกมาเป็นตัวอักษร​ยังเป็นการช่วยระบายความรู้สึกหรือระบายความเครียดออกมาในรูปแบบหนึ่ง ลองนำไปทำดูนะคะ หลังจากนั้นระบุออกมาเป็นข้อๆแยกเป็น 2 ประเด็นคือ กิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขและกิจกรรม​ที่ทำให้เรามีความทุกข์  แล้วเราจะนำเอากิจกรรมที่มีความทุกข์นั้นมาปรับเพื่อลดและเพิ่มกิจกรรม​ที่มีความสุขเรื่อยๆต่อไป


● ขั้นตอนการฝึกสมาธิ​หรือการฝึกจิตเพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพ​คือ
1.สถานที่ควรมีความเงียบสงบไม่มีเสียงดังรบกวน มีอากาศถ่ายเทได้ดี
2.เลือกท่านั่งที่สบาย หลังตรง หน้าตรง ไม่ก้มหน้าหรือเงยหน้า
3.กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับหลับตาโดยกำหนดคำว่าพุทธ​เป็นการหายใจเข้าและโทเป็นการหายใจออกหรือกำหนดหายใจเข้าเป็นเงินและหายใจออกเป็นทองก็ได้เพื่อเป็นพลังทางจิตใจก็ได้ไม่ผิดเช่นกัน
4.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตใช้เวลาประมาณ5-10นาทีต่อครั้งโดยทำก่อนนอนหรือหลังการตื่นนอนก่อนทำกิจกรรมในวันใหม่ต่อไป

● ประโยชน์ของการฝึกสมาธิหรือฝึกจิตจากทีมนักวิจัยบริติชโคลัมเบีย​พบว่ามีผลดีอย่างมหาศาลโดยเพิ่มพลังอย่างไร้ขีดจำกัดต่อสมองของคนเราดังต่อไปนี้คือ
1.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยเสริมสร้างสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมตนเองและการควบคุมพฤติกรรม​ได้ดีขึ้น
2.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยในด้านการตัดสินใจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเป็นการลดข้อขัดแย้งได้และช่วยลดปัญหาสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมการยึดติดให้มีความยืดหยุ่นตามความเหมาะสม
3.ช่วยให้ผู้ฝึกสมาธิหรือฝึกจิตเข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ดีขึ้นอีกด้วย
4.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยรักษาอาการซึมเศร้าหรือหดหู่และโรคเครียดหลังจากเหตุการณ์​สะเทือนขวัญ​ในอดีตช่วยให้สามารถฟื้นตัวจากสภาวะ​ทุกข์​ยากได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้เข้าใจความคิดและความรู้สึกของตนเองได้ดีขึ้น

จะเห็นได้ว่าการฝึกสมาธิ​หรือฝึกจิตนั้นสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสมองระดับธรรมดาสามัญ​ทั่วไปให้ขึ้นสู่ระดับอัจฉริยะ​ได้จริงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​ให้ดีขึ้นได้จริงๆอีกด้วยเรามาลองฝึกสมาธิหรือฝึกจิตกันเถอะแล้วประเมินผลหลังปฏิบัติแล้วหนึ่งเดือนกันคะว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง

แชร์ให้เพื่อน

เมนูดิบเสี่ยงโรคอะไรบ้าง? อย่าละเลยเรื่องการกิน

แชร์ให้เพื่อน

เมนูดิบเสี่ยงโรคอะไรบ้าง? อย่าละเลยเรื่องการกิน

การกินอาหารดิบหรือสุกๆดิบๆนั้นมีมาช้านานแล้วแต่เนื่องจากในปัจจุบันนี้​มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์​มากขึ้นทำให้มีพฤติกรรม​การเลียนแบบในด้านการรับประทานอาหารเมนูดิบเช่น  เนื้อวัว เครื่องในวัว เนื้อหมู ปลาน้ำจืด ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมแต่คนกินดิบก็เลือกมารับประทานเพื่อต้องการเรียกยอดการดูวีดีโอ ซึ่งไม่ได้ตระหนักถึงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น

เรามาดูกันว่าการรับประทานอาหารดิบหรือสุกๆดิบๆนั้นเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาด้านสุขภาพอะไรบ้าง
1.โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร   อาหารดิบหรือสุกๆดิบๆนั้นเป็นอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงสุกซึ่งมักมีเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหารเมื่อรับประทานเข้าไปก็เท่ากับนำเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้​ อาเจียน ท้องเสีย หรือมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจท้องเสียจนเกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง เกิดปัญหา​ไตวายเฉียบพลัน จนช็อคจากอาการขาดน้ำและเสียชีวิตตามมาได้
2.โรคพยาธิ​ตัวตืด โดยทั่วไปแล้วการเกิดพยาธิตัวตืดในทางเดินอาหารนั้นเกิดจากการรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อควายดิบหรือปรุงสุกๆดิบๆ ที่มีปนเปื้อนของไข่พยาธิตัวตืดในเนื้อสัตว์เมื่อเข้าสู่ทางเดินอาหารเกิดการแพร่พันธุ์​พยาธิตัวแก่จะดูดกินเลือดทำให้เกิดภาวะซีด คลื่นไส้​เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บางรายถึงขั้นเป็นโรคขาดสารอาหารตามมาได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่พยาธิตัวตืดก็ก่อโรคเกิดความไม่ปกติสุขในชีวิตตามมาได้
3.โรคไข้หูดับ เกิดจากการรับประทานเนื้อหมูดิบ ที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย​ ที่มีชื่อว่า Streptococcus Suis ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกายเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ​และติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง อาเจียน คอแข็ง เกิดภาวะแทรกซ้อนหูดับถาวรหรือเสียชีวิตได้
4.โรคพยาธิใบไม้​ตับ พบได้บ่อยในแถบภาคเหนือและภาคอีสานเกิดจากการรับประทานปลาน้ำจืดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการปรุงสุกเช่น ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาขาว ปลาตะเพียน โดยทำเมนูพล่า ก้อยปลา ปลาหมกไฟ หรือปลาร้า ซึ่งในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเกิดมีพยาธิสะสมมากๆเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง เจ็บชายโครงขวา ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต มีไข้ บางรายกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดีทำให้เสียชีวิตได้
5.โรคพิษสุนัขบ้า การติดเชื้อพิษสุนัข​บ้าจากการรับประทานเนื้อวัวหรือเนื้อควายที่มีการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าแล้วคนไม่รู้จึงแล่เนื้อวัวหรือเนื้อควายมารับประทานโดยไม่ผ่านการปรุงสุกจึงทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้สามารถอ่านเนื้อหาในบทความเพิ่มเติมโรคพิษสุนัขบ้า
6.โรคพยาธิหอยโข่ง เป็นพยาธิตัวกลมเป็นสาเหตุของโรคสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ​ในคนที่มีประวัติการรับประทานหอยโข่ง หอยเชอร์รี่​ดิบหรือปรุงแบบสุกๆดิบๆ หรือเนื้อสัตว์จำพวก กบ กุ้ง ปู และตะกวดโดยกินเมนูพล่ากุ้งดิบ กุ้งเต้น ซึ่งพบได้บ่อยในแถบภาคอีสานของประเทศไทย

 

แชร์ให้เพื่อน