การดูแลตัวเองเมื่อเจ็บป่วยเรื้อรัง

แชร์ให้เพื่อน

การดูแลตัวเองเมื่อเจ็บป่วยเรื้อรัง

ภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรังนั้นเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญอันดับแรกของเกือบทุกประเทศ
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง คือ ความบกพร่องที่เบี่ยงเบนจากปกติอาจมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างต่อไปนี้
1.มีการเปลี่ยนแปลง​อย่างถาวร
2.มีความพิการหลง​เหลืออยู่​
3.พยาธิสภาพ​ที่เกิดขึ้นไม่กลับคืนสู่ปกติ
4.ต้องอาศัยการฟื้นฟู​สภาพเป็นพิเศษ
5.ต้องมีการดูแลหรือช่วยเหลือแนะนำในระยะยาว
ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังต้องใช้เวลายาวนานเป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิต ผลของโรคทำให้เกิดความไม่สุขสบาย ความเจ็บ​ปวด การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ​ของร่างกาย มีเลือดออกและโลหิตจาง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมักมีหลายๆโรคเกิดขึ้นพร้อมกันเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไตวายเรื้อรัง​ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจเป็นต้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังได้แก่
1.ความเจ็บปวด อาจเกิดขึ้นตลอดเวลาหรือบางครั้งส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้า​ไม่มีชีวิตชีวา หงุดหงิด แยกตัว สูญเสีย​พลังอำนาจและก้าวร้าว
2.ความสามารถลดลงจากเดิม ประเมินคุณค่า​ตนเองลดลง
3.เกิดการแยกตัวและโดดเดี่ยว ด้อยค่ากว่าคนอื่น ไม่เข้าสังคม มีข้อจำกัดการเคลื่อนไหว
4.ความโกรธ​ เป็นปฏิกิริยา​ต่อความเจ็บป่วยเรื้อรังที่พบได้บ่อย โกรธตนเอง อิจฉา​คนอื่นที่สุขภาพดี

ขั้นตอนในการจัดการเมื่อเกิดภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังมีดังนี้
1.แสวงหาความช่วยเหลือจากบุคคลที่เชื่อถือได้​
2.รับรู้ สนใจ และจัดการดูแลเบื้องต้นเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อน​เฉียบพลันหรือระยะยาว
3.ติดตามรับการรักษาต่อเนื่อง และฟื้นฟูสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ​และเหมาะสม​เช่น การปรับเปลี่ยนยา
4.ยอมรับการพึ่งพาบุคคลอื่น ตามความจำเป็น
5.ปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน​ให้เหมาะสม​กับสภาวะสุขภาพ
6.เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับภาวะการเจ็บป่วยเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ​
7.แสวงหาและใช้แหล่งประโยชน์​ในชุมชนเพื่อช่วยพัฒนาการดูแลตนเอง

ลักษณะ​เฉพาะ​ของกลุ่มช่วยเหลือ​ตนเองในผู้ป่วยเรื้อรังมีดังนี้
1.กลุ่มบุคคล​ที่มีประสบการณ์​คล้ายกัน ฉะนั้นผู้ช่วยเหลือและรับความช่วยเหลือ​มีปัญหา​ที่คล้ายคลึง​กัน
2.สมาชิกให้ความช่วยเหลือ​ให้กำลังใจ​ ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน​ในกลุ่ม
3.สมาชิก​ได้ประโยชน์​สูงสุดจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์​ซึ่งกันและกัน​ตามที่แต่ละคน​ประสบมา ทำให้มีกำลังใจและเกิดความศรัทธา
4.กลุ่มช่วยให้สมาชิก​ได้รับข้อมูล​ข่าวสาร​ที่สำคัญ ทำให้สมาชิก​เข้าใจปัญหา​ของตนเอง

แนวคิดการทำงานของกลุ่มช่วยเหลือตนเอง
1.1.สมาชิก​ของกลุ่มมาจากบุคคล​ที่มีปัญหา​อย่างเดียวกัน​ ทำให้​เกิดความรู้สึก​เหมือน ลงเรือลำ​เดียวกัน​
2.มีผู้แนะนำ​โดยคำแนะนำ​ในระดับที่ปฏิบัติได้โดยง่าย
3.มิตรภาพ​ที่เกิดขึ้น​จากความรู้สึก​เป็นพวกเดียวกัน ทำให้สมาชิก​ยอมรับซึ่งกันและกันบนพื้นฐาน​ของ​ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ ทำให้เกิดการยอมรับและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​ต่างๆเพื่อแก้ปัญา​ให้ดีขึ้น
4.การได้พบเห็น​บุคคล​ที่มีปัญหา​เพื่อได้เป็นแบบอย่างเพื่อผ่านพ้นปัญหา​และภาวะวิกฤติ​ต่างๆ
5.การได้พูดคุย​แลกเปลี่ยน​ประสบการณ์​อย่างเป็นกันเอง​กับพวกเดียวกัน ทำให้ได้ระบายความรู้สึกทุกข์​ คับข้องใจ​ ความกลัว ความวิตกกังวล ความสิ้นหวัง​และปัญหาอื่นๆ
6.การได้พบปะ​คนอื่นๆที่มีปัญหา​เดียวกัน​ ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว​หรือสิ้นหวัง ทำให้ลดการแยกตัวจากสังคม
จะเห็นได้ว่าการดูแลผู้ป่วยเจ็บป่วยเรื้อรังนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงานเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงกับคนปกติให้มากที่สุด

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ทักษะการจัดการความเครียดด้วยตนเอง

แชร์ให้เพื่อน

ทักษะการจัดการความเครียดด้วยตนเอง

ชีวิตของมนุษย​์เรานั้นต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆในชีวิตจากเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม​ต่างๆเช่นการตกงาน ภาวะสงคราม​ การเมือง สิ่งแวดล้อม​เป็นพิษ ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ​  การหย่าร้าง และความเจ็บป่วยเป็นต้น ซึ่งความเครียดเหล่านี้ส่งผลต่อภาวะด้านสุขภาพ ดังนั้นความสามารถในการจัดการกับความเครียดของคนแต่ละคนได้ไม่เท่ากัน บางคนปรับตัวกับเหตุการณ์​ต่างๆที่เลวร้ายได้ดีโดยไม่เกิดผลกระทบสุขภาพ ขณะที่บางคนอาจไม่สามารถปรับตัวได้ เกิดความเจ็บป่วย​และสูญเสีย​การทำหน้าที่ของตนเอง

มนุษย์​เราเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้นจะตอบสนองต่อภาวะเครียดตามระยะต่างๆได้แก่
1.ระยะช๊อค ทำให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว  ความดันโลหิตสูงขึ้น  หายใจเร็ว มีอาการคลื่นไส้​อาเจียน​ ม่านตาขยาย เหงื่อออกมากผิดปกติ​การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น
2.ระยะหมดกำลัง เมื่อเกิดความเครียดรุนแรงและไม่สามารถขจัดปัญหา​ออกไปได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือประคับประคองที่เหมาะสม กลไกการปรับตัวจะล้มเหลว​ ทำให้เกิดโรค เจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ในที่สุด  หากความเครียดยังคงมีต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลทำให้ปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ​อาหารอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหาร​ตามมาได้

การจัดการกับความเครียดในแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัย​ภายในและภายนอกเช่น อายุ เพศ กรรมพันธุ์​ ยาและอาหารเป็นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต​คือความสามารถในการปรับตัวหรือพลังงานในการปรับตัว ซึ่งพลังงานดังกล่าว​มีมากในวัยหนุ่มสาว​แต่จะต่ำในเด็กและผู้สูงอายุ เมื่อเกิดความอ่อนล้า​จากภาวะเครียดอย่างมาก การนอนหลับพักผ่อนจะทำให้มีแรงสู้ แต่ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่างไม่ได้ จึงเกิดการสึกหรอและมีอาการของความชราเกิดขึ้น ฉะนั้นมนุษย์​เราควรรู้จักดึงเอาพลังงานการปรับตัวมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์​สูงสุด

การเผชิญ​กับความเครียดมี 2 ลักษณะ​คือ
1.การมุ่งประเด็นเพื่อแก้ปัญหา​ โดยจัดการกับแหล่งความเครียดหรือจัดการกับตนเองโดยพยายามมุ่งแก้ปัญหาเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์​ให้ดีขึ้น
2.การจัดการกับอารมณ์​เป็นการปรับอารมณ์​ความรู้สึกเพื่อไม่ให้เสียขวัญ​หรือกำลังใจ เพื่อสามารถจัดการกับปัญหา​ได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ เช่นการปฏิเสธ​โรคร้ายแรง​เพื่อไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์​จนไม่สามารถทำอะไรได้

วิธีการเผชิญ​กับความเครียดมี 5 วิธีคือ
1.การเริ่มต้นแสวงหาข้อมูลโดยการเรียนรู้และเข้าใจปัญหาเพื่อหาทางแก้ไข
2.การกระทำโดยตรงเพื่อจัดการกับเหตุการณ์​ที่ทำให้เครียด
3.การหยุดยั้งการกระทำ หยุดทำในกิจกรรม​ที่คิดว่าเป็นอันตรายหรือกระตุ้นให้เกิดความเครียดรุนแรงขึ้น
4.การแสวงหาความช่วยเหลือจากบุคคล​ภายนอก หรือคนรอบข้างเป็นต้น
5.การใช้กลไกทางจิตเช่น เบี่ยงเบนความสนใจ แสวงหาความพอใจจากสิ่งอื่น รวมถึงการปฏิเสธ​หรือเก็บกด เป็นต้น

ที่พบได้บ่อยเช่น การปฏิเสธ​เมื่อเจ็บป่วยร้ายแรงเพื่อขอเวลาตั้งตัวจึงถือว่าเป็นการจัดการความเครียดได้เหมาะสม เพราะผู้ป่วยสับสนและอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้ในทันทีทันใด การปฏิเสธ​ทำให้มีความหวังเพื่อตระหนักถึงความจริงที่เกิดขึ้น

แหล่งประโยชน์​ในการเผชิญกับความเครียด ได้แก่
1.คนที่มีสุขภาพดี แข็งแรง มีพละกำลัง จะช่วยให้เผชิญ​ความเครียดได้ดี
2.ความเชื่อว่าตนสามารถควบคุมผลที่ตามมาและมีความหวังที่จะจัดการความเครียดด้วยตนเองได้
3.บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล​แสวงหาข้อมูลความรู้เพื่อเผชิญ​กับความเครียด
4.มีทักษะ​ในการขอความช่วยเหลือทางสังคม
5.แหล่งประโยชน์​ทางด้านวัตถุ การมีเงินทองที่เอื้ออำนวยในการเผชิญ​กับความเครียด

การดูแลตนเองเพื่อขจัดความเครียด แบ่งออกเป็น
1.การรู้จักบริหารเวลา รับประทานอาหารที่เหมาะสม​ ออกกำลังกาย หาทางออกเพื่อเผชิญ​ปัญหา งดสูบบุหรี่​ดื่มสุรา รู้จักสร้างสัมพันธภาพ​กับบุคคลอื่นเพื่อจะได้พึ่งพาซึ่งกันและกัน
2.รู้จักมองและประเมินสถานการณ์​ตามที่เป็นจริง โดยไม่ทำให้เหตุการณ์​ปกติทำให้เกิดความเครียด เช่นบุคลิก​ที่จริงจังเกินไป เรียนรู้ข้อจำกัดของตัวเองโดยการแสดงความเห็นและความรู้สึกที่ถูกต้อง
3.เรียนรู้ทักษะ​การผ่อนคลาย ทำสมาธิ การฝึกหายใจ การฝึกจิต เป็นต้น
ประเด็นหลักๆในการจัดการกับความเครียดที่ดีคือต้องมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี สามารถหาแหล่งภายนอกเพื่อช่วยเหลือ ควบคุมอารมณ์​และสถานการณ์​ รวมถึงการฝึกจิตให้ผ่อนคลายเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกายและจิตใจตามมา

ติดตามบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

เมื่อฉันต้องรับมือกับลูกสาวย่างเข้าสู่เด็กหญิงวัยรุ่นยุคใหม่ก้าวไกลสู่อนาคต

แชร์ให้เพื่อน

เมื่อฉันต้องรับมือกับลูกสาวย่างเข้าสู่เด็กหญิงวัยรุ่นยุคใหม่ก้าวไกลสู่อนาคต

วัยรุ่นนั้นเป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ  ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าตัวเองไม่ได้ผ่านวัยรุ่นมาก่อนเพราะวัยรุ่นนั้นเป็นพัฒนาการตามวัยของมนุษย​์  ขณะที่พ่อแม่บางคนมักจะพูดว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนซึ่งเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องครึ่งหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมดเพราะสมัยนั้นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี่ไม่ได้รวดเร็วขนาดนี้ดังนั้นการเลี้ยงลูกสาวเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นในยุคสมัยปัจจุบัน​อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมด้วย

พัฒนาการของเด็กหญิงวัยรุ่น
เด็กหญิงวัยรุ่นเริ่มเข้าสู่พัฒนาการทางเพศเมื่ออายุ 8-13 ปีและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่ออายุ 10-14ปี โดยมีความเปลี่ยนแปลงด้าน ส่วนสูงของร่างกายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เริ่มมีนมตั้งเต้า สะโพกมีส่วนเว้าส่วนโค้ง เริ่มมีขนขึ้นที่อวัยวะเพศ​และมีประจำเดือน เมื่อลูกสาวย่างเข้าสู่วัยรุ่นมีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ต้องเดือนร้อนวุ่นวายใจกับการรับมือกับเด็กสาววัยรุ่นในครอบครัว สำหรับบางครอบครัวนั้นอาจไม่ใช่เป็นประเด็นในการรับมือเนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการตามวัยเท่านั้น

ความเครียดที่มีผลกระทบต่อลูกสาวเมื่อย่างเข้าสู่เด็กวัยรุ่นหญิง
1.ด้านอัตลักษณ์​ตัวตนของเด็กหญิงสาววัยรุ่น เนื่องจากเด็กหญิงวัยรุ่นเป็นพัฒนาการต่อจากเด็กหญิงวัยเด็ก ทำให้ต้องเผชิญกับความคาดหวังของผู้อื่นมากขึ้นทั้งในด้านความรับผิดชอบตนเอง พึ่งพาพ่อแม่น้อยลง ถ้าพ่อแม่ได้เตรียมความพร้อมให้ลูกสาวมีความรับผิดชอบตามวัยได้อย่างเหมาะสมก็จะไม่เป็นปัญหามากนัก  เด็กวัยรุ่นหญิงต้องปรับตัวทางอารมณ์​และสังคมเป็นอย่างมาก มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สร้างทัศนคติ​และค่านิยมในชีวิต เริ่มเรียนรู้และยอมรับในความสามารถของตนเอง โดยเด็กวัยรุ่นหญิงที่ใช้สติปัญญาย่อมมองเห็นความแตกต่างระหว่างตัวตนจริงๆกับตัวตนในอุดมคติ ซึ่งการมองตัวตนนี้ได้รับมาจากพ่อแม่ คนในครอบครัว ใกล้ชิด เพื่อนฝูง เนตไอดอล สังคมวัฒนธรรม​ที่แวดล้อมอยู่  ถ้าสังคมรอบข้างยอมรับทำให้เด็กวัยรุ่นหญิงมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น
2.อารมณ์​ของเด็กหญิงวัยรุ่น  อารมณ์​ของเด็กหญิงวัยรุ่นเป็นผลสืบเนื่องจากวัยเด็กหญิง มักมีอารมณ์​รุนแรงเพิ่มขึ้นบ้าง มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ บางครั้งโอบอ้อมอารีหรือมีความเห็นแก่ตัวหรือขัดแย้งแบบเด็กๆ มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับผู้ใหญ่เสมอ พ่อแม่ต้องให้โอกาสเด็กหญิงวัยรุ่นได้แสดงความคิดเห็น​จะสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการขึ้นทีละขั้นไม่ทำให้เกิดความเครียดและปัญหาทางอารมณ์​ตามมา  เมื่ออยู่กับเพื่อนต้องการการยอมรับ  เด็กเองไม่ชอบการบังคับและมีข้อขัดแย้งอยู่ในใจของเด็กเสมอ เช่น บางครั้งทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ จะได้ทำตามใจตนเอง บางครั้งอยากต้องการคนดูแลอยากสบายเหมือนเด็กทำให้เกิดความอิจฉา​น้องตามมา วัยนี้เป็นวัยเริ่มเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่ทำให้เกิดการฝ่าฝืนกฏระเบียบบ้าง ไม่เห็นด้วย เกิดความขัดแย้ง ยกเหตุผล​ต่างๆนานาเนื่องจากต้องการความอิสระนั่นเอง  บ่อยครั้งที่ครอบครัวมีเด็กหญิงวัยรุ่น ทำให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น การแต่งตัว ถ้าพ่อแม่เข้มงวดเด็กหญิงวัยรุ่นจะเกิดความเครียดมากขึ้น ที่สำคัญเด็กหญิงวัยนี้ต้องการการยอมรับความเป็นเพศหญิง​ของตนเอง  เริ่มใส่ใจกับภาพลักษณ์​หน้าตาของตัวเองมากขึ้น มีความกังวลกับรูปร่างที่โตเก้งก้าง​ ขณะที่ผู้ใหญ่มองเป็นเรื่องปกติ แต่เด็กมีความกังวลเนื่องจากต้องการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน นอกจากนี้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงของต่อมไร้ท่อและอวัยวะ​ภายในทำให้กินจุขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น ต้องการพักผ่อนมากขึ้นผู้ใหญ่จึงมองว่าเด็กเกียจคร้าน​มีความขัดแย้งตามมาได้  เด็กเริ่มให้ความสนใจเพื่อนต่างเพศ ต้องการพึ่งตนเอง อยู่เป็นแก๊งค์​เป็นกลุ่ม เมื่อผู้ใหญ่ขัดขวางก็ทำให้เกิดความเครียด หงุดหงิด อยากหลบออกจากบ้านหรือเก็บตัวในห้อง ไม่มั่นใจและเกิดความคับข้องใจอยู่เสมอ


3.ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ และจิตวิญญานของ​เด็กวัยรุ่นหญิง มีความต้องการใหม่ๆเมื่อไม่ได้ดั่งใจทำให้เกิดความอึดอัด โกรธ  มีความรักสวยรักงามต้องการอวดเพศตรงข้าม  กังวลกับการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงของร่างกาย บางคนเดินตัวงอเป็นต้น  ด้านสติปัญญา​เจริญเติบโต​อย่างรวดเร็ว​เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  เริ่มรับผิดชอบและต้องการอิสระ เริ่มหัดตัดสินใจด้วยตนเอง  บางรายมีอารมณ์​เปลี่ยนแปลงง่าย เชื่อมั่นในความถูกต้อง ความดี บางครั้งเกิดความระแวงไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆต้องหาเหตุผลมายืนยันถึงจะเชื่อหรือยอมรับ  สร้างจิตนาการด้านความรัก ความสำเร็จ​ ความปลอดภัย สงสารตนเอง เปรียบเทียบกับพี่หรือน้อง มีความสนใจด้านดนตรี หรือวรรณกรรม​ต่างๆ
4.พัฒนาการด้านสังคมของเด็กวัยรุ่นหญิง ต้องการการยอมรับจากพ่อแม่หรือกลุ่มเพื่อน ครูบาอาจารย์​เป็นต้น
5.ความสนใจของเด็กวัยรุ่นหญิง  เริ่มให้ความสนใจด้านความสวยความงาม เสื้อผ้าอาภรณ์​  เพื่อนต่างเพศ  มีความเพ้อฝันด้านอาชีพ สนใจด้านกีฬา​ ศิลปะ​ดนตรี การแสดง งานอดิเรก​  การค้นคว้า​ทางวิทยาศาสตร์​  งานประดิษฐ์  การเขียนหนังสือ บทประพันธ์​หรือแอนนิเมชั่น​ต่างๆเป็นต้น  เริ่มมีปรัชญา​ของชีวิต​ คิดหลักศีลธรรม​ มีอุดมคติ หลักเกณฑ์​ หรือสร้างไอดอลของตนเอง

จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของเด็กวัยรุ่นหญิงนั้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่หรือบุคคลใกล้ชิด​ต้องให้ความใส่ใจเพื่อให้เด็กวัยรุ่นหญิงสามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงตามวัยได้อย่างเหมาะสมจะได้ไม่เกิดความรู้สึกติดขัดหรือผลกระทบต่อพฤติกรรม​เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ สุดท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่าเด็กหญิงวัยรุ่นในวันนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในโลกแห่งอนาคต

สนใจบทความอื่นๆอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้อที่สำคัญที่ต้องระวัง (Clarithromycin)​ ในการรักษาช่วงโควิด19 ระบาด

แชร์ให้เพื่อน

ผลข้างเคียงของยาฆ่าเชื้อ Clarithromycin ที่ต้องระวัง ในการรักษาโรคโควิด 19

ภาวะการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย​์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ถ้าไม่ป่วยวันนี้วันหน้าอาจต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างประเด็นของโรคระบาดโควิด19ในรอบ4ปีที่ผ่านมาซึ่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐ​กิจและสุขภาพจากภาวะแทรกซ้อนหลังเจ็บป่วยโรคโควิด 19
ผู้เขียนเองก็มีภาวะติดเชื้อโควิด19 เช่นกันดังนั้นจะขอกล่าวถึงกระบวนการการรักษาและขั้นตอนที่ได้ประสบด้วยตนเองดังต่อไปนี้

เหตุการณ์​เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2021 มีอาการไข้ ไอ และเจ็บคอ ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นว่าเป็นคออักเสบ(pharyngitis) ได้รับยา klacid มารับประทานพร้อมกับคำแนะนำให้ไปตรวจหาเชื้อโควิด19 หลังจากรับประทานยา klacid ไปประมาณ
1 -​2 วันเริ่มมีอาการลิ้นไม่รับรส  จมูกไม่ได้กลิ่นเข้าหลักเกณฑ์​อาการของโรคโควิด19 ผู้เขียนจึงตัดสินใจไปตรวจหาเชื้อโควิด19ซึ่งก็พบเชื้อทันทีที่ตรวจหลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการรักษาโดยการกักตัวอยู่ที่บ้านเนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่มีเตียงเพื่อรองรับต่อมาน้องที่อยู่ห้องเดียวกันก็มีอาการไข้ เจ็บคอจึงไปตรวจหาเชื้อและพบเชื้อเช่นกันแต่น้องสาวไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อเลยซึ่งต่างกับผู้เขียนที่ได้รับยาklacid ช่วงก่อนตรวจพบเชื้อโควิด19
ในขณะที่ผู้เขียนมีอาการรุนแรงกว่าน้องสาวเช่น มีอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล ไข้หนาวสั่น เข้าขั้นอาการทางจิตเลยทีเดียว  ขณะที่น้องสาวมีอาการไข้ทั่วไป นอนหลับได้ซึ่งแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน

ยา klacid​ นั้นใช้รักษาโรคอะไรและมี side effects อะไรบ้าง?
ยาคลาริโทรมัยซิน(Clarithromycin)​เป็นยากลุ่มแมคโครไลด์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย​และการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรีย​ โดยที่ยาคลาริโทรมัยซินไม่สามารถรักษาไข้หวัดหรือเชื้อไวรัสได้ซึ่งย่อมรวมถึงเชื้อโควิด19เช่นกัน

คำเตือนในการใช้ยาคลาริโทรมัยซิน
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้ไม่ควรใช้ได้แก่
1.กลุ่มที่มีประวัติโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดลองคิวทีซินโดรม(Long QT syndrome)
2.มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติอันตรายถึงชีวิต
3.เป็นดีซ่านหรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับจากการใช้ยา Clarithromycin
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาคลาริโทรมัยซินมีดังต่อไปนี้
1.คลื่นไส้ อาเจียน  ถ่ายเหลวซึ่งอาการดังกล่าวนี้ผู้เขียนก็มีช่วงเป็นโควิด19เช่นกัน
2.นอนไม่หลับ(Insomnia)​เป็นอาการที่เกิดขึ้นช่วงโควิดเช่นกัน
3.เห็นภาพหลอน(Hallucinations (Seeing or hearing thing that are not there) ซึ่งผู้เขียนก็มีอาการนี้เช่นกันถึงขั้นต้องได้รับการรักษาด้วยยาทางจิตเวชเลยทีเดียวและไม่ได้ไปรับการรักษาในประเด็นนี้ต่อ เนื่องจากมีความเชื่อว่าถ้าเกิดจากภาวะของยาklacid และโควิด19 จริง ปัญหาด้านนี้ย่อมหายไปเองเมื่อหยุดยาklacid และโรคโควิด19 หายแล้ว
4.จากประเด็นปัญหาผลข้างเคียงของยา klacid ไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงทีเนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด19 ซึ่งโรงพยาบาลไม่มีเตียงรองรับที่เพียงพอนั่นเอง
5.ประเด็นปัญหาด้านหายใจลำบากนั้นเป็นทั้งจากการแพ้ยาklacid หรือจากโควิด19ก็ได้รวมกันซึ่งผู้เขียนก็ได้รับผลกระทบมาทั้ง2กรณี

แนวทางการรักษาโรคโควิด19 ในช่วงรอบ 4 ปีที่ผู้เขียนประสบด้วยตนเองคือ
เมื่อตรวจพบเชื้อโควิด19 จึงรับการรักษาตัวอยู่ที่บ้านแต่สำหรับคนทั่วไปนั้นอาจไม่มีอาการอะไรมากมายแต่สำหรับผู้เขียนได้รับยา klacid มากินร่วมด้วยจึงมีผลข้างเคียงที่ตามมาตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น หลังจากนั้นได้ย้ายเข้าไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสนามและโรงพยาบาลประจำจังหวัดรวมถึงอาการต่อเนื่องจากภาวะลองโควิด19รวมๆ แล้วผู้เขียนเองได้รับผลกระทบค่อนข้าง​มากระยะเวลายาวนานร่วม 6 เดือนเลยทีเดียวปัญหาที่พบมีในประเด็นดังนี้คือ
1.ภาวะซึมเศร้า บุคคลรอบข้างมักจะทักว่าทำไมถึงไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนแต่ก่อน อาการนอนไม่หลับนั้นเกิดผลกระทบมายาวนานผู้เขียนเลือกที่จะรับประทานยานอนหลับเป็นครั้งคราวเนื่องจากไม่อยากได้รับผลกระทบด้านการใช้ยานอนหลับต่อเนื่อง
2.ความจำหลงลืม ความจำด้านตัวเลข รหัสผ่านต่างๆ จำไม่ได้ต้องจดไว้ ทั้งที่ก่อนป่วยโควิด19 นั้นความจำดีเลยที่เดียวไม่ได้ยอตัวเองแต่อย่างใด
3.การอ่านหนังสือเพื่อจับประเด็นหรือเขียนเนื้อหาต่างๆไม่มีความต่อเนื่องหรือเชื่อมโยงเลย
4.การเข้าเข้าธุรกรรมการเงินหยุดชะงักใช้จ่ายโดยเงินสดแต่ก็ได้รับผลกระทบด้านลืมรับเงินทอนจ่ายเงินแบงค์ 1000 คิดว่าแบงค์ร้อยต่างๆเป็นต้น
ระยะเวลาผ่านพ้นไป 6 เดือนหลังหายจากอาการป่วยโรคโควิด19
1.ความคิดความจำเกี่ยวกับตัวเลข การวิเคราะห์ตัวเลข เชื่อมโยงกราฟเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
2.การอ่านหนังสือ จับใจความสำคัญ ลำดับเนื้อหาต่างๆเข้าสู่ภาวะปกติสมบูรณ์ถึงขั้นเขียนบทความเนื้อหาด้านสุขภาพ
3.การรับรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัวเข้าสู่ภาวะปกติ
4.ภาวะการนอนหลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีอาการง่วงนอน ซึ่งช่วงหลังโควิดใหม่ๆไม่มีอาการง่วงอยากนอนแต่อย่างใด

จากประสบการณ์​ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ผู้เขียนอยากให้ทุกคนตระหนักถึงการใช้ยาฆ่าเชื้อแม้กระบวนการได้ยาฆ่าเชื้อมาโดยผ่านทางคำสั่งแพทย์หรือซื้อยารับประทานเองถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆไม่ควรใช้แต่อย่างใดร่างกายจะสามารถปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติเพื่อให้สู่ความสมดุลได้เช่นกันเว้นแต่ภาวะนั้นเลวร้ายเกินกว่าร่างกายปรับตัวได้
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดีกันทั่วหน้า

สนใจบทความอื่นๆอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://healthybestcare.com

แชร์ให้เพื่อน

ยำทูน่าเมนูเพื่อสุขภาพ

แชร์ให้เพื่อน

ยำทูน่าเมนูเพื่อสุขภาพ

ปีเก่าผ่านพ้นไปปีใหม่เริ่มต้นขึ้นหลังจากผ่านการเฉลิมฉลองปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยเมนูอาหารประเภทเนื้อสัตว์  อาหารทะเล  กุ้ง หอย ปู ปลา ที่อุดมไปด้วยคอเลสเตอรอลสูงทำให้มีอาการวิงเวียนเราจึงย้อนกลับมาปรับอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพกันบ้างวันนี้เรามาดูกันว่าเมนูยำทูน่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ​อย่างไรกันบ้าง
เมนูอาหารประเภทยำจัดว่าเป็นอาหารที่มีรสชาติ​ถูกปากในสไตล์​ของ​คนไทยซึ่งอุดมไปด้วยสมุนไพรไทยหลากหลายชนิดเช่น ตะใคร้  หอมแดง  พริกขี้หนู  ใบสาระแหน่ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมะนาวนี่แหละถ้าไม่มีมะนาวก็ไม่ได้รสชาติ​ของยำที่แซ่บจัดจ้าน ก่อนอื่นเรามาดูว่าส่วนประกอบในการทำยำทูน่ามีอะไรบ้าง?


1.ทูน่ากระป๋อง

สำหรับทูน่ากระป๋องนั้นมีหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อเช่น ทูน่ากระป๋องในน้ำมันพืช ทูน่ากระป๋องในน้ำเกลือ และทูน่ากระป๋องในน้ำแร่เราจะเลือกทูน่ากระป๋องในน้ำแร่เพราะมีรสชาติอร่อยกว่าเมื่อทำเมนูยำ ทูน่าจัดว่าเป็นปลาทะเลที่อุดมไปด้วยDHAและโอเมก้า3ที่ช่วยบำรุงเซลล์​สมองด้านความจำ ย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล​

 


2.ตะไคร้

เราเก็บในสวนครัวมีทั้งตะไคร้​สีแดงและสีขาวเราเลือกแบบสีขาวมา2ต้นล้างทำความสะอาดหั่นเป็นแว่นๆพักไว้ ตะใคร้เป็นสมุนไพรไทยช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ มีกลิ่นหอม

3.หัวหอมแดง

เลือกหัวขนาดปานกลาง4-5หัวปอกล้างทำความสะอาดหั่นซอยพักไว้

4.ต้นหอม

เก็บจากสวนครัวปลูกใส่กระถางไว้​เก็บมา2-3ต้นล้างทำความสะอาดหั่นซอยพักไว้

5.พริกขี้หนูสวน

เก็บจากสวนครัวมาประมาณ10เม็ดเด็ดก้านพักไว้หากต้องการเพิ่มความเผ็ดจัดจ้านเพิ่มพริกชี้ฟ้าแดง เขียวหรือพริกกะเหรี่ยง​ได้ค่ะ

6.ใบสาระแหน่

เก็บจากสวนครัวประมาณ​1 กำมือล้างพักสะเด็ด​น้ำ

7.ผักกินเคียงได้แก่

ผักสลัด ผักชีลาว ผักกาดหิ่น แตงกวา หรือตามชอบคะล้างสะด็ดแช่เพื่อความกรอบ

8.ต่อไปเป็นขั้นตอนการเตรียมน้ำยำ การทำน้ำยำประกอบด้วยน้ำตาลทราย1ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ​ มะนาว1ลูกขนาดกลางถ้าไม่มีมะนาวสดใช้ผงมะนาวแทนได้คะ ผงนัวตามชอบคะ ผสมน้ำยำละลายเข้าด้วยกันชิมรสชาติ​เปรียวหวานตามชอบ

9.เตรียมเนื้อทูน่าโดยเทน้ำแร่ออกใช้แต่เนื้อทูน่าใช้ช้อนบี้ให้เป็นชิ้นเล็กพอคำเพื่อให้เข้ากับน้ำยำได้ดี ราดน้ำยำ เติมเครื่องยำเข้าด้วยกันคลุกเคล้าแค่นี้ก็ได้ยำทูน่าเพื่อสุขภาพกินกับผักเคียง ข้าวหอมร้อนๆ รสชาติ​ถูกใจอย่าลืมกดไลน์​กดแชร์กันนะคะ

ประโยชน์ของสมุนไพรไทยสามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความผัดฉ่าปลา​แซลมอน​ และต้มยำกุ้ง
หลังเฉลิมฉลองปีใหม่อย่าลืมปรับสมดุลร่างกายด้านอาหารการกินเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ​และออกกำลังกาย​อย่างสม่ำเสมอกันด้วยนะคะ

แชร์ให้เพื่อน

ฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยให้สมองธรรมดากลายเป็นสมองอัจฉริยะ​ได้

แชร์ให้เพื่อน

ฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยให้สมองธรรมดากลายเป็นสมองอัจฉริยะ​ได้

ในโลกแห่งสังคมออนไลน์​การใช้ชีวิตของคนส่วนใหญ่นั้นจะอยู่กับเครื่องมือสื่อสารเช่น การดู tiktok​ YouTube  การเล่นเกม  การพูดคุยทางออนไลน์​ ถ้าใช้เวลาอยู่กับเครื่องมือสื่อสารมากเกินไปควรหาเวลาผ่อนคลายเช่น การออกกำลังกาย ฟังเพลง  หรืออีกวิธีที่ได้ผลดีคือ การฝึกสมาธิหรือการฝึกจิตเพื่อเป็นการย้อนกลับมาดูพฤติกรรม​ตนเองว่าในแต่ละวันนั้นตนเองสูญเสียเวลาไปกับเรื่องอะไรมากที่สุด มีประโยชน์หรือโทษต่อสุขภาพจิตส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ โดยการฝึกสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติไม่มากไปหรือน้อยไปดูตามความเหมาะสม

ขั้นตอนการทำสมาธิหรือฝึกจิตควรเริ่มต้นอย่างไรบ้าง?
● ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมโดยการรวบรวมข้อมูลในการใช้ชีวิตประจำวันในแต่ละวันโดยการจดบันทึก​ประจำวันเพื่อเป็นการช่วยระลึก​ถึงกิจกรรม​ในแต่ละวันว่ามีอะไรบ้าง กิจกรรมใหนที่ช่วยส่งเสริมให้มีความสุขหรือกิจกรรมใหนที่ทำให้มีความทุกข์ ในการเขียนบันทึกประจำวันนั้นให้เราเขียนแบบเรื่อยๆแบบระบายความรู้สึกตามสิ่งที่เราทำหรือเกิดขึ้นจริงโดยไม่ต้องแสดงความคิดเห็นใดๆลงไปหลังจากเขียนบันทึกประจำวัน​เสร็จแล้วลองอ่านเนื้อหาของบันทึกประจำที่เขียนอีกครั้งเพื่อจับประเด็นมาฝึกสมาธิหรือฝึกจิต ทั้งนี้การเขียนบันทึกลงกระดาษหรือพิมพ์​ออกมาเป็นตัวอักษร​ยังเป็นการช่วยระบายความรู้สึกหรือระบายความเครียดออกมาในรูปแบบหนึ่ง ลองนำไปทำดูนะคะ หลังจากนั้นระบุออกมาเป็นข้อๆแยกเป็น 2 ประเด็นคือ กิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขและกิจกรรม​ที่ทำให้เรามีความทุกข์  แล้วเราจะนำเอากิจกรรมที่มีความทุกข์นั้นมาปรับเพื่อลดและเพิ่มกิจกรรม​ที่มีความสุขเรื่อยๆต่อไป


● ขั้นตอนการฝึกสมาธิ​หรือการฝึกจิตเพื่อให้ได้ผลดีต่อสุขภาพ​คือ
1.สถานที่ควรมีความเงียบสงบไม่มีเสียงดังรบกวน มีอากาศถ่ายเทได้ดี
2.เลือกท่านั่งที่สบาย หลังตรง หน้าตรง ไม่ก้มหน้าหรือเงยหน้า
3.กำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับหลับตาโดยกำหนดคำว่าพุทธ​เป็นการหายใจเข้าและโทเป็นการหายใจออกหรือกำหนดหายใจเข้าเป็นเงินและหายใจออกเป็นทองก็ได้เพื่อเป็นพลังทางจิตใจก็ได้ไม่ผิดเช่นกัน
4.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตใช้เวลาประมาณ5-10นาทีต่อครั้งโดยทำก่อนนอนหรือหลังการตื่นนอนก่อนทำกิจกรรมในวันใหม่ต่อไป

● ประโยชน์ของการฝึกสมาธิหรือฝึกจิตจากทีมนักวิจัยบริติชโคลัมเบีย​พบว่ามีผลดีอย่างมหาศาลโดยเพิ่มพลังอย่างไร้ขีดจำกัดต่อสมองของคนเราดังต่อไปนี้คือ
1.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยเสริมสร้างสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมตนเองและการควบคุมพฤติกรรม​ได้ดีขึ้น
2.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยในด้านการตัดสินใจให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเป็นการลดข้อขัดแย้งได้และช่วยลดปัญหาสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมการยึดติดให้มีความยืดหยุ่นตามความเหมาะสม
3.ช่วยให้ผู้ฝึกสมาธิหรือฝึกจิตเข้าใจธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ดีขึ้นอีกด้วย
4.การฝึกสมาธิหรือฝึกจิตช่วยรักษาอาการซึมเศร้าหรือหดหู่และโรคเครียดหลังจากเหตุการณ์​สะเทือนขวัญ​ในอดีตช่วยให้สามารถฟื้นตัวจากสภาวะ​ทุกข์​ยากได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้เข้าใจความคิดและความรู้สึกของตนเองได้ดีขึ้น

จะเห็นได้ว่าการฝึกสมาธิ​หรือฝึกจิตนั้นสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสมองระดับธรรมดาสามัญ​ทั่วไปให้ขึ้นสู่ระดับอัจฉริยะ​ได้จริงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​ให้ดีขึ้นได้จริงๆอีกด้วยเรามาลองฝึกสมาธิหรือฝึกจิตกันเถอะแล้วประเมินผลหลังปฏิบัติแล้วหนึ่งเดือนกันคะว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง

แชร์ให้เพื่อน

เมนูดิบเสี่ยงโรคอะไรบ้าง? อย่าละเลยเรื่องการกิน

แชร์ให้เพื่อน

เมนูดิบเสี่ยงโรคอะไรบ้าง? อย่าละเลยเรื่องการกิน

การกินอาหารดิบหรือสุกๆดิบๆนั้นมีมาช้านานแล้วแต่เนื่องจากในปัจจุบันนี้​มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์​มากขึ้นทำให้มีพฤติกรรม​การเลียนแบบในด้านการรับประทานอาหารเมนูดิบเช่น  เนื้อวัว เครื่องในวัว เนื้อหมู ปลาน้ำจืด ซึ่งเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมแต่คนกินดิบก็เลือกมารับประทานเพื่อต้องการเรียกยอดการดูวีดีโอ ซึ่งไม่ได้ตระหนักถึงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น

เรามาดูกันว่าการรับประทานอาหารดิบหรือสุกๆดิบๆนั้นเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาด้านสุขภาพอะไรบ้าง
1.โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร   อาหารดิบหรือสุกๆดิบๆนั้นเป็นอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงสุกซึ่งมักมีเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหารเมื่อรับประทานเข้าไปก็เท่ากับนำเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้​ อาเจียน ท้องเสีย หรือมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจท้องเสียจนเกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง เกิดปัญหา​ไตวายเฉียบพลัน จนช็อคจากอาการขาดน้ำและเสียชีวิตตามมาได้
2.โรคพยาธิ​ตัวตืด โดยทั่วไปแล้วการเกิดพยาธิตัวตืดในทางเดินอาหารนั้นเกิดจากการรับประทานเนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อควายดิบหรือปรุงสุกๆดิบๆ ที่มีปนเปื้อนของไข่พยาธิตัวตืดในเนื้อสัตว์เมื่อเข้าสู่ทางเดินอาหารเกิดการแพร่พันธุ์​พยาธิตัวแก่จะดูดกินเลือดทำให้เกิดภาวะซีด คลื่นไส้​เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บางรายถึงขั้นเป็นโรคขาดสารอาหารตามมาได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่พยาธิตัวตืดก็ก่อโรคเกิดความไม่ปกติสุขในชีวิตตามมาได้
3.โรคไข้หูดับ เกิดจากการรับประทานเนื้อหมูดิบ ที่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย​ ที่มีชื่อว่า Streptococcus Suis ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามร่างกายเกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ​และติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง อาเจียน คอแข็ง เกิดภาวะแทรกซ้อนหูดับถาวรหรือเสียชีวิตได้
4.โรคพยาธิใบไม้​ตับ พบได้บ่อยในแถบภาคเหนือและภาคอีสานเกิดจากการรับประทานปลาน้ำจืดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการปรุงสุกเช่น ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาขาว ปลาตะเพียน โดยทำเมนูพล่า ก้อยปลา ปลาหมกไฟ หรือปลาร้า ซึ่งในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเกิดมีพยาธิสะสมมากๆเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง เจ็บชายโครงขวา ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต มีไข้ บางรายกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดีทำให้เสียชีวิตได้
5.โรคพิษสุนัขบ้า การติดเชื้อพิษสุนัข​บ้าจากการรับประทานเนื้อวัวหรือเนื้อควายที่มีการติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าแล้วคนไม่รู้จึงแล่เนื้อวัวหรือเนื้อควายมารับประทานโดยไม่ผ่านการปรุงสุกจึงทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้สามารถอ่านเนื้อหาในบทความเพิ่มเติมโรคพิษสุนัขบ้า
6.โรคพยาธิหอยโข่ง เป็นพยาธิตัวกลมเป็นสาเหตุของโรคสมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ​ในคนที่มีประวัติการรับประทานหอยโข่ง หอยเชอร์รี่​ดิบหรือปรุงแบบสุกๆดิบๆ หรือเนื้อสัตว์จำพวก กบ กุ้ง ปู และตะกวดโดยกินเมนูพล่ากุ้งดิบ กุ้งเต้น ซึ่งพบได้บ่อยในแถบภาคอีสานของประเทศไทย

 

แชร์ให้เพื่อน

6 ประเด็น​ความเครียดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

แชร์ให้เพื่อน

6 ประเด็น​ความเครียดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

การลงทุน​ในสถานการณ์​ปัจจุบันของนักลงทุนรายย่อยในประเทศ​ไทยนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากประเด็นความร้อนแรงการเก็บภาษีการขายหุ้นไทยหลังมีข่าวกระทรวง​การคลังเสนอ ครม. จัดเก็บภาษีการขายหุ้น หรือ Financial Translation Tax นั่นเองซึ่งภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้น​มาตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน​ โดยเป็นภาษีธุรกิจ​เฉพาะ(Specific Business Tax) เป็นภาษีจากธุรกรรม​การขายหุ้น​(Transaction Tax) ในตลาดหลักทรัพย์​แห่งประเทศไ​ทยซึ่งคำนวนจากรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆทั้งสิ้นโดยจะต้องเสียภาษี​ในอัตรา 0.10%แม้ว่านักลงทุนจะทำรายการขายที่กำไรหรือขาดทุน​ก็ต้องเสียภาษี​ทั้งสิ้นถึงแม้จะยังไม่ได้ประกาศ​ออกมาอย่างแน่ชัดก็ตาม

ความเครียด(Stress)​หมายถึงสภาวะของอารมณ์​ความรู้สึก​ที่ถูกบีบคั้น​หรือกดดันซึ่งแต่ละคนจะปรับตัวให้ผ่านพ้นไปได้ ขณะที่ความเครียดที่จัดการไม่ได้จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเปลี่ยนเป็นภาวะซึมเศร้า​(Depressive disorder) หรือโรควิตกกังวล​(Anxiety) ตามมาได้

ในการลงทุนซื้อขายหุ้นนั้นเทรดเดอร์​จะต้องติดตามราคาหุ้น คิดและตัดสินใจ​ในแต่ละครั้งเพื่อทำรายการซื้อขายแต่เมื่อมีประเด็นการต้องเสียภาษี​ในการขายหุ้นเข้ามาทำให้นักลงทุนมีความเครียดเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในภาวะตลาดที่มีความผันผวน​สูง พฤติกรรม​ราคาไม่มีความแน่นอน โมเดลการเทรดที่เคยใช้อาจไม่ได้ผล มีความผิดพลาดได้ง่าย เกิดการขาดทุนร่วมด้วย ทำให้ตัดสินใจขายหุ้นออกมาทั้งที่ขาดทุนแถมยังต้องมีภาระทางภาษีเพิ่มเข้ามาอีกด้วย

นักลงทุนสามารถสังเกต​ตนเองว่าเกิดความเครียดได้อย่างไร?

  1. นอนไม่หลับ เมื่อเกิดความเครียด​ขึ้นจะส่งผลต่อคุณภาพ​การนอนหลับ​พัผ่อนหากนอนไม่หลับเป็นระยะ​เวลานานจะส่งผลต่อสุขภาพตามมาเกิดภาวะซึมเศร้า​หรือมีความเครียดรุนแรงตามมาได้
  2. มีอารมณ์​ฉุนเฉียว​ โกรธ หงุดหงิด สับสน มีโทสะ ไม่พอใจ ต้องการแก้เกมเพื่อให้ชนะตลาดถ้ามีอาการแบบนี้ให้หยุดเทรดเพื่อตั้งสติแล้วหันมาพิจารณา​ตนเองก่อน
  3. มีความวิตกกังวล​หรือเศร้าหมอง ทำให้นักลงทุนไม่มีความสุข เศร้าหรือวิตกกังวลกับเรื่องการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้
  4. พฤติกรรม​เปลี่ยนไป จากการรวมตัวของรายย่อยในพันทิป​ไม่ซื้อขายหุ้นในวันที่8ธันวาคม2565ที่ผ่านมาเพื่อประท้วงหลักการเก็บภาษีขายหุ้นส่งผลให้การซื้อขายในวันนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรม​การเบื่อยหน่ายและปิดกั้นตนเอง ไม่ร่าเริง ไม่พูดหรือนิ่งเงียบ
  5. ความเครียดดังกล่าวอาจแสดงออกทางกายโดยการหายใจถี่ขึ้น​หรือการกลั้นหายใจ​โดยไม่รู้ตัว​ปวดท้อง อาเจียน หรือปวดศีรษะ​ได้
  6. หากเป็นความเครียดที่รุนแรงทำให้เกิดการฆ่าตัวตายตามมาได้

 

การดูแลตนเองและการจัดการกับความเครียดของนักลงทุน​มีดังนี้

  • วิเคราะห์​หาสาเหตุ​ของความเครียดหากเกิดจากประเด็นการเสียภาษี​จากการขายหุ้นนักลงทุนแก้ปัญหาได้โดยลดการขายหุ้นลงหรือลงทุนทุนให้ยาวนานขึ้นโดยกำหนดว่าจะขายหุ้นออกมาเมื่อมีผลกำไรเท่านั้น
  • วางแผนล่วงหน้า​แบบหลักการเบื้องต้น​คือการสร้างระบบเทรดของตนเอง(Trading System) มีการบริหาร​ความเสี่ยง และกำหนดจุดเข้าซื้อหรือการขายทำกำไรหรือจุดขาดทุนที่ชัดเจน​
  • การทบทวน​สิ่งที่เกิดขึ้นโดยนักลงทุนใช้ทักษะการรับมือในสถานการณ์​ที่คับขันหรือเผชิญ​ในตลาดผันผวน​สูง โดยการจดบันทึก​สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งช่วงที่ทำกำไรได้และการขาดทุนเพื่อนำมาพัฒนาระบบการเทรดและวางแผนการลงทุนในอนาคต
  • ออกกำลังกายครั้งละ30นาทีหลังการเทรดในแต่ละวันหรือหากิจกรรม​อื่นแทนเพื่อเป็นการระบายความเครียดเช่นการทำกิจกรรม​สันทนาการ​ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเที่ยวเป็นต้น
  • นอนหลับพักผ่อน​ให้เพียงพอในแต่ละวัน นักลงทุนบางคนลงทุนในต่างประเทศด้วยซึ่งทำให้มีเวลานอนหลับพักผ่อน​ไม่เพียงอาจส่งผลต่อสุขภาพ​ได้
  • พบปะ​กับเพื่อนฝูงเพื่อเป็นการระบายปัญหาต่างๆ(หากเพื่อนรับฟังปัญหาเราได้)​
  • หากพบว่าไม่สามารถจัดการกับความเครียด​ได้ด้วยตนเองควรปรึกษาจิตแพทย์​อาจจำเป็นต้องรับยามารับประทาน​เพื่อบรรเทา​อาการเครียด​หรือวิตกกังวล

แม้ว่าปัญหา​ทางการเงินจะเป็นปัญหาโลกแตกที่แก้ไขยากแต่การจัดการทางการเงินโดย การหาเงิน การเก็บเงิน และการใช้จ่ายเงินเพื่อให้เกิดความสมดุล​ทางการเงินก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันแต่เหนือสิ่งอื่นใดมนุษย์​เราไม่สามารถ​ที่จะทำงานหาเงินตลอดได้ทั้งชีวิตดังนั้นการเลือกวิธีการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยมีไว้ใช้จ่ายในยามแก่ชราก็จำเป็นเช่นกัน

แชร์ให้เพื่อน

3 ประเภทของอาหารช่วยปรับสมดุลของร่างกาย

แชร์ให้เพื่อน

3 ประเภทของอาหารช่วยปรับสมดุลของร่างกาย

อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของการดำรง​ชีวิตของมนุษย​์ ดังนั้นการเลือกรับประทาน​อาหารให้เพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยป้องกันการเกิดภาวะโรคต่างๆตามมาเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง  โรคเบาหวาน โรคไตวาย ดังคำกล่าวที่ว่า  **You are what you eat**
จะเห็นได้ว่าชนิดของอาหารที่เลือกรับประทานในแต่ละภูมิภาค​ในโลกนั้นมีความแตกต่าง​กันตามสิ่งแวดล้อมเช่น การอยู่อาศัยในภูมิอากาศ​หนาวเหมาะสำหรับการเลือกรับประทาน​อาหาร​ที่มีไขมันสะสมในร่างกายเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น แต่ไม่เหมาะที่จะเลือกรับประทานอาหารประเภทผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งจะเหมาะสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในภูมิภาค​เขตร้อนมากกว่า
การเลือกรับประทานอาหารคลีน อาหารมังสวิรัติ​และอาหารเจช่วยปรับสมดุลของร่างกายได้อย่างไรบ้างมาอ่านกันเลย

● อาหาร​คลีน ​(Clean food)​

คืออาหารที่ผ่านการปรุงแต่งหรือแปรรูปน้อยที่สุด อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารสด​สะอาดผ่านการปรุงแต่งน้อยหรือ​ไม่ผ่านการปรุงแต่งเลย เน้นรสชาติ​ที่เป็นธรรมชาติ​ของอาหารเป็นหลักไม่ผ่านกระบวนการ​หมักดองหรือปรุงรสใดๆมากจน​เกินไป​เช่น รสเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด มันจัด เป็นต้น ดังนั้นการรับประทานอาหารตามปกติและถูกต้องตามหลักโภชนาการ​ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงปราศจาก​โรคภัยไข้เจ็บได้ หัวใจสำคัญในการเลือกรับประทานอาหาร​คลีน​นั้นคือการรับประทานอาหารให้ครบหลักห้าหมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการสารอาหารของร่างกายในแต่ละวัน ไม่ใช่เน้นการรับประทานผักเยอะๆเพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่าอาหารคลีนนั้นเหมาะสำหรับคนที่อ้วนเนื่องจากไม่ผ่านการปรุงแต่งเติมไขมัน ความหวาน ความเค็ม เพราะอาหารคลีนมีส่วนประกอบ​ที่เป็นธรรม​ชาติ​มากที่สุด หากผ่านการปรุง​แต่งก็จะน้อยมากจึงเหมาะสำหรับ​ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมัน และคนที่สนใจและใส่ใจในการดูแลสุขภาพเป็นหลัก
หัวใจสำคัญสำหรับคนที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม​การรับประทานอาหารปกติมาเป็นการรับประทานอาหารคลีนมีดังนี้คือ
1.เลือกดื่มน้ำสะอาด​แทนการดื่มเครื่องดื่มชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม และน้ำหวานประเภทต่างๆ
2.ควรค่อยๆลดอาหารประเภท​หมักดอง อาหารกึ่งสำเร็จรูป​และเน้นรับประทาน​อาหารที่สดและใหม่แทน
3.ควรค่อยๆปรับเปลี่ยนรสชาติของอาหารเช่นผู้ที่รับประทาน​อาหารรสจัด​ให้พยายามลดเครื่องปรุงลงจนไม่ปรุงเลยหรือปรุงให้น้อยที่สุด
4.ควรเลือกรับประทานอาหารกลุ่มผัก และผลไม้สดให้มากขึ้นเนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งรสชาติ​ของอาหาร
5.ก่อนการรับประทานอาหารสำเร็จรูป​ต้องอ่านฉลากทุกครั้งเพื่อเลือกส่วนผสมให้น้อยที่สุดและผ่านกรรมวิธี​น้อยที่สุด
6.ควรหลีกเลี่ยงกลิ่น สี รส ปรุงแต่ง หรือกลุ่มที่มีโซเดียมในปริมาณ​มากเกินไป
ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนมารับประทานอาหารคลีนต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป​ไม่ควรหักดิบเพราะการลดอาหารปกติอย่างเฉียบพลัน​อาจมีผลเสียมากกว่าผลดีเช่น ทำให้ไม่มีแรง เกิดอาการหิวบ่อย มีอารมณ์​หงุดหงิด​ คุณภาพ​ชีวิตแย่ลง นอกจากการรับประทานอาหาร​คลีนช่วยปรับสมดุลของร่างกายแล้วอย่างลืมออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและฝึกสมาธิช่วยให้สุขภาพ​จิตดีขึ้นด้วย


● อาหาร​มังสวิรัติ​

คืออาหารจำพวกผักและผลไม้และไม่มีเนื้อสัตว์​เลย อาหารกลุ่มมังสวิรัติ​เลือกรับประทาน​ส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยข้าวและผลิตภัณฑ์​จากข้าวหรือจากถั่วเช่นเต้าหู้หรือเมล็ดฟักทอง​หรือทานตะวัน​เป็นต้น
อาหาร​มังสวิรัติ​แบ่งออกเป็น3ประเภท​หลักๆคือ
1.มังสวิรัติ​ประเภท​เคร่งครัด​เป็นกลุ่มที่รับประทานอาหาร​จำพวกพืชผัก และผลไม้เพียงอย่างเดียว ไม่มีอาหารจำพวก​เนื้อสัตว์ ​ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์​จากไข่หรือนมเป็นส่วนประกอบเลย
2.มังสวิรัติ​ประเภท​ที่มีการดื่มนม เป็นกลุ่มที่รับประทานนมและผลิตภัณฑ์​จากนมเพิ่มเติมเข้ามาแต่ไม่มีเนื้อสัตว์หรือไข่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
3.มังสวิรัติ​ประเภท​ดื่มนมและกินไข่ อาหารมังสวิรัต​กลุ่มนี้มีไข่ นมและมีผลิตภัณฑ์​จากนมหรือไข่นอกเหนือจากผักหรือผลไม้เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์​เลยเช่นกัน

โดยกลุ่มที่รับประทาน​มังสวิรัติ​จะได้โปรตีนจากพืชตระกูล​ถั่วเมล็ดแห้งเช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ​ถั่วลิสง เป็นต้น
ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มผู้รับประทานอาหาร​มังสวิรัติจะ​ช่วยลด​ความเสี่ยง​การเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง​ โรคเบาหวาน โรคอ้วน ผลการวิจัยในกลุ่มที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ​ประเภทเคร่งครัด​มีภาวะพร่องวิตามินบี12และแร่ธาตุ​เหล็กฉะนั้นจึงควรเพิ่มแร่ธาตุ​และวิตามินที่เป็นเม็ดทดแทนได้


● อาหารเจ

หรือที่เรียกว่ากินเจ เป็นการไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เน้นอาหารที่ปรุงมาจากพืชผัก​ธรรมชาติ​ล้วนๆไม่มีเนื้อสัตว์เลย รวมถึงงดการปรุงด้วยผักฉุน 5 อย่างได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยช่าย ใบยาสูบ ซึ่งผักทั้ง5อย่างนี้มีพิษทำลายพลังธาตุ​ทั้ง5ในร่างกาย​ทำให้อวัยวะภายในร่างกาย​ทั้ง5ทำงานผิดปกติ​
ประโยชน์​ของการกินเจนั้นมีมากมายดังต่อไปนี้คือ
1.ให้พลังเย็นในร่างกาย​ซึ่งเป็นน้ำตาลฟรุกโตสที่มีมากในผักและผลไม้
2.ช่วยในการระบายและขับของเสีย ลดสารพิษตกค้างในร่างกายเนื่องจากพืชและผัก ผลไม้มีกากใยสูงช่วยลดการเกิดโรคริดสีดวง​ทวารหนัก​ได้
3.ผู้ที่กินเจร่างกายสามารถต้านทานพิษต่างๆได้สูงกว่าคนปกติทั่วไปซึ่งได้แก่ ยาฆ่าแมลง​  ยากำจัดศัตรูพืช​ เป็นต้น
4.ช่วยให้มีสติมั่นคง มีสมาธิ ไม่ประมาทเลินเล่อ​ช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ​ต่างๆ

จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น​ในมุมมองของผู้เขียนนั้นมีความเห็นว่าการเลือกรับประทานแบบสายกลางนั้นน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารเพื่อช่วยปรับ​สมดุล​ของร่างกาย คือการกำหนดวันในหนึ่งสัปดาห์​ซึ่งมีเจ็ดวันสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลเช่นเลือกกินคลีนในวันที่ใช้พลังงานน้อยๆเช่นวันหยุดสุดสัปดาห์​ต่างๆ เลือกกินเจและกินมังสวิรัติ​สองวันในหนึ่งสัปดาห์​และกินอาหารปกติธรรมดา​สามวันในหนึ่งสัปดาห์​เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารและปรับสมดุล​ของร่างกายทั้งนี้ยังช่วยให้มีสุขภาพ​ร่างกายแข็งแรงและลดภาวะการเจ็บ​ป่วย​จากโรคภัยไข้เจ็บ​ต่างๆได้อีกด้วย

 

แชร์ให้เพื่อน

6 โรคเรื้อรัง   โรคร้ายใกล้ตัว  (ตอนจบ)​

แชร์ให้เพื่อน

6 โรคเรื้อรัง   โรคร้ายใกล้ตัว  (ตอนจบ)​

การใช้ชีวิต​ในปัจจุบันนี้ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค​เรื้อรัง​ต่างๆ ทำให้เกิดความเครียด​และส่งผลกระทบต่อร่างกาย​  จิตใจ​  อารมณ์​และสังคม
โรคเรื้อรัง หมายถึงภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังที่มีองค์ประกอบ​ดังต่อไปนี้คือ

  • เป็นความเจ็บป่วยอย่างถาวร
  • การดำเนินของโรคไม่แน่นอน
  • ภาวะความเจ็บป่วยไม่หายขาด แต่อาการทุเลาลงได้ โดยไม่ปรากฏ​อาการ
  • เกิดความพิการหลงเหลืออยู่
  • ต้องการการดูแลรักษา​และฟื้นฟู​สภาพ​อย่างต่อเนื่อง​เป็นระยะเวลายาวนานหรือตลอดชีวิต
  • ต้องมีการดูแลเอาใจใส่ติดตามการรักษาและให้การช่วยเหลือเป็นเวลานาน

6 โรคเรื้อรังมีโรคอะไรบ้าง? เรามาดูต่อกันเลยคะ

 


4.โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งซึ่งเป็นสถานการณ์​ที่วิกฤติ​ของประเทศไทยโรคมะเร็งเกิดจากเซลล์​บริเวณ​ที่ผิดปกติมีการเจริญเติบโต​ที่ผิดปกติกลายเป็นเซลล์​มะเร็ง และแพร่กระจายลุกลามเนื้อเยื่อข้างเคียง รวมทั้งอวัยวะ​อื่นๆ โดยทางน้ำเหลือง​หรือหลอดเลือด

สาเหตุ​ของโรคมะเร็ง​ 

  • เกิดจากกรรมพันธุ์​
  • สารก่อ​มะเร็ง​เช่น เชื้อไวรัสฮิวแมนแปบปิโลมา หรือสารก่อมะเร็ง​อื่นๆ

อาการของโรคมะเร็ง

  • ในช่วงแรกมักไม่แสดงอาการใดๆ ฉะนั้นการคัดกรองโดยการตรวจสุขภาพ​ประจำปีสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เริ่มแรก
  • การแสดง​อาการเมื่อเซลล์​มะเร็งมีการแพร่กระจายเช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น  เลือดออกในช่องคลอดมากผิดปกติ ภาวะโลหิตจาง​อ่อนเพลีย เจ็บปวดอุ้งเชิงกราน​
  • ขาบวมเนื่องจากเซลล์​มะเร็ง​มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ
  • ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระ​เป็นเลือด และภาวะไตวายตามมาได้

การ​รักษา​โรคมะเร็ง 
การรักษาโรคมะเร็งมีจุดประสงค์​เพื่อรักษา​โรคให้หายขาดกรณีที่มะเร็งอยู่ในระยะแรกและรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองในกรณีที่มีการแพร่กระจาย​ไปอวัยวะ​อื่น การรักษาโดยทั่วไปมี4วิธีคือ
1.การผ่าตัด โดยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกมาแล้วหายไปได้
2.การฉายรังสี เพื่อยับยั้งและทำลายเซลล์​มะเร็ง
3.การให้ยาเคมีบำบัด
4.การใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน เช่น ฉายรังสีหลังผ่าตัด  ให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด หรือการฉายรังสีร่วมกับยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะการแพร่กระจาย​ของเซลล์​มะเร็ง​และผลการตอบสนองต่อการรักษา


5.โรคติดเชื้อเอชไอวี เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส​เอชไอวี​เกิดกลุ่มอาการภูมิคุ้มกัน​บกพร่อง จนร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ​โรคได้ ทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อน​อื่นๆตามมา
สาเหตุของโรคติดเชื้อเอชไอวี​  เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมีอยู่ 2 ชนิดคือ
1.เชื้อเอชไอวี-​1(HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดทั่วโลก
2.เชื้อเอชไอวี-2(HIV-2)​ ซึ่งแพร่ระบาดส่วนใหญ่ในแถบตะวันตก​ของทวีปแอฟริกา​

อาการของโรคติดเชื้อ​เอชไอวี​ 

  • เมื่อร่างกายได้รับเชื้อและติดเชื้ิอมีอาการที่พบคือ มีไข้ คออักเสบ​ ปวดเมื่อย​ตามกล้ามเนื้อ​ อ่อนเพลีย  มีผื่นแดงไม่คันตามหน้า คอ และลำตัว ต่อมน้ำเหลือง​โต บางรายท้องเสีย ระยะนี้พบเม็ดเลืือดขาวลดลงเล็กน้อย เมื่อตรวจหาเชื้ออาจได้ผลลบ มักไม่แสดงอาการ ระยะเวลานับจากเริ่มติดเชื้อเอชไอวี​จนเกิดอาการ​ของโรคเอดส์​โดยเฉลี่ย 8-10ปี
  • ระยะอาการสัมพันธ์​กับเอดส์​เป็นระยะที่ภูมิต้านทานลดลงเรื่อยๆ เม็ดเลือดขาว CD4+ T cell เริ่มลดลงมากมีอาการไข้สูงเรื้อรังนานเป็นเดือน  น้ำหนักลดลงอย่างมาก มีโรคแทรกซ้อน​เช่น งูสวัด​ ฝ้าขาวบริเวณ​ขอบลิ้น เชื้อราในช่องปาก ผิวหนังอักเสบ ตุ่มตามผิวหนัง  ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ
  • เข้าสู่ระยะเอดส์​เต็มขั้น ภูมิคุ้มกันถูกทำลายไปมาก CD4+T cell ลดลงต่ำมาก เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนเช่น ปอดอักเสบ​วัณโรค​ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ​
  • อาการทางด้านจิตใจเช่น อ่อนเพลีย โดดเดี่ยว​หดหู่ สูญเสีย​ภาพลักษณ์​ วิตกกังวล ซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย

การรักษาของโรคติดเชื้อเอชไอวี มีการรักษาหลายวิธีเช่น
1.การให้ยาต้านไวรัสเอดส์​เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอดส์​มีหลายชนิดพิจารณา​ตามความเหมาะสม​กับผู้ป่วยแต่ละราย ลดปัญหาเชื้อดื้อยาโดยใช้ยา 3 ตัวรวมกันหรือมากกว่า เพื่อช่วยลดอัตราการเกิดภาวะ​แทรกซ้อน​และอัตราการตาย โดยผู้ติดเชื้อต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
2.การรักษาด้วยอิมมูน โมเดอเรเตอร์ เป็นสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบสารเคมีในเซลล์​เม็ดเลือดขาวก่อให้เกิดปฏิกิริยา​ภูมิคุ้มกัน​ต่อต้านไวรัส
3.อิมมูโน​เทอราปี เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน​ของร่างกาย
4.แอ็คจิวแวนท์เทอราปี เป็นการใช้ยาบางตัวเพื่อเสริมฤทธิ์​ของยาต้านไวรัส
5.การรักษาและป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่นปอดบวม วัณโรค​  เชื้อราช่องปาก เริม เป็นต้น
6.การส่งเสริมสุขภาพ ด้านอาหาร การพักผ่อน การออกกำลังกาย​  การดูแล​สุขภาพ​จิตใจ​
การรักษาแพทย์​ทางเลือกอื่นๆเช่น การใช้สมุนไพร​พื้นบ้านต่างๆ  การนั่งสมาธิ


6. ผู้พิการ เป็นผู้ที่มีความผิดปกติ​หรือบกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา​ หรือ​จิตใจ​เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ​ หรือพิการมาแต่กำเนิด​เป็นเหตุให้​ไม่สามารถ​ดำเนิน​ชีวิต​ได้ตามปกติ​หรือมีอุปสรรค​ทำให้เกิดความยากลำบาก​ในการกระทำ​สิ่วต่างๆในขณะที่​คนทั่วไปไม่มีปัญหา​
สาเหตุ​ของความพิการ

  • การบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุ​
  • โรคผิดปกติ​มาแต่กำเนิด

อาการของความพิการ แบ่งความผิดปกติหรือบกพร่องได้ 5 ด้านคือ
1.ด้านการเคลื่อนไหว​ มีความผิดปกติหรือบกพร่้องด้านร่างกายที่เห็นได้ชัดเจนและไม่สามารถประกอบกิจวัตร​ประจำวันได้ หรือสูญเสีย​การเคลื่อนไหว​ เช่นกระดูก​สันหลัง​คด โรคโปลิโอ​
2.ด้านการมองเห็น​ เป็นปัญหาด้านลานสายตาแคบ หรือสั้นเกินไป เช่น ตาบอด มองเห็น​เลือนลาง​
3.ด้านการได้ยิน​หรือการสื่อสาร มีความผิดปกติหรือบกพร่องในการเข้าใจหรือการใช้ภาษา​พูดจนไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ เช่นหูหนวก​ หูตึง
4.ด้านจิตใจหรือพฤติกรรม​เป็นความบกพร่องทางจิตใจหรือพฤติกรรม​
5.ด้านสติปัญญา​หรือการเรียนรู้​ผิดปกติด้านสติปัญญา​หรือสมอง​จนไม่สามารถ​เรียนรู้​ด้วยวิธี​การศึกษา​ปกติได้
การ​รักษา​ความพิการ
รักษาโดยการฟื้นฟู​ความสามารถให้ดำเนิน​ชีวิตได้ปกติหรือใกล้เคียง​ปกติมากที่สุด ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์​และสังคม
ในปัจจุบันนี้มีการช่วยเหลือกลุ่มผู้พิการโดยจ่ายเบี้ยยังชีพสำหรับผู้พิการในแต่ละเดือนเพื่อให้ดำเนินชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าโรคเรื้อรังทั้ง 6 โรคที่กล่าวมานี้มีผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์​ และสังคมของผู้ป่วยเป็นอย่างมากฉะนั้นการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคและสาเหตุ​ของการเกิดโรคเพื่อปรับเปลี่ยน​พฤติกรรม​ที่จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังเพื่อป้องกันหรือบรรเทา​ปัญหาในทุกๆด้านที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

6 โรคเรื้อรัง โรคร้ายใกล้ตัว (ตอนที่ 1)

แชร์ให้เพื่อน